Aug 24, 2008

ฝัน ?

เมื่อเช้า นอนเปื่อยๆอยู่ ก็นึกถึงหน้าใครบางคนที่เคยยิ้มให้ จำได้ว่าในฝัน เรายิ้มมีความสุขดี

นึกถึงเมื่อครั้งหนึ่งที่นอนป่วยอยู่ที่ขอนแก่น คนคนหนึ่งที่อยู่เช็ดตัวให้จนไข้ลด

คนคนหนึ่ง ที่ยืนมองพระอาทิตย์ตกบนยอดตึกด้วยกัน

คนคนหนึ่ง ที่มีวิธีการเตือนได้น่ารักน่าฟังยิ่งนัก

คนคนหนึ่ง ที่มานั่งเป็นเพื่อนตอนที่ร้องไห้อยู่คนเดียว

คนคนหนึ่ง ที่นั่งเล่าสู่ความฝันให้ฟังกันและกัน

คนคนหนึ่ง ที่พยายามจะลืม แต่ไม่เคยทำได้เสียที

คนคนหนึ่ง ที่คุยกันเมื่อไหร่ ความรู้สึกที่มีให้ก็เหมือนเดิม

คนคนหนึ่ง ที่ชีวิตวนกันไปเวียนกันมาอยู่เป็นระยะๆ

คนคนหนึ่ง ที่คำสัญญายังคงเป็นคำสัญญาเสมอ


ปีที่แล้ว มีเพื่อนคนหนึ่งเคยถามว่า 9 ปีที่ผ่านมา ไม่มีความหมายอะไร ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ
มีสิ มีความหมายมากทีเดียว และก็รู้สึกมากด้วย เสียดายมาก แต่ตอนนั้นก็แค่คิดว่า คนไหนก็ได้ที่รักกัน ที่จะไปด้วยกัน เดินรับใช้พระเจ้าไปด้วยกัน
ก็ถวายให้พระเจ้า ตัดใจไป เราบังคับใจใครไม่ได้อยู่แล้ว
ที่สำคัญ ความรู้สึกว่า เสียดาย กำลังสะท้อน ว่าเราให้สิ่งที่เรารัก เราเห็นคุณค่ากับพระเจ้าที่เรารัก
ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมรู้ว่า ผมรักพระเจ้าที่สุด รักพระองค์มากกว่าคนที่ผมรักมากที่สุด


วันหนึ่ง เมื่อรู้ซึ้งถึงคำว่า ความรักความผูกพัน ดูเหมือนอะไรต่อมิอะไรมันก็ล่วงเลยผ่านไปมากแล้ว
ถ้าหากเราย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้คงดี

ไม่ว่าพยายามจะบอกตัวเองอย่างไร บอกคนรอบข้างอย่างไร ความจริงก็ยังคงเป็นความจริง เรื่องจริงของความรัก ที่เราบังคับฝืนมันไม่ได้ ความรักยังคงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันออกแบบตัวของมันเองเสมอ

ตื่นจากฝันครั้งนี้ อยากจะลงมือสร้างฝันครั้งใหม่ อยากจะร่วมสร้างฝันกับคนคนหนึ่ง... คนนั้น

Aug 23, 2008

เล็ก เหลา ชิ้น ตก เปื่อย

หมดแรงจะคลานแล้วว่ะ

ทำไม

อะไร

ยังงัย


มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเนี่ย

รู้สึกเหมือนได้กลับมายืนที่เดิมเลย ยืนที่เดิม เงียบๆ คนเดียว

Aug 22, 2008

แต่งงาน ?

เคยคิดอยากแต่งงานมาก็หลายครั้ง แต่ละครั้งก็จริงจังขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่รู้สึกถึงความจริงจังและรุนแรงเหลือหลาย
สถานการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นอย่างเจาะจง ให้คิดถึงเรื่อง คู่อุปถัมภ์

ไม่น่าเชื่อว่าเราจะโตขึ้นได้ขนาดนี้ นิ่งได้ขนาดนี้ แรงกดดันมีผลดีต่อการสร้างชีวิตคนจริงๆ

เมื่อวันก่อน นั่งคุยกับน้องคนหนึ่ง บอกเขาไปว่า ความสับสนวุ่นวาย ทำให้คนเก่งขึ้น แต่ความนิ่งสงบ ทำให้คนเติบโตขึ้น (แต่เราก็ไม่ได้บอกไปหรอกนะว่า บ่อยครั้ง การนิ่งสงบนั้น เกิดขึ้นภายใต้สภาวะแรงกดดันแบบสุดๆ)
... จริงๆนะ ก้อน carbon ธรรมดาๆก้อนหนึ่ง ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า "ถ่าน" แต่ถ้า เอาถ่าน ธรรมดาๆก้อนนี้ กด อัด บีบ หลอม อยู่ภายใต้สภาวะแรงกดดันหนักๆเป็นเวลานานเพียงพอ สุดท้าย เราจะได้ เพชร ก้อนหนึ่ง
ถ่านยิ่งก้อนใหญ่ ก็ยิ่งใช้เวลานาน ชีวิตยิ่งใหญ่ ก็คงใช้เวลานานไม่ต่างกัน

อีกวันคุยกับน้องอีกคน เรื่อง แนวคิด การสร้างชีวิตคน ด้วยภาพเปรียบเทียบของต้นไม้
ต้นไม้มี 2 ลักษณะ คือ ไม้ยืนต้น กับ ไม้ล้มลุก
ไม้ล้มลุก ขึ้นง่าย ให้ผลเร็ว แต่อายุไม่ยืน และมักไม่สามารถเป็นร่มเงาบังแดดฝนให้ใครได้ ขณะที่
ไม้ยืนต้น โตช้าหน่อย แต่เมื่อโตแล้ว ก็เป็นร่มเงาให้นกกามาอาศัยทำรังอยู่ได้มากมาย

และต้นไม้ก็มีการเติบโต 2 แบบ คือ ไม้ป่า กับ ไม้ปลูก
ไม้ปลูก คือ ต้นไม้ที่เราปลูกขึ้น ดูแล ให้น้ำ ค้ำยัน ทำร่ม เรียกว่า ประคมประหงมกัน เพื่อมั่นใจได้ว่า โตแน่ ขณะที่
ไม้ป่า คือ ไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มีเพียงการยืนหยัดของตัวมันเอง กับ การช่วยเหลือจากฟากฟ้าเท่านั้น (แถวบ้าน พ่อชอบเรียกว่า ปลูกแบบฝากเทวดาเลี้ยง เหอ เหอ เหอ)

ชีวิตคนเราก็เรียนรู้จากต้นไม้ได้ คนเราย้ายที่ย้ายทางบ่อย ก็ไม่ต่างจากไม้ย้ายดิน ถ้าเป็นไม้ล้มลุกก็ไม่เป็นไร แต่ไม้ใหญ่คงลำบากหน่อย ความแข็งแรง ความมั่นคง คงต้องใช้เวลา
คนที่โตมาแบบไม้ปลูก ก็มักคิดว่า ชีวิตคนเราสร้างได้ออกแบบได้ ซึ่งก็จริงส่วนหนึ่ง แต่บางเรื่อง เราก็ออกแบบไม่ได้ เช่น ความรัก ความรักออกแบบตัวของมันเอง ^^
แต่คนที่โตมาแบบไม้ป่า รากจะแข็งแรงกว่า แผ่ขยายและลงลึกกว่า เพราะต้องหาน้ำ หาอาหารเอง และเวลาเจอพายุ ก็ไม่มีอะไรให้คอยพยุงชีวิตเอาไว้
ไม้ป่า อาจมองไม่สวยเหมือนไม้ปลูก แต่ช่างไม้รู้กันดีกว่า เนื้อไม้ภายในของมัน แข็งแรงและสวยงามมากเพียงใด

ไม้ป่าที่กำลังยืนต้นอย่างผม คงไม่เหมาะกับ ไม้ปลูก หรือ ไม้ล้มลุก เท่าไหร่
แม้จะมองไม่ค่อยเห็นทาง แต่ก็วางใจพระเจ้าว่า พระองค์จะทรงเป็นหนทางให้เราได้มั่นใจ และเมื่อถึงเวลา ความไม่พร้อม ของเรา ก็จะกลายเป็น ความพร้อม สำหรับการใช้ชีวิตคู่กับอีกคนหนึ่งได้

Aug 8, 2008

ไปช้าๆ... ไวที่สุด

เมื่อวานนี้ เกิดอุบัติเหตุอีกแล้ว
เอารถน้องอีฟ ไปเอาของแถวราม แล้วก็ต้องรีบบึ่งไปบางนาต่อ
ขณะลงจากสะพานข้ามคลอง พอหลุดโค้งมา รถคันหน้าเราก็เร่ง เราก็เร่งตาม แล้วเขาก็เบรกกกกกก !!

เราก็เบรก เหมือนจะเบรกทัน เข้าใจว่ารถคงใส่ของมาหนัก มันก็เลยมีแรงโถมไปข้างหน้า กระจังหน้าแตก โลโก้หลุดไปเลย
เขาก็ดี รีบออกมาขอโทษยกใหญ่ เขาก็บอกว่า มีมอไซค์ตัดหน้าเขา เขาจึงต้องรีบเบรกอย่างกระทันหัน

สักพักใหญ่ๆ ประกันมาถึง เรากลายเป็นฝ่ายผิดซะงั้น เพิ่งจะรู้ว่า ถ้ามาเลนเดียว รถขับตามหลัง ชนเขา อย่างไรก็ผิด T_T

กลับมา ก็ขับไปให้เพื่อนที่อู่ดูตีราคาค่าซ่อม เฮ้อ... เเหนื่อยสุดๆ แต่ก็ยังเห็นพระพรของพระเจ้านะ เพราะถ้าชนสูงกว่านี้อีกไม่กี่มิล ก็จะโดนฝากระโปรงหน้าด้วย นั่นหมายถึง อย่างน้อยอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท

เคลียร์เรื่องรถเสร็จ ก็มานั่งตอกไม้ ทำชั้นวางของ กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน เตรียมใจไว้ตั้งแต่รถชนแล้วว่า คงได้ทำคนเดียวแหงๆ จริงๆ ตั้งแต่รู้ว่าต้องไปเอาของแทรกเข้ามา ก็พอประเมินได้ว่าเวลาทำชั้นคงเลื่อน คนที่นัดไว้ก็อาจไม่ว่าง... จริงตามนั้น

นั่งทำไป นึกถึงเรื่องที่เจอ และเรื่องที่กำลังคิดอยู่ในใจ ก็เข้าใจแนวคิดเรื่อง เวลาของพระเจ้ามากขึ้น
มนุษย์อย่างเราๆท่านๆ มีเหตุมีผลคิดอะไรเยอะแยะ ทำนู่นนี่นั่นมากมาย เราก็เลยต้องเร่งรีบทำให้ไว เพื่อจะทำให้ได้เยอะ

แต่

หลายเรื่อง หลายครั้ง การค่อยเป็นค่อยไป การไปอย่างมีเสถียรภาพ กลับเป็นการใช้เวลาที่น้อยที่สุด
การที่เรารีบเร่งทำทุกเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่ได้แปลว่า ภาพรวมการใช้เวลาจะน้อยที่สุด

... ต้นไม้ การเร่งให้มันมีผลไวๆ อาจจะทำได้ แต่จะคาดหวังว่า ผลนั้นจะหอมหวานอร่อย คงจะยาก

นึกถึงที่พ่อเคยสอนไว้... "ช้าเสียการ นานเสียกิจ" ต้องใช้คู่กับ "ช้าๆได้พร้าสองเล่มงาน"

(สำหรับบางเรื่อง)ไปช้าๆน่ะ... ไวที่สุด