Feb 27, 2010

S-M-I-L-E

วันนี้ไปร่วมฝึกอบรมของบริษัท ในหัวข้อเกี่ยวกับ EQ workshop
มีหลักหนึ่งน่าสนใจ จำง่ายๆ ว่า SMILE หรือ ยิ้ม นั่นเอง สรุปได้ดังนี้ครับ

Self awareness คือ การรู้เท่าทันตัวเอง การมีสติ
การที่เราสามารถ “ทัน” การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง

Manage emotion คือ ความสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ (ไม่ใช่เก็บอารมณ์นะ)
ผ่านการใช้ภาษากาย (สายตา สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง)
และสามารถผ่อนคลายอารมณ์ด้านลบของตัวเองออกได้โดยไม่ค้างไว้

Innovative inspiration คือ การมีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต เพราะจะช่วยเราทำออกมาจากข้างใน
ไม่ใช่แค่มีเพียงแรงจูงใจ (motivation) ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ทำจากภายนอก
สำคัญที่ตัวเองต้องรู้ตัวเองว่าต้องการทำอะไร และใช้ชีวิตตามนั้นได้อย่างสนุกสนาน

Listen with head and heart คือ การฟังคนอื่นด้วย “หัว” และ “ใจ”
ให้ความสำคัญทั้งกับเหตุผลและความรู้สึก

Enhance social skills คือ การพัฒนาทักษะทางสังคม
ลองคิดดูว่า ถ้าใครสักคน รู้จักตัวเอง ตามตัวเองทัน
สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองจากสิ่งเร้าภายนอก สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสนุกจากตัวตนภายใน
สามารถได้ยินสิ่งที่คนอื่นสื่อสาร และสามารถสื่อสารความเข้าอกเข้าใจนั้นกลับไปให้อีกฝ่ายได้
คนนี้ น่าจะเป็นคนที่ทำงานและอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างดี

นอกจากนั้น วิทยากร (อ. จิตตรา ดุธทวีเมทา) ยังได้แนะนำเทคนิคง่ายๆในการติดต่อสื่อสารงานให้รู้เรื่องด้วยการ “ทวนซ้ำ” ก่อนจบบทสทนา
ในฝั่งผู้พูด การทวนซ้ำงานที่ต้องทำ เป็นการเน้นย้ำใจความสำคัญที่เราต้องการสื่อสาร
ในฝั่งผู้ฟัง เป็นการตรวจสอบว่าตนเองเข้าใจถูกต้อง
วิธีการง่ายๆใช้เวลาไม่กี่วินาที แต่ช่วยลดการคิดไปเอง ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าใจไม่ตรงกัน
ที่สำคัญ ช่วยให้ทั้งสองฝ่าย (ทำงาน) มีความสุขด้วยกันทั้งคู่

ยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่วิทยากรได้ให้ผู้เข้ารับการฝึอบรมทำ
ทั้งในการฝึกการใช้สมองสองซีก และฝึก EQ ของเราทำไม่ยากและเห็นผลได้ชัดเจน (ถ้าสนใจ หลังไมล์ได้ครับ)
แต่สิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้ในวันนี้ คือ สิ่งสำคัญของความสุข เริ่มต้นที่รอยยิ้มของเราเอง
ถ้าเราโอเคแล้ว ใครจะโอเคหรือไม่โอเค อย่างน้อยก็ยังมีคนนึงล่ะที่โอเค

นั่นคือตัวเราเอง

Feb 26, 2010

ชื่อของเขาคือ...

ลองหลับตานึกถึงใครซักคนที่มีลักษณะดังนี้
+ สอบที่ไร ได้ ศูนย์ คะแนน เป็นเรื่องปกติ
+ ชอบนอนกลางวัน
+ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้
+ ถูกเพื่อนๆ แกล้งเป็นประจำ
+ ร่างกายไม่แข็งแรง เล่นกีฬาไม่เก่ง
+ รักธรรมชาติ รักเพื่อนพ้อง
+ เป็นคนมีเมตตา จิตใจอ่อนโยน มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
+ เป็นคนอดทน ไม่จดจำความผิด รักสันติ
+ มีจินตนาการ มีความคิดสร้างสรรค์
+ ปกติเป็นคนอ่อนแอ ขี้กลัว แต่ก็กล้าหาญได้ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาคับขัน
+ ...
นึกถึงใครบ้างไหมครับ...

เมื่อเช้านี้ปวดหัวหนักมาก ไม่ได้ไปทำงาน ก็เลยได้มีโอกาสเจอกับเพื่อนเก่าคนนึง ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว
เขามักจะเข้ามาหนุนใจผมหลายๆครั้งที่ผมรู้สึกท้อถอย หมดกำลังใจ

วันนี้ เขาเล่าเรื่องการเดินทางครั้งใหม่ของเขาให้ผมฟัง ดูแล้วก็ทันสมัยไม่น้อย
เป็นเรื่องของภาวะการลดลงของป่าไม้เนื่องจากการดำรงชีวิตของมนุษย์
เรื่องครั้งนี้เริ่มต้นจากความอ่อนโยนของเขา ซึ่งก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีด้วยความพยายามของเขา
และแน่นอนว่า ช่วงท้ายของเรื่อง เขาก็ร้องไห้อีกแล้ว

เขาเล่าต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง ชนิดแผ่นเดียวจบ
ผมยังคงนั่งคิดถึงสิ่งที่เขาพูด
เรื่องจิตใจที่ห่วงหากันและกัน เป็นสิ่งเชื่อมต่อชีวิดหนึ่งเข้ากับอีกชีวิตหนึ่ง
และเมื่อมีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมา ก็จะได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่
ทุกชีวิตต่างคอยเกื้อหนุนกันและกัน ทั่วทั้งจักรวาลจึงอบอวลไปด้วยความรัก

ช่วงท้ายที่เขาต้องจากลาเพื่อน ทุกคนต่างร้องไห้ออกมา
ผมถามตัวเองว่า ทำไมผมถึงไม่ค่อยร้องไห้เมื่อต้องจากลาคนอื่น

หลังจากนั่งตรึกตรองถึงเรื่องราวของเพื่อนผมคนนี้
ผมพบว่า ทุกครั้งที่เขาต้องจากลาคนอื่นเขาร้องไห้พร้อมรอยยิ้มทุกครั้ง
ผมนึกถึงการผจญภัยธรรมดาๆของเขาในชีวิตประจำวัน
จนกระทั่งโลดโผนทั้งใต้สมุทร กลางป่าดงดิบลึก อวกาศอันไกลโพ้น
หรือแม้แต่กระทั่งดินแดนแห่งเวทย์มนต์ หรือ ดินแดนสมัยไดโนเสาร์ก็ตามที

ทุกๆ การเดินทาง ไม่ใช่มีเพียงเขากับกลุ่มเพื่อนๆ
แต่มักจะมีใครบางคนที่ได้ร่วมในการผจญภัยนั้นๆเสมอ
ซึ่งสุดท้าย ต่างฝ่ายต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของตัวเอง

ผมอาจจะยังเข้าใจเพียงบางส่วน
แต่ผมตอบคำถามตัวเองว่า คุณค่าของการลาจาก อยู่ที่เรื่องราวระหว่างทางที่มีต่อกัน

คงต้องใช้ความกล้าหาญไม่ใช่น้อย ที่จะรักและใช้ชีวิตกับคนอื่นอย่างสนุกสนาน
ทั้งที่รู้ว่าวันหนึ่งการจากลาก็จะมาถึง

แต่ดูเพื่อนผมคงนี้ เขาคงเห็นเป็นเรื่องปกติเสียแล้วละมั้ง
ดูเหมือนหัวใจอันอ่อนโยนของเขาไม่เคยคิดมาก และวุ่นวายอยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ผมรู้ว่าแม้ตอนจบเขาอาจดูเศร้าๆ แต่ครั้งหน้า เขาก็จะสนุกกับชีวิตได้อีก

ในเมื่อวันหนึ่งการจากลาย่อมมาถึงอย่างแน่นอน
อย่างช้าก็ด้วยความตาย

ทำไมเราถึงไม่ใช้ชีวิตในวันนี้กับคนรอบข้างอย่างมีความหมาย
สิ่งละอันพันกันทีละน้อยเป็นเรื่องราวระหว่างทางที่มีต่อกันและกัน
ถักทอเป็นคุณค่าที่มีให้ต่อกัน ซึ่งมันจะคงอยู่ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่

ต้องขอบคุณเพื่อนผมคนนี้มาก
ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
ไม่ได้แค่เพียงมีชีวิตอยู่เท่านั้น

อีกทั้งช่วยให้ผมเข้าใจมากขึ้นด้วยว่า
เพราะอะไรความรักจึงเข้มแข็งดั่งความตาย

นึกออกไหมครับ เพื่อนผมคนนี้คือใคร...

ชื่อของเขา คือ โนบิ โนบิตะ ครับ

Feb 23, 2010

ย้ำเตือนให้จดจำ

เมื่อกี้ได้นั่งฟังเพลง อย่างน้อย
จำได้ว่าเคยเขียนบันทึกไว้ครั้งหนึ่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ที่มีเพลงนี้เป็นเพลงประกอบ
กลับไปย้อนอ่านแล้วหวนคิดถึงใครบางคนที่นึกถึงอยู่ตอนที่กำลังเขียนในขณะนั้น
ช่วยเตือนใจให้นึกถึงอะไรบางอย่างที่ลางเลือนไป

“ ...อาจจะเหนื่อยบางครั้ง อาจจะเจ็บบางที แต่ก็ยิ้มได้เรื่อยมา
อาจจะต้องผิดหวังก็ไม่เป็นไร
อย่างน้อยฉันได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ
ทุกนาทีที่ฉันมีเธอ รักคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายมากมายจริงๆ
อย่างน้อยฉันเคยได้รักเธอ รักด้วยการไม่หวังอะไร
ความพยายามที่ทำเพื่อเธอ จะขอทำต่อไป แค่มีรอยยิ้มของเธอส่งมา ก็ชื่นใจ
หากในวันพรุ่งนี้ เธอจะตอบตกลง คงจะคุ้มค่ามากมาย
แม้จะต้องผิดหวังก็ไม่เสียใจ...”

ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงไม่ถึงปีดี คนเราจะเผลอไผลหลงลืมเรื่องสำคัญไปได้อย่างง่ายดาย
มันอาจจะจริงว่า การไม่มองย้อนหลังกลับไปอีกเมื่อตัดสินใจเลือกแล้ว เป็นวิธีที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

ชีวิตเป็นเรื่องที่ผ่านแล้วผ่านเลย ย้อนกลับเอาคืนมาไม่ได้

การที่เราเผลอลืมบางเรื่องที่สำคัญในชีวิต ก็อาจทำให้เราเปลี่ยนไป
แม้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็อาจนานพอที่จะทำให้ใครบางคนที่เคยตัดสินใจอย่างหนึ่ง เปลี่ยนการตัดสินใจได้

แม้เมื่อเรานึกขึ้นได้และกลับมา ใครคนนั้นก็อาจเดินจากเราไปแล้วชั่วชีวิต

จากความแตกต่าง ก็กลายเป็นความแปลกแยก
จากปรับตัวเข้าหากัน ก็กลายเป็นตัวใครตัวมัน

ไม่ใช่ความผิดของใคร นอกจากตัวเองจะเตือนตัวเองเอาไว้ หากครั้งหน้าจะมีจริงเป็นโอกาสให้แก้ตัวใหม่
“จงจดจำ” เรื่องสำคัญไว้ให้ดี

... คำว่ารักยังพอให้ต่อชีวิต ยังทำให้คิดถึงวันเก่าๆเหล่านั้น
ได้แต่หวังลึกๆในใจ จะมีบ้างไหมสักวัน สิ่งที่ดีๆเหล่านั้น จะกลับมา...

แม้มันจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ แต่ก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เพลงมันมาได้ถูกจังหวะจริงๆ
(... อ้าว เคยเขียนบันทึกจากเพลง ฝุ่น เหมือนกันนี่นา ย้อนกลับไปอ่านซักหน่อยคงดี...)

Feb 19, 2010

เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง

เมื่อวันก่อนได้อ่านชีวิตของนักมวยไทยคนหนึ่งแล้วให้นึกถึงชีวิตของตัวเองช่วงนี้
รู้สึกเหมือนเป็นการชกที่โดนไล่ถลุงจนลงไปนอนนับแปดตั้งแต่ยกแรก
แม้จะพยายามลุกขึ้นมาสู้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ยกที่สามก็โดนปลายคางให้ลงไปนอนนับอีกครั้ง
รู้สึกเหมือนอยากลุกแต่ก็ไม่อยากลุก
มองไปที่มุมของตัวเอง ภาพของพี่เลี้ยงและคนที่คุ้นตาไม่มีอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว...

นึกย้อนชีวิตของตัวเองเปรียบเทียบกับนักมวย
สมัยที่เรายังกระดูกอ่อนมีพี่เลี้ยงคอยสั่งสอน คอยแนะนำ
ไม่ว่าจะไม่ชอบหน้ากันขนาดไหน แต่ก่อนชกเขาก็สอนเรา ขณะชกเขาก็ตะโกนบอกเรา ชกเสร็จก็ยังให้เราซ้อมต่อ
บางครั้งเห็นไม่ไหวจริงๆ แกก็โยนผ้ายอมแพ้ให้ เทคนิคใหม่ๆแกก็สอนให้
มีปัญหาคับค้องใจอะไรก็ปรึกษาแกได้ คัมภีร์มวยที่ว่ายากๆ แกก็หาวิธีอธิบายให้เราเข้าใจได้อย่างง่ายๆ

นอกจากพี่เลี้ยง อีกคนหนึ่งก็ลูกสาวเจ้าของค่ายมวย
ทุกครั้งที่ขึ้นชก เธอก็ยืนตะโกนอยู่ตรงนั้น
หมดยกทีไรเธอก็คอยให้น้ำ คอยเช็ดหน้าเช็ดตาให้
บางทีหมดแรงกายจะลุกก็ได้เสียงเธอเป็นแรงใจให้ลุกได้อีกครั้ง ชนะก็กอดกันกลม แพ้ก็ปลอบใจกัน

จนวันที่เราเริ่มมีประสบการณ์ เริ่มมีทางมวยไม่ตรงกันกับพี่เลี้ยง เริ่มไม่อยากเป็นนักมวยสังกัดค่าย
เราอยากหาชั้นเชิงมวยของตัวเราเอง อยากลองต่อยมวยในแบบของเราเอง...

เสียงเชียร์จากคนดูยังคงดังกึกก้องอยู่รอบเวที
แต่ผมรู้ว่า ไม่ว่าผมจะชนะหรือแพ้
คนเหล่านี้ก็จะกลับบ้านไปพร้อมกับเพื่อนของเขา กลับไปอยู่กับครอบครัวของเขา
สุดท้าย ก็จะเหลือผมอยู่เพียงลำพัง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมอาจจะยังลุกขึ้นมาต่อยอีกสักครั้ง
อย่างน้อยแม้จะแพ้ ก็ยังมีเรื่องไว้เล่าให้ใครบางคนฟังว่าผมพยายามแล้วนะ

นึกแล้วบางทีก็อยากย้อนเวลากลับไปได้
ถ้าวันนั้นเราไม่ทะนงและลำพองในตัวเองมากไป
วันนี้เราอาจคงยังมีพี่เลี้ยงอยู่ที่มุมเวที แต่ที่แน่ๆ จะยังคงมีใครบางคนที่ยืนอยู่เพื่อผมตรงนั้น...

ระฆังยังไม่ดัง เวลายังไม่หมด กรรมการยังไม่นับสิบ ผมยังมีโอกาสชนะ

ถ้าผมไม่ลุกขึ้นมา หนทางของผมคงจบลงที่ความพ่ายแพ้แน่นอน
แต่ถ้าลุกขึ้นมา แม้จะยังไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาเพื่อใครหรือเพื่ออะไร
อย่างน้อยประตูสำหรับชัยชนะของผมก็ยังไม่ปิดตายเสียทีเดียว

ดูเหมือนว่า ณ ตอนที่เขียนเรื่องนี้อยู่ ผมจะลุกขึ้นมาได้สำเร็จและยืนอยู่ได้จนครบยก

ผมรู้ว่า ยกหน้า แรงที่เหลือเพียงน้อยนิดคงทนโดนต่อยหนักๆ ได้อีกไม่กี่ครั้ง
หนีไปคงไม่มีประโยชน์ คงมีแต่ต้องใส่ไม่ยั้ง แลกกันไปให้เห็นดำเห็นแดง

อย่างน้อย ชกครั้งนี้ ผมก็ได้เรียนรู้จะเป็นพี่เลี้ยงของตัวเองในขณะชก
ไม่มีคนให้ฟูมฟายด้วย ไม่มีคนคอยช่วย ไม่มีกำลังใจจากคนอื่น
ไม่มีคนปรึกษา ไม่มีคนอยู่เคียงข้าง
คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่า มันเป็นการต่อสู้เพียงลำพังเต็มรูปแบบครั้งแรกของผม

จะชนะหรือแพ้ ตอนนี้คงไม่สำคัญสำหรับผมเท่าไหร่
เพราะการชกบนเวทีนี้ สอนให้ผมได้รู้ว่า หนทางของนักสู้อยู่ที่หัวใจของตัวเอง
มันเป็นความรับผิดชอบของตัวเราเองล้วนๆ
แม้จะเหลือเพียงลำพัง แต่หากระฆังยังไม่ดังหมดยก ลมหายใจยังไม่หยุด
จะล้มอีกเจ็ดครั้ง ก็ให้ลุกขึ้นมาอีกเจ็ดครั้ง และหาหนทางที่จะชนะให้ได้

ไม่ต้องรอจนชกครบ 12 ยก หรือต้องคว่ำคู่ต่อสู้ให้ได้ก่อน ถึงจะเรียกว่า ชนะ
ชัยชนะที่แท้จริง เริ่มต้นที่หัวใจของคนที่ยืนอยู่บนสังเวียน

ขอบคุณที่เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง ผมจึงได้หัวใจของนักสู้มาแทน...


ปล. ไม่มีพี่เลี้ยงไม่เป็นไร แต่อย่างไรก็ตาม ขอมีลูกสาวเจ้าของค่ายมวยไว้สักคนก็ยังดี เห็นด้วยไหมครับ

Feb 6, 2010

สองคน

เมื่อวานนี้ไปกินข้าวกับน้องคนหนึ่งมา เขาเล่าให้ฟังถึงเรื่องเพื่อนของเขา...

วันก่อนเดินผ่านตึกที่กำลังก่อสร้าง เพิ่งรู้ว่าเขากำลังสร้างสนามแบต...

เมื่อสัปดาห์ น้องคนหนึ่งขึ้นหัวข้อความในแชตว่า “Two are better than one; because they have a good reward for their labour. For if they fall, the one will lift up his fellow: but woe to him that is alone when he falleth; for He hath not another to help him up.”


สองสามวันมานี้ป่วยหนักแบบไม่มีสาเหตุ ในบางช่วงบางจังหวะชวนให้คิดย้อนไปข้างหลังและคิดล่วงไปข้างหน้าถึงเรื่องราวหลายอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว และยังไม่เกิดขึ้น บางอย่างก็อยากให้เกิดขึ้น บางอย่างก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น...

นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่ผมเคยถามเขาว่าคิดอย่างไรถึงแต่งงาน และหลังจากนั้นอีกสามปีก็ถามเขาอีกครั้งว่า แต่งงานแล้วเป็นอย่างไร...

นึกถึงงานแต่งงานของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่มีข้อขัดแย้งกับแม่เจ้าสาว เรื่องการจัดงานแต่งงาน ในคืนก่อนวันแต่งงาน...

นึกถึงพ่อกับแม่ เวลาที่แม่ยิ้มเมื่อพูดถึงพ่อ เวลาที่พ่อร้องไห้เมื่อพูดถึงแม่...

นึกถึงความรู้สึกของปู่ ที่เป็นอัมพฤกษ์ก่อนย่า แล้วต้องเห็นย่าเส้นเลือดในสมองแตกและเสียชีวิตก่อนตัวเอง...

นึกถึงชีวิตของตัวเอง...


นึกแล้วก็ชวนให้เกิดคำถาม คำถามที่นำไปสู่คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ “ความรักคืออะไร” แม้จะมีนิยามความหมายดีๆมากมายของคนที่พยายามให้นิยามไว้ แต่ในส่วนตัวผม คำนิยามที่ว่า “ผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็ไม่รู้จักความรัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก” ดูจะเป็นนิยามที่กินใจที่สุด

ใครจะบอกได้ว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร ความรักก็เหมือนกัน...

สิบกว่าปีก่อน ผมเคยสงสัยว่า ทำไมการจะรักใครสักคนถึงยากจัง มาถึงวันนี้ จึงเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า การจะรักใครสักคนนั้นไม่ยาก แต่มันยากที่จะต้องยอมรับว่า เราอาจจะไม่ใช่คนที่ถูกรักของคนที่เรารัก มันยากตรงที่วันหนึ่งคนที่เรารัก เขาอาจจะไม่อยู่ให้เรารักอีกแล้ว มันยากตรงที่บางครั้ง เราก็ต้องแสดงออกความรักของเราด้วยอาการของการไม่รัก

พูดง่ายๆ เรากลัวและไม่อยากเจ็บปวด เราไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากกลับมาอยู่กับความเปล่าเปลี่ยวอีกครั้ง

แม้ในความเป็นจริง เราอาจจะมาถึงจุดตระหนักที่ว่า มนุษย์ทุกคน แต่ละคนถูกสร้างมาเพื่อเป็นที่รัก ทุกสถานการณ์ ทุกสิ่งอย่างได้รับการจัดเตรียมมาอย่างเจาะจงเพื่อเรา เพื่อบอกว่า เหตุผลที่มีเราอยู่บนโลกนี้ เพราะพระเจ้าทรงรักเรามากๆ แต่สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า มันก็ทำให้เรารู้สึกแย่และเจ็บปวด จนยากที่จะเชื่อได้อย่างนั้นว่า เราเป็นที่รักจริงๆ

ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวเหล่านี้หรือเปล่า บางคนถึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง

ผมเคยคิดว่า ถ้าเลือกได้ ผมขอตายทีหลังภรรยาผม ผมคิดว่าคนที่ยังอยู่ คงต้องเผชิญกับอะไรหลายๆอย่างมากกว่าที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก จริงๆ ถึงวันนี้ ผมก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่ เพียงแต่ตระหนักมากขึ้นว่า นั่นเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้คือพยายามสร้างความทรงจำที่ดีให้แต่ละคนเก็บเอาไว้

คอยเช็ดตัวเวลาที่ไม่สบาย ทำกับข้าวให้กิน ไปออกกำลังกายด้วยกัน ช่วยใส่รองเท้า นั่งร้องไห้ด้วยกัน ไปงานปาร์ตี้ด้วยกัน มีความสุขด้วยกัน

ผมคิดว่าความทรงจำดีๆเหล่านี้ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ คงช่วยเป็นกำลังใจให้กับเราได้มากเท่านั้น ในวันที่เราคนใดคนหนึ่งต้องอยู่เผชิญโลกนี้เพียงลำพัง

ช่วยให้เราจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง เราเคยรักใครคนหนึ่ง และเป็นที่รักของใครคนนั้น

"The supreme happiness of life is the conviction that we are loved." - Victor Hugo