Feb 25, 2008

ความมืด ..พายุ.. แสงสว่าง และความหวัง

เมื่อประมาณเดือนก่อน เพื่อนสนิทของผม บอกว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับผม มันจะมาเหมือนพายุ.. พายุทอนาร์โดลูกใหญ่ๆ ให้เตรียมตัวให้ดี

ไม่รู้วันนี้ พายุลูกนั้นพัดเข้ามาหรือยัง หรือนี่เป็นแค่ ลม กำลังแรงที่พัดมาก่อนพายุแค่นั้น

รู้สึกเหมือนชีวิตกำลังถูกปั่นและหมุนอย่างรวดเร็ว รุนแรง และบ้าคลั่ง แค่ยืนเฉยๆก็ยากแล้ว
รู้สึกเหมือนความมืดกำลังแผ่ขยายปกคลุมไปทุกเส้นทางชีวิตที่นึกคิดออกและเคยมองเห็น เหมือนรอบข้างกำลังมืดลงเรื่อยๆทุกวินาที

ที่สำคัญ ภารกิจ ที่ต้องทำต้องรับผิดชอบ ยังเรียกร้องให้เดินทางต่อไป ...ไม่ใช่แค่ไม่เห็นทาง ตัวของตัวเองยังมองไม่เห็นเลย การมีอยู่ของเรา เกิดขึ้นเพียงเพราะเรารู้ตัวเองว่ามีอยู่จริง เพียงเพราะยังมีสติอยู่ ไม่ได้เกิดจากสัมผัสทางสายตา

รู้สึกถึงความอ่อนล้าทางจิตใจที่แผ่ขยายมาถึงร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่นึกถึงที่สุดตอนนี้ คือ แสงสว่าง แม้เพียงเป็นแสงเล็กๆจากหิ่งห้อยตัวน้อยสักตัวหนึ่งก็ยังดี ยิ่งช่วง 5-6 วันนี้ "สาร" ที่ส่งมาถึงชีวิต มีแต่เรื่อง "แสงสว่าง" ในขณะที่ชีวิตก็ดูเหมือนจะยิ่งมืดมนลงทุกที ไม่รู้เหมือนกัน จะเป็นอย่างไรต่อไป


Dear God,

Your light is my hope, Your joy is my strength, Your love is my life.
in the mist of the darkness, the light of a little candle can be seen from afar.
let me see Your Light, let me be your light.
let your Light come into my life, let Your Light come to be my Life.
let me be Yours, let yours be mine.

i believe as You said, power of the dark shall not overcome The Power of Light.

Feb 23, 2008

คำถาม ???

เงียบหายไป 2 อาทิตย์ ไม่ได้ขี้เกียจนะ แต่ช่วงนี้อุทิศคอมพิวเตอร์ให้กับภารกิจ(ฮาร์ดดิส)กู้ชาติ ก็เลยต้องสละกิจกรรมบางอย่างนิดหน่อย แต่ก็จดประเด็นต่างๆที่ได้เรียนรู้เอาไว้ตลอด สังเกตว่าช่วงที่ผ่านมา มีคำถามเข้ามาในชีวิตบ่อยๆ หลายคำถามฟังดูง่าย แต่ยากจะตอบ อย่างไรซะ ทุกคำถามก็ช่วยทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น จะเล่าบางคำถามให้ฟังนะ(จะลองตอบเองก่อนอ่านก็ได้นะ ชิวชิว)

คำถาม "ทำไมปลาไม่จมน้ำตาย" แต่คนจมน้ำตาย กลับกัน ปลาดิ้นแด่วๆบนบก แต่คนอยู่ได้นับ10ปี

(ที่ออฟฟิซเพิ่งถอยตู้ปลามาตั้ง นั่งมองเพลินๆก็ได้คำถามนี้มา)

คำตอบ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีที่อยู่ของมัน แม้จะเป็นคนเหมือนกันแต่ก็มีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน มีความชอบแตกต่างกัน บางคนชอบลม บางคนชอบน้ำ บางคนชอบเมืองใหญ่ บางคนชอบทุ่งกว้าง บางคนชอบคิด บางคนชอบทำ...
แม้คนเราจะไม่ใช่ปลา แต่จะคบใคร อยู่ใกล้กับใคร หากไม่เข้าประเภทกัน ระวัง "ตาย" (อย่างน้อยก็เลี้ยงไม่โตล่ะน๊า)
------------------------------------------------------

คำถาม "รู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่หลอกเรา"

(ช่วงนี้เจอคนมาขอตังค์เยอะเเยะ ล่าสุด ตอนเดินกลับบ้าน เจอป้า2คน ขอตังค์ 20 บาท จะไปหมอชิต ตอน 4 ทุ่ม พอให้แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยมีน้องคนนึงถามคำถามนี้)

คำตอบ ไม่รู้ และไม่คิดจะรู้ด้วย ช่วยคือช่วย ช่วยแล้วจบ ไม่เคยเก็บมานั่งคิด ไม่เคยจำไว้เป็นบุญคุณ

ผมเคยเดือดร้อนเรื่องเงิน เพราะใช้เงินไม่เป็น จนต้องดื่มน้ำแทนข้าวมาแล้ว ตั้งแต่สมัยมาอยู่กรุงเทพใหม่ๆ ข้าวบูดก็กินมาแล้ว เพราะมันไม่มีอะไรจะกิน เดินเป็นกิโลๆเพราะไม่มีตังค์ค่ารถก็เคย แต่ก็ไม่ได้บอกใครหรอกนะ ไม่รู้จะบอกทำไม ไม่ชอบให้ใครต้องมาลำบากเพราะสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ คนจะชอบนึกว่าผมสุขสบายมาตลอด ก็แค่ทำให้ดูเหมือน คงติดนิสัยพ่อมา ต้องจะเป็นจะตายจริงๆ ถึงจะออกปากขอความช่วยเหลือ คนเคยเดือดร้อน ก็พอจะมอง อาการ ของคนเดือดร้อนออกอยู่บ้างนะ

แม้ผมจะรู้ว่าคนอื่นคงไม่ได้เป็นอย่างเรา แต่ถ้าลองเขาออกปาก ขอ เขาก็คง ต้องการ/จำเป็น + ทำเองไม่ได้ ไม่มากก็น้อย ถ้าเราเชื่อว่าเขาเดือดร้อนจริงและยอมรับ ราคา ของการช่วยเหลือได้ ช่วยไปเถอะครับ โลกของเรายังมีที่ว่างให้กับความเมตตากรุณาอีกมาก ทำจิตใจของเราให้กว้างขวางดีกว่าปล่อยให้จิตใจของเราคับแคบเพียงเพราะกลัวถูกหลอก หรือเกรงว่าจะไม่เกิดประโยชน์สูงสุด เอากันจริงๆ เราก็ยังมีค่าใช้จ่ายอีกมากที่ประหยัดได้ เพื่อผู้อื่น (ถ้าชีวิตนี้ไม่เคยจดค่าใช้จ่าย อย่าพูดเรื่องใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุดดีกว่ามั้ง)
------------------------------------------------------

คำถาม อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้เรารักคนคนหนึ่ง

(เดินไปส่งเพื่อนคนหนึ่งกลับบ้าน ขากลับเจอเพื่อนอีกคนหนึ่งยืนรอรถอยู่ คุยกันไปคุยกันมา จนมาถึงคำถามนี้)

คำตอบ ..คิดนานมักๆ สำหรับคำถามนี้ คิดไปคิดมา ไม่คิดดีกว่า ใช้ใจนึกเอา ...ถ้าผมจะรักผู้หญิงคนหนึ่ง เหตุผลหลักที่เลือกคนนี้ คือ "ความมั่นใจ"

สำหรับผม ความรัก และ เหตุผล เป็นเรื่องที่ใช้ประกอบกัน ไม่ได้ใช้เป็นเหตุเป็นผลกัน จะว่าไป ความรู้สึกก็ใช้เป็นเหตุผลได้ เพียงแต่ไม่ได้ใช้เดี่ยวๆเท่านั้นเอง ดังนั้น จุดหลักใหญ่ คงเป็นความมั่นใจแหล่ะว่า คนนี้ ถ้าต่างฝ่ายต่างก็เลือกตรงกัน จะบอกว่าเหตุผลไม่ต้องมี คงไม่ใช่

ดั่งที่ จอห์น แม็กซเวลล์ เคยกล่าวไว้ว่า "ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของจุดหมายปลายทางเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของกระบวนการ"
หากตลอดทางเราให้พระเจ้านำเรามาตลอด การพัฒนาการในแต่ละขั้นแต่ละเวลา คงเป็นเรื่องราวและเหตุผลที่หนักแน่นมากพอที่เราจะพูดให้คนคนหนึ่งได้ยินอย่างมั่นใจว่า ฉันรักเธอ
------------------------------------------------------

คำถาม คนนี้จริงๆหรือครับ

(นับตั้งแต่ชีวิตได้รู้จักพระเจ้า เดินผ่านวันคืนบนเส้นทางแห่งความรอด ที่แม้บางครั้งจะล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่พระเจ้าก็ช่วยมาตลอด ทำให้มั่นใจว่าพระเจ้ารักเรามากพอ ทำให้ยอมพระเจ้ามาเรื่อยๆจนถึงเรื่องครอบครัว แม้การมีครอบครัวที่ดีและอบอุ่น จะเป็นความตั้งใจมาตลอดชีวิต แต่หากพระเจ้าเห็นว่าอยู่คนเดียวดีกว่าก็ยินดี

พอมาถึงจุดตระหนักว่าเราเป็นของพระเจ้า จะมีครอบครัวหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะเราเป็นคนของพระเจ้า ก็ได้กลับมานั่งทบทวนชีวิต ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง พิจารณาทางที่จะเดินต่อไป ดูเหมือนหลายๆอย่างพุ่งเป้าไปที่ การแต่งงาน ดูเหมือนการเเต่งงานสำหรับผม จะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับภารกิจของผมบนโลกใบนี้ (จริงๆก็ตั้งใจทำให้เสร็จอยู่แล้วแหล่ะนะ แม้จะคนเดียวก็เถอะ)ประมวลกันเข้า ก็ได้ผู้หญิงลักษณะหนึ่ง วันนั้นผมไม่เคยคิดว่าเธอมีอยู่จริง ก็บอกพระเจ้าไป แล้วพระเจ้าก็นำเข้าสู่จังหวะของห้วงเหวแห่งชีวิต

หลังจากผ่านจุดวิกฤติมา ชีวิตเริ่มหันหัวขึ้น เริ่มทำงาน เริ่มดูแลชีวิตตัวเองได้ เริ่มกลับมาคิดเรื่องนี้อีกครั้งตามที่พระเจ้าสำแดงไว้ มีหลายคนที่พระเจ้านำมาให้รู้จักมากขึ้น แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ผมสนใจกว่าทุกคน ดูๆแล้วก็น่าจะใช่ แต่ก็ยังไม่มั่นใจ

เรื่องของเรื่องคือ ผมกลับไปอ่านบันทึกปี 2007 ซึ่งผมเขียนลักษณะที่ภรรยาผมควรจะเป็น น่าประหลาดใจว่าในรายละเอียดหลายๆอย่างๆจากที่ลองถามคนใกล้ชิด ตรงกับลักษณะ ของน้องผู้หญิงคนนี้ที่ผมกำลังสนใจอยู่!! น่าประหลาดใจยิ่งขึ้นที่ในบันทึกเล่มนั้นไม่มีแม้แต่ชื่อของน้องคนนี้เลย

แต่ความประหลาดใจ ก็มาพร้อมกับคำถามว่า คนนี้จริงๆหรือครับ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ดูเหมือนว่าหลังจากผมถามคำถามนี้ พระเจ้าก็นำผมไปสู่การเดินทางเพื่อค้นพบความโปรดปรานของพระเจ้า(ภรรยา) เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะไปถึงได้อย่างไร จะไปถึงเมื่อไหร่ จะใช่คนนี้หรือเปล่า รู้อย่างเดียว พระเจ้าสัญญาว่าจะได้รับ สิ่งดี ตามพระสัญญาแน่)

คำตอบ ...... (ไว้แต่งงานเมื่อไหร่ จะมาบอกคำตอบของพระเจ้านะครับ ^^)

Feb 9, 2008

Citius, Altius, Fortius

เมื่อเช้าวันก่อน ขณะกำลังเดินจ้ำพรวดๆไปทำงาน (ไม่ได้ไปสายนะ คิดเชิงรุก ตั้งใจจะไปถึงก่อน8โมง) ก็คิดเองในใจเล่นๆว่า ในแต่ละก้าวของเรา ก้าวได้ไกลกว่านี้มั้ย เวลาก้าว เร็วกว่านี้ได้มั้ย แล้วถ้าก้าวต่อๆไปทำได้ไกลกว่า เร็วกว่าก้าวที่แล้วๆล่ะ เร็วดั่งความคิด ก็ลองเดินดู... มันส์มากพี่น้อง ขอบอก

ระยะทางจากบ้านไปถึงบ่อนไก่เช้านั้น เริ่มจากความคิดแค่ "เร็วขึ้น ไกลขึ้น เร็วขึ้น ไกลขึ้น..." แต่ละก้าวก็บอกตัวเองอยู่ในใจ (นึกถึงสมัยเรียนรด.เลยอ่ะ ชาติ เกียรติ วินัย กล้าหาญ อดทน 555) ไปได้ซักพัก เริ่มเหนื่อย (การออกกำลังกายน้อยลงนี่ มันส่งผลขนาดนี้แฮะ) ไม่ได้ๆ ต้องแกร่งขึ้นกว่านี้

"เร็วขึ้น ไกลขึ้น แกร่งขึ้น, เร็วขึ้น ไกลขึ้น แกร่งขึ้น,..."

..เอ พระเจ้าบอกว่า เราจะสูงขึ้นทางเดียวนี่เนาะ
"เร็วขึ้น ไกลขึ้น แกร่งขึ้น สูงขึ้น, เร็วขึ้น ไกลขึ้น แกร่งขึ้น สูงขึ้น,..."

"วิ่งหนีหมามาเหรอพี่" น้องที่ออฟฟิซถาม ก็น่าถามอยู่หรอก หอบเป็นหมาหอบแดดขนาดนั้น ทั้งที่ยังอีกนานกว่าจะถึง8โมงครึ่ง

นั่งนึกถึงชีวิตตัวเองช่วงนี้ ที่แม้จะมีอะไรต้องทำจริงๆไม่กี่อย่าง แต่ต้องฉีกแข้งฉีกขากันเลยทีเดียว เพราะทุกอย่างเรียกร้อง ความทุ่มเท ความเอาจริง ความมุ่งมั่น ความแม่นยำสูงมาก ต้องถูกต้องตรงเป้าเข้าประเด็นทุกชอร์ต เรียกได้ว่ารีดเร้นสรรพกำลังของเราทั้งหมดที่มีอยู่ทุกรูขุมขน

ทำให้ผมนึกถึงกรีฑาชนิดหนึ่ง "เขย่ง ก้าว กระโดด" คงพอจะนึกภาพออกใช่ไหมครับ ว่ากีฬาชนิดนี้เรียกร้องความแกร่งและความพร้อม อีกทั้งความทุ่มเทในการฝึกซ้อมของนักกรีฑาประเภทนี้มากขนาดไหน (จริงๆมันก็กีฬาทุกประเภทแหล่ะนะ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันเป็นกรีฑาที่ยากที่สุดอยู่ดี)

อยากรู้ว่าภาษาอังกิดเรียกกีฬานี้ว่าอย่างไร ก็เลยลองเข้าเวปของโอลิมปิกสากลดู ไม่มีแฮะ เห็นแต่ คำ 3 คำที่อ่านไม่ออก (เดาว่าไม่กรีก ก็ลาติน) แต่แปลว่า "faster, higher, stronger"

ชัดเจนขนาดนี้ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าข้างหน้าต้องเจออะไรอีกบ้าง แต่ไม่ว่าอะไรก็คงฉุดให้หยุดไม่อยู่แล้วล่ะ

เร็วขึ้น สูงขึ้น แกร่งขึ้น ซุย...

Feb 7, 2008

อยู่คนเดียว... เหงามั้ย

วันนี้ อยู่ทำงานต่อตอนเย็นอีกแล้ว ช่วงนี้งานเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ประกอบกับความอยากเป็นเมเนเจอร์ ก็เลยมีอะไรหลายต่อหลายอย่างให้ทำ ทำงานนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง ยุคสมัยนี้ จะหางานที่ดี หัวหน้างานที่ดี เพื่อนร่วมงานที่ดี (เงินดีด้วย) คงหาไม่ได้ง่าย ขอบคุณพระเจ้าที่นำผมมาทำงานที่นี่
...ออกนอกเรื่องไปไกลเชียว

จะเล่าให้ฟังแค่ว่า เห็นแสงอาทิตย์สวยดี ช่วงเวลา 6 โมงเย็น ที่ดวงอาทิตย์กำลังโต คล้อยลงต่ำเพื่อโผล่ไปปลุกคนอีกฝั่งหนึ่งของโลก ด้วยมุมมองจากชั้น20 ...สวยจริงๆ สงบนิ่งยิ่งนัก

เห็นท้องฟ้ากว้างๆ ก็แอบรำพึงเบาๆกับพระเจ้า "พระองค์อยู่บนนั้นคนเดียว เหงามั้ยครับ" ทันทีทันใดกับความรู้สึกที่คุ้นเคยสัมผัสเข้ามาในใจ "ไม่เหงาหรอก..." "พระองค์เป็นพระเจ้านี่ คงมีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด คงไม่มีเวลามานั่งเหงาหรอก" ผมคิดต่อ (แต่งานจะเยอะยังงัย ก็แบ่งเวลามานั่งวาดท้องฟ้าได้สวยงามทุกวันเสมอนะครับ...คิดซ้อนอีกที)

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เหมือนพระเจ้ากำลังยิ้มอย่างเอ็นดูให้เรา เหมือนพ่อแม่ที่กำลังมองลูกน้อยๆของตัวเองอยู่

เป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นมาในจิตใจของผม เพราะพระเจ้ารักมนุษย์ เพราะพระองค์รักคนในโลกนี้ พระองค์จึงทรงเฝ้ามองดูอยู่ เหมือนกับแม่ที่กำลังมองดูลูกของตน มองด้วยความรัก มองด้วยความเมตตา มองด้วยความหวัง มองด้วยควาวมเอ็นดู มองด้วยความสงสาร

คนเราถ้าไม่รักกัน ให้นั่งมองกันเป็นวันๆคงทำไม่ได้

ความสนอกสนใจลูกๆของพระองค์จึงไม่เคยทำให้พระเจ้ารู้สึกว่ามีพระองค์อยู่ผู้เดียวเท่านั้นล่ะมั้ง ผมคิดว่าพระเจ้าไม่เคยแม้แต่จะมานั่งนึกถึงตัวเองด้วยซ้ำไป

ขอบคุณพระเจ้าครับที่สอนให้ผมรู้ว่า แม้ตอนนี้พระองค์จะทรงอยู่บนฟ้าคนเดียว แต่พระองค์ไม่เคยเหงาเลย ขอบคุณครับ

Feb 4, 2008

ช่วงหนึ่งที่เวลาหยุดเดิน

เมื่อเย็นตอนเดินกลับบ้าน ละอองฝนเบาๆกับลมเย็นๆ ชวนให้รู้สึกดีจริงๆ วู้บหนึ่งของสายลมที่พัดมาชวนให้หนึ่งถึงวันเวลาดีๆตอนอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ อากาศเย็นๆชื้นๆแบบนี้ เดินริมถนนคนเดียวแบบนี้ เสียงเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพี3ที่เสียบอยู่ในหู แม้ว่าอาจจะไม่ใช่เพลงเดียวกัน แต่ก็เป็นเพลงนมัสการพระเจ้าเหมือนกันแน่ๆ ณ เสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่รู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง มีเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังเดินร่าเริงอย่างมีความสุข กับสายตาของพ่อที่มองมาอย่างอ่อนโยน...

...เคยอ่านหนังสือเจอ เรื่อง เวลาที่หยุดนิ่งของไอแซค นิวตัน กับ เวลาที่เลื่อนไหลได้ของ ไอสไตน์ ไม่ต้องห่วงผมไม่พูดถึงหรอก แค่นึกถึงบางตอนที่เขียนไว้ในนั้น มีคนขอให้ไอสไตน์ ช่วยอธิบาย เรื่องเวลาที่เลื่อนไหลได้จากทฤษฎีสัมพันธภาพของเขา ด้วยภาษาที่คนไม่เคยเรียนฟิสิกส์จะเข้าใจได้ง่ายๆ

ไอสไตน์ตอบว่า แม้จะเป็นเวลาเพียง 1 นาที สำหรับการนั่งบนเตาไฟร้อนๆ หรือ นั่งร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่ชอบหน้า เราจะรู้สึกว่าช่างเป็นเวลาที่ยาวนานนับชั่วโมง แต่หากชายหนุ่มอย่างพวกเราได้มีโอกาสนั่งอยู่กับสาวน้อยที่เราชอบอยู่นับเป็นชั่วโมงๆ เรากลับรู้สึกว่าเวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่นาที...

...เคยได้ยินใครสักคนกล่าวไว้ ช่วงเวลาที่มีความสุขมักจะสั้นเสมอ ผมอยากจะแก้ใหม่เป็น ช่วงเวลาที่ทำให้เกิดความสุขมักเกิดขึ้นไม่นาน แต่เวลาที่มีความสุขจะยาวหรือสั้นเราเลือกได้
เวลาเพียง10วัน ในเซี่ยงไฮ้ นับว่าสั้นนัก แต่ความสุขที่ผมได้รับมายังคงอยู่เสมอ ก็คงเหมือนอนุสรณ์แห่งพระพรอื่นๆนั่นแหล่ะนะ ทุกครั้งที่เห็น ใจก็ได้นึกถึงว่าพระเจ้ารักเรามากเพียงใด และก็ทุกครั้งเช่นกัน ที่ทำให้หัวใจแช่มชื่นมีกำลังสดใหม่อยู่เสมอ...

เข็มวินาทีที่นาฬิกาข้อมือยังคงขยับไปข้างหน้าสม่ำเสมอเป็นจังหวะ ไฟยังเป็นสีเขียว รถยังวิ่งอยู่ไม่ขาดสาย เวลายังคงเดินต่อไป เหมือนชีวิตผมและคนอื่นๆที่ยังคงต้องก้าวต่อไปเหมือนๆกัน เพียงแต่..

..จิตวิญญาณของผมคงหยุดนิ่งอยู่ที่ความเป็นนิรันดร์ของพระเจ้าเสียแล้วกระมัง

Feb 2, 2008

(การเข้าถึง)ความจริง 3 ระดับ

เมื่อวานตื่นมาอาบน้ำแต่เช้า ก็เลยมีเวลาคิดทบทวนไตร่ตรองเรื่องราว เหตุการณ์ และผู้คนรอบๆตัวในช่วงนี้ ก็นึกถึงพี่คนหนึ่งกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้จะเรียกได้ว่าเป็นผลผลิตทางความคิดของพี่คนนี้หรือป่าว คิดไปอาบน้ำสระผมไป สบายๆชิวๆ... (นึกขึ้นมาได้ ว่าเคยจะเขียนเรื่องความจริงนี่นา เอาเลยละกัน)

จริงๆ ความจริงก็คือความจริงแหล่ะนะ แบ่งระดับไม่ได้หรอก แต่ถ้ามองเรื่องความจริงด้วยวิธีคิดของยุค post moderen (ความจริงสัมบูรณ์ไม่มี) ความจริงจะสามารถถูกแบ่งระดับได้ทันที (แต่น่าคิดนะ ถ้าไม่มีอะไรที่จริงเสมอ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า "ความจริงสัมบูรณ์ไม่มี" เป็นจริงเสมอ..ไม่งงนะ) ผมคิดว่า จริงๆแล้ว ถ้ามองกันให้ดี ชื่อเรื่อง น่าจะใช้คำว่า "การเข้าถึงความจริง 3 ระดับ" (ว่าแล้วก็เปลี่ยนซะเลยละกัน)
ความจริง 3 ระดับเป็นอย่างไร (คุ้นๆเหมือน อ.เคยสอนนะ แต่จำไม่ได้ว่าเหมือนกันหรือป่าว) (หลายคนคงเคยฟังคำเทศน์เรื่อง ความเชื่อ 3 ระดับ มาแล้ว ลองฟังเรื่อง ความจริง 3 ระดับ บ้างนะครับ)เชิญทัศนากันได้ครับ

ความจริงระดับที่ 1 ความจริงจากสิ่งที่ตามองเห็น
ความจริงระดับที่ 2 ความจริงจากประสบการณ์ แบ่งได้ย่อยๆอีก 3 ช่วง
ความจริงระดับที่ 3 ความจริงนิรันดร์

ความจริงจากสิ่งที่ตามองเห็น..อะไรที่เห็น สิ่งนั้นจริง ความจริงระดับนี้ เป็นปัจจุบันเสมอ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้เท่านั้นถึงจะยอมรับว่าจริง เรื่องไหนจริง เรื่องนั้นต้องสามารถมองเห็นได้ แนวโน้มคนที่อยู่กับความจริงระดับนี้ มักเชื่อและยอมรับสิ่งที่ตามองเห็นว่าจริง "ก็มันเห็นๆอยู่ คุณจะไม่ยอมรับว่าจริงได้อย่างไร" คนที่มีความจริงระดับนี้ แนวโน้มเป็นคนที่จริงจังสูงมากจนบ่อยครั้งก็แง่ลบเสียเหลือเกิน

ความจริงจากประสบการณ์.. ถ้าระดับตามองเห็นเปรียบเหมือน present tense ระดับนี้ ก็คือ present perfect tense คือ ขอให้เคยพิสูจน์ได้ซักครั้ง ก็มีแนวโน้มยอมรับว่าจริง ยิ่งพิสูจน์ได้ซ้ำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเชื่อ ยิ่งยอมรับว่าจริง เป็นแนวคิดที่เคยได้รับความนิยมมากในยุค modern ยุคเฟื่องฟูของพวกวิทยาศาสตร์นิยม เรื่องใดจริง เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ใครๆก็สามารถมีประสบการณ์ส่วนตัวได้โดยตรงได้ "เรื่องใดที่ยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งเชื่อว่าจริง"

ซึ่งต่อมาความจริงระดับนี้ได้มีพัฒนาการจากอิทธิพลของพวก ปรัชญานิยม ไม่เพียงต้องทดลองซ้ำได้ สามารถเห็นจับต้องได้เท่านั้น แต่ต้องพิสูจน์โดยกระบวนการทางเหตุผลได้ด้วย อะไรที่เกินเหตุผลที่มนุษย์จะอธิบายได้ พวกนี้ไม่ยอมรับว่าเป็นจริง "ไม่จริงหรอก ไม่มีเหตุผล"

จนถึงปัจจุบัน ก็มีการพัฒนาไปอีกขั้น คือต้อง รู้สึก ว่าจริงด้วย ถ้าไม่รู้สึกว่าจริง ก็จะไม่ยอมรับว่านั่นเป็นความจริง ซึ่งพัฒนาการขั้นนี้ เป็นเส้นที่บางมาก เพราะสำหรับคนที่เขาอยู่กับ เรื่องจริงมาอย่างเข้มข้นยาวนานต่อเนื่อง เขาก็สามารถประเมินได้จากความรู้สึกเหมือนกันว่าอะไรจริงหรือไม่จริง แต่เขาไม่ได้ยึดติดกับความรู้สึก แต่ทั้งนี้ก็มีข้อดีมากๆหนึ่งก็คือ ทำให้ มนุษย์อย่างเราๆสามารถสื่อสารความจริงต่อกันโดยใช้ความจริงใจได้ง่ายขึ้น อาจจะพูดไม่เก่ง ไม่รู้จะอธิบายเหตุผลอย่างไร ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่รู้ว่าจริง "ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าจริง สัมผัสได้ว่าเขาจริงใจ" ซึ่งคงต้องระมัดระวังให้ดี เพราะคนที่อยู่กับความจริงแบบนี้นานๆ โดยไม่มีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น อาจจะสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา จนเป็นบ้าไปได้ในที่สุด หรืออย่างน้อยๆก็คุยกะใครไม่รู้เรื่องอ่ะ

ระดับสุดท้าย ความจริงนิรันดร์ / ความจริงสัมบูรณ์ / ความจริงสากล เป็นความจริงที่จริงเสมอ กับทุกคน กับทุกสังคม กับทุกยุคสมัย เป็นความจริงที่มนุษย์อย่างเราๆท่านๆ ประเมินไม่ถูกหรอกว่า เราเข้าใกล้มันได้มากเพียงไหนแล้ว เท่าที่ผมคิดได้ตอนนี้ ความจริงเช่นนี้ อยู่เหนือขอบเขตความสามารถในการพิสูจน์ของมนุษย์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ตรรกะหลักเหตุผล ประสาทสัมผัส หรือแม้แต่ความรู้สึก ผมคิดว่าหนทางเดียวที่จะพิสูจน์ความจริงประเภทนี้ได้ คือ การเชื่อและยอมรับไว้ว่าจริง ดังนั้นแล้ว เราจะสามารถมีประสบการณ์ สามารถเห็น ได้ยิน รู้สึก สัมผัส เข้าใจ รวมทั้งรับรู้ ความจริงเรื่องนั้นๆได้ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้ามันไม่จริง เชื่อให้ตายอย่างไรก็จะไม่เห็นผล

พระเจ้าบอกว่าพระองค์เป็นความจริงนิรันดร์ พระคัมภีร์อ้างตัวเองว่าถูกพิสูจน์แล้วว่าจริงเสมอ ผมคิดว่าวิธีการพิสูจน์พระเจ้าและพระคัมภีร์ของคริสเตียนเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นเลย เพียงแต่เชื่อและยอมรับไว้ตามนั้นว่าจริง แล้วคอยดูผล ถ้าพระเจ้าเป็นเรื่องจริง พระคัมภีร์เป็นเรื่องจริง เราก็จะห็นผล แต่ถ้าไม่จริง ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็รู้ได้เลยว่าพวกคริสเตียนเป็นพวกงมงาย และน่าสมเพสที่สุด (ระยะเวลาในการคอยดูผลนี่ ประมาณ 3 เดือน กำลังดี..จริงๆนะ จะบอกให้)


ผมเองก็ยังมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้และยอมรับความจริงอยู่ทุกวัน ยังคงต้องพินิจพิเคราะห์อยู่เสมอว่าสิ่งใดจริง หรือไม่จริง อย่างไร คนเราเกิดมาทั้งที 1ชีวิตที่มีอยู่บนโลกใบนี้ คงไม่มีใครที่อยากจะอยู่กับสิ่งที่เชื่อมาตลอดชีวิตว่าจริง เพื่อมารู้ในวันสุดท้ายว่า แท้จริงแล้วสิ่งนั้นเป็นเพียงคำโกหกหลอกลวงเท่านั้นเอง

ขอให้ชีวิตของเราทั้งหลายอยู่ในความจริงเสมอนะ... FREEDOM. . . . . . . .