Nov 24, 2007

ตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง

ไปดูมาแล้วครับ "รักแห่งสยาม"

คงไม่พูดอะไรมาก ทีแรกว่าจะชวนสาวไปดูด้วย สุดท้ายก็ไปดูคนเดียวอีกเช่นเคย แต่พอดูจบแล้วก็ยังดีใจนะที่มาดูคนเดียว เด่วเขาจะหาว่าเราอยากบอกอะไรเขาหรือป่าว...

ชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้ (นอกจากเพลงเพราะ) ก็คือ ฉากที่ สินจัย นั่งกินข้าว(แข็งๆ) กับ ไข่พะโล้ข้ามวัน ฉากนี้ โดนสุดๆ เป็นฉากที่ไม่มีบทพูดเลยแต่มันชัดมากๆ สำหรับคำว่า "รัก"

อยากจะบอกว่า เพราะฉากนี้ ฉากเดียว 2-3 คะแนน จากอคติของผมสำหรับหนังเรื่องนี้ กลายเป็น 7-8 คะแนนเลยทีเดียว จริงๆหนังเรื่องนี้ ผมถือว่าบทหนังดีมากครับ เพียงแต่ผมไม่ชอบ "สาร" ของหนังบางมุมที่แอบแฝงสื่อออกมาให้คนดู

แม้โดยรวมหนังจะพูดถึงความรักสดใสของวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ แต่ฉากที่ผมกล่าวถึง... ความรักเป็นการแสดงออก ไม่ใช่เป็นเพียงความรู้สึก ผมคิดว่า นี่เป็น... เรื่องจริงของความรัก

Nov 15, 2007

ช่วงเวลาที่อ่อนไหว

ไม่ชอบอารมณ์แบบนี้เลย
โลกนี้จะมีคนที่เชื่อใจกันอยู่บ้างมั้ยน๊อ...

อยากไปนั่งตาก-ลมเล่นจัง
ลมทะเลพัดเย็นๆเอื่อยๆ
กลิ่นหอมๆจากผมของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก
มองตาแล้วก็อมยิ้ม หัวเราะคิกคักคิกคักกัน....

ภาษากาย...

ไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย แต่ก็ก้าวข้ามไปไม่ได้ซะที
ถ้าเพียงได้พบใครสักคน ที่เมื่อมองตากันแล้ว ความเชื่อมั่นที่เขามีให้ ทำให้เรามั่นใจกว่านี้ ถ้าคนๆคนนั้นมีจริงก็คงดี...

คงจะดีจริงๆ ถ้าเราคิดตรงกัน

Nov 9, 2007

เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า...

ไอสไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า.... "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"
"ข้าพเจ้ามีความฝัน" มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
"อย่าถามว่าประเทศชาติให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามว่าท่านได้ให้อะไรแก่ประเทศชาติ"... จำไม่ได้ เคเนดี้ / รูสเวลล์
"หนทางพันลี้ เริ่มที่ก้าวแรก" ...นี่ใครนะ ขงจื้อหรือเปล่า

ขี้เกียจนึกแล้ว มีอีกตั้งเยอะ เช้านี้ตื่นมาเพราะปวดฉี่ ตี3ห้าสิบนาที เป็นช่วงเวลาบาดหัวใจมาก จะนอนก็ไม่ได้(ตื่นอีกรอบ สายแน่ๆ) จะตื่นก็เช้าเกิน แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าร่างกายเริ่ม "เอาอยู่" กับอาการเจ็บไข้ ไม่สบาย

ก็เลยตัดสินใจนั่งอ่านพระคัมภีร์ซะ อ่านไปอ่านมา สะกิดใจอยู่อย่างนึง เออ ตัวเรานี่เป็นคนชอบอ้างคำพูดคนอื่นนะ แต่พอเราพูดสิ่งที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ เรามักไม่ได้อ้างว่า พระคัมภีร์เขียนไว้แฮะ ไม่รู้คิดมากไปหรือป่าว แต่ลึกที่สุด ผมว่าเรื่องนี้ สะเทือนถึง มาตรฐานทางศีลธรรม และมาตรฐานในการดำเนินชีวิตของผมเลยทีเดียว
.
.
.
กลับใจใหม่ ...
.
.
.
ผมขอน้อมรับมาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์มาเป็นมาตรฐานของผมในการดำเนินชีวิต
...
เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า... "บุคคลใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว" เอเมน

ปล. http://www.rittee.com/
สำหรับผู้สนใจ เชิญแวะชมลิงก์นี้ได้ ของเฮียหลิม พี่ชายพวกเราเอง

Nov 6, 2007

ครั้งหนึ่งในความทรงจำ... คุณเชื่อเรื่องโชคชะตามั้ย

คุณเชื่อเรื่องโชคชะตามั้ย
คุณตาคนหนึ่งบอกผมว่า “โชคชะตา คือการสร้างสะพานไปหารักแท้”
แม้ผมจะเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่า รักแท้ มีจริง
แต่ผมก็ยังไม่เคยพบเห็นว่ารักแท้เป็นอย่างไร
ผมเพียงแต่เคยเห็นแต่ในหนัง
ได้เห็นถึงเรื่องราวบังเอิญของพระเอกกับนางเอก ที่เดินสวนกัน
แต่ต้องเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้มองไม่เห็นกันบ้าง
หรือคนนึงเอาแต่เลี้ยวซ้าย อีกคนเอาแต่เลี้ยวขวา หรือแม้แต่พลาดเพียวเสี้ยววินาที จนอดขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน
บางคู่ก็จบด้วยความสุขสมหวังในรัก...แท้ แต่บางคู่ก็จบลงด้วยการใช้ชีวิตในต่างทางที่แต่ละคนพอใจ
ตามแต่บทภาพยนตร์ที่ถูกเขียนขึ้นมา ชีวิตจริงคนเราไม่ใช่บทภาพยนตร์ที่ถูกเขียนไว้อยู่ก่อนแล้ว แล้วให้เราสวมบทเป็นนักแสดงเล่นไปตามบท
ชีวิตไม่ใช่รายการเกมโชว์ในแบบชีวิตจริงที่กำลังฮิตกันอยู่ ชีวิตจริง เราเป็นทั้งคนเขียนบท ผู้กำกับ และเป็นทั้งนักแสดง
เราต่างร่วมใช้ชีวิตอยู่ในกองถ่ายฯขนาดใหญ่ ที่ๆทุกคนล้วนเป็นพระเอก นางเอก ของภาพยนตร์ชีวิตที่ตัวเองกำลังแสดง
ชีวิต มีเส้นทางเป็นร้อยเป็นพันให้เราเลือกเดิน ทุกๆการเลือก 1 ครั้ง ก็จะพาเราไปสู่เส้นทางใหม่ๆที่ต่างกัน ซึ่งบางครั้ง ก็ไกลขึ้นทุกทีๆ จากจุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจไว้เมื่อเริ่มเดิน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกเส้นทางหลังการเลือก ก็จะมีประสบการณ์แห่งชีวิต สอนเราให้เรียนรู้และเติบโตขึ้น เพื่อให้เราได้เดินเข้าใกล้จุดหมายของเราแต่ละคนมากขึ้น
คนที่เรียนรู้ได้ไวกว่า ก็จะเติบโตมากกว่า และก็จะเข้าใจมากกว่า และคงไม่ยากที่จะรู้จักใช้ชีวิตเดียวบนโลกใบนี้ เพื่อสิ่งที่ไม่ใช่เพียงเป็นเรื่องอนิจจัง
ความสุขที่แท้จริงของคนเราอยู่ตรงไหนกัน ผมคนหนึ่งล่ะที่เคยถามตัวเอง
ชีวิต เป็นเรื่องของจุดหมายปลายทาง หรือเป็นเรื่องของการเดินทาง
ชีวิตเป็นเรื่องของโชคชะตา ฟ้าลิขิต หรือ น้ำมือของเราเอง

บางที...เราอาจจะเจอ รักแท้ ของเราอยู่ทุกวัน
เพียงแต่เราไม่รู้จักหัวใจของตัวเอง ไม่รู้จักพอ
คิดแต่จะรอให้ “รักแท้” วิ่งมาชน
รักแท้ อาจจะเคยกินข้าวกลางวันกับเรา
เคยยิ้มให้เรา เคยร้องไห้กับเรา
เคยหัวเราะกับเรา เคยกระซิบความลับให้เราฟัง
เคยช่วยเรายกของ เคยซื้อขนมมาฝาก
เคยเตือนเราตรงๆจนหน้าชา หรือเคยแม้แต่กัด...แซวเราแรงๆต่อหน้าประชาชน จนเราอาย...
คนที่กำลังรอ อาจจะลืมคิดไปว่า “รักแท้” ของเรา ก็อาจจะกำลังรอเราอยู่ก็ได้
...รอกันไป...รอกันมา...
แม้หากว่าโชคชะตามีจริง และเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่เชื่อเถอะว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริง ถ้าเราไม่ลงมือสร้างสะพานไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งโชคชะตานั้น
และถ้าคุณไม่ได้คิดเหมือนคุณตา.... คุณก็สร้างสะพานไปหาอย่างอื่นสิ
ชีวิตคนเรา มีแต่เรื่อง ความรัก อย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ล่ะ จริงไหม

17 เมษายน 2005

ครั้งหนึ่งในความทรงจำ... ความรัก

วันนี้กับพรุ่งนี้อาจต่างกัน…แต่ยังรัก ห่วงใย ผูกพันเหมือนเดิม
เมื่อกี้เพิ่งนั่งดู Scent of Love (กลิ่นไอรัก)จบ
ไม่มีคำบรรยาย ไม่รู้จะพูดอย่างไร
แค่รู้สึกว่าถ้านี่เป็นเรื่องจริง นี่คงเป็นบทสรุปของคำว่า “รัก”ที่จับต้องได้
ดูเสร็จแล้วยิ่งชอบหนังเกาหลีมากขึ้นไปอีก
ไม่เกินจริงเลย สำหรับคำโปรโมทของหนังเรื่องนี้ ว่าเป็นบทสรุปแห่งรัก...ภาพยนตร์รักอันดับ 1 แห่งปี

ใจจริงผมอยากจะเล่าให้ท่านฟังว่า ผม “ได้”อะไรบ้างจากหนังเรื่องนี้
แต่ตอนนี้ผม “อิ่ม” และยากเกินไปที่จะถ่ายทอดความรู้สึกมาเป็นตัวอักษรให้ท่านอ่านกันในความคิดของผม
...คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะอดทนยืนยันความรักที่เรามีต่อใครสักคนหนึ่งได้นานถึง7 ปี
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเรามี “รัก”
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเสียสละความรักที่ตัวเองมีให้กับเพื่อนแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเรามี “รัก”
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะคิดถึงความรู้สึกของอีกคนหนึ่งและยินดีทำให้เขามีความสุขแม้ตัวเองจะเจ็บ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเรามี“รัก”
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะยอมรับและเปิดเผยความรู้สึกที่ตัวเองมีต่ออีกคนหนึ่งแม้รู้ว่าจะต้องถูกปฏิเสธ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปหากเรามี “รัก”
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะยอมทิ้งชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยให้อีกคนหนึ่งมีชีวิตใหม่แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเรามี “รัก”
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะยอมก้าวข้าม อดีตเพื่อคนที่รักเรา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเรามี“รัก”
คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ความสุขของเราคือรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของอีกคนหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเรามี “รัก”
คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่เราจะจริงใจ พูดคำว่า “รัก”อย่างมีความหมายจริงๆ กับคนที่เรารักแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเรามี “รัก”
ใครนะบอกไว้...คำว่า “รัก” พูดมากไปดีกว่าพูดน้อยไป

อย่าปล่อยเวลาพิเศษของชีวิตให้หลุดลอยไปในการจะได้บอกว่าเรารู้สึกอย่างไรกับคนพิเศษแห่งใจของเรา
ชีวิตคนเรา ใครจะรู้อนาคต...

คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่เราจะบอกได้ว่า “รัก” คืออะไรหรือเป็นอย่างไร แต่คงไม่ใช่เรื่องยาก หากหัวใจของเรามี“รัก”

......ขอให้ “รัก” มีอยู่เต็มในใจเรา มีล้นไปถึงคนรอบข้างและ ขอให้ “รัก” ได้เป็นสื่อถึงใครอีกคนที่มี “รัก”จนผูกพันคน 2 คน ให้ลึกซึ้งในคำว่า “รัก” ตลอดไป

10 เมษายน 2005

ครั้งหนึ่งในความทรงจำ... วันแห่งความรัก

14 กุมภาพันธ์ 2005
วันแห่งความรักปีนี้ ใครไปไหน ทำอะไรกันบ้างครับ แบ่งปันเรื่องดีๆให้ฟังกันบ้างสิครับ
สำหรับผม แม้ว่าวาเลนไทน์ปีนี้ จะแอบเหงาเหมือนเดิมแต่ปีนี้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้ผมเห็นเรื่องเดิมๆในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยอยากเขียนมาเล่าสู่กันฟัง...
หลายปีมาแล้ว ตอนที่ผมเริ่มเป็นวัยรุ่น เริ่มคิดถึงเรื่องความรัก การแต่งงานและการมีครอบครัวคู่แรกที่ผมนึกถึงและอยากเรียนรู้ทัศนคติเรื่องนี้ ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน พ่อกับแม่ผมนั่นเอง ผมแอบถามแม่ตอนเราทำกับข้าวด้วยกันในครัว “ทำไม แม่ถึงแต่งงานกับพ่อ” “พ่อเอ็ง เค้าเป็นคนดี” แม่ตอบเรียบๆ แต่น้ำเสียงฟังดูภูมิใจและมีความสุข ผมเห็นแม่แอบยิ้มด้วย
“ทำไม พ่อถึงแต่งงานกับแม่” คำถามเดียวกัน แต่กับต่างคน ต่างวาระ “...แม่มึงเค้าเป็นคนดี เป็นคนขยันทำงาน” พ่อนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบเขินๆ
แม่เล่าให้ฟังทีหลังว่า ตอนนั้นพ่อมีคนที่ชอบ (แฟน) อยู่แล้ว ดีกรีความงามระดับนางงามจังหวัดเรื่องนี้จะเท็จจริงอย่างไร ผมก็ไม่รู้ แต่พ่ออ้ำๆอึ้งๆ แบ่งรับแบ่งสู้เรื่องนี้ เมื่อถูกถาม“แม่ไม่คิดว่า พ่อจะแต่งงานกับแม่ด้วยซ้ำ” แม่ว่าอย่างนั้นแม่เล่าให้ฟังว่า ตอนแต่งงานกัน สองคนผัวเมีย มีตังค์รวมกัน 150 บาท (พ.ศ. 2519) พ่อเรียนจบ ป.6 แม่เรียนจบ ป.4 มีแต่คนดูถูก ทั้งเรื่องฐานะ และการศึกษาแม่เล่าให้ฟังว่า บ่อยครั้งที่แม่นั่งกินข้าวในครัว ไม่กล้าไปนั่งกินที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกับญาติคนอื่นๆ เพราะพ่อยังไม่กลับบ้าน
มีอยู่ครั้งนึง ทั้งสำรับเหลือหอยแมลงภู่อยู่ 3 ตัว ให้กับคน 3 คน พ่อ-แม่-ลูก ...บางครั้ง ไข่ต้ม 1 ลูก คือกับข้าวของเรา 3 คน ผม-ครึ่งลูก พ่อ-ครึ่งลูก แม่-น้ำปลา
ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมไม่เคยจำได้ว่า พ่อกับแม่ หยุดทำงานตอนไหน
...บ่อยครั้งตอนเด็กๆที่ผมตื่นมาตอนกลางคืน ตี 2 ตี 3 ผมก็ไม่เจอใครแล้ว กว่าจะเอาชนะความมืด กล้าเดินออกมาดู จึงได้รู้ว่าพ่อกับแม่ตื่นมาต้มข้าวโพดไปขาย
...บ่อยๆครั้ง ที่ผมเดินขึ้นนอน เห็นแม่นั่งเย็บผ้าอยู่อย่างไร ตื่นนอนเดินลงมา แม่ก็ยังเย็บผ้าอยู่อย่างนั้นยิ่งช่วงที่แม่รับเป็นครูสอนตัดเย็บเสื้อของ กศน.(การศึกษานอกโรงเรียน) สิ่งที่ดูเหมือนจะบอกว่าแม่กลับมาบ้านแล้วนะ คือ ไข่กร้อบในจานข้าวของผม ไข่ดาวที่ทอดจนไข่ขาวสุก ฟู กรอบ ของโปรดที่แม่ทำไว้ให้เป็นพิเศษ
...ยังมีอีกมาก ที่ผมไม่รู้เรื่องพ่อกับแม่ เพราะผมจากบ้านมาเรียนหนังสือตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 13 ดี และก่อนหน้านั้น ก็ใช่ว่า เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันมากนัก
แม่เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อตกจากต้นมังคุด ต้องผ่าตัดหลัง นั่นเป็นจุดพลิกผันนึง ที่ทำให้พ่อทำงานน้อยลง และ แม่ ทำงานหนักขึ้น...หนักทั้งกาย หนักทั้งใจ
แม่ชอบพูดว่า ตอนแต่งงานกัน ไม่จำเป็นต้องรักกัน ขอให้เป็นคนดี เป็นคนขยันก็พอ “อยู่ๆกันไปก็รักกันเอง” แม่ว่าอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่า วันที่พ่อกับแม่แต่งงานกัน ท่านรักกันหรือป่าว ผมไม่เคยเห็นพ่อแสดงออกหวานแหววกับแม่ หรือไม่เคยได้ยินพ่อพูดว่ารักแม่ แต่หลายครั้งที่ผมได้ยินแม่พูดว่า พ่อไม่รู้หรอกว่าแม่รักพ่อมากเท่าใด ในขณะที่บ่อยครั้งที่ผมทำตัวไม่ดี พ่อมักบอกให้เราต้องช่วยกัน ถนอมน้ำใจของแม่บ้าง “เอ็งไม่รักแม่หรือ”สิ่งที่ผมตอบกับสิ่งที่ผมทำ ไม่ได้สอดคล้องไปด้วยกัน ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ผมปล่อยให้เวลาสำหรับครอบครัวหล่นหายไปได้อย่างไร ผมพยายามจะมองหา และไขว่คว้าครอบครัวที่ไม่มีตัวตน แต่กลับลืมนึกถึง มองไม่เห็น และไม่ได้ใส่ใจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
แม่บอกว่า ให้ผมเดินตามความฝันของผม พ่อกับแม่ไม่เคยมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ฝัน ไม่ต้องห่วงแม่ แม่มีพ่อคอยดูแล มีไอ้เสือ (หมาที่บ้าน) เป็นเพื่อนผมนึกถึงข้อความที่เพื่อนเคยส่งมาให้....“เวลามีความสุข คนแรกที่นึกถึงคือเพื่อน แต่เวลามีเรื่องทุกข์ใจ คนแรกที่นึกถึง คือ พ่อแม่”
เมื่อวานนี้ พ่อ คนที่ใครๆบอกว่ามีจิตใจหนักแน่นมั่นคง เอามือปาดน้ำตา ตอนนั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน เมื่อผมพูดถึงแม่ “แม่เอ็งลำบากมาตลอด ไม่เคยได้สบายกับเขาเลย หวังว่าจะสบายตอนแก่ๆ ก็มาเป็นแบบนี้อีก”วันนี้ แม่ที่เคยทำนู่น ทำนี่ เคยนั่งเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟัง นอนอยู่บนเตียง ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก แม่ผ่าตัดมาแล้วครั้งนึง เพราะมีเส้นเลือดอีกเส้นที่ยังโป่งพองอยู่ และต้องผ่าตัดอีกครั้งนึง เพื่อใส่ท่อระบายน้ำในสมอง
ทุกเสาร์-อาทิตย์ พ่อผม คนที่เมารถง่ายมาก และไม่ชอบเดินทางจากบ้านไกลๆบ่อยๆ นั่งรถเข้ากรุงเทพ มาหาแม่ทุกสัปดาห์ แม่เล่าให้ฟัง (เพื่อให้เราหายเครียด) ว่าที่เป็นอย่างนี้ เพราะดีใจมากไปหน่อย วันที่มีอาการ พ่อชวนไปเที่ยวงานกาชาดประจำจังหวัด ดีใจเกินไป เส้นเลือดเลยแตก
วันนี้ แม่ไม่ได้กินข้าวกลางวัน เพราะผมไม่ได้ไปป้อนข้าวแม่ และใครๆต่างคิดว่า แม่สำออย แม่ไม่มีแรงแม้แต่จะพูดว่าแม่รู้สึกอย่างไร แต่ผมรู้ คนอย่างเจ๊พร สำออยไม่เป็น
วันนี้ ตอนผมไปเดินหาซื้อขนมให้แม่ ข้างทางเต็มไปด้วยดอกกุหลาบและรูปหัวใจ ชายหนุ่มถือดอกไม้เดินสวนไป ผมเดาว่า เขาคงกำลังเอาไปให้หญิงสาวที่เขาชอบพออยู่
ผมไม่รู้จะเขียนตอนจบของเรื่องนี้อย่างไร แค่อยากจะเล่าถึง ชีวิตของคน 2 คน ที่ตั้งใจและพยายามจะประคับประคอง “ครอบครัว” ให้อยู่ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง คน 2 คนที่พัฒนาความรัก และความเข้าใจกัน ผ่านความทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน คน 2 คนที่ไม่ได้รักกันด้วยคำพูด แต่รักกันด้วยการกระทำ
และอยากจะเล่าถึง คนๆหนึ่ง ที่ลืมตัวไปว่า เขาไม่จำเป็นต้องวิ่งไปไขว่คว้าหารักแท้ที่ไหน เพราะรักนั้นอยู่กับเขาอยู่แล้ว

สุขสันต์วันแห่งความรักครับ

/14 ก.พ. 2005/
ฟูดเซ็นเตอร์ บิ้กซี ราชดำริ

ปล. แม่เข้าโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2005

ครั้งหนึ่งในความทรงจำ... the terminal

สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อนผมชวนไปดูหนังเรื่อง “The Terminal” ชอบมากเลยครับ เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ต้องติดอยู่ที่สนามบิน สถานที่ซึ่งเขาจำเป็นต้องอาศัยอยู่ ความจำใจที่ต้องรอคอย กับหัวใจที่อ่อนสุภาพของเขา และมิตรภาพที่ก่อกำเนิดขึ้น ในความคิดของผม ดูจะเป็นประเด็นที่เล็กเหลือเกิน เมื่อเทียบกับสิ่งเล็กๆ ที่ถูกเก็บอยู่ในกระป๋อง หุหุ ใครอยากรู้ว่าคืออะไร ต้องไปหาหนังมาดูกันเอาเองนะครับ หนังเฉลยไว้ตอนท้ายเรื่องครับ

ดูหนังจบแล้วมาย้อนดูตัว ได้ข้อคิดมาแบ่งปันเช่นเคยครับ

1. “การรอคอย” เป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์ เป็นธรรมชาติของการมีชีวิตอยู่ รอใครสักคน รออะไรสักอย่าง ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้ “เวลา” ระหว่างการรอคอยนั้นอย่างไร ด้วยความผิดหวังเจ็บปวด ด้วยความขมขื่นหรือ ด้วยความเข้าใจ ด้วยความคิดแง่บวก จดจ่อกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า จะเดินอย่างมีความหวังเป็นคบเพลิงนำทาง หรือบ่นต่อว่าสถานการณ์ที่ไม่เป็นดั่งใจเราต้องการ เราเลือกได้

2. “คำสัญญา” เป็นสิ่งสำคัญ ให้สัญญาอะไรไว้กับใครแล้ว แม้ต้องเสียชีวิตก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีคำแก้ตัว ไม่เกี่ยวข้องกับคู่สัญญา เป็นเรื่องของความเคารพนับถือที่เรามีต่อตัวของเราเอง

3. “ชะตาชีวิต” เป็นเส้นทางที่กำหนดไว้แล้วเพื่อให้เราเลือกเดิน เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เราเลือกตอบสนอง แต่บ่อยครั้งที่คนเรามักเคยชินกับสิ่งเดิมๆ อยากจะเปลี่ยนแปลงแต่ไม่กล้าละทิ้งความคุ้นเคย ไม่ได้จ่ายราคาเพื่อเขียนเส้นทางชีวิตใหม่ๆให้ตัวเอง ยังเด็ดขาดกับตัวเองไม่พอที่จะทำให้ความปรารถนาเกิดขึ้นเป็นจริง แล้วก็โทษว่าเป็นเพราะชะตาชีวิตลิขิตไว้แล้ว ท้อใจโทษตัวเองว่าเราคงดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้ ใครก็ตามที่ออกเดินไปแล้ว ก็ไม่สมควรหันหน้ากลับ เพื่อที่เขาจะมีวิถีชีวิตใหม่ และไปถึงจุดหมายได้ดั่งที่เขาตั้งใจไว้

4. เปิดหู เปิดตา เปิดหัว เปิดใจ ให้กว้างๆ ทุกอย่างเรียนรู้ได้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ...ยอม ที่จะรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าเรา เพื่อที่วิถีชีวิตของเรานั้นจะดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

5. ถ้าอยากให้คนอื่น “เข้าอกเข้าใจ” เรา ก็จงเรียนรู้ที่จะ “เข้าอกเข้าใจ” ผู้อื่นก่อน และกล้าที่จะแสดงออกมาอย่างเหมาะสมด้วย รักตัวเองอย่างไร ก็จงรักคนอื่นอย่างนั้น ตัวเองอยากได้อย่างไร ก็จงให้ผู้อื่นอย่างนั้น

พอดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว ผมคิดว่าสักครั้งใน 1 ชีวิตที่มีอยู่ เราน่าจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อใครสักคน ลงมือทำจริงๆ อดทน รอคอย จนสำเร็จ ทำให้เสร็จก่อนเราตาย ขอแค่อย่างน้อย 1 อย่าง

ผมคิด และเริ่มลงมือทำแล้วครับ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆคิดหมายอะไรไว้ในใจบ้างหรือยังครับ ถ้ายังก็ลองคิดดูนะครับ ถ้าคิดแล้วก็ลงมือทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลยครับ ได้เรื่องอย่างไร ก็เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ

สุดท้ายขอฝากข้อคิดไว้ว่า มีวาระสำหรับทุกสิ่ง ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์นี้ มีฤดูกาลของมันเองครับ ความเศร้าใจ ปัญหา ความหนักอกหนักใจ อาจจะดูอ้อยอิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง แต่ความสดชื่น กำลัง และความสำเร็จ จะเกิดขึ้นเป็นแน่ครับ เหมือนดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงส่องเสมอทุกเวลาเช้า ขอให้ท้ายที่สุดทุกคนเป็นผู้ชนะ(ตัวเอง)เสมอนะครับ “Winner never quit, Quitter never win” ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจเสมอครับ พบกันใหม่เรื่องหน้าครับ สวัสดีครับ

22 กันยายน 2004

ครั้งหนึ่งในความทรงจำ... ดูหนังดูละคร ย้อนดูตัว

หลังจากที่ได้ส่งเมล “ดูหนังดูละคร ย้อนดูตัว” ไปให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายคน ปรากฎว่ามีกระแสตอบรับมาพอสมควร หลายคนก็งงๆว่าผมทำอะไร บางคนก็วิพากษ์เปิดประเด็นกลับมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ เพราะนั่นถือว่าผมได้บรรลุวัตถุประสงค์หนึ่งที่ตั้งใจไว้แล้ว คืออยากให้พวกเราคิดกันมากขึ้นน่ะครับ ผมก็เลยขอถือโอกาสอธิบาย และไขข้อข้องใจของหลายๆคนดังต่อไปนี้นะครับ

1. “ดูหนังดูละคร ย้อนดูตัว” เป็นกิจกรรมเริ่มต้นที่ผมลองทำดูน่ะครับ เรื่องนี้มีแนวคิดมาจากที่ว่า พระเจ้าของคริสเตียนเป็นพระเจ้าที่ชอบสอนเราผู้เป็นลูกที่รักของพระองค์เสมอ และพระองค์ก็สอนให้เรารักที่จะเรียนรู้อยู่เสมอด้วย ดังนั้น ในแต่ละวันของการดำเนินชีวิต เราควรเติบโตขึ้น มีข้อคิดในแต่ละวันผ่านการทำงาน ผ่านการเรียน ผ่านการพบปะผู้คน ผ่านการใช้ชีวิต ซึ่งผมเองก็เรียนรู้อยู่เสมอ จึงอยากจะแบ่งปัน และเชิญชวนให้พวกเราได้เรียนรู้ด้วย แต่ครั้นจะให้แบ่งปันข้อคิดประจำวันทุกวัน ก็รู้สึกว่ามันออกจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากไปสักนิดนึง อีกทั้งยังมีการพาดพิงบุคคลที่สามในหลายๆครั้งอีกด้วย (ใครอยากรู้ ต้องคอยไปถามภรรยาผมเอาเองนะครับ คนเดียวที่จะได้อ่านไดอะรี่ของผม ถ้ามีโอกาสได้แต่งงานกะเขาบ้างอ่ะนะ หุหุ )
ผมจึงมีความคิดว่า เริ่มด้วยข้อคิดจากหนังจากละครก็แล้วกัน เพราะผมเองก็เป็นคนที่ชอบดูชอบชมพวกนี้อยู่แล้ว และทุกครั้งก็ได้ข้อคิด ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้เสมอ ลักษณะก็จะคล้ายๆการวิจารณ์ภาพยนตร์ ในรายการโทรทัศน์น่ะล่ะครับ เพราะฉะนั้น คำพูดคำจาก็จะเป็นลักษณะที่สามารถแพร่ภาพทางสื่อมวลชนโดยทั่วไปได้น่ะครับ

2. มีบางคนบอกว่า อยากดูหนังเหมือนกัน แต่ไม่มีเพื่อนดู ผมอยากให้ข้อสังเกตดังนี้ครับ การชมภาพยนตร์ หรือละคร เป็นกิจกรรมที่ไม่เสริมสร้างผู้ที่ไปชมด้วยกันได้สนิทสนมหรือรู้จักกันมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย เราไปชมการแสดงครับ เราไม่ได้คิดจะไปทำอย่างอื่นแล้วเอาการดูหนังมาบังหน้า ในโรงหนังคุยกันก็ไม่ได้นะครับ การดูหนังด้วยกันจึงเป็นเพียงการเปิดโอกาสให้เรามีประเด็นที่จะพูดคุย แสดงความคิดเห็นในเรื่องเดียวกันหลังจากชมภาพยนตร์แล้ว ซึ่งอาจทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นได้ ดังนั้น อยากให้ถามตัวเองก่อนนิดนึงว่าทำไมถึงอยากมีเพื่อนไปดูหนัง แต่ถ้าเป็นประเด็นเรื่องความปลอดภัย ความได้อรรถรส ฯลฯ ก็ว่าไปอย่างนะครับ
ผมคิดว่า สมัยนี้อาจจะหาคนชอบไปดูหนังตามโรงด้วยความชื่นชอบยากขึ้นจริงๆ เพราะเราสามารถหาหนังมาดูที่บ้านได้ในราคาที่ถูกกว่า ผมเข้าใจครับ (แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังชอบดูหนังที่โรงนะครับ) ผมคิดว่าลองถามเพื่อนๆใกล้ๆตัวดู น่าจะมีสักคนที่ชอบดูหนังโรง และไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน (เข้าใจครับ เคยไม่มีเพื่อนดูหนัง เพราะเพื่อนมีตังค์น้อยกว่า) ถ้าพยายามแล้วยังหาไม่เจอ ก็สามารถนัดผมไปดูหนังได้ครับ แต่มีเงื่อนไข 2 ข้อครับ
1) กรุณานัดหมายล่วงหน้าเนิ่นๆ และบอกกล่าว/ขออนุญาตผู้ปกครองให้เรียบร้อย...อันนี้ เพื่อเป็นการปกป้องชื่อเสียงของตัวเพื่อนๆเอง (โดยเฉพาะสาวๆ) เกรงว่าจะมีคนเข้าใจผิดได้ในอนาคตน่ะครับ อีกทั้งเพื่อสวัสดิภาพของตัวผมเองด้วย (เคยเกือบถูกคุณพ่อของเพื่อนเอาปืนยิง เพราะเขาคิดว่าจะทำอะไรลูกสาวเขาน่ะครับ หุหุ) เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ช่วยกรุณาทำให้ถูกต้องตามวิธีการ ธรรมเนียมของสังคมด้วยครับ
2) กรุณาใส่เสื้อผ้าอย่างเหมาะสมด้วย ผู้ชายก็ช่วยแต่งตัวแมนๆหน่อย ผู้หญิงงดสายเดี่ยว เกาะอก ทุกกรณี เพราะในโรงหนังมันเย็นครับ เกรงว่าผมจะเป็นห่วงท่าน (กลัวว่าท่านจะหนาว) จนผมดูหนังไม่รู้เรื่อง 555
ที่ต้องมีเงื่อนไข เรื่องมากอย่างนี้ เพราะผมเคยมีเรื่องมีราวเป็นประเด็นมาแล้ว แม้ตั้งแต่นั้นมาผมพยายามจะตัดปัญหาด้วยการไปดูหนังคนเดียวเกือบทุกครั้ง ก็ยังไม่สามารถลบข้อครหาเหล่านั้นได้ คงเข้าใจนะครับ

3. สำหรับที่ถามความเห็นเข้ามา ขอแยกตอบโดยรวมเป็น 3 ประเด็นนะครับ
1) “การทำตามใจตัวเอง” กับ “การทำด้วยความรัก” นั้น เป็นคนละเรื่องกันครับ บางครั้งมันอาจจะเป็นสิ่งเดียวกันก็ได้ แต่ผมคิดว่า เรามีคำเรียกที่ง่ายกว่านั้น คือ “เห็นแก่ตัว” รักแท้ย่อมไม่มีข้อแม้ เราคงเคยได้ยินกันมาบ้างนะครับ ผมคิดว่าวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดเลย ก็คือดูว่า การกระทำครั้งนั้น เราทำเพื่อใคร เขา/เรา (ทำสิ่งที่ดี เพราะเราอยากทำ อันนี้ ถือเป็นการทำเพื่อตัวเองนะครับ) “ใคร” คือศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมด
2) เสรีภาพแท้ จะนำมาซึ่งการผูกพัน/การยอมเป็นของกันและกันในที่สุด แน่นอนว่าพระเจ้าให้เสรีภาพมนุษย์อย่างเต็มขนาด โดยเฉพาะผู้ที่รับการไถ่แล้วจากการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เรามีเสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยมที่จะทำ/ไม่ทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม พระเจ้ายังรักเราเหมือนเดิม ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจเสรีภาพของพระคริสต์ในชีวิตของเรา เราจะรู้ว่าแม้เราทำได้ทุกสิ่ง แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เราเองจะยินดีเลือกทำเฉพาะบางสิ่ง ยินดีดำเนินชีวิตด้วยการรู้จักบังคับตนในพระวิญญาณของพระเจ้า
นอกจากนั้น ผมคิดว่าเพราะความมั่นใจว่าพระเจ้ารักเรา มั่นใจว่าเราเป็นของพระเจ้านี่แหละครับ จึงทำให้เรามีความมั่นคงในจิตใจ ก่อให้เกิดเป็นจิตใจที่กล้าหาญ กล้าคิด กล้าทำ กล้าเผชิญหน้าทั้งต่อพระพักตร์พระเจ้าและมนุษย์ จิตใจที่เต็มด้วยเสรีภาพ ซึ่งโลดแล่นอย่างมั่นคงอยู่ในความรักของพระคริสต์จึงไม่มีที่สำหรับให้ความกลัวอยู่ได้เลยครับ
3) เรื่อง “ความเหมาะสม” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนสูงมากๆ จริงอยู่ว่า โดยอุดมคติ เรื่องนี้ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่มีความเชื่อเดียวกัน หากว่าเราแต่ละคนต่างเรียนรู้จักที่จะดำเนินชีวิตใหม่ในพระเจ้า รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ ทัศนคติ ความคิด อุปนิสัยใหม่ ตามพระคำพระเจ้า แต่ในความเป็นจริง เราแต่ละคนต่างก็ยอมพระเจ้าไม่เหมือนกัน ยอมไม่เท่ากัน และแต่ละคนก็มีพื้นภูมิความหลังที่แตกต่างกัน ประสบการณ์ที่ต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แต่ละคน จะมีกระบวนการคิดหาคำตอบและเหตุผลต่างกัน มีโลกทัศน์ หรือวิธีการมองโลกที่ต่างกัน รวมทั้งมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่ต่างกันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าท้ายที่สุด แต่ละคนจะมี “ชุดของพฤติกรรม” ที่ไม่เหมือนกัน แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนกลั่นกรอง และลงความเห็นว่าดีที่สุดภายใต้กรอบความคิดของแต่ละคน
ฉะนั้นเอง ถ้าเราเป็นคนที่คิดมาก(เกินไป) และพยายามจะทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง เหมาะสมตามบรรทัดฐานของสังคมเสมอ เราจะเหนื่อย (ขอแนะนำให้ไปดูหนัง Instinct ประกอบ นำแสดงโดย Anthony Hopkins) ดังนั้น หากจะทำ/ไม่ทำสิ่งใด ก็ลองใช้ใจตรองดูว่าดีที่สุดแล้วหรือยัง ทั้งในมิติของเวลา ภาพรวมทั้งหมด และภาพย่อยรายบุคคล ซึ่งโดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าคริสเตียน (แท้ๆ) มีพื้นฐานจิตใจที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งใดที่คิดว่า ทำ (/ไม่ทำ) แล้วดี ทำด้วยความรัก จิตสำนึกไม่ฟ้องผิด ก็ทำไปเถอะ แต่ในขณะเดียวกัน เพื่อป้องกันความไม่เข้าใจกัน อันอาจเป็นการเปิดช่องให้เกิดความแตกแยกในความสัมพันธ์ได้ เราเองควรหัดเป็นคนที่สื่อสารความคิดของเราเสมอด้วย
ผมเชื่อว่า คริสเตียนเราได้รับการสอนให้เป็นคนมองโลกในด้านดีอย่างรอบคอบอยู่แล้ว (Realistic optimist) เพียงแค่บางครั้ง เพราะเราไม่รู้จักกัน เราไม่รู้ว่าพื้นฐานเขาเป็นอย่างไร เขาคิดอะไรอยู่ ไม่เข้าใจเขา เราจึงจำเป็นต้องใช้กรอบ/ วิธีคิดแบบที่เราคุ้นเคยในการคิดเรื่องของเขา ซึ่งเป็นไปได้ว่า กรอบที่เราใช้อยู่ อาจเป็นกรอบที่สอดคล้องตามพระคัมภีร์มาก/น้อยกว่าเขาก็ได้
นอกจากนั้นในอีกด้านหนึ่งของการใช้ “หัว”“ใจ” คิดอย่างเต็มที่ เราเองก็แสวงหาพระเจ้า เปิดใจยอมเชื่อฟังเสียงและการเคลื่อนไหวของพระเจ้าด้วย ในความเห็นส่วนตัว ตลอดเวลาที่รู้จักพระเจ้ามา (เพิ่งจะฉลองครบรอบ 9 ขวบ ไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เองครับ) ผมเชื่อว่าท้ายสุดแล้ว พระเจ้าให้เกียรติเรามากในการเป็นผู้ตัดสินใจเลือก เราเองต่างหากที่ควรเรียนรู้พระทัยพระเจ้า และยอมเลือกตามใจพระองค์ ใช่ครับ เราต้องเลือกเอง และเลือกให้ถูกใจพระเจ้า อย่างเหมาะสมต่อตัวเราเอง
ดังนั้น สำหรับคนที่เดินกับพระเจ้า รู้จักและสนิทกับพระเจ้าในระดับหนึ่ง ผมคิดว่า “การทรงนำ”ของพระเจ้าจะแตกต่างจากสมัยเมื่อเรายังเป็นเด็กๆ จากสิ่งที่มองเห็นด้วยตา มาเป็นสิ่งที่เชื่อด้วยใจ รับไว้ในพระสัญญา
ผมเข้าใจว่า เมื่อเราผ่านช่วงเวลาที่เน้นเรื่องการเรียนรู้จักพระเจ้าในพระลักษณะต่างๆ ช่วงเวลาต่อไปของชีวิตเรา คือการเรียนรู้ที่จะกระทำตามพระทัยพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา ก่อนที่จะก้าวไปสู่เส้นทางแห่งโกระโกธา ที่สุดท้ายแห่งการทรงเรียกในชีวิตของเราแต่ละคน
กว่าจะถึงวันนั้นได้ ก็เริ่มต้นด้วยใจเชื่อฟังก้าวเล็กๆอย่างสัตย์ซื่อในวันนี้
ถ้าวันนี้ ท่ามกลางพี่น้องของเรา ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบของคนรอบข้าง เสียงของพระเจ้ายังดังไม่ชัดในใจเรา แล้ววันนั้น วันที่คนทั้งตะโกนก่นด่า ถ่มน้ำลายรดหน้า ไม่มีใครกล้าพอที่จะออกมายืนเคียงข้าง วันนั้น เสียงของพระเจ้าจะยังคงดังก้องอยู่ในใจเราหรือเปล่า ดังพอที่จะให้เราได้ยินว่า “พระองค์รักเรา...มาก” ดังพอที่จะให้เรายังยืนหยัดอยู่ตรงนั้น ตรงที่กางเขน ตรงที่เราจะถวายเกียรติให้พระบิดาของเราได้มากที่สุด
ความเหมาะสม ไม่ได้พิจารณาจากความถูกต้องตามมาตรฐานของศีลธรรม ของสังคม หรือของมนุษย์ แต่พิจารณาจากน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาของเราทั้งหลาย
ถึงตรงนี้ ขอแนะนำให้ไปหา The passion of the Christ มาดู (DVD ของแท้ออกแล้วนะครับ)

ว่าจะเขียนตอบสั้นๆ พอให้เข้าใจเจตนาของผม แต่ก็ยาวจนได้ ขอบคุณพี่ๆน้องๆเพื่อนๆนะครับ ที่อดทนอ่านจนจบ หวังว่าคงคลาย(และสร้าง)ประเด็น(ใหม่)ในใจของหลายคนนะครับ ถือซะว่าเป็นจดหมายหนุนใจจากผมละกันนะครับ (จำได้หรือเปล่า ปีที่แล้ว “Story of the snail”) ใครคิดอย่างไร ตรงไหน ติชมประการใด ก็บอกกล่าวกันมาได้นะครับ ผมเองก็กำลังเติบโตขึ้นเหมือนกัน ยังต้องเรียนรู้อีกมาก พูดความจริงกับผมด้วยใจรักนะครับ เราจะได้เติบโตไปด้วยกัน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

9 กันยายน 2004

ครั้งหนึ่งในความทรงจำ... the village

มีใครไปดูหนังเรื่อง "the village" มาแล้วบ้าง

เมื่อ 2- 3 วันก่อน ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้ ได้ข้อคิดบางอย่าง อยากเล่าให้ฟัง

โดยส่วนตัว ผมชอบผู้กำกับอยู่แล้ว (เอ็ม ไนท์) หนังเขา เป็นหนังที่ดูแล้วเต็มอิ่มทางความรู้สึกดี และเขาเป็นคนที่แม่นยำในความรู้สึกของคนนะ ผมคิดว่างั้น (sixth sense, unbreakable, the sign)

เรื่องนี้ก้อคล้ายๆเรื่องที่ผ่านๆมา ผมไม่เล่านะครับ ว่าหนังดำเนินเรื่องยังงัย อยากรู้ต้องไปดูเอง เอาเป็นว่า เขาเล่นกับความกลัวในใจคนละกัน

คนเรามักจะพยายามไม่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เพราะเรากลัว...ทำนองกลับกัน บางครั้งเราก้อพยายามทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ เพียงเพื่อให้เรารู้สึกว่า เราไม่กลัวนะ (แต่จริงๆ เราก้อกลัว)
วิธีที่ง่ายที่สุดในการชนะความกลัว คือ ทำในสิ่งที่ควรทำ ทำในสิ่งต้องทำ ทำในสิ่งที่ใจรัก คิดถึงคนอื่น คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นจริงๆ เพราะทันทีที่เราคิดถึงตัวเราเอง เรากำลังเชื้อเชิญความกลัวเข้ามาในใจเรา
ความรักเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ความหวังเป็นกำลังที่อัศจรรย์
แม้คนที่ไม่กลัวอะไรเลย ก้อยังกลัวในสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ นั่นคือ สวัสดิภาพของคนที่เขารัก
สุดท้าย...ไม่ว่าเราจะพยายามหนีปัญหาอย่างไร สุดท้ายเราก้อต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากความเจ็บปวดในอดีต คือการวิ่งไปตามเส้นทางแห่งรัก เส้นทางแห่งความหวัง
บางคนดูแล้ว อาจรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีอะไร แต่ลองดูอีกทีสิครับ แล้วคุณจะพบว่า เดอะ วิลเลจ เป็นหนังฟอร์มใหญ่จริงๆ ผมไม่ได้โม้...นะ
อยากฝากไว้ครับ เมื่อเราทำอะไรลองตรวจสอบใจของเราดูว่า ทำด้วยรัก หรือทำเพราะกลัว หากว่าทำเพราะกลัว ต้องรีบกลับตัวกลับใจนะครับ อย่ายอมปล่อยให้ด้านมืดครองใจเราครับ รักษาใจเราไว้ให้เต็มด้วยแสงสว่างนะครับ
สุดท้ายก่อนจากกัน ขอทิ้งท้ายว่า ในความรักย่อมไม่มีความกลัว ความรักย่อมจะผูกพันทุกอย่างไปสู่ความสมบูรณ์แน่นอนครับ

2 กันยายน 2004

ครั้งหนึ่งในความทรงจำ... ซานเทียน

เมื่อวานไปดูละครนิเทศน์จุฬากับขิงมา เรื่อง "ซานเทียน หอนางฟ้า ยามหายุทธ"
ที่ไปเนี่ย เพราะได้ฟังเพลงที่อีฟร้องแล้วชอบมาก ทั้งเนื้อหา และดนตรี(ขิง หมอปั้น ทำ) ก้อเลยอยากดูเนื้อเรื่อง ก้อไม่ผิดหวังนะ พวกเด็กนิเทศน์ทำงานกันมืออาชีพมากเลยโปรดักชั่นแน่นมาก ได้ทั้งสาระและความสนุกสนาน
เนื้อเรื่องก้อดำเนินผ่านหอนางโลม ชื่อ "ซานเทียน" คงพอจะเดาออกนะว่าเนื้อเรื่องประมาณไหน พระเอกที่ไม่เก่ง รักนางเอกที่เป็นนางโลม ยอมสู้กับตัวร้ายที่เก่งสุดๆ เพื่อนางเอก บทสรุปละครเรื่องนี้ ก้อคงเป็นเรื่องของชีวิตคนเราแหล่ะ ที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการรักและถูกรัก สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ อาจต้องการอำนาจ ชีวิตอมตะ ชื่อเสียง แต่คนที่เข้าใจ(เมื่อสายไป)และคนที่แสวงหาคุณค่าของชีวิต ก้อยินดีสละเสียซึ่งสิ่งจอมปลอมเหล่านี้ เพื่อสิ่งที่มีคุณค่าที่แท้จริง ซึ่งนั่นก้อคือ "ความรัก"
ก้ออย่าคิดมากนะ ถือว่าเป็นการแบ่งปันความสนุกและข้อคิดให้กับคนชอบดู ที่ไม่ว่างไปดูละกันนะ

30 สิงหาคม 2004

แก้วตก...(ไม่แตก)

เมื่อคืนวันก่อน กำลังเก็บห้องอยู่ ทำท่าไหนก็ไม่รู้ เห็นอีกทีคือ แก้วกำลังร่วงจากชั้นวางของ แตกแน่ๆเพราะไม่ใช่แก้วพลาสติก แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น ด้วยความสูงจากพื้น 1 เมตร 80 เซน แก้วก็ตกลงมาบนตะกร้าใส่เสื้อผ้า ...ขอบคุณพระเจ้า เป็นคำแรกที่ดังอยู่ในใจ

นั่งนึกๆดูแล้วก็ได้ข้อคิดจากเหตุการณ์เล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้

1. ปกติ ผมมีความสามารถเก็บคว้าสิ่งของที่หลุดจากมือได้ค่อนข้างดี ก่อนที่มันจะตกถึงพื้น แต่วันนั้น ผมกำลังถือของอยู่ ความสามารถที่เรามีไม่อาจนำมาใช้ได้ ... บ่อยครั้งพระเจ้าก็ทำให้เราไม่สามารถใช้ความสามารถที่เรามีอยู่ได้ เพื่อที่เราเองจะได้เห็นฤทธานุภาพและการช่วยกู้ อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า

2. ถ้ามือผมว่างอยู่ ไม่แน่วันนั้นอาจจะคว้าไม่อยู่ ...ความสามารถที่เรามี แม้ใช้เต็มที่แล้วก็ใช่ว่าจะสัมฤทธิผลตามประสงค์ ... แต่พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีใน ทุกสิ่ง

3. บ่อยครั้งจากความบกพร่องของเราเอง ทำให้เกิดกระบวนการที่กำลังจะให้ผลที่เสียหาย (ตามความคิดของเรา) แต่บ่อยๆครั้ง พระเจ้าเข้ามาช่วยเรา สุดท้าย เราไม่เพียงไม่ได้รับผลตามที่เราคิดไว้ เรายังได้สิ่งดีกลับมา พร้อมๆกับความมั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีมากขึ้น

... แค่แก้วดื่มน้ำใบหนึ่งที่หาได้ทั่วไปตกพื้น พระเจ้ายังรักษาไว้ไม่ให้แตกสลายใช้การไม่ได้ ชีวิตเราทุกคนต่างมีคุณค่ามากกว่ามากนัก พระเจ้าย่อมคว้าไว้ เพื่อรักษาเราไม่ให้แตกสลายไปยามชีวิตหรือจิตใจของเราตกลง

... บุคคลใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบประโลม... ขอบคุณพระเจ้าครับ ที่ทรงปลอบประโลมผมเสมอตลอดมา

Nov 3, 2007

ความจริง...

ว่าจะเขียนถึงเรื่องความจริง ตั้งใจเขียนมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่มีเหตุฉุกเฉินเล็กน้อย
วันนี้ตื่นมา ก็เข้ามาจะเขียนเลย อ้าว เฮ้ย จะ11โมงแล้วนี่นา ....

ความจริง ก็คือ วันนี้มีงานแต่งงานของเพื่อน เวลา 10 โมง ตรง...

ไปแล้ว ไปแล้ว กลับมาค่อยเขียนใหม่ละกันนะ ^^'

ที่มาของการเริ่มต้น

ผมชอบอ่าน ชอบเขียนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว คิดมาตั้งนานแล้วว่า อยากให้คนอื่นๆได้ลองอ่านความคิดของเราดูบ้าง
ยิ่งช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ค่าประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มขึ้น ได้เปิดโลกทัศน์ของผมให้กว้างขึ้นอย่างมาก ก็อยากจะแบ่งปันสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการมีชีวิตอยู่
เผื่อว่าจะช่วยให้ใครบางคนที่ผ่านมาอ่าน ได้รับการเติมเต็มชีวิตเพิ่มขึ้นได้บ้าง

จริงๆจะเริ่มเขียนตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ก็นั่งคิด นั่งอ่าน นั่งดูของชาวบ้านว่าเขาทำกันอย่างไร เผื่อจะเป็นแนวทางให้เราได้บ้าง ก็คิดว่าคร่าวๆรูปแบบคงจะเป็นแนวเชิงเขียนเล่าความคิดเห็น สบายๆ คงไม่เชิงวิชาการมาก ก็เลยตัดสินใจว่าจะเริ่มที่นี่ก่อน อีกอย่างเราก็ยังมือใหม่ เริ่มจากเล็กๆง่ายๆก่อนดีกว่า ไว้เก่งๆแล้ว จะไปเขียนลงเวปแบบ blogger จริงๆจังๆ มากขึ้น

แล้วก็มานั่งนึกว่าจะเริ่มต้นด้วยเรื่องอะไรดี คิดทบทวนไปมา ก็นึกได้ว่า จริงๆเรานี่เป็นคนไม่ชอบจำอะไร (ก็เลยชอบจดชอบเขียน) เบอร์โทรศัพท์แม่ตัวเองยังจำไม่ได้เลย แต่มีเบอร์โทรศัพท์รุ่นน้องอยู่คนหนึ่ง เกือบ 10 ปีแล้ว ที่ผมจำเบอร์โทรศัพท์เขาได้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะจำ น้องเขาเกิดวันที่ 6 ต.ค. ก็เลยเลือกวันนี้ เป็นวันเริ่มต้น เพื่อให้เป็นสิ่งเตือนใจว่า จริงๆแล้วทุกๆประสบการณ์ ทุกๆความทรงจำของเรามีคุณค่าและมีความหมายต่อการมีชีวิตอยู่ อยากจะให้ที่นี่เป็นอีกที่หนึ่ง ที่ช่วยเก็บบันทึกประสบการณ์ชีวิตของเราไว้ ช่วยให้เราไม่ลืมในสิ่งที่เราได้รับมา และผมเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องส่งต่อไป เพื่ออาจสามารถเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้ด้วย
ดังนั้น เรื่องที่ผมจะเขียนเล่าให้ฟังในโอกาสต่อๆไป ก็จะอยู่ในแวดวงชีวิตที่ผมดำเนินอยู่ เพื่อนๆที่ผ่านมาเห็น แวะมาอ่าน จะลงความคิดเห็นไว้ด้วยก็ดีนะครับ เราจะได้รู้จักกันมากขึ้น และเป็นประโยชน์ในการขยายโลกทัศน์ของเราทุกคน

ผมเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ โลกและชีวิตของเราเต็มไปด้วยความตั้งใจ การเลือก และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
วันนี้ ผมได้เริ่มต้นเลือกลงมือทำอีก 1 ความตั้งใจในชีวิตของผมแล้ว เวลาได้เริ่มต้นเดินทางแล้วสำหรับเส้นทางนักเขียนของผม ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ผมรู้ว่า ผมจะเห็นผลลัพธ์ที่จะเกิดตามมาอย่างแน่นอน จากการปลูกความตั้งใจของผมในวันนี้ แล้วคุณล่ะครับ วันนี้ เวลานี้ เริ่มต้นอะไรบ้างแล้วหรือยัง แล้วเจอกันครับ

ปล. อันนี้เขียนไว้เมื่อ 6 ตุลา ย้ายมาไว้ที่เดียวกันเฉยๆ

Nov 2, 2007

สวัสดีพฤศจิกายน

พฤศจิกายน... เดือนที่11ในปฎิทิน
... เดือนสุดท้ายของปีนี้ สำหรับรายการสิ่งที่ผมจะทำในปี2007
... เดือนที่แม่ผมเกิด
... เดือนที่เพื่อนสนิทของผมเกิด


เมื่อกี้นั่งอ่านบล็อกของหมี่ imbamee.blogspot.com ชอบจัง เลยเกิดแรงบันดาลใจ หลับหูหลับตาไม่ฟังข้ออ้างเหตุผลต่างๆ งัยงัยวันนี้ต้องมีบล็อกของตัวเองให้ได้... สมใจอยากซะ

วันนี้ตอนนั่งกินข้าวกลางวันกับเพื่อนที่ทำงาน เขารู้สึกดีที่เราคอยอยู่ดูแลแม่ตอนไม่สบาย เขาว่าคนสมัยนี้ โดยเฉพาะผู้ชายแสดงออกความรักไม่ค่อยจะเป็น นั่นสิ แอบคิดในใจ ก็ลองได้รู้จักพระเจ้าสิ เราก็จะรู้จักความรักเองแหล่ะ...

แต่แว้ปหนึ่งในความคิด เป็นเพราะเดี๋ยวนี้ใครๆก็ต้องการความรักหรือเปล่านะ คนเราจึงตีคุณค่าและให้ความสำคัญกับความรักเป็นเรื่องสูงส่งที่ต้องเก็บไว้ให้เฉพาะคนสำคัญ หรือคนพิเศษเท่านั้น ความรักของเรามีจำกัดอย่างนั้นหรือ

ผมคิดว่า หากเราเรียนรู้ว่า ความรักเป็นสิ่งมีคุณค่า และเป็นสิ่งสามัญสำหรับมนุษย์ ความรักของเราจะไม่จำกัดเพียงแต่กับคนที่เราต้องการให้เขารู้ หรือรับความรักของเราไว้เท่านั้น ทุกคนสมควรได้รับความรักโดยเฉพาะในเวลาที่ดูเหมือนเขาไม่ควรได้รับ

ในบางครั้ง เราทุกคน ต่างก็มีบางเวลาที่ทำตัวไม่ดีเท่าที่ใจเรารู้ว่าอะไรเป็นสิ่งดีที่ควรทำ เป็นเวลาที่เราอาจรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง และเราไม่น่ารักเอาเสียเลย แต่จริงมั้ย เราจะรู้สึกดีมากๆถ้าในเวลานั้นมีใครสักคนเดินมาแล้วกอดเราไว้ เดินมาบอกว่าเขารักเรา รักเพราะรัก ไม่ใช่เพราะเราทำอะไรให้เขา หรือเพราะเราน่ารัก...

ในมุมกลับกัน ในบางเวลา ลองมองคนข้างๆ เขาอาจจะกำลังต้องการใครสักคนเดินเข้าไปหาเขาก็ได้นะ

(นอนละ ตั้งใจว่าจะนอน2330นะเนี่ย เกินเวลาจนได้ เฮ้อ....)