Jun 23, 2015

ทำไม ผมถึงไม่อยากเป็น Social Media Manager

เมื่อ 4-5 ปีก่อนผมจากลาเมืองกรุงกลับไปทำไร่ทำสวนอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด แต่ด้วยความที่ยังชอบงานด้านการตลาด ก็ยังรับ freelance อยู่บ้าง รวมถึงงานแปล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ marketing research และ branding จนในที่สุดก็หวนคืนสู่วงการอีกครั้งกับ onebit matter หรือที่หลายฅนอาจรู้จักในนาม OBVOC

social media monitoring หรือ social media marketing ในขณะนั้นแทบจะไม่เป็นที่รู้จักเลยในเมืองไทย แบรนด์และเอเจนซี่ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นประโยชน์ของเครื่องมือการตลาดตัวนี้

ใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่เราจะเริ่มมีลูกค้ารายแรก เริ่มมีทีมงาน ซึ่งผมจะบอกทีมทุกคนเสมอว่า ไม่ว่าชื่อตำแหน่งเราจะเรียกให้เก๋ไก๋ยังไง จะเป็น social media analyst, digital strategy, consumer insight, ... เอาเป็นว่า ให้รู้ไว้เสมอว่าเนื้อแท้  เราคือ marketing

แต่ไหนแต่ไรมา หลักสำคัญของการตลาดยังคงเหมือนเดิม (ยอมรับเลยว่า Kotler เก่งมากจริงๆ) แต่การประยุกต์ใช้นั้นล้วนแตกต่างกันตามบริบทแวดล้อมและความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องเอา เนื้อหา เหล่านี้ มาปรับให้มันใหม่ขึ้น มาพูดถึงให้ดูน่าสนใจขึ้น ตามนิสัยถาวรของนักการตลาด

ตั้งแต่วันแรกที่หวนกับมาเริ่มทำงานที่ตัวเองชอบอีกครั้งจนถึงวันนี้ ผมดึงดันปฏิเสธที่จะใช้ชื่อตำแหน่ง โดยมีคำว่า social media หรือ digital อยู่ด้วยเสมอมา เพราะสิ่งเคลือบฉาบเหล่านี้ จะอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น วันใดที่ฟางถูกไฟไหม้หมดลง เมื่อการเปลี่ยนผ่านไปถึงจุดที่วิถีใหม่เข้ามาแทนที่วิถีเก่ามากขึ้น ผู้ฅนเข้าใจสิ่งใหม่มากขึ้น สิ่งที่คงเหลืออยู่ คือ เรื่องของ consumer behavior หรือ ก็คือ พื้นฐานของ marketing นั่นเอง

ผมคิดว่า social media เป็นเพียง รูปแบบ หนึ่งของ marketing เท่านั้น เพียงแต่เป็นรูปแบบที่มีน้ำหนักและความสำคัญมากขึ้นทุกวัน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนไป วิธีคิดของผู้คนเปลี่ยนไป เทคโนโลยีและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เปลี่ยนไป หลากหลายความต้องการที่เกิดขึ้นเองโดยผู้บริโภคไม่รู้ตัว ทั้งที่ตามกระแสไปเองและถูกปลูกฝังขึ้นมา ผ่านความง่ายและความคุ้นชิน เหล่านี้ล้วนถูกพบเห็นได้ในสังคมเสมือนง่ายขึ้นและบ่อยมากขึ้น

ทักษะหรือความรู้ด้าน social media/digital นั้น จะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานของผู้ฅนมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ ทักษะและความรู้ด้าน Marketing, Analytic, Consumer behavior และ Strategy เหล่านี้ต่างหากที่จะยังคงมีความสำคัญอยู่
แม้ว่ากว่าจะไปถึงจุดนั้น ทักษะอย่าง data mining หรือ big data ก็อาจจะเข้ามามีบทบาทอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว AI ก็จะเข้ามาทดแทนได้อยู่ดี

จุดวัดที่สำคัญของนักการตลาดยุคใหม่ จึงไม่ใช่เเค่เรื่องของ ความคิดสร้างสรรค์ หรือ ความแม่น เท่านั้น แต่คือ การตอบสนอง ความต้องการแอบแฝง ซึ่งสกัดมาจากพฤติกรรมต่างๆ ของผู้บริโภค ให้เกิดมูลค่าเพิ่มแก่ธุรกิจได้

ผมคิดว่า อีกไม่กี่ปีนับจากนี้ โลกแห่งความจริง (กายภาพ) กับ โลกแห่งความจริงเสมือน (social media) จะซ้อนทับกันมากขึ้นด้วยอัตราเร่ง ชื่อตำแหน่งที่มีทักษะเฉพาะของโลกออนไลน์นำหน้า ก็จะยิ่งหายไปจากตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าถามผมว่า หากเลือกได้ อยากได้ชื่อตำแหน่งของตัวเองเป็นอะไร
ผมว่า chief marketing officer อาจจะฟังดูสูงวัยไปสักหน่อย แต่ถ้าเป็น chief consumer insight partner ก็ฟังดูเข้าทีดีอยู่นะ ว่างั้นไหมครับ :)


11.06.2014


ป.ล. มีบริษัทแห่งหนึ่งเสนองานมา ให้ไปเป็น Social media Manager ปฏิเสธไปแล้วด้วยเหตุผลข้างต้นอย่างย่อๆ เลยมาเขียนบันทึกเอาไว้ เผื่อเขาอาจได้มาอ่านเหตุผลอย่างยาวๆ ว่าผมคิดอย่างไร

ป.ล. ๒ แม้ผมจะปฏิเสธ การใช้คำพวก "social media" "digital" อยู่ในชื่อตำแหน่ง แต่ไม่ปฏิเสธว่า ผู้บริโภคตอนนี้ กำลัง digitization กันเร็วมาก ดังนั้น การใช้วิธีคิดแบบ traditional marketing เพียงอย่างเดียว ก็มีแนวโน้มไม่เวิร์คอยู่ดี // 23.03.2015


ภาพประกอบ: http://www.thebamboogarden.com.au/

Jun 7, 2015

There's always a way out

เชื่อมาตลอดว่า...
ฅนเราเท่าเทียมกัน
โอกาสเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นเอง
ความสำเร็จเกิดจากความสามารถ
ความสำเร็จอย่างยั่งยืนเกิดจากทัศนคติ
ผมไม่เคยโกรธคนที่ประเมินผมด้วย
มาตรฐานของคนส่วนใหญ่
ชีวิตผมไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ
การทุ่มเทกำลังและปัญญา ทำดีที่สุดแล้ว
ไม่ใช่เครื่องการันตี
และทุกครั้งที่ได้อะไรมา เหมือนคนบนฟ้าก็พร้อมจะทำให้ผมเข้าใจว่า ผลลัพธ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมเสมอ
สิ่งที่ผมต้องทุ่มเทคือ input และ process
output นั้นมาจากพระเจ้า...
และพระเจ้านั้นยุติธรรม ใจดี และมีเมตตา
ผมเลิกถามตัวเองมานานแล้วว่า
เรื่องนี้ เราทำได้หรือไม่ได้
"ถ้าจะทำให้ได้ ต้องทำอย่างไร" เป็นคำถามที่ถามตัวเองเสมอ ทุกเรื่อง
มันทำให้ผมตอบตัวเองได้ว่า ผมทำเต็มที่แล้ว
ส่วนผมลัพธ์ ผมหวังใจ ผมไว้ใจ...
พระเจ้า ผู้ที่ผมรู้จัก
บางครั้งก็คิดว่าจะเอาอะไรอีกกับชีวิตลูกชาวนาฅนหนึ่ง
เรามาได้ตั้งไกลขนาดนี้แล้ว
แต่ทุกครั้งก็จะอดเสียดายไม่ได้ ถ้าไม่ได้ลองไปต่ออีกซักหน่อย
ยังอยากใช้ชีวิตให้เต็มที่กว่านี้ ยังอยากเติบโตมากกว่านี้
ก็เพราะคิดอย่างนี้แหล่ะ
ถึงยังเรียนรู้ต่อไป เติบโตต่อไป แบ่งปันต่อไป
ถ้าไม่ก้าวขาออกไปข้างหน้า
โอกาสที่จะไปข้างหน้าได้นั้นเป็นศูนย์
ก็แค่ครั้งละก้าวเดียวเท่านั้น...
5.6.2015
8pm
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
"เมื่อถึงที่สุดปลาย จะมีทางออกเสมอ"
ถ้อยคำจากพระเจ้าวันนี้ที่มาถึงที่ประชุม
เมื่อเช้าตอนขับรถมาโบสถ์ เพลงสุ่มขึ้นมาว่า
Oh, the love of my father is deeper than I know
ความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่างกายหรือจิตใจ เกิดขึ้นกับเราทุกฅนเป็นปกติ เพื่อให้เราเติบโตและแข็งแรงขึ้น และที่สำคัญ เราไม่ได้เผชิญสิ่งเหล่านั้นเพียงลำพัง แต่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่กับเราด้วย
พระเจ้าไม่ได้ปรารถนาให้เราหดหู่
หรือฝ่อไปหรือล้มเหลว
ดังนั้น ให้เราเข้มแข็งขึ้นและไม่ยอมแพ้ จะมีแสงสว่างจากทางออก... ซึ่งมีอยู่ที่ปลายอุโมงค์เสมอ


7.6.2015
11am