May 31, 2016

PUSH UP

ชีวิตเริ่มต้น เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใคร จะไปที่ไหน ต้องการอะไร
คนเราไม่ใช่ต้นไม้ จะโตได้ต้องมีเป้าหมาย ปล่อยไปเรื่อยๆ ไม่ได้

ผมเคยเชื่อเรื่อง การเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ
เชื่อว่าการเติบโตควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การเติบโตเป็นเรื่องธรรมชาติ แม้เราไม่ทำอะไร ก็ยังมีการเติบโต
ซึ่งทั้งหมดนี้ มันไม่ถูกต้องเลย

ต้นไม้ ลองเราไม่รดน้ำ ใส่ปุ๋ย มันจะโตไหม
เราจะบำรุงใบ ก็ต้องใส่ปุ๋ยแบบนึง จะบำรุงลูกก็ใส่อีกแบบนึง
จะให้มันออกดอกก็ต้องงดน้ำ แกล้งมัน

ทุกอย่างมันมี เป้าหมาย
สิ่งที่เราต้องการ จะเป็นตัวหนดว่า เราต้องทำอย่างไร
เพื่อให้ได้ ผลลัพธ์ ตามนั้นอย่างที่เราต้องการ

การไม่ทำอะไรเลย แล้วคาดหวังว่าจะเห็นการเติบโต
จึงเป็นเรื่องเสียสติ

การจะบรรลุ เป้าหมาย ที่ตั้งไว้ จึงเป็นการทำให้สำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ
เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำจนเป็น นิสัย
ผลลัพธ์ ที่ยั่งยืน ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน
แต่ผ่านการสะสมพลัง ผ่านการซ้อม ผ่านการฝึกฝนมาแล้วอย่างหนัก

เมื่อใดที่เราใช้ทางลัด วันนึงเราจะต้องจ่ายราคาของมัน และจะต้องจ่ายหนักมาก

แก่นของการเดินทางสู่เป้าหมาย หรือ กระบวนการเติบโต นี้ คือ ความเชื่อ
ความเชื่อที่เรายึดถือไว้เป็นหลักการของตัวเราเอง
ความเชื่อที่เรารู้อยู่แก่ใจของเราว่า คุณค่า ของเรานั้น คืออะไร

๑. เริ่มต้นด้วย ความเชื่อ เป็นจุดยืน
๒. มีเป้าหมาย เป็นแรงบันดาลผลักดันใจ
๓. มีวินัย ทำเป็นนิสัย



a little bit, a little more

"Success is a process, a quality of mind and way of being,
and outgoing affirmation of life" / Alex Noble

May 24, 2016

ควายไม่ได้โง่... ความจริงจากปากฅนเลี้ยงควาย

บางฅนอาจจะเคยว่าฅนอื่นว่า โง่เหมือนควาย
แล้วเคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมต้องเปรียบเทียบกับควาย
ไม่มีสัตว์ตัวไหนถูกเปรียบเรื่องความโง่ นอกจากควาย
หรือว่าควายเป็นสัตว์ที่มหาโง่จริงๆ

ผมเคยสงสัยเรื่องนี้ตั้งแต่เด็กๆ
เพราะแอบได้ยินคุณครูบอกเพื่อนผมฅนหนึ่งว่า โง่เหมือนควาย
ด้วยความที่บ้านเราทำนา เลี้ยงควายหลายตัว
ก็เลยไปถามปู่ รวมถึงผู้เฒ่าผู้แก่แถวบ้านว่า
ควายมันโง่ขนาดนั้นจริงหรือ

ปู่เล่าให้ฟังว่า ควายก็เหมือนสัตว์อื่นๆ มีบางตัวโง่ มีบางตัวฉลาด
เหมือนคนเราน่ะแหล่ะ มีโง่ มีฉลาดปนๆ กันไป
ผมถามปู่ต่อว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าตัวไหนฉลาด
ผมจำได้ว่า บนโต๊ะกินข้าวมื้อนั้น เป็นมื้อที่ออกรสชาติมากที่สุดอีกมื้อหนึ่ง

ปู่บอกว่า เวลาเลือกซื้อควาย มันมีลักษณะที่ต้องดูหลายอย่าง
เช่น ก้นใหญ่ ขาโต กีบแน่น หูสวย ตาวาว
พวกนี้ฟังดูแล้ว ก็มีเหตุผลอธิบายได้
แต่ที่อธิบายไม่ได้ คือ เรื่อง เขาควาย


เขาของควายจะมีขีดเป็นเส้นๆ ผมจำไม่ได้ว่า ปู่เรียกว่าอะไร
แต่ปู่บอกว่า ต้องเลือกตัวที่เขาสวย
ขีดเรียงกันเป็นระเบียบ เว้นช่องไฟสวยงาม
ยิ่งเขาสวย ยิ่งฉลาด ปู่บอกอย่างนั้น

ปู่เล่าให้ฟังต่อว่า ถ้าเทียบระหว่าง ควายที่ฉลาดกับวัวที่ฉลาด
ปู่คิดว่า ควายฉลาดกว่าวัว
ถ้าปล่อยควายไว้กลางนา ตกเย็นควายจะเดินกลับบ้านเองถูก แต่วัวจะกลับไม่ถูก
"เย็นไหนเมาหลับบนหลังควาย ถ้าตื่นมานี่ถึงบ้านแน่นอน
อาจจะเพราะมันฉลาด มันเลยมีความคิดเป็นของตัวเอง มันเลยดูเหมือนดื้อ
แต่ถ้าพูดกับมันดีๆ มันก็เข้าใจ" ปู่ให้ความเห็นเพิ่มเติม

ปู่เคยเห็นหลายฅนที่ด่าว่า ไอ้ควายโง่ ด้วยความโกรธเกรี้ยว
หลายครั้งไม่ใช่เพราะตัวควายโง่
แต่เป็นเพราะตัวฅนเลี้ยงเอง ที่ไม่รู้จักควายของตัวเอง
ไม่แสดงความเคารพ ใช้กำลังฉุดลากบังคับตามที่ตัวเองต้องการ
"กูก็เคยเป็น" ปู่บอก "แต่พอพูดกับมันดีๆ พูดเบา ไม่ต้องตะคอก มันก็เดินไปของมันเอง"

นอกจากปู่ ผมยังได้คุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ ในระแวกบ้านอีกหลายฅน
ทุกคนต่างให้ความเห็นคล้ายๆ กันว่า
ควายเป็นสัตว์ที่ฉลาด แน่ๆ คือฉลาดกว่าวัว
และเป็นสัตว์ที่เข้าใจยาก เดี๋ยวดี เดี๋ยวดื้อ
ถ้าเรียกเป็นภาษาสมัยนี้ก็คงต้องเรียกว่า อินดี้
ก็อาจจะเหมือนเด็กๆ แหล่ะมั้งครับ
ที่เราชอบพูดกันว่า เด็กซนเป็นเด็กฉลาด มีความคิดความอ่านของตัวเอง...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ต่อไปถ้าจะด่าใครว่าโง่ ผมคิดว่าอย่าเอาไปเปรียบกับควายเลยนะ
และอันที่จริง เราก็ไม่ควรไปว่าใครว่าโง่ด้วย

ผมเชื่อว่า โลกนี้ไม่มีฅนที่โง่จริงๆ หรอก เขาแค่ยังไม่รู้
เราทุกคนต่างมีเรื่องที่ตัวเองฉลาด อย่างน้อย ๑ เรื่อง ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ

ต่อไป ก่อนจะโมโหด่าว่าฅนอื่น ลองพูดกับเขาดีๆ
ไม่แน่ว่า ตัวเราเองจะฉลาดขึ้นมาบ้างก็ได้ :)



Apr 1, 2016

วันนี้ใครโกหกสำเร็จแล้วบ้าง

เมื่อเช้าน้องในทีมเดินมาบอกหน้าเศร้าๆ ว่า 
"พี่ ผมจะลาออกสิ้นเดือนนี้นะ ผมได้งานที่ใหม่แล้ว”
ช้อกสิครับ
กำลังอึ้งๆ อยู่ อีน้องก็หัวเราะร่า “ April fool day ครับพี่”
ฮึ่มมม มันน่านัก

ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมไปซะแล้ว
ทุกวันที่ 1 เมษา เราต้องหาเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวมาหลอกคนรอบข้าง
สร้างความสนุกสนาน ตลกขบขัน แม้บางเรื่องจะขำไม่ออกก็เหอะ
ผมยังคิดว่า น่าจะมีคนนั่งคิดมุกและเตรียมการเพื่อวันนี้หลายคนอยู่นะ

ผมมีเพื่อนคนนึงที่ขอคบแฟนสาวในวันนี้
โดยให้เหตุผลว่า ถ้าไม่เวิร์ค ก็เอพริลฟูลแก้เขินไป
ถ้าเวิร์คก็เดินหน้าต่อ...

ผมคิดว่า ปกติคนเรา ไม่มีใครอยากผิดหวัง หรือชอบความล้มเหลว
เราทุกคนต่างต้องการความสำเร็จ เพราะมันเป็น need ลึกๆ ในใจของเรา
มันเป็นความรู้สึก...
ความรู้สึก ฉ่ำ หัวใจ
> > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > >

ถ้านึกย้อนไปครั้งเราเป็นเด็ก เราทุกคนต่างก็มีความฝันกันทั้งนั้นแหล่ะ จริงมั้ย
เราอยากเป็นอย่างนั้น อยากทำอย่างนี้ อยากลองนั่น อยากดูนี่
แล้วเราก็จะเริ่มเจอกำแพงและการชักนำให้เฉไฉ ด้วยสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
เช่น ทำนี่ไม่ได้นะ ไม่มีใครทำกันนะ ทำไม่ได้หรอก
ถูกดุว่า แค่นี้ก็ทำไม่ได้
หรือแม้แต่คำถามพื้นๆ ที่เฉไฉเราออกจากเป้าหมายที่ตื่นเต้นให้มากังวลที่วิธีการ
อย่างเช่น โตขึ้นอยากทำอะไร

เราถูกหล่อหลอมให้กลัวจินตนาการของเราเอง โดยที่เราไม่รู้ตัว
พวกเราหลายคนก็เลยเติบโตขึ้นมาพร้อมกับโปรแกรมการปกป้องตัวเอง
ไม่ต้องแปลกใจที่เราจะรู้สึกไม่กล้าล้มเหลว กลัวการผิดหวัง เช่นเพื่อนผมคนนั้น
> > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > 

เคยถามตัวเองบ้างไหม คำถามง่ายๆ ที่ตอบแค่ใช่หรือไม่ใช่

ชีวิตตอนนี้ เป็นชีวิตที่เราต้องการ หรืออยู่บนเส้นทางที่เราต้องการใช่ไหม
เรากำลังทำงานที่เราสนุกไปกับมันอยู่ใช่ไหม
เป็นงานที่สร้างคุณค่าจนทำให้เราอิ่มใจใช่ไหม
...หรือแค่เพื่อให้มีเงินเท่านั้น

เราได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้ใช้เวลากับเขาอย่างที่เขาต้องการใช่ไหม
...หรือเราจำเป็นต้องขอให้เขาเข้าใจ

เราได้นอนเต็มอิ่มทุกคืน กินข้าวเช้าทุกวัน ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอใช่ไหม
...หรือเพียงแต่ใช้เครื่องสำอางปกปิดริ้วรอย กินหมูปิ้งข้าวเหนียวรองท้องให้พอหายหิวแค่นั้น

เราจำความฝันวัยเด็กเราได้ไหม
ความฝันที่ทำให้หัวใจเราเต้นรัว สูบฉีดเลือดให้ตื่นตัวไปทั่วร่าง
เราลืมมันมานานเท่าไหร่แล้ว

ผมรู้ว่าเราทุกคนต่างมีเหตุผลที่จะปฏิเสธการตอบคำถามข้างต้น
คำถามง่ายๆ ที่ทำให้เราไม่สบายใจ
ผมเองก็เคยหลีกเลี่ยงที่จะตอบตัวเอง จนวันที่ต้องไปนอนในอุโมงค์ให้หมอทำ MRI

คำตอบมันไม่มีผิดหรือถูก
เพราะไม่ว่าเราจะตอบอย่างไร เราก็ตอบถูกเสมอ

ขอแค่ระวังกันนิดนึงละกัน
เพราะถ้าเราตอกย้ำตัวเองด้วยความคิดอะไรบ่อยๆ สม่ำเสมอและนานพอ
เราจะยอมรับความคิดเรื่องนั้น จนกลายเป็น เรื่องจริง สำหรับเรา

หลอกใครก็หลอกได้ แต่ต้องระวังที่จะหลอกตัวเอง
ไม่มีใครชอบความล้มเหลว แต่เราควรจะกล้าล้มเหลว...
หรือจะหัดล้มดูบ้างก็ได้นะ

ความฝันไม่เคยทำให้ใครตาย
แต่คนไม่มีฝัน คือ คนตายที่รอเวลาเอาไปฝัง 


> > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > > >
ถ้าเราไปหลอกใครวันนี้ เวลาเฉลย ก็แค่บอกเขาว่า April fool นะ
คนนั้นก็จะรู้ความจริง

แต่สำหรับชีวิตจริง เราไม่จำเป็นต้องบอกใคร แค่ยอมรับเสียงของหัวใจตัวเอง
นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะทำให้เราโกหกตัวเองไม่สำเร็จแล้วล่ะ


"ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณทำได้หรือไม่ คุณก็คิดถูกเสมอ" / เฮนรี่ ฟอร์ด

Jan 20, 2016

ชีวิตมั่งคั่งด้วย การใส่ใจ (กระเป๋าสตางค์ใบเดียว)

วันก่อนไปเดินเล่นที่ห้องสมุดมารวย
เพิ่งมาเปิดที่ อาคารตลาดหลักทรัพย์ รัชดา
ใกล้บ้านชนิดที่เดินไปได้ ดีใจสุดๆ ต่อไปนี้จะได้มีที่นั่งอ่านหนังสือสบายๆ ละ
(จะดีมาก ถ้าปิดเที่ยงคืน 555)
เดินหยิบนี่พลิกนู่น ก็ไปสะดุดตากับ sub tag line ในหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง
ว่า "ถ้าไม่รู้จะเปลี่ยนอะไร ให้เริ่มเปลี่ยนที่กระเป๋าสตางค์"
ก็เลยลองยืมมาอ่าน บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องโชคลาง บางคนว่าเป็นเรื่องจิตวิทยา
หนังสือเล่มนี้ถูกจัดอยู่ในหมวดธุรกิจ
แต่ผมอ่านแล้ว แอบคิดว่า มันน่าจะอยู่หมวดพัฒนาตัวเองมากกว่านะ

- การใช้เงินสะท้อนความคิดการใช้ชีวิต

- คนที่หาเงินเก่ง มักจะใส่ใจเรื่องเงิน
มีกฎการใช้เงิน คือ ยินดี (welcome) เมื่อได้เงินมา มีเหตุผลเมื่อจ่ายเงินไป

"กฎ 200 เท่า" รายได้ต่อปี = ราคากระเป๋าสตางค์ x 200 (จากประสบการณ์ของผู้เขียน)

- ท่าทีต่อกระเป๋าสตางค์สะท้อนท่าทีต่อเงิน และสะท้อนท่าทีที่มีแก่สิ่งอื่นด้วย

- กระเป๋าทรงยาว สวย มักราคาสูง จิตใต้สานึกของเราจะจดจ่อไปที่อนาคต
และจะปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายในอนาคตโดยอัตโนมัติ
กระเป๋าสตางค์เป็นที่ต้อนรับเงิน กระเป๋าที่สวย เงินอยู่สบาย จึงดึงดูดคน(ซึ่งถือเงิน)ได้ดี

- การดูแลกระเป๋าสตางไม่ให้อ้วน ด้วยการทำ daily clearing
ในอีกมุมหนึ่ง ช่วยให้เรารู้ว่าตอนนี้เรามีเงินสดอยู่ในมือเท่าไหร่

- บัตรสะสมแต้ม เป็นเครื่องมือการตลาดของธุรกิจเพื่อรักษาฐานลูกค้า
แต่มันอาจจะกระตุ้นให้เราใช้จ่ายเพี่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลได้
ทำให้เราตกหลุมพลางแล้วต้องใช้เงินอย่างไม่เป็นตัวเอง

- การซื้อเพราะถูก
สะท้อนว่า "เราดำเนินชีวิตโดยยอมให้ปัจจัยภายนอกมีผลควบคุมชีวิตเรา"
ดังนั้น"จงซื้อเพราะอยากได้"
(ซึ่งคนที่ conduct ชีวิตตัวเองไม่ได้ รวยยาก)

- การมองหาแต่ของถูก
จะทำให้เราไม่ได้สนใจคุณค่าที่แท้จริง
(เราซื้อ/ขายของเพราะ คุณค่า ไม่ใช่ เพราะ ราคา)

- การจะซื้อของราคาสูงได้ ต้องใช้ความกล้า
และมองเห็นว่าเป็นการลงทุนระยะยาว
(ถ้าเราเห็นว่าเป็นการลงทุน แสดงว่าเราใช้เหตุผล)

- คนที่เก็บเงินอยู่เพราะมีความสามารถเรื่องการควบคุมการใช้เงินสูง
ซึ่งเริ่มต้นจาก การใส่ใจเรื่องเงิน

- กระเป๋าสตางค์ควรไว้เก็บธนบัตร ส่วนเหรียญแยกอีกกระเป๋า

- ชำระเงินด้วยธนบัตรใหม่ แสดงถึงการใส่ใจผู้รับ ใครๆ ก็อยากได้แบงค์ใหม่
(คนที่ใส่ใจคนอื่น ย่อมเป็นคนที่คนอื่นอยากทำงานด้วย)

- ยึ่นเงินให้อย่างสุภาพ สะท้อนท่าทีการให้เกียรติคนอื่น
(เหมือนกัน ใครๆ ก็อยากทำงานกับคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน)

- การจ่ายเพื่อให้ได้ของมูลค่าเท่ากันในปัจจุบัน เรียกว่า "การบริโภค"
ได้ของมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต เรียกว่า "การลงทุน"
แต่ถ้าจ่ายโดยไม่ได้คิด ได้มูลค่าในปัจจุบันไม่เท่ากับที่จ่าย
หรือไม่เกิดมูลค่าเพิ่มในอนาคต เรียกว่า "การผลาญ"

- มีการบริโภคบางรูปแบบ ที่เป็นการลงทุน

- การลงทุนเป็นการต่อจิกซอว์ชีวิต การลงทุนจึงเริ่มต้นที่ เป้าหมายชีวิต

- ถ้าคิดจะเก็บเงิน ให้ระวัง ทางออก ของเงินให้ดี
เงินมักเข้าทางเดียวแต่ออกหลายทาง

- การบริหารกระแสเงินสดให้ได้ดี เกิดจาก การบริหารรายจ่ายที่ไม่คาดฝันได้ดี

- การถอนเงินตามสะดวก (ใช้บัตร AT) มีแนวโน้มว่าเราไม่มีแผนทางการเงิน
และควบคุมเงินไม่ได้ เดือนนึงควรถอนแค่2ครั้ง และถอนที่ธนาคารเท่านั้น

- การเก็บเงินเป็นวิธีการ ไม่ได้เป็นเป้าหมายโดยตัวมันเอง
การมีเงินเยอะ ไม่ใช่แค่ความมั่งคั่งทางวัตถุ แต่คือการมีโอกาส มีทางเลือกให้ชีวิตเยอะ

- พ่อค้าแคว้นโอมิ มีแนวคิดการค้าขาย ต้องได้ทั้งสามฝ่าย คนขาย คนซื้อ และ สังคม

- การคิดเพ้อฝัน วันละ 1 นาที เพื่อช่วยกระตุ้น/ผ่อนคลาย จากสถานการณ์ปัจจุบันตรงหน้า

- เปลี่ยนของใช้คู่กาย ให้สมกับ สถานะ ที่เราต้องการจะเป็น
ง่ายที่สุด คือเลือกเสพ ข้อมูล คุณภาพสูง โดยเฉพาะจากประสบการณ์ของตัวเอง
(ดังนั้น ข้อมูลคุณภาพสูง จึงเกิดจากการลงมือทำ การมีประสบการณ์ตรง)


ประเด็นจึงไม่ใช่เรื่องกระเป๋าสตางค์ เพียงแต่เงิน เป็นสิ่งที่เราหยิบใช้อยู่เป็นประจำ
วิธีที่เราปฎิบัติกับเงิน จึงสะท้อน ท่าที ความคิด ตัวตนของเรา
รวมถึงวิธีที่เราปฎิบัติกับคนรอบข้างเราด้วย

แนวทางที่แนะนำไว้ในหนังสือ จึงเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยสร้างทัศนคติให้แก่เรา
ช่วยฝึกให้เราใส่ใจ รวมถึงเห็นคุณคำของผู้อื่นและสิ่งต่างๆ
ซึ่ง ความใส่ใจ นี่แหล่ะ ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญให้เรามั่งคั่งได้

เพราะการเป็นคนใส่ใจ ให้เกียรติผู้อื่น นั้นเป็นคุณสมบัติของคนที่น่าคบค้าสมาคมด้วย
ซึ่งนั่นจะเป็นเหตุให้"เรียกเงิน"ได้

การเปลี่ยนแปลงของความมั่งคั่งจึงเกิดจากการเปลี่ยนแปลงชีวิต
เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงท่าทีภายใน ซึ่งทั้งหมดเริ่มต้นได้ด้วยการเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ใบเดียว


ปล. หนังสือ ชีวิตมั่งคั่งด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว
เขียนโดย Junichiro Kameda (จุนอิชิโร คะเมะดะ)
สำนักพิมพ์ welearn

Jan 3, 2016

การเขียน เป็นเรื่องของการเรียนรู้...

ในแวดวงของนักการตลาด เรื่อง Content marketing ได้รับการหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอย่างกว้างขวาง หลายฅนคงเคยได้อ่านบทความแนะนำ วิธีการ เขียน Content อย่างไรให้โดนใจฅนอ่าน จะตั้งชื่ออย่างไรให้คนสนใจ หรือ content ฮิตต้องทำอย่างไร บลา บลา บลา...
นี่ยังไม่รวมแนวคิด passive income สร้างรายได้จากการเขียน หรือการทำ blog พวก เขียนอย่างไรให้รวยอีกนะ

ทำให้ยุคสมัยนี้ ใครๆ ก็พากันเขียน พากันสร้าง content ด้วยหวังอยากจะ ได้ การแชร์เยอะๆ สร้าง content ให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง...

อนิจจา... อาเมน
.
.
.

ผมสังเกตตัวเอง ช่วงที่ผมไม่ค่อยเขียนอะไรออกมา ผมมักมีข้ออ้างว่า ไม่มีเวลา แต่พอลองคิดดูจริงๆ ไม่ใช่ว่าเพราะผมไม่มีเวลาเขียน
แต่เป็นเพราะ ผมไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่ม หรือเรียนรู้แต่ไม่ได้เอามานั่งย่อยจนตกผลึกเป็นความเข้าใจของตัวเองมากกว่า

สำหรับตัวผมเอง การเขียน เป็นการถ่ายทอดเรื่องราว ความคิด มุมมองของเรา ออกมาให้กว้างใหญ่กว่าตัวของเรา

ตัวผมอยู่ที่กรุงเทพ อาจจะกำลังหลับอยู่ แต่คนที่อเมริกาหรือที่ไหนๆ ก็อ่านสิ่งที่ผมเขียนได้ และเขายังแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นแย้งไว้ได้
เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด และอาจกลายเป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาก็ได้

...
ปีนี้ เดิมทีผมตั้งใจจะเขียนให้สม่ำเสมอมากขึ้น
แต่หลังจากได้ไตร่ตรองแล้ว จุดที่ผมต้องให้ความสำคัญจึงไม่ใช่เรื่องความสม่ำเสมอของการเขียน
แต่คือความสม่ำเสมอของการเรียนรู้ต่างหาก

ผมคิดว่าการเขียน หรือ สร้าง content นั้น ต้องไม่ใช่สักแต่เขียน หรือเขียนโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อได้อะไรบางอย่างกลับมา จนการเขียนนั้นกลายเป็น มลภาวะด้านการอ่านแก่ฅนทั่วไป
แต่การเขียน คือ การบันทึกความคิด ความเข้าใจที่เราได้เรียนรู้มา

การเขียน จึงเป็นเรื่องของการเรียนรู้ ก่อนที่จะเป็นเรื่องของการแบ่งปัน และ การสื่อสาร

แล้วหลังจากนั้น เราจะนำ การเขียน ไปใช้ประโยชน์อย่างไร ไม่ว่าเรื่องการตลาด การประชาสัมพันธ์ หรือเรื่องอื่นๆ นั่นก็เป็นเรื่องของการประยุกต์อีกที เช่น การทำ Content marketing
ดังนั้น คำถามจึงไม่ใช่แค่ถามว่า จะทำ content อย่างไร เท่านั้น

สำหรับการทำ content marketing ผมมีคำถามเบื้องต้น 3 คำถาม ที่ผมขอแนะนำ คือ
1. ใครคือคนที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย
2. สื่อ ของเรา จะเข้าถึง คนเหล่านั้นได้อย่างไร
3. คนเหล่านั้น จะได้ประโยชน์ (ที่เขาต้องการ) อะไรจากสื่อของเรา

แต่ content marketing ก็ไม่ใช่แค่เรื่องของการเขียนเท่านั้น อีกทั้งว่ากันตามจริง คำถาม 3 ข้อนี้ ก็อยู่กลางเรื่องแล้ว ยังมีคำถามที่ต้องถามก่อนหน้านี้ และหลังจากนี้ เพื่อให้การทำ content marketing ประสบความสำเร็จตามต้องการ


ไว้ค่อยมาเขียนต่อละกันนะ
------------------------------

Writing is a way to communicate what you've learnt and thought
- arthur -

Jul 15, 2015

กบ กบ กบ... อ้บอ้บ

ครั้งเมื่อยังเป็นเด็ก เราอาจเคยได้ยินนิทานเรื่องเจ้าชายกบ ผมเองก็เป็นฅนหนึ่งที่ได้ฟังนิทานเรื่องนี้ และสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าหญิงรูปงามนั้น กล้าจูบกบที่มีรูปร่างแสนจะอัปลักษณ์ได้อย่างไร

เนื้อตัวก็ตะปุ่มตะป่ำ สีก็ดูซีดเซียว ตัวก็เล็ก หน้าตาก็ดูไม่ค่อยฉลาด ...
ใช่แล้วครับ ตอนเด็กๆ ผมเข้าใจผิดว่า คางคก คือ กบ มาตลอด

จนวันหนึ่ง ได้กินกบผัดเผ็ด ถึงรู้ว่ากบนั้นจริงๆ หน้าตาเป็นอย่างไร

หลายครั้งที่ได้นึกถึงเรื่องนี้ก็มักจะนึกต่อไปถึงสำนวนไทยที่ว่า คางคกขึ้นวอ
อดสงสัยไม่ได้ว่า คนสมัยโบราณนี่ช่างเข้าใจเปรียบเปรยนะ
ฅนเราพอมีใครชมเข้าหน่อย ก็ทำทะนงตัว คิดว่าตัวเองนี่สำคัญ แน่แล้ว เด่นแล้ว ดังแล้ว
สุดท้ายก็ยังคงเป็นได้แค่ คางคก ตัวหนึ่งเท่านั้น

ตอนเด็กๆ ก็สงสัยนะว่า ทำไมไม่ใช้ กบขึ้นวอ เนาะ
และก็ไม่มี คางคกในกะลา ด้วยนะ มีแต่สำนวน กบในกะลา
ทั้งที่ก็เปรียบเปรยไม่ต่างกันถึงคนจำพวกที่คิดว่าโลกที่ฉันเห็น ความรู้ที่ฉันมีนั้น มันยิ่งใหญ่คับฟ้าเสียเต็มประดา ทั้งที่จริงๆ แล้ว น้อยนิดเท่าหางอึ่ง

จะว่าไปตอนเด็กๆ ผมจับอึ่งมาเล่นหลายครั้งเพราะพยายามจะมองหาว่า หางมันอยู่ตรงไหนนะ แต่ก็ไม่เคยเจอเสียที

ในบรรดาสัตว์ทั้ง ๓ ตัวนี้ ผมก็ยังโหวตให้กบนะ เพราะกบมันกินได้ ผมคิดว่าคนโบราณเขาก็คงกินกัน ถึงมีคำพูดติดปากกันว่า ต้มกบ

กบส่วนใหญ่นั้นแข็งแรง เราจับลงหม้อที่น้ำเดือดๆ ร้อนๆ ยังไงมันก็กระโดดหนีออกมาได้
คนเก่งหลายคนก็เป็นอย่างนั้น โดดไปเจอปัญหา ก็หาวิธีจัดการแก้ปัญหาหรือหลบหลีกกระโดดหนีเอาตัวรอดออกมาจนได้
วิธีต้มกบที่ได้ผลคือ ต้องใส่กบลงในน้ำธรรมดา แล้วค่อยๆ เร่งไฟให้ร้อน คนเก่งๆ หลายคนที่มองไม่เห็นว่า แท้จริงแล้ว สถานการณ์ที่ตนเองเผชิญอยู่นั้น กำลังย่ำแย่เลวร้ายลงขนาดไหน ปัญหาจริงๆ คืออะไร กว่าจะรู้ตัวก็เลยเส้นกู่ไม่กลับไปแล้ว กลายเป็นกบต้มสุกให้คนเขาเอาไปกินกัน

จะว่าไป นิทานของฝรั่งอย่าง เจ้าชายกบ นี่ก็ใช่ย่อยนะครับ เพราะในมุมของกบตัวหนึ่ง มันก็คงเฝ้าฝันหลงเพ้อว่าตนเองนั้นเป็นเจ้าชาย สูงส่งด้วยปัญญาและความสามารถ รอเพียงจะได้พบกับเจ้าหญิงที่คู่ควร และหากได้รับโอกาสจากเจ้าหญิง กบตัวน้อยก็จะเเปลงร่างเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงาม ที่พร้อมจะมอบความสุขให้เจ้าหญิงไปจนนิรันดร์

.
.
.
ชีวิตฅนเรานั้นก็เหมือนกัน

เราแต่ละฅนล้วนแตกต่างกัน แม้อาจจะบางเรื่องที่ดูคล้ายกันบ้าง หลายครั้งเราถูกตัดสินจากคนอื่น ซึ่งเขาเห็นลักษณะภายนอกบางอย่างของเราคล้ายกับอีกคนหนึ่ง ทั้งที่ความเป็นจริง ทั้งสองฅนนี้ อาจต่างกันอย่างมากก็เป็นได้

เรายังต้องเรียนรู้ ยังต้องฝึกฝนตัวเองอีกมาก โลกนี้กว้างใหญ่นักและหมุนเร็วมากขึ้นทุกวันๆ
ตลอดเวลาที่ผมทำงานมา ๑๕ ปี ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าฅนอื่นเลย แม้แต่วันเดียว ไม่เคยคิดว่าลูกค้าโง่กว่า ไม่รู้อะไร ไม่เคยคิดว่าเราฉลาดกว่าลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่หัวหน้าก็ตามที
เราทุกฅนแค่เก่งต่างกัน เก่งกันละด้าน แค่ยอมรับจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองและฅนอื่น ให้เกียรติแก่กันและกัน

ไม่ต้องเหมือนเจ้าชายกบที่ต้องพยายามทำตัวให้ดูดีดูเด่น เพื่อเรียกความสนใจจากเจ้าหญิง ต้องยกตนขึ้นมาโอ้อวดเพื่อให้เจ้าหญิงเชื่อว่า นี่คือเจ้าชายรูปงาม จนยอมมอบจุมพิตให้ ตื่นเถิดกบน้อย
ความกลัวว่าจะไม่ได้กลายร่างเป็นเจ้าชายนั่นแหล่ะ คือ สิ่งสำคัญที่ทำให้กบสูญเสียตัวตนของตัวเองไป

.
.
.
อย่าเป็นกบเลย เป็นฅนกินกบดีกว่า... eat that frog!


Jun 23, 2015

ทำไม ผมถึงไม่อยากเป็น Social Media Manager

เมื่อ 4-5 ปีก่อนผมจากลาเมืองกรุงกลับไปทำไร่ทำสวนอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด แต่ด้วยความที่ยังชอบงานด้านการตลาด ก็ยังรับ freelance อยู่บ้าง รวมถึงงานแปล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ marketing research และ branding จนในที่สุดก็หวนคืนสู่วงการอีกครั้งกับ onebit matter หรือที่หลายฅนอาจรู้จักในนาม OBVOC

social media monitoring หรือ social media marketing ในขณะนั้นแทบจะไม่เป็นที่รู้จักเลยในเมืองไทย แบรนด์และเอเจนซี่ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นประโยชน์ของเครื่องมือการตลาดตัวนี้

ใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่เราจะเริ่มมีลูกค้ารายแรก เริ่มมีทีมงาน ซึ่งผมจะบอกทีมทุกคนเสมอว่า ไม่ว่าชื่อตำแหน่งเราจะเรียกให้เก๋ไก๋ยังไง จะเป็น social media analyst, digital strategy, consumer insight, ... เอาเป็นว่า ให้รู้ไว้เสมอว่าเนื้อแท้  เราคือ marketing

แต่ไหนแต่ไรมา หลักสำคัญของการตลาดยังคงเหมือนเดิม (ยอมรับเลยว่า Kotler เก่งมากจริงๆ) แต่การประยุกต์ใช้นั้นล้วนแตกต่างกันตามบริบทแวดล้อมและความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องเอา เนื้อหา เหล่านี้ มาปรับให้มันใหม่ขึ้น มาพูดถึงให้ดูน่าสนใจขึ้น ตามนิสัยถาวรของนักการตลาด

ตั้งแต่วันแรกที่หวนกับมาเริ่มทำงานที่ตัวเองชอบอีกครั้งจนถึงวันนี้ ผมดึงดันปฏิเสธที่จะใช้ชื่อตำแหน่ง โดยมีคำว่า social media หรือ digital อยู่ด้วยเสมอมา เพราะสิ่งเคลือบฉาบเหล่านี้ จะอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น วันใดที่ฟางถูกไฟไหม้หมดลง เมื่อการเปลี่ยนผ่านไปถึงจุดที่วิถีใหม่เข้ามาแทนที่วิถีเก่ามากขึ้น ผู้ฅนเข้าใจสิ่งใหม่มากขึ้น สิ่งที่คงเหลืออยู่ คือ เรื่องของ consumer behavior หรือ ก็คือ พื้นฐานของ marketing นั่นเอง

ผมคิดว่า social media เป็นเพียง รูปแบบ หนึ่งของ marketing เท่านั้น เพียงแต่เป็นรูปแบบที่มีน้ำหนักและความสำคัญมากขึ้นทุกวัน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนไป วิธีคิดของผู้คนเปลี่ยนไป เทคโนโลยีและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เปลี่ยนไป หลากหลายความต้องการที่เกิดขึ้นเองโดยผู้บริโภคไม่รู้ตัว ทั้งที่ตามกระแสไปเองและถูกปลูกฝังขึ้นมา ผ่านความง่ายและความคุ้นชิน เหล่านี้ล้วนถูกพบเห็นได้ในสังคมเสมือนง่ายขึ้นและบ่อยมากขึ้น

ทักษะหรือความรู้ด้าน social media/digital นั้น จะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานของผู้ฅนมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ ทักษะและความรู้ด้าน Marketing, Analytic, Consumer behavior และ Strategy เหล่านี้ต่างหากที่จะยังคงมีความสำคัญอยู่
แม้ว่ากว่าจะไปถึงจุดนั้น ทักษะอย่าง data mining หรือ big data ก็อาจจะเข้ามามีบทบาทอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว AI ก็จะเข้ามาทดแทนได้อยู่ดี

จุดวัดที่สำคัญของนักการตลาดยุคใหม่ จึงไม่ใช่เเค่เรื่องของ ความคิดสร้างสรรค์ หรือ ความแม่น เท่านั้น แต่คือ การตอบสนอง ความต้องการแอบแฝง ซึ่งสกัดมาจากพฤติกรรมต่างๆ ของผู้บริโภค ให้เกิดมูลค่าเพิ่มแก่ธุรกิจได้

ผมคิดว่า อีกไม่กี่ปีนับจากนี้ โลกแห่งความจริง (กายภาพ) กับ โลกแห่งความจริงเสมือน (social media) จะซ้อนทับกันมากขึ้นด้วยอัตราเร่ง ชื่อตำแหน่งที่มีทักษะเฉพาะของโลกออนไลน์นำหน้า ก็จะยิ่งหายไปจากตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าถามผมว่า หากเลือกได้ อยากได้ชื่อตำแหน่งของตัวเองเป็นอะไร
ผมว่า chief marketing officer อาจจะฟังดูสูงวัยไปสักหน่อย แต่ถ้าเป็น chief consumer insight partner ก็ฟังดูเข้าทีดีอยู่นะ ว่างั้นไหมครับ :)


11.06.2014


ป.ล. มีบริษัทแห่งหนึ่งเสนองานมา ให้ไปเป็น Social media Manager ปฏิเสธไปแล้วด้วยเหตุผลข้างต้นอย่างย่อๆ เลยมาเขียนบันทึกเอาไว้ เผื่อเขาอาจได้มาอ่านเหตุผลอย่างยาวๆ ว่าผมคิดอย่างไร

ป.ล. ๒ แม้ผมจะปฏิเสธ การใช้คำพวก "social media" "digital" อยู่ในชื่อตำแหน่ง แต่ไม่ปฏิเสธว่า ผู้บริโภคตอนนี้ กำลัง digitization กันเร็วมาก ดังนั้น การใช้วิธีคิดแบบ traditional marketing เพียงอย่างเดียว ก็มีแนวโน้มไม่เวิร์คอยู่ดี // 23.03.2015


ภาพประกอบ: http://www.thebamboogarden.com.au/