Apr 19, 2008

กระจ่าง...

หลังจากที่ห้องน้ำไฟเสีย และต้องใช้อย่างมืดๆมานาน กลับจากบ้านครั้งนี้ ก็เลยไปเอาสายไฟมาต่อใหม่ คุณเอ้ย ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ เวลาอาบน้ำในห้องน้ำที่มีแสงสว่างส่องให้เห็นได้

เมื่อวันพุธ ได้ไปเจอเพื่อนเจอฝูงตามประสาธรรมดาปกติ แล้วก็มีถ้อยคำหนึ่งโผล่ขึ้นมาในใจ "การเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องของกระบวนการ" เป็นเรื่องของการสะสม การเดินทางทีละเล็กละน้อย วันต่อวัน ชีวิตที่ดีขึ้นวันละนิดวันละน้อยของคนหนึ่งคน ก็มากพอที่จะเปลี่ยนโลกนี้ได้

เมื่อวานนี้ ได้ไปฟังอ.ท่านหนึ่งบรรยาย ท่านเป็นคนดี มีความรู้ความสามารถ เรื่องของอ.ท่านนี้ เป็นเรื่องที่สร้าง ประเด็น ให้ถกเถียงกันอยู่เสมอในแวดวงคนที่ผมรู้จัก ผมเองที่ผ่านมา ก็ไม่รู้ และไม่เข้าใจในหลายเรื่องที่ท่านทำ แต่ด้วยความที่เคยร่วมงานกับท่านมา ทำให้เชื่อมั่นว่าท่านมีเหตุผลที่สมควรและเป็นเหตุผลที่ดีแน่ เพียงแต่เรายังไม่เข้าใจ

แต่เมื่อวานนี้ ปริศนา ทุกอย่าง ถูกไขกระจ่างแล้ว เวลาชั่วโมงเศษ นับว่าคุ้มค่ามาก ฟังแล้วก็ให้อดคิดถึงหลายคนที่ไม่เข้าใจและยังไม่มาฟัง ไม่แสวงหาความจริง ฟังแล้วก็เกิดความสว่างขึ้นมาใน มโนทัศน์ และในมโนสำนึกอย่างมาก

การเข้าห้องน้ำมืดๆมานาน พอวันหนึ่งห้องน้ำสว่าง สายตาก็ยังไม่ค่อยชิน ต้องใช้เวลาบ้างในการปรับให้มองได้ถนัด บางคนก็รูสึกเคืองตาด้วยไม่คุ้นเคย ขณะที่บางคนก็มัวแต่ดีใจที่ห้องน้ำสว่างขึ้น จนลืมนึกถึงประโยชน์ที่เราได้รับจากการมีห้องน้ำที่สว่าง

การอยู่ในสีดำ หรือ สีเทานานๆ ก็ทำให้เราเคยชิน ไม่คุ้นเคยกับสีขาว เมื่อมีสีขาวเกิดขึ้น บางคนไม่เข้าใจก็คิดเห็นและมองด้วยระดับคิดที่คุ้นเคยกับสีเทาๆ และมองว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง ขณะที่คนบางกลุ่ม ก็ดีใจที่มีสีขาว แต่ลืมนึกถึงประโยชน์และความยากลำบากในการทุ่มเทเพื่อรักษา "ความเป็นสีขาว"

หวังว่าคนกลุ่มที่ไปฟังเมื่อวาน รวมทั้งอีกหลายคนที่เคยฟังมาแล้ว คงจะเกิดความกระจ่างในจิตใจ และเต็มใจที่จะช่วยกันรักษ์สีขาวอย่าง เต็มที่

Apr 18, 2008

พ่อ กับ แม่

สงกรานต์ปีนี้ ได้กลับบ้านไปนอนผึ่งพุงอย่างสบายกาย ยิ่งไปกว่านั้น ได้พูดคุยกับพ่อและแม่อย่างเต็มที่ในหลายๆเรื่องของชีวิต
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหรือเปล่า แต่สัมผัสได้ว่าพ่อกับแม่รวมทั้งป้าไว้ใจเรามากขึ้น สุดท้ายก่อนกลับ ก็ได้คุยกันเรื่องทรัพย์สิน สรุปความว่า พ่อให้เราดูแลเอาเอง อยากทำอะไร เมื่อไหร่ ก็คิดเอา เลือกเอา อยากรู้อะไรก็มาถามได้

รู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก... มันตื้นตัน ที่พ่อเชื่อว่าเรารับผิดชอบได้

มานั่งๆคิดดู ดูเหมือนจะไม่กี่ครั้งที่เรากับพ่อได้นั่งคุยกัน แบบลูกผู้ชายคุยกัน มีสิ่งดีที่พ่อเคยสอนไว้หลายอย่าง เท่าที่จำได้ ก็เช่น

- มี 4 อย่าง ห้ามเด็ดขาด สำหรับผู้ชาย ได้แก่ สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร (อันนี้ ถูกสอน ตั้งแต่ตอนเข้ามาเรียนม.1 ที่กรุงเทพใหม่ๆ)
- เกิดเป็นคนต้องสู้คน (อันนี้ ถูกสอนตอน เป็นเด็กๆ อนุบาล / ประถมต้นก็ไม่รุ จำได้แต่ว่า โดนเพื่อนแกล้ง ร้องไห้กลับบ้านแทบทุกวัน)
- ข้าวของของใช้ ไม่มีเองก็ไม่ต้องใช้ อย่าไปยืมเขา (พ่อบอกว่า การหัดยืมของคนอื่นมาใช้ จะเสียนิสัย กลายเป็นคนมักง่าย ไม่วางแผน ไม่รู้จักบังคับตน ซ้ำร้ายคนอื่นเขาจะหาเรื่องว่าเราได้)
- คนเราต้องรู้จัก "กาล" และ "เวลา" (พ่อแปะ คำคมไว้หลังรถ 2 ประโยค ดังนี้ "ช้าเสียการ นานเสียกิจ" "ช้าๆได้พร้าสองเล่มงาม") ชวนให้นึกถึง ดร.เทียม โชควัฒนา ท่านก็เคยสอนในเชิงนี้ว่า ให้รู้จักเวลา เวลาใดควรเร่งก็ต้องเร่ง เวลาใดควรช้าก็ต้องช้า
- ทุกคนมีโอกาส แต่อย่าใช้เปลือง เพราะมันจะหมด (คนที่ไม่ได้ใช้โอกาสอย่างคุ้มค่า ก็จะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือ โดยปริยาย นานๆเข้า คนเขาก็ไม่เชื่อถือ ไม่ให้โอกาส)
- คนเรา ถ้าขยัน ไม่อดตาย, ถ้าอยากรวย ก็ต้องฉลาด และถ้าอยากร่ำรวยอย่างมีความสุขด้วย ต้องเป็นคนดี
- เงินอยู่ที่คน คนอยู่ที่ไหน เงินอยู่ที่นั่น
- ทำงาน/ค้าขายกับใคร เอากำไรแต่พอดี ให้เขาอยู่ได้ให้เราอยู่ได้ เราอยู่ได้แต่เขาอยู่ไม่ได้ สุดท้ายเราก็ไปไม่รอด
- ต้นไม้ออกผลตามฤดูกาล หมดเวลา มันก็หยุด คนโลภ ไปเร่งปุ๋ย เร่งดอก ไปฝืนธรรมชาติ สุดท้ายมันก็โทรม ตายก่อนวัยอันควร เหมือนคนเรา กลางวันทำงาน กลางคืนก็ให้พัก เพื่อวันต่อไปจะได้ทำงานได้เต็มที่
- เครดิต ต้องรักษาไว้ให้ดี แม้จะเหนื่อยมาก ก็ต้องรักษาไว้ เพราะมันหมดง่าย แต่สร้างยาก
ฯลฯ

ยังมีอีกหลายเรื่องที่นึกไม่ออก แต่เรื่องนึงที่พ่อดูเหมือนจะไม่เคยสอน (อาจด้วยว่ายังไม่ถึงวัย) แต่ชีวิตของพ่อได้สอนผม นั่นคือเรื่องความซื่อสัตย์และรับผิดชอบในชีวิตครอบครัว
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2007 "ครั้งหนึ่งในความทรงจำ...วันแห่งความรัก" ผมเล่าเรื่องชีวิตคู่ของพ่อกับแม่ไปบ้างแล้ว

แต่อีกมุมหนึ่งที่ผม(เพิ่งจะ)เห็นหลังจากแม่เจ็บมา 2 ปีกว่า พ่อเหนื่อยมากๆ พ่อต้องทำงานทั้งในบ้านและนอกบ้าน ต้องพักผ่อนให้พอทั้งร่างกายและจิตใจ มีผู้หญิงหลายคนเข้ามาหาพ่อ ผมคิดว่าเรื่องแรงขับทางเพศนี่เป็นเรื่องปกติของผู้ชายนะ แต่พ่อไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง พ่อยังเป็น ผัว ที่ดีของแม่เสมอ ยังเป็น พ่อ ที่ดีไม่เคยเปลี่ยน

ถึงวันนี้ ผมเข้าใจมากขึ้นว่า ทำไมแม่ถึงรักพ่อ ทำไมการที่พ่อเป็นคนดี ถึงพอเพียงสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่จะร่วมชีวิตอยู่ด้วย

กลับบ้านครั้งนี้ พ่อพูดมาประโยคหนึ่ง "แม่เอ็งเป็นอย่างนี้ จะให้ทำอย่างไร จะให้ทิ้งเขาไปหรือ"

ผมมานอนๆคิดดู มีนิสัยหลายๆอย่างของผมที่เหมือนพ่อกับปู่มากๆ หวังว่า เรื่องนี้ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมจะเป็นเหมือนกับพ่อของผม... อย่างน้อย ผม ก็ตั้งใจล่ะที่จะเป็นอย่างนั้น

Apr 11, 2008

น้ำพระทัยพระเจ้า

เมื่อเวลาที่คริสเตียนพูดถึงเรื่อง น้ำพระทัยพระเจ้า พระคัมภีร์ โรม12:1-2 คงต้องเป็น 1 ในประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างแน่นอน
มีการพูดถึงเรื่องนี้ ใน www.ngpgroup.com และผมก็โพสต์ตอบไว้ เขียนไว้ตั้งยาว ก็เลยเอามาลงที่นี่ไว้ด้วยดีกว่า

เชิญ ทรรศนา...

ในความเข้าใจของผม ผมมองว่า รม.12 พูดถึงเรื่อง ระดับ ของการดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้า (หนังสือโรม ครึ่ง แรก เป็นเรื่อง concept ครึ่งหลังเป็นเรื่อง implementation ) จุดของการเชื่อมโยงสิ่งที่รู้ กับสิ่งที่ทำ คือ การยอม (ถวายตัว)

ในความเข้าใจของผม ตามที่เคยศึกษามา (อ่านจากที่ คุณ Kevin ma ลงไว้ก็ได้นะครับ)

Good คือ สิ่งที่เราทำแล้วเกิดประโยชน์ กับเรา เกิดประโยชน์กับคนอื่น พูดง่ายๆ ว่าเรารักตัวเองเป็น รักคนอื่นเป็น ซึ่งการดำเนินชีวิต อย่างมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังในเรื่องต่างๆ หรือการทำสิ่งต่างๆ บนพื้นฐานว่าทำแล้วเกิดประโยชน์นี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ดี แม้คนไม่รู้จักพระเจ้าเขาก็ทำกัน (ดังนั้น เราผู้เชื่อ คงไม่ทำ ไม่ได้) แต่พระคัมภีร์ตรงนี้ พูดกับ ผู้เชื่อ ดังนั้น อาจแปลความได้ว่า ในเบื้องต้น เมื่อเราถวายตัวให้กับพระเจ้า สิ่งที่เราทำได้ไกลสุด จะเกิดจากพื้นฐานความคิดว่า สิ่งนั้นดีหรือไม่ เป็นประโยชน์หรือเปล่า

ในภาคปฏิบัติ ที่เห็นๆกันอยู่ คือ การดำเนินชีวิตด้วยความตั้งใจดี (ในเชิงการคิด อาจเรียกได้ว่า มีทัศนคติ/ท่าทีดี) เราจึงพบว่า บ่อยครั้ง ในระยะยาว ความตั้งใจดี เพียงอย่างเดียว มักทำให้เราเติบโตขึ้นได้จนถึงระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถถวายชีวิตให้พระเจ้าได้มากขึ้น ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ เต็มที่ เท่าที่เรามีศักยภาพไปถึงได้ ผมเรียกอาการนี้ว่า ชีวิตชนเพดานบิน

Acceptable คือ สิ่งที่เราทำด้วยความเข้าใจ ด้วยการยอมรับ ด้วยความเต็มใจรับผิดรับชอบจากผลที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการเลือกของเรา ซึ่งเราเชื่อว่า เราได้คิดไตร่ตรองดีแล้ว จากทุกหลักการของพระเจ้าอย่างสมดุลย์ (จะสังเกตได้ว่า มีการใช้ ความรู้ ความเข้าใจ ความคิด สูงกว่าระดับแรก) ผมจึงมองว่าเป็นการเพิ่มเติมเข้าไปจากระดับแรก เป็นการถวายตัว เป็นการยอม ที่ไม่ได้เกิดจากจิตสำนึก หรือความรู้สึกเท่านั้น แต่เกิดจากการคิดไตร่ตรองด้วย เป็นการถวายตัวด้วยความเข้าใจอย่างสมัครใจ
เป็นการกระทำที่เกิดจากพื้นฐานการรู้จักว่าพระเจ้าเป็นใคร เราเป็นใคร
มันจะมีเรื่องของการ เห็น (/ดีรับการสำแดง) อนาคต เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ( จำได้ไหม ตอนที่พระเจ้าบอกอับบราฮัมว่าจะเผาเมืองโสโดมฯ)

ในภาคปฏิบัติ พูดไม่ง่ายนัก (สำหรับคจ.ของเราในเวลานี้) เอาเป็นว่า ถ้าคุณอยู่ระดับนี้ ณ เวลานี้ คุณเหนื่อยแน่ แต่คุณสุขใจ และพระเจ้าจะช่วยคุณ ให้ได้รับกำลัง(ใจ) ด้วยวิธีการของพระองค์ คุณจะได้รับการอวยพรทั้งจากใจที่ให้พระเจ้า และจากผลของหลักการพระเจ้า

Perfect อันนี้ ขอออกตัวก่อนว่า ส่วนตัวคิดว่า ภาพรวมชีวิตยังมาไม่ถึงระดับนี้ แต่ก็เคยนั่งคุยกับกลุ่มหนึ่งที่ผมคิดว่าเขาไปถึงแล้วนะ ได้อ่านความคิดของเขาหลายคนที่คงได้เจอกันอีกครั้งบนสวรรค์ กับอีกส่วนหนึ่งก็เป็นความเข้าใจที่ได้รับมาจากพระเจ้านะครับ

Perfect คือสิ่งที่พระเจ้าชอบใจ ปรารถนาจะเห็นชีวิตของเราเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่วันก่อร่างสร้างโลก ที่มีดำริ จะให้เรามีชิวิตเกิดมา มันไม่ใช่ว่า ทุกเรื่องในชีวิตของเรา พระเจ้าจะเปิดไฟเขียวให้ทั้งหมดทุกเรื่อง ทุกเวลา เหมือนกับเวลาเดินขึ้นเขา ไม่ใช่ทุกก้าวที่ก้าวไปข้างหน้า แต่ทุกก้าวทำให้เราไปถึงยอดเขาได้มากขึ้น
เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในการควบคุมของพระเจ้า และพระเจ้าใช้เพื่อเตรียมชีวิตเรา เพื่อฝึกฝนชีวิตของเรา ให้ไปถึงจุดนั้น
การยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง จะช่วยให้เรารู้ว่า พระเจ้าคิดกับเราอย่างไร แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เพราะพระองค์ประสงค์สิ่งใด เราถึงได้รับการสอนว่า เจออะไรให้ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณจากใจจริงๆ แล้วสันติสุขของพระเจ้าจะเข้ามาทั้งในความคิดและจิตใจของเรา
ในทางปฏิบัติ ผมคิดว่า ณ ระดับนี้ ชีวิตเราคงชัดเจนกับพระประสงค์ส่วนตัวในชีวิต หลักการชัด ประยุกต์เป็น ง่ายๆ ก็คือ คำว่า mature นั่นแหล่ะครับ

ผมเชื่อว่า ในชีวิตคริสเตียนของเราแต่ละคน คงมีบางช่วงเวลาสักครั้งหนึ่ง ที่รู้สึกได้ว่า พระเจ้ากำลังยิ้มให้เรา นั่นแหล่ะครับ พัฒนาจากตรงนั้น จากเรื่องหนึ่งในชีวิต ขยายไปสู่เรื่องอื่นๆ จนวันหนึ่งที่ทั้งชีวิต ทุกอิริยาบถ พระเจ้าทรงยิ้มให้เรา

Apr 10, 2008

เสียดาย

หลังจากพยายามหาเรื่องมาเขียนอยู่หลายวัน (อาจเป็นเพราะ มัวไปเฝ้าเวป ngp + กำลังเริ่มงานที่ใหม่ + สะสางงานที่เก่า) ประเด็นที่โดนใจในแต่ละวัน จึงไม่ชัดพอที่จะถ่ายทอดได้ (เวลาจะนอนก็ไม่ค่อยจะมี..เฮ้อ ชีวิต รู้สึกคุ้มค่าขึ้นมาบ้าง)

นั่น จึงเป็นที่มา ของความรู้สึก เสียดาย

เสียดาย ที่เมื่อก่อน ไม่ยอมหัดใช้โปรแกรมหลายๆอย่างเรื่องสื่อ อยากแต่จะเป็นนักวิชาการ พอถึงวันนี้ต้องใช้จริง ก็ทำไม่ได้
เสียดาย ที่ไม่ได้เล่นกลองมาตั้งแต่แรก ทั้งที่ก็ชอบ เพียงเพราะ อยากเท่ห์เวลาเล่นกีตาร์
เสียดาย ที่ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์จริงจังกว่านี้ (รวมทั้งหนังสือเป็นลังที่มีอยู่) ตอนนี้ ค่าเสียโอกาสในการอ่านหนังสือ สูงมากๆ
เสียดาย ที่ไม่ยอมรับความจริงในหลายต่อหลายเรื่อง กว่าจะยอมรับมัน ชีวิต ก็ผ่านไปเยอะแล้ว
เสียดาย ... เยอะเหลือเกิน

แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็ขอบคุณพระเจ้านะครับ ที่ให้ผมได้มีโอกาสเริ่มใหม่ ผมตั้งใจจะใช้โอกาสครั้งนี้ ที่ผมได้รับมาอย่างดีที่สุด
ทั้งเรื่องงาน การใช้ชีวิต การให้ความรักกับพ่อแม่ การพัฒนาความสัมพันธ์

30 ปีที่ผ่านมา มองย้อนกลับไป หลายเรื่องมากมาย เสียดาย ที่ต้องเรียนรู้ด้วยความล้มเหลวของตัวเอง เสียดายชีวิต

30 ปีที่เหลืออยู่ เมื่อถึงวันนั้น ขอให้มองย้อนกลับมาในทุกเรื่อง แล้วยิ้มได้ ยืดอกยอมรับได้อย่างเต็มปากว่า เราทำดีที่สุดแล้ว

Apr 7, 2008

ของขวัญ

แล้วก็ผ่านพ้นไปกับวันที่ อายุเหยียบเลข 3 (6 เม.ย.)

เชื่อว่าปีนี้คงมีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกหลายอย่าง

แม้ปีนี้อาจจะแปลกไปซักหน่อย เพราะปกติ ก็จะมีคนให้ของขวัญ มีคนพูดถึง มีจุดเทียน มีเค้ก... ถ้าเป็นปีก่อน คงรู้สึกเหงาๆบ้างล่ะมั้ง แต่ก็ดีนะ เพราะปีนี้ มีรอยยิ้มและคำว่า "แฮปปี้ เบิร์ทธเดย์") ^^

อาจจะเป็นเพราะ ความคิดที่เปลี่ยนไปด้วยละมั้ง
ที่ผ่านๆมาผมชอบถามว่า ปีนี้ ผมจะได้ของขวัญอะไร
ปีนี้ ผมเริ่มต้นถามตัวเองว่า เราจะทำอะไรให้เป็นของขวัญคนอื่น เนื่องในวันเกิดของเรา..

อย่างเเรก ผมนัดเพื่อนพี่น้องสมัยเรียนและทำกิจกรรมชมรมด้วยกันที่ธรรมศาสตร์มากินข้าว นานหลายปีที่เราไม่ได้เจอกัน บางคนมาไกลจากขอนแก่นทีเดียว แม้หลายคนจะมาไม่ได้ หรือไม่ได้มา (ขอโทษคนที่ผมไม่ได้ติดต่อท่านด้วยนะครับ) แต่ อย่างน้อย ก็เป็นความชื่นมื่นแก่ผู้ที่มาร่วมงานโดยทั่วกัน (แม้งานนี้จะไม่ได้ตามที่คิดไว้ทั้งหมด แต่อย่างน้อย ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีนะ)( ขำตัวเองจริงๆ เคยมั้ย คุยโทรศัพท์ 3 เครื่อง 3 สาย... ทำไปได้)(นึกขึ้นได้ มีใครไม่รู้แอบเซอร์ไพรซ์ จุดเทียนเบิร์ทธเดย์เราด้วย + มีคนให้หนังสือเป็นของขวัญมาเล่มนึง)

อย่างที่สอง ผมเพิ่งรู้ว่า มีน้องคนนึง เขามารู้จักพระเจ้า ใกล้ๆกับวันที่ผมเกิด ก็เลยให้สายห้อยกุญแจรูปไม้กางเขนไปอันนึงเป็นของขวัญให้เขา ไม่รู้จะชอบหรือเปล่า (ซื้อมาตั้งแต่ไปเยี่ยมนุที่เมืองจีน ยังแจกไม่หมดเลย ตอนซื้อมันก็ดูสวยดี แต่พอมาถึงนี่ มันดูของเล่นงัยไม่รุ ไม่สนิทไม่กล้าให้เลยอ่ะ) --'

อย่างที่สาม ได้นั่งคุยกับน้องคนนึงตอนค่ำ ก็ให้คำปรึกษาและหนุนใจให้เขาได้ เลือก ในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เขาเติบโตขึ้น ผมคิดว่าจริงๆ เราก็รู้อยู่แหล่ะนะว่าอะไรดี พระเจ้าคิดอย่างไร แต่เราจะกล้าเสี่ยงเลือกยอมรับในสิ่งที่พระเจ้าเห็นว่าดี แต่เราคิดแล้วยังไม่เข้าใจ หรืออาจต้องก้าวออกจากความชอบ ความต้องการของตัวเอง ความเคยชินคุ้นเคยเก่าๆ เราจะยอมหรือป่าว

ผมเองก็ยังมีอีกหลายเรื่องมากมายที่ยังต้องรับการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น เพื่อที่จะพร้อมที่จะทำการดีได้ทุกอย่าง

อย่างไรก็ตาม
ผมคิดว่า เป็นความอิ่มเอมใจนะที่เราได้ใช้หนึ่งชีวิตที่เรามีอยู่ ทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อคนที่เรารัก ไม่เพียงแต่สิ่งที่เราทำเท่านั้น แต่ชีวิตของเราน่ะแหล่ะที่เป็น ของขวัญล้ำค่า ที่เราได้มอบให้เขาด้วยความเต็มใจ

Happy birthday to me and Jesus (whom i live with)

Apr 3, 2008

...หัวใจว้าวุ่น....

...หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของ ออกมายืนหน้าบ้าน เตรียมตัวเดินทางออกจากบ้านเมืองที่อาศัย เพื่อไปยังดินแดนที่พระเจ้าบอกให้เรารู้นั้น ความรู้สึกว้าวุ่นใจด้วยอาลัยอาวรณ์ในถิ่นที่อยู่ก็รบกวนความคิดเป็นระยะๆ ให้ล้มเลิกการเดินทางนี้เสีย...

เช้าวันอาทิตย์ ไปแสวงหาหน้าพระเจ้าแต่เช้า... พระเจ้า พูดผ่านการเผยพระวจนะมาถึงอีกครั้ง คงไม่ต้องคิดมากอีกแล้ว.. ผมหันไประเบิดบ้านตัวเองทิ้ง แล้วมุ่งหน้าออกเดินทางทันที

ตอนกลางวัน จะเดินกลับบ้านไปเอาของ เจอนิยมที่ร้านก๋วยเตี๋ยว... บอกแล้วว่าโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องบังเอิญ (แม้ผมจะยังไม่เข้าใจว่า ทำไมช่วงที่ผ่านมาถึงเขียนบทความใหม่ไม่ได้ แต่เข้ามาอ่าน เข้ามาเม้นท์บล้อกได้... ไม่เกี่ยวนี่นา) เราคุยเรื่องงานกัน.. คิดว่าเรียบร้อยนะ

นมัสการพระเจ้า ตอนบ่าย อีกครั้ง พร้อมของแถมจากคำเทศน์ ..."ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังใหม่"

ตกเย็น อ.กอล์ฟ ก็โทรมาหา ได้คุยกันซักที ไม่มีปัญหา
------------------------------------------------------------------------------------
แล้วจะบอกหัวหน้าที่ทำงานอย่างไรดี คำถามที่ยังคงทำให้ใจว้าวุ่นอยู่ เพราะตอนเข้ามาทำงาน รับปากไว้ว่าจะทำ 3 ปี คิดอยู่นาน อธิษฐานอย่างเยอะ จนได้โอกาสคุยกับฝ่ายบุคคล เขาก็เสียดาย และเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เรากำลัง ขาขึ้น หากอยู่ต่อ ก็จะรุ่งโรจน์แน่นอน ทั้ง เงิน และ ทั้ง กล่อง แต่เขาก็เข้าใจง่ายๆ อีกทั้งยังให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ในการทำงานกับคนอื่นมาด้วย

คนถัดไปคือ กรรมการบริษัท เจ้านายโดยตรง จริงๆช่วงนี้ท่านงานยุ่งมาก แต่พระเจ้าก็เปิดโอกาสให้มีงานที่ต้องการคำแนะนำ ก็เลยถือโอกาสลา พี่เขาก็เข้าใจง่ายๆ (อย่างไม่น่าเชื่อ) และก็ให้คำแนะนำในการทำงานเรื่องการทำทันทีมาด้วย

ผมมานั่งคิดดู พระจ้านี่เจ๋งนะ
1. เมื่อ2เดือนก่อน พระเจ้าพูดผ่านเพื่อนมาว่า ผมจะย้ายงานเร็วๆนี้ 2-3 เดือน ซึ่งตอนแรก ผมก็ยังยืนกรานในใจว่า 3 ปี แต่ก็มาคิดได้ว่า พระเจ้าเป็นผู้นำมาทำงานที่นี่อย่างชัดเจน ก็ขอพระเจ้าเป็นผู้นำออกไป แต่ขอ ถ้าเป็นไปได้ อยากไปในขณะที่ชนะใจหัวหน้างานแล้ว ไปแบบที่เขารู้สึกเสียดายเรา (ช่วงนั้น โดนเตือน ทุกวัน ทำงานช้า ภาษาอังกฤษอ่อน ฯลฯ)อยากให้เขารู้ว่าเราสู้ รู้ว่าเราเป็นคริสเตียน และประทับใจในชีวิตคนที่รู้จักพระเจ้า

2. นับตั้งแต่เริ่มฟังเรื่องราวของ Gsus7 เริ่มมีภาระใจ ก็บอกพระเจ้าไว้ว่า ถ้าจะให้ไปทำ ขอให้นิยม/ผู้นำ เขามาคุยเอง ผมจะไม่เสนอ หรือคนอื่นเสนอ ผมไม่เอา

3. เราพอจะรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อเราอายุครบ 30 จะเกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้นในชีวิต ที่จะพลิกชีวิตของเราไปเลย แต่เราไม่รู้ว่าคืออะไร

ทุกอย่าง เป็นอย่างที่ขอไว้อย่างไม่น่าเชื่อ ใครจะคิดว่า การไปช่วยซ่อมคอมพ์วันนั้น นิยมจะอยู่บ้าน จะว่างพอให้เรามีเวลาคุยกัน และเขาชวนผมทำงานกับเขา นิยมคงไม่รู้หรอกว่า ช่วงเดือน มีนาคม เป็นช่วงที่ผมทำงานเข้าตานายสุดๆ นายชมเป็นเรื่องปกติคนในออฟฟิซรู้สึกดี ชื่นชอบความมีน้ำใจ ตอนที่เขาบอกว่า เริ่มงานหลังค่าย(พ.ค.) เขาคงไม่รู้หรอกว่า ผมอายุครบ 30 เดือน เม.ย.นี้

ที่สำคัญ นิยม คงไม่รู้หรอกว่า ทำงานที่ crawford 6 เดือนนี้ สิ่งที่ผมเจอมา เป็นการเตรียมชีวิตผมไว้ให้พร้อมเพื่อคุณ และบริษัท
คิดๆดูแล้วหัวใจอาจจะไม่ว้าวุ่น แต่ตื่นเต้นอ่ะ สุดๆเลยครับ
------------------------------------------------------------------------------------

ช่วงนี้มีหนังไทยเรื่องนึง อยากดูเหลือหลาย ชวนคนนู้น คนนี้ก็แล้ว จนสุดท้ายก็ตัดสินใจไปดูเอง วันที่ไปดูก็ติดธุระจนไปเกือบไม่ทัน คริสต์มาสหลายปีก่อน อบอวลไปด้วยความรักใน "Love Actually" แต่กับฤดูร้อนปีนี้ ความรักหลากหลายแง่มุม อบอวลอยู่ใน "ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น" หลายคนเกรียวกราวถึงนักแสดงสาวชาวญี่ปุ่น แต่ผมว้าวุ่นใจตั้งแต่ก่อนเข้าโรงแล้ว จากความสงสัยว่า หากเรามีแฟนจริงๆ เราจะรู้สึกอย่างไร เป็นครั้งแรกที่ผมยอมรับความจริงว่า ชีวิตนี้ผมไม่เคยมีคนรัก (แฟน) มีแต่แอบชอบเขา รักเขาข้างเดียว คิดไปเองว่าเขาชอบ แล้วก็แห้วทุกที มันสงสัยและอยากรู้จริงๆนะ ว่าเวลาคนเรารักกันและกัน ความรู้สึกเป็นอย่างไร

คิดๆอยู่คนเดียว หัวใจยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ เมื่อ น้อง นานา ปรากฎตัวขึ้นมาในหนัง ชอบรอยยิ้มของน้องคนนี้ซะจริงเชียว ชวนให้นึกถึงใครบางคนในชีวิตจริง แต่ก็ช่วยทำให้หยุดคิด แล้วกลับมาสำราญกลับภาพยนต์ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี

มีฉากหนึ่ง ผู้ชายที่อกหักจากเพื่อนสาวที่ตัวเองแอบชอบเขา ใช้เวลาทั้งคืนทำบอร์ดวันเกิดที่มหาลัยให้สาวเจ้า ในขณะที่เจ้าหล่อนและเพื่อนๆกำลังเฮฮากันในงานปาร์ตี้ โดยเฉพาะ ฉากที่เขานั่งยิ้มน้อยๆอยู่คนเดียวเงียบบนรถเมล์... ผมว่าผมเข้าใจ ความรู้สึกของเขานะ รวมทั้งที่รีบวิ่งกลับมาถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วบอร์ดก็ว่างเปล่า เหมือนไม่เคยมีใครมาทำอะไรให้เกิดขึ้น

"... อาจจะเหนื่อยบางครั้ง อาจจะเจ็บบางที แต่ก็ยิ้มได้เรื่อยมา อาจจะต้องผิดหวังก็ไม่เป็นไร

อย่างน้อยฉันได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ ทุกนาทีที่ฉันมีเธอ รักคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายมากมายจริงๆ

อย่างน้อยฉันเคยได้รักเธอ รักด้วยการไม่หวังอะไร

ความพยายามที่ทำเพื่อเธอ จะขอทำต่อไป แค่มีรอยยิ้มของเธอส่งมา ก็ชื่นใจ

หากในวันพรุ่งนี้ เธอจะตอบตกลง คงจะคุ้มค่ามากมาย แม้จะต้องผิดหวังก็ไม่เสียใจ..."

ให้รู้สึกว้าวุ่นใจอยู่บ้างเหมือนกันนะ ทั้งกับความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจของเรา และกับเรื่องงาน แต่เราเองก็เตรียมใจไว้แล้วแหล่ะ คงอย่างที่ ใครคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "วิธีทำให้ชีวิตนี้ง่ายขึ้น คือ การตัดสินใจเลือก แล้วไม่มองย้อนหลังกลับไปอีก"

ชีวิต เป็นเรื่องของการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทางเท่านั้น ...ออกเดินทาง สู่ ดินแดนแห่งพันธสัญญา