May 3, 2011

ถวิลหา

เมื่อวานนี้เป็นวันที่พีคมาก
จริงๆ แล้วก็สะสมมาได้ ๔-๕ วันแล้วล่ะ... หรืออาจจะเป็นเดือนก็ได้นะ
และก็อาจจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก ๒-๓ สัปดาห์ละมั้ง
ดีอย่างที่ว่าคราวนี้ อารมณ์ไม่ระเบิดออกให้คนข้างเคียงต้องเจ็บปวด
เพียงแต่อัดอั้น เป็นแรงกดดันอยู่ภายในตัวเองเท่านั้น

ช่วงเวลาแบบนี้ มักจะนึกถึงข้อพระคัมภีร์ข้อนึงอยู่เสมอๆ
“มิตรสหายก็มีความรักอยู่ทุกเวลา และพี่น้องก็เกิดมาเพื่อช่วยเหลือกันในวันทุกข์ยาก”

หยิบแฟ้มที่เก็บการ์ดและโน้ทหนุนใจขึ้นมาอ่าน
เรื่องราวและลายมือของผู้เขียน ชวนให้คนอ่านนึกย้อนถึงวันเวลาที่ล่วงผ่าน
คำขอบคุณ คำหนุนใจ คำเตือนสติ คำแซว แม้แต่คำอำลา...

นึกถึงหน้าตาท่าทางของคนเขียน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ...
เหมือนดั่งว่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน
ทั้งที่ความจริง กระดาษบางแผ่น มีอายุร่วม ๑๐ ปี

หลายแผ่นเขียนจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ชมรมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
หลายแผ่นเขียนจากพี่สาวอารมณ์ดี ผู้ที่ผมเคารพและสนิทมากคนนึง (ผมยังจำ บ่ายต่อดึก ของเจ๊ได้นะ)
บางแผ่นเขียนโดยพี่ชายที่ผมทำนิสัยแย่ๆ กับเขาไปหลายครั้ง
บางแผ่นตัดเก็บจากหนังสือ ที่อ่านแล้ว “โดน” ในช่วงนั้นๆ
หลายแผ่นเขียนจากน้องสาวคนนึงที่ผมรักมาก
และอีกหลายแผ่น เป็นคำขอบคุณจากต่างกรรมต่างวาระกัน
เหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน...

หลายชิ้นเป็นโปสการ์ดที่เจ้าของเดินทางไปที่ต่างๆ แล้วนึกถึง
บางชิ้นเป็นภาพถ่ายที่ไม่มีตัวอักษรใดๆ มีเพียงสีหน้าและความรู้สึกที่อยู่ในนั้น
มีชิ้นหนึ่งเป็นเหมือนเศษกระดาษไหม้ไฟ ส่วนอีกชิ้นหนึ่ง เป็นการ์ดวันเกิดย้อนหลังที่ผมอ่านแล้วซึ้งใจ
รวมถึงอีกหลายต่อหลายชิ้น ซึ่งต้องนับทุกชิ้นเป็นงานแฮนด์เมด
เพราะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว...

เจ้าของกระดาษหนุนใจเหล่านี้ บางคนยังสนิทกันอยู่ดี หลายคนก็ยังติดต่อได้อยู่
มีไม่น้อยที่ห่างเหินกันไปบ้าง ตามวัย ตามระยะทาง และภารกิจของชีวิตแต่ละคน
ซึ่งก็ยังดีกว่าอีกหลายคน ที่ผมเองนึกไม่ออกว่าจะได้เจอกันที่ไหนอีก...
แต่อย่างไรก็หวังว่า ทุกคนจะกำลังมีความสุขกับชีวิตของตัวเองดีอยู่นะ

นั่งอ่านแล้วก็มีกำลังใจขึ้นมา นึกถึงภาพหนึ่งในความทรงจำ
ที่พี่ประกิจร้องเพลง “กำลังใจ” ให้ฟัง

สำหรับทุกคนที่ผม tag มา และอีกหลายคนที่อ่านไทยไม่คล่องหรือผมไม่มีเฟซ
อยากบอกว่า “ขอบคุณมาก”

ขอบคุณมากสำหรับการระลึกถึง
ซึ่งครั้งหนึ่งได้แปรรูปส่งมาถึงยังมือของผมให้จับต้องได้
ไม่ว่าจะในรูปแบบของกระดาษโน้ท โพสการ์ด ภาพถ่าย หรือ จดหมาย
มันยังคงมีชีวิตอยู่ ผมเองได้เก็บรักษาทุกชิ้นไว้อย่างดี

ขอบคุณ สำหรับความเป็นมิตรสหายและความเป็นพี่น้องที่มีให้กัน...

อย่างน้อยครั้งหนึ่ง สิ่งที่ท่านได้มอบไว้ให้ วันนี้ ได้ช่วยให้ผม มีกำลังใจขึ้นมากทีเดียว
ขอบคุณจริงๆ ครับ


ขนมหวาน
ในรัชสมัยพระจักรพรรดิออกัสตัส (Augustus, ๖๓ ปีก่อนคริสต์ศักราช ค.ศ.๑๔) แห่งจักรวรรดิโรมัน ได้มีการจัดตั้งระบบการติดต่อทางไปรษณีย์ของทางการ (state post) ขึ้น มีการใช้ม้าในการส่งข่าวสาร มีการจัดตั้งสถานีที่พักสับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่และม้า มีอาหารและที่พักพิงสำหรับเจ้าหน้าที่สื่อสาร และข้าราชบริพารที่เดินทางมาพักเรียกว่า โพซิตัส (positus) แปลว่าตั้งไว้หรือกำหนดไว้ เชื่อว่าเป็นที่มาของคำว่า “post” (การไปรษณีย์)

หลังจากที่ผู้คนหันไปใช้บริการอินเตอร์เน็ตกันอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้โลกของเราก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล ซึ่งพลิกโฉมวิถีชีวิตของผู้คนจากการเขียน (writing) ไปเป็น การพิมพ์ (typing) มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้โลกของเราจะก้าวล้ำไปด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลอีกไกลแค่ไหน ผมก็ยังคิดว่า การเขียนด้วยกระดาษและดินสอ (หรือปากกา) ยังคงความคลาสสิคไว้ได้ดั่งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

Apr 25, 2011

in search of "ใบตำลึง"

เมื่อหลายวันก่อน ได้รับมอบหมายภารกิจแห่งลูกผู้ชาย
นั่นคือ การไปเก็บ (ยอดอ่อน)ใบตำลึง ท้ายไร่
ก่อนที่จะถูกตัดไปพร้อมกับหญ้า

ตำลึงเป็นพืชไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง และเนื่องจากบ้านผมเป็นสวน
เราจึงไม่อนุญาตให้ตำลึงเลื้อยขึ้นไปบนต้นไม้
ให้เลื้อยได้เฉพาะบนดินเท่านั้น
ดังนั้น
ถ้าต้องตัดหญ้า หมายถึงตำลึงก็จะโดนตัดไปด้วย
ซึ่งฝนเพิ่งตกใหม่ๆ แบบนี้
แหม... คุณเอ๋ย ถ้าได้ลองยอดตำลึงวัยขบเผาะแล้วจะติดใจ

"ดูให้ดีหน่อยนะ ตอนนี้ไม่รู้มีหญ้ามาจากไหน มันเลื้อยเหมือนตำลึงเลย"
นั่นคือคำเตือนจาก "พ่อ" ผู้มอบหมายภารกิจ

ผมออกไปเก็บตำลึงแต่เช้า ด้วยความไม่ชะล่าใจ
คราวนี้ใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวเพื่อกันยุงกัดเต็มยศ
(ยุงบ้านผม ตัวใหญ่มาก จิ้มทีแขนเป็นรูอ่ะ)

ผมพบว่า ท้ายไร่มีไม้เลื้อยขึ้นค่อนข้างพอสมควร
ที่สำคัญใบมันก็คล้ายๆตำลึงซะด้วยสิ แต่ก็ไม่แน่ใจ
จะลองกินดูก็ไม่กล้า
จะกลับไปถามพ่อ พ่อก็ไปวัดทำบุญแล้ว
ก็เลยลองเก็บไปก่อน

ยิ่งเก็บยิ่งพบว่ามันมีเยอะมาก
ยิ่งเก็บยิ่งเกิดความไม่แน่ใจว่ามันคือตำลึงขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่ง
ณ ใต้ร่มเงาของมังคุดต้นหนึ่ง
ผมพบต้นอะไรซักอย่าง (ที่ผมเก็บไปแล้วครึ่งหม้อ) กับ
ต้นอะไรอีกซักอย่างที่เห็นปุ้บ รู้เลยว่า "ตำลึง" แน่นอน

ผมคว่ำหม้อทิ้งโดยไม่ลังเล
และเริ่มต้นเก็บยอดและใบตำลึงอ่อน

มีอยู่ที่หนึ่ง ที่เจ้า 2 ต้นนี้ขึ้นอยู่ด้วยกัน
เรียกว่าพันกันกลมเลย
ใบอ่อนของมันทั้งคู่ไม่ค่อยต่างกันนัก
จึงต้องใช้วิธีดูจากใบแก่ แล้วไล่เถาว์ไปหายอดอ่อน

บางที่เจ้าหญ้าชนิดนั้นมันพันต้นไม้ได้ จนทำให้ไม้ถูกโน้มกิ่งลงมา
น่ากลัวว่ากิ่งจะหักได้ แต่พอพยายามจะดึงมันออก
มันเหนียวใช้ได้เลยครับ

ผมเก็บอยู่อีกซักพักหนึ่ง ก็พบกับดงตำลึงที่แผ่คลุมพื้นดินอยู่
นั่นทำให้ภารกิจผมเสร็จเร็วขึ้น
ผมกลับบ้านพร้อมด้วยยอดอ่อนตำลึงหม้อใหญ่
และบทเรียนจากการเก็บตำลึงเช้านี้...

คนเราก็เหมือนหญ้าและตำลึง มีดีมีเลวปะปนกันไป
จะกำจัดคนไม่ดีโดยไม่ให้กระทบคนดี เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
ยิ่งโดยเฉพาะตอนยังเด็ก ยิ่งดูยากว่าใครดีใครเลว
สิ่งที่เราทำได้ คือ แยกแยะ และเลือกที่จะรักษาคนดีๆ ไว้กับเรา

คนแบบต้นหญ้านั้นชอบตะกายฟ้า สูงขึ้นได้ด้วยการดึงคนอื่นให้ต่ำลง
เหยียบและทำลายผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
(แถมหนังเหนียวตายยาก)
คนพวกนี้ชอบมี option เยอะ เหมือนหญ้าที่มีใบเเน่นเต็มไปหมด
ที่สำคัญ นิสัยของคนแบบนี้แพร่กระจายได้เร็ว

คนแบบตำลึงเรียบง่าย สมถะ เลื้อยไปกับดิน
มีใบน้อยแต่มีใบใหญ่ (บางใบใหญ่เท่าฝ่ามือผมเลยนะ)
ขยายตัวไม่เร็ว ไม่หวือหวา โตไปเรื่อยๆ
แต่... ตำลึงกินได้ และมีประยชน์

เราไม่จำเป็นต้องไปตัดสินว่าใครเป็นหญ้าเลื้อย
หรือใครเป็นตำลึง
เพราะในที่สุด คนเราก็จะแสดงนิสัยถาวรออกมาในที่สุด
และก็ต้องได้รับผลแห่งการกระทำของตัวเองกันไป

แต่ตอนนี้ ผมขอรับกรรมหม้อใหญ่ที่ผมลงแรงไปเก็บมาเมื่อเช้าก่อนนะครับ
แกงจืดหมูสับยอดอ่อนใบตำลึงนี่... มันแหล่มจริงๆ ครับพี่น้อง


ขนมหวาน:
ตำลึงจะมีอยู่ 2 แบบ คือ ตำลึงตัวผู้กับตำลึงตัวเมีย ชื่อทางวิชาการอย่าไปจำมันเลยนะครับ
เอาเป็นว่า ตำลึงตัวผู้จะมีสรรพคุณในการเป็นยาระบาย ส่วนตัวเมียไม่มี
วิธีสังเกต ก็คือ ตำลึงตัวผู้จะมีรอยหยักของใบลึกกว่าตำลึงตัวเมีย
และถ้าเห็นต้น ตำลึงตัวเมียจะมีลูกด้วย และพบได้ง่ายกว่าตำลึงตัวผู้
แต่ไม่ว่าจะตำลึงตัวผู้หรือหรือตัวเมีย ก็เป็นผักที่อุดมด้วยวิตามิน หากินง่าย และราคาไม่แพง

Mar 28, 2011

ท้าชีวิต ฝ่าลิขิตสวรรค์ (The Adjustment Bureau) **Spoil**

เมื่อ 10 ปีก่อน คราวตึกเวิร์ลดเทรดถล่มที่เมกา
ผมอ่านเจอว่า มีหลายคนรอดชีวิตเพราะเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ
บ้างก้มลงผูกเชือกรองเท้าที่หลุด ทำให้พลาดรถประจำทาง
บางคนกลับบ้านไปเอาของที่ลืมไว้ อะไรทำนองนี้

มองย้อนกลับมาในชีวิตเราเองบางครั้ง เราต้องเลือกเส้นทางเดินของชีวิต
ทางเลือกประเภท 50:50
แล้วมี "สัญญาณ" เล็กๆ เบาๆ ส่งมาถึงเรา
บางอย่าง ที่ดูเหมือนจะกำลังชี้แนะเราให้ไปทางใดทางหนึ่ง
บางอย่าง ที่ดูไร้เหตุผลสำหรับคนอื่น
บางอย่าง ที่อาจจะมีแต่เราเท่านั้นที่รู้ว่ามันจริง
และบ่อยครั้ง สิ่งแรกที่เราต้องเลือก คือ จะรับฟัง "สัญญาณ" นี้ไหม
(หรือจะเลือกดับสัญญาณ แล้วยอมตามความคิดและปัญญาของมนุษย์ด้วยกันเอง)

หลายคน มองเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ โชค ดวง ชะตาชีวิต ฟ้าลิขิต การปกป้องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือแม้แต่การอวยพรจากพระเจ้าก็ตามที

The Adjustment Bureau เป็นหนังที่ชวนให้คิดและเกิดคำถามว่า
ตกลงแล้ว พระประสงค์ / น้ำพระทัยของพระเจ้า คืออะไรกันแน่
น้ำพระทัยสมบูรณ์ / น้ำพระทัยตั้งต้น มีจริงหรือไม่
ดังที่ (ผู้ที่เรียกตนเองว่า) คริสเตียน หลายคนเชื่อและสอนสืบต่อกันอย่างจริงจัง

ผมเชื่อต่าง และคิดนอกคอก จากสิ่งที่ถูกสอนให้เชื่อตามๆ กันมาได้หลายปีแล้ว

ผมเชื่อว่า แผนการณ์ของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของ "อะไร" "ใคร" หรือ "ที่ไหน"
แต่เป็นเรื่องของ "อย่างไร"
พูดง่ายๆ ว่า สิ่งสำคัญ คือ "ท่าที"(หรือ ทัศนคติ) ในการกระทำสิ่งต่างๆ
(คุณทำในสิ่งที่คุณเชื่ออยู่หรือเปล่า)
ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะซับซ้อนอย่างไรก็ตาม ก็จะจบลงอย่างง่ายๆ ว่า
"คุณจะเลือกทำในสิ่งที่คุณเชื่อเสมอ"

และไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร
โปรดถามตัวเองว่า
"ฉันเต็มใจจะรับผลจากการเลือกของฉันไหม"
(โปรดอย่าโยนความรับผิดชอบนี้ไปให้คนอื่น แม้แต่ พระเจ้า!)

และไม่ว่าคุณจะเต็มใจหรือไม่ คุณจะต้องรับผลนั้นอย่างแน่นอน
(ข่าวดีก็คือพระเจ้ามีพระคุณกับเรา ข่าวไม่สู้ดีก็คือ พระเจ้าไม่ได้ให้พระคุณตามใจเรา)

ผมเชื่อว่า ความตั้งใจของพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยน
แต่พระองค์ปรับหนทางของพระองค์ตลอดเวลา
ขณะที่หลายคนอาจมองว่า แผนของพระเจ้านั้นคงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ซึ่งผมมองว่า อาจจะถูกทั้งคู่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเราใช้วิธีมองของใคร

จากมุมมองของมนุษย์ที่อยู่ ภายใต้ มิติของเวลา
หรือจากมุมมองของพระเจ้าที่อยู่ นอกเหนือ มิติของเวลา

ขอผมยกตัวอย่าง อาจช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

ลองนึกถึงเวลาที่เรานั่งรถอยู่ครับ แล้วมีรถอีกคันนึงขับมาตีคู่ด้วยความเร็วเท่ากับเรา
จากรถของเรา เราก็จะเห็นว่ารถคันนั้นวิ่งไม่เคลื่อนที่ไปไหน!
ทั้งที่ในความเป็นจริงจากสายตาของคนที่ยืนอยู่ริมถนน ทั้งเราและเขาต่างก็กำลังเคลื่อนที่ด้วยกันทั้งคู่
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะความเร็ว (เวลา) โดยเปรียบเทียบของเรากับคนริมถนนต่อรถอีกคันหนึ่งนั้น
ไม่เท่ากัน

พระเจ้าทรงเป็นทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย
พระองค์ทรงหยุดนิ่งอยู่ ณ ทุกจุดของเวลาที่เลื่อนไหลของเรา
เราอาจรู้สึกว่า พระเจ้าตีคู่ไปกับเราอย่างนิ่งๆ
แต่ถ้ามองจากมุมของคนนอก พระเจ้ากับเรากำลังปรับไปเปลี่ยนมาอยู่เรื่อยๆ

หลายคนที่บอกว่าตัวเองรู้จักพระเจ้า จดจ่อที่จะดำเนินชีวิตในน้ำพระทัย "สมบูรณ์" ("Perfect" Plan)
จดจ่อเสียจน "กลัว"
กลัวผิด กลัวพลาด กลัวไม่ได้รับสิ่งดี กลัวไม่เป็นพร
กลัวจนลืมไปแล้วว่า ชีวิต คืออะไร

ผมอาจจะเข้าใจผิด แต่ผมเชื่อว่า คนที่ไม่เคยเสี่ยง ไม่เคยเจ็บ
ไม่เคยล้มเหลว ไม่เคยสิ้นหวัง ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้จริงๆ
จะ "ซึ้ง" กับ "พระคุณ" น้อยกว่าคนที่ยอมรับว่าตัวเองมีจิตใจที่ฟกช้ำ

พระเจ้าไม่ได้อยากให้เรามีความกลัวในหัวใจ แม้แต่การกลัวจะทำผิด
แต่ทรงประทานหัวใจที่เต็มด้วยความรักและการบังคับตน ที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยความรัก
บังคับใจตัวเองให้ทำในสิ่งที่ตนเองเชื่อมั่นว่าดีงาม เชื่อมั่นว่าถูกต้อง
แม้จะรู้สึกไม่สบายใจ แม้จะไม่อยากทำ แม้จะถูกหาว่าบ้า
หรือถูก พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ผู้คนรอบข้างเข้าใจผิดก็ตามที
และจะว่าไป นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พระเยซูบอกไว้แล้ว ว่า "อาจเกิดขึ้นได้" (ไม่ใช่ไปทำให้มันเกิด)
กับผู้ที่เลือกจะเดินตามทางของพระองค์
(อย่าเข้าใจผิด การเดินตามพระเยซู กับ เดินตามนโยบายของกลุ่ม/องค์กร นั้นต่างกัน)

คนที่เชื่อเรื่อง Perfect Plan มักเชื่อว่า
ชีวิตเป็นสิ่งที่ (พระพรหม) ลิขิตไว้แล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ห้ามตั้งคำถามกับน้ำพระทัยที่สมบูรณ์ ต้องเชื่อฟังและทำตามเท่านั้น ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่
หากเราทำผิดแผน/ไม่อยากทำตามแผน
"Boss" จะส่งเจ้าหน้าที่มาสะกิด/ช่วยให้เรากลับสู่แผนใหญ่ในที่สุด
คนพวกนี้ มักพยายามใช้วิธีต่างๆ (แม้แต่การบิดเบือนเรื่องราว) เพื่อให้คนอื่นเชื่อเช่นเดียวกับตน

สมัยก่อนที่พระเยซูจะเกิด เราสามารถเห็นได้จากพระคัมภีร์ว่า
พระเจ้าทรงปรับแผนของพระองค์ "ตอบสนอง" ตามการกระทำของชนชาติของพระองค์อยู่เสมอๆ
แน่นอนว่า พระองค์ไม่พลาด ไม่ได้แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ
ในมุมมองของพระเจ้า พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่ามนุษย์จะเลือกอย่างไร พระองค์ไม่เคยปรับแผน
แต่ในมุมมองของมนุษย์ พระองค์ทรงปรับแผนแทบจะตลอดเวลา

จนมาถึงยุคสมัยของพระเยซู พระเจ้าทรงใช้แนวทางใหม่กับเรา คือ
"ไม่ขึ้นกับการกระทำของเราอีกต่อไป"
แต่ทรงกระทำทุกอย่างให้เราอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นครบถ้วน
แล้วให้มนุษย์ "ทุกคน" มีเสรีภาพในการเลือกที่จะเชื่อและรับไว้ได้

ช่วงหนึ่งของชีวิตเราอาจคล้ายกับฉากจบของหนังเรื่องนี้
(ซึ่งเป็นหนึ่งในฉากที่ผมชอบมาก)
หลังจากที่ทั้งคู่ฝ่าด่าน จุดทดสอบ ในชีวิตมาได้
ด้วย ความรัก ความเชื่อมั่น และความหวังใจ ที่มีต่อกันและกัน
"Boss" ก็ยอมรับกับการเลือกของเขาทั้งสองคน

อาจมีบางครั้งในชีวิต ที่อะไรๆ ก็ดูเหมือนไม่เป็นใจ
ยังเร็วไปที่จะยอมแพ้และดับ "สัญญาณ"
หากยังไม่ได้ถามตัวเองว่า

"ฉัน รัก ที่จะทำจริงๆ ใช่ไหม?"

ปล.
หลายคนที่รู้จักนักลงทุนนามว่า "วอร์เรน บัฟเฟตต์"
และอยากจะเดินตามรอยเขา
โปรดรู้ไว้ด้วยว่า เขารักการลงทุนมาก และ
เขาอ่านงบการเงิน เป็น "งานอดิเรก"!!

Mar 23, 2011

ระหว่างทาง

วันนี้พาแม่ไปโรงพยาบาลที่จันทบุรี
คนที่เคยไปโรงพยาบาลของรัฐ โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้สิทธิพื้นฐานที่พลเมืองควรจะได้
คงทราบดีว่า เราต้องไปเช้าขนาดไหน เพื่อจะรอพบหมอเป็นคนแรกๆ... ประมาณ 10 โมง

ไปโรงพยาบาลครั้งนี้ ลุงกำนันช่วยขับรถไปให้

เช้าวันนี้ฝนตกหนักตั้งแต่ตี 4 และก็ยังตกมาเรื่อยๆ
จนทำให้หลายคนหลับสบายจนไม่อยากจะลุกออกจากเตียง

เราออกจากบ้านช้ากว่าที่ตั้งใจไว้

ระหว่างทาง เราพบรถยนต์คันหนึ่งขับชนต้นไม้จนหน้าพังยับยู่
ดูจากร่องรอยต้นไม้ที่หัก 2 ต้น รถน่าจะข้ามร่องกลางถนนมา
มีบางคนหยุดดูให้ความช่วยเหลือ รถคันข้างหน้าเราเลี้ยวกลับไป
กำนันมีท่าทางกังวลใจอยู่ไม่น้อย
พอๆ กับความร้อนใจที่ต้องรีบไปให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด...

กำนันเลี้ยวรถเข้าไปแจ้งให้ตำรวจทางหลวงทราบ
ก่อนเราจะมุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายปลายทางของเรา

ผมสังเกตุดูการขับรถของลุงกำนันตลอดทาง สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นก็คือ
การบีบแตร เปิดสัญญาณไฟ และมองนู่นมองนี่ ตลอดเวลา...

ในโลกสังคมเสมือน Social Network แต่ละคนอาศัยอยู่ในนี้ด้วยจุดประสงค์ต่างๆ กัน
และบ่อยครั้งที่ผมได้ยินคนพูดว่า แค่เห็นผ่านๆ ไม่ใช่เรื่องของเรา ธุระไม่ใช่ ไม่ยุ่งดีกว่า
หนักๆเข้า บางคนถึงขนาด ซ่อนรายชื่อติดต่อ
ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า แล้วทำไมไม่เลิกเป็นเพื่อนให้รู้ๆ กันไปเลย

ในโลกสังคมแท้จริง เราสามารถจริงใจและหลอกลวงได้มากกว่าในโลกเสมือนมากนัก
จะต่างกันก็ตรงที่ว่า ในโลกจริง มนุษย์มีความรู้สึก ที่ไม่อาจปิดบัง หรือ ซ่อนเร้นได้

เราไม่อาจมองผ่านๆ ทักทายผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจใยดีคนอื่นๆ (ที่เราไม่สนใจ) ทำเสมือนคนตรงหน้าเราไม่มีตัวตน
โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
มนุษย์เรามีความสามารถในการรับรู้อารมณ์และความรู้สึก

ผมเห็นด้วยว่า คนเราทุกคน ควรมีจุดหมายปลายทางในชีวิต
แต่สิ่งที่จะเติมเต็มให้เรามีชีวิตจริงๆ คือ ผู้คนรอบข้างเรา คนที่เราพบเจอระหว่างทางสู่จุดหมายนั้นๆ
ทั้งคนที่เราสบายใจจะติดต่อ และสบายใจที่จะไม่ติดต่อ

เราไม่ได้รู้จักตัวตนของคนอื่นๆ (และตัวเราเองด้วย ถ้าเรายอมรับได้)จาก
"ปริมาณ" หรือ "ประเภท" ของถ้วยรางวัลของเขา
แต่เรารู้จักตัวตนของคน จาก "วิธีการ" ที่เขาได้รับถ้วยรางวัลมา