Jan 31, 2008

ความมั่นใจ...

วันนี้ดีใจมากเลย...

>
ทำงานมาได้ 3 เดือนครึ่ง ยังไม่พ้นช่วงทดลองงานเลยนะ แต่ผมได้โบนัสประจำปีด้วย (แม้จะไม่มากแต่ก็ได้แหล่ะ) ก่อนหน้านี้ได้ยินพนักงานรุ่นพี่ที่บริษัทบอกว่า พนักงานใหม่ ทำงานไม่ครบปี อดโบนัส ผมก็อธิษฐานบอกพระเจ้า อยากให้เรื่องโบนัส เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พระเจ้าจะใช้รับรองว่านำผมมาทำงานที่นี่ ผมไม่ได้อยากได้โบนัสเพราะอยากได้เงิน ผมอยากมั่นใจมากขึ้นว่า กำลังเดินตามการทรงนำของพระเจ้า...

>
ผมคิดมานานเรื่องการย้ายโครงสร้าง แม้จะมีหลายเหตุผลที่หลายคนไม่เห็นด้วย แต่ผมเห็นว่าการอยู่กับหน่วยเดิมต่อไป ไม่ได้ส่งผลดีต่อชีวิตของผมซักเท่าไหร่ ผมบอกผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ผมบอกพระเจ้า แล้วผมก็อยู่เฉยๆ..
ในใจ ผมรับรู้ได้เสมอว่า ไม่ช้าก็เร็ว พระเจ้าก็ต้องให้ผมไป แม้ช่วงแรกๆ เพื่อนๆหลายคนจะช่วย แต่พระเจ้าคงไม่ต้องการให้ไปโดยเห็นว่าด้วยฝีมือมนุษย์กระมัง ผมก็ทำใจแล้วนะ แต่ ความเชื่อ ความหวังยังเต็มเปี่ยม

ตัวเราเอง รักตัวเองยังรู้เลยว่าอะไรไม่ดีกับตัวเรา แล้วพระเจ้าผู้รักเรามาก ย่อมรู้แน่นอนว่า อะไรดีกับตัวเรา

ผมอธิษฐานกับพระเจ้า ผมอยู่ที่เดิมได้ไม่มีปัญหา แต่ผมก็พอมองออกว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตผม ผมขอย้ายไป เรื่องหลักไม่ใช่เพราะไม่อยากอยู่ที่เดิม หรืออยากไปอยู่กับใคร แต่ผมคิดว่าการย้ายครั้งนี้จะเกิดผลต่อภาพรวมทั้งอาณาจักรมากกว่า ถ้าพระเจ้าทรงเห็นชอบ ก็เปิดทางให้ผมด้วย

วันนี้ พี่คนหนึ่งโทรมาบอกว่า จะให้ผมย้ายไปอยู่ที่ใหม่ แต่จะอยู่ตรงไหน ต้องคุยกันอีกที...

>
เคยนั่งคุยกับคู่แต่งงานหลายต่อหลายคู่ ก็ไม่ได้บอกว่าเชี่ยวนะ แต่พอจะจับเคล็ดหลักวิชาได้อยู่อย่างนึงว่า ชีวิตคู่ที่มีกันและกันเพียงสองคนอาจจะแข็งแรง แต่ก็ยังเปราะบางอยู่มาก หากเทียบกับคู่แต่งงานที่ต่างฝ่ายต่างให้พระเจ้าเป็นบุคคลที่สามในชีวิตคู่ เรื่องสำคัญ คือ การที่ต่างฝ่ายต่างมั่นใจว่า เราเกิดมาเพื่อเป็นคู่อุปถัมภ์ต่อกันและกัน เป็นความมั่นใจที่ได้รับการหล่อหลอมสร้างขึ้นจากความสัมพันธ์อันดีที่มีกับพระเจ้า เป็นความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลา เป็นความมั่นใจว่า พระเจ้าทรงนำมา...

เมื่อวันก่อนโทรไปคุยกับผู้เลี้ยงของน้องคนหนึ่ง โทรไปถามดูว่าน้องคนนั้นเขามีใครในใจหรือยัง และก็ขอคำปรึกษานิดหน่อย ก็ได้รับคำตอบและคำแนะนำมา ก็ตั้งใจไว้ว่าจะทำแค่นี้ จะไม่ล้ำหน้าพระเจ้า ส่วนของผมที่ทำได้มากที่สุดก็ได้ทำแล้ว ที่เหลือผมอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงเปิดทางและรับรอง เพราะเท่าที่มนุษย์ชาวโลกอย่างผมจะคิดได้ตอนนี้ คงมีแต่ต้องตัดใจและหมดหวังไป

อย่างไรก็ตาม ผมอธิษฐานบอกพระเจ้าเรื่องน้องคนนี้เหมือนกับขอโบนัสจากพระเจ้าน่ะแหล่ะ น้องคนนี้อาจจะเหมือนกับโบนัสของผมก็ได้ "...ผมไม่ได้อยากได้โบนัสเพราะอยากได้เงิน ผมอยากมั่นใจมากขึ้นว่า กำลังเดินตามการทรงนำของพระเจ้า..."



ขุนศึก เมื่อต้องเลือกอาวุธข้างกาย ความเข้ากันได้ดี เป็นเลือกหลักใหญ่ที่ต้องใช้พิจารณา อาวุธจะสำแดงแสนยานุภาพได้มากเท่าที่ผู้ใช้รู้จัก (ใครเคยอ่าน Bleach คงเข้าใจดี) และขุนศึกผู้นั้นจะสำแดงความเก่งกาจได้เต็มความสามารถ หากอาวุธนั้นแข็งแกร่งพอ หลังร่วมรบยืนหยัดผ่านสงครามไปได้ ขุนศึกย่อมขนานนามอาวุธชิ้นนั้นว่าอาวุธคู่กาย มีอาวุธชั้นยอดมากมาย แต่ เธอ สุดยอดกว่าสตรีทั้งปวง !!! (มาได้ยังงัยกันเนี่ย 555)

Jan 23, 2008

เจตนาสุจริตใจ...

วันนี้ เป็นวันแรกที่เจ้านายนัดประชุมความคืบหน้าของงาน
เตรียมประชุมไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวานเย็น ยังไม่พร้อมหรอก มีแต่ใจแหล่ะ ที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว

การประชุมดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด 8.30 - 11.30 จินตนาการกันเอาเองนะครับ พนักงานใหม่ 3 เดือน ประชุมกะ ผู้จัดการ และ กรรมการบริษัท เป็นเวลา 3 ชม. จะเกิดอะไรขึ้น

นายบอกว่า ให้ทำตัวเองเป็นเหมือน โปรเจ็คเมเนเจอร์ ต้องเป็นพหูสูตร รู้ทุกเรื่อง... ครับ ผมจะทำครับ

ตอนท้ายของการประชุม กรรมการฯ สอนงานมาอย่างนึงซึ่งผมชอบมาก ท่านสอนว่า...

เวลาที่ใครถามอะไรเรา ให้เราเชื่อไว้ก่อนว่า เขาถามเราด้วยความสุจริตใจ เขาอยากรู้ เขาก็ถาม หากคิดได้อย่างนี้ เมื่อเราตอบ คำตอบของเราก็จะฟังง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ทำให้คนฟังสับสน

บ่อยครั้งเรา ชอบ ไปคิดแทนอีกฝ่าย คำตอบของเราก็เลยซับซ้อน ที่ไม่เคยคิดก็เลยสงสัย เป็นการเพิ่มงานและทำให้เราเสียเวลามากขึ้น

ตอบง่ายๆ จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นอีกเยอะ ถ้าเขาสงสัย เขาจะถามเราเพิ่มเอง

...เจตนาโดยสุจริตใจ... บางทีเป็นเพราะเราเป็นคนที่ไม่มีเจตนาโดยสุจริตใจหรือป่าวนะ เราถึงมองคนอื่นว่าเขามีอะไรเคลือบแฝง หรือเพียงเพราะเราชอบคิดแง่ลบ มองว่าคนอื่นไม่จริงใจกับเรา ไม่ว่าจะอย่างไร นับตั้งแต่วันนี้ไป ผมตั้งใจจะใช้ชีวิตแบบนี้ เป็นคนที่มีเจตนาสุจริตใจ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น...เอเมน

Jan 21, 2008

หอยทากไม่มีปีก

เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว หลายคนคงได้รับเมลเรื่อง หอยทาก เรื่องที่เขียนโดยได้รับแรงบัลดาลใจจากเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ ช่วงเวลาก่อนที่น้ำจะท่วมโลก สัตว์ทุกชนิดต่างเดินทางมุ่งหน้าไปขึ้นเรืออาร์คที่โนอาห์สร้างขึ้นตามบัญชาของพระเจ้า
ในขณะที่ม้า 1 ตัว ก้าวขา ด้วยระยะทางที่เท่ากัน หอยทากตัวน้อยอาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน
กับก้อนหินเล็กๆในสายตาของสัตว์ตัวอื่นๆ อาจกลายเป็นเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงสำหรับการเดินทางสู่จุดหมายของเจ้าหอยทาก
หอยทากอาจเป็นสัตว์ชนิดแรกที่ตื่นตัวในการเดินทางสู่เรือแห่งพระสัญญา แต่มันอาจจะเป็นสัตว์ตัวสุดท้ายที่ไปถึงเรือลำนั้นก็เป็นได้

ครั้งนั้น พระเจ้าหนุนใจผมเรื่อง ความอดทนพากเพียร (perseverance) แต่ละคนถูกสร้างมาไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนถูกเรียกให้เข้าสวรรค์เหมือนกัน ขอเพียงเราไม่ลดละ ไม่ล้มเลิก แม้จะเป็นตัวสุดท้าย แต่พระเจ้ายังคงเปิดประตูรอต้อนรับเราเสมอด้วยความยินดี

ครั้งนั้น ผมจำได้ว่า ผมรู้สึกเจ็บช้ำกับความเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกโมโหตัวเอง เฝ้าแต่ถามตัวเองว่าทำไมเราถึงเดินได้ช้าอย่างนี้ ทำไมเราถึงไม่เหมือนคนอื่นเขา ในหัวมีแต่คำถามว่า ทำไม ทำไม และทำไม

พระเจ้าไม่เพียงหนุนใจและตอบคำถามของผมด้วยเรื่องของหอยทากเท่านั้น แต่ยังสอนให้ผมได้เข้าใจด้วยว่า คนเราแตกต่างกันและไม่มีประโยชน์ที่มานั่งถามว่าทำไมเราถึงแตกต่างกัน เพราะ เราทุกคนเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตที่เราได้รับมาอย่างไร
ต่อมาไม่นาน ผมก็ได้รู้ว่า คงไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกอย่างนั้น จากคำพูดของชายคนหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ว่า "แม้ข้าพเจ้าจะเดินช้า แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเดินถอยหลัง" ถ้าจำไม่ผิด เจ้าของประโยคนี้ คือ อับราฮัม ลินคอร์น

ผ่านมา 4 ปี เหตุการณ์ในพระคัมภีร์ครั้งนี้ ได้กลับมาสู่ชีวิตอีกครั้งด้วยความสดใหม่ ผ่านทางหนังเรื่องหนึ่ง EVAN Almighty...

"ถ้าเราอธิษฐานขอความกล้าหาญ พระเจ้าจะให้ความกล้าหาญแก่เรา หรือให้โอกาสที่เราจะกล้าหาญ
หากเราอธิษฐานขอครอบครัวที่อบอุ่น พระเจ้าจะให้ครอบครัวที่อบอุ่นแก่เรา หรือให้โอกาสเราในการสร้างครอบครัวที่อบอุ่น"
ในเวลาที่คนต่างหัวเราะเยาะสิ่งที่โนอาห์ทำ แต่ภรรยาและลูกๆของเขาต่างยืนหยัดอยู่เคียงข้างโนอาห์ เป็นทั้งกำลังกายและกำลังใจให้แก่โนอาห์
ในวันเวลาที่สัตว์ทุกตัวต่างเดินขึ้นเรืออาร์คตามชนิดของมันนั้น พวกมันเดินกันมาเป็นคู่ๆ ตัวผู้กับตัวเมีย เดินมาเคียงข้างกัน...

เวลาที่เกิดวิกฤติปัญหาขึ้น เป็นการง่ายที่จะผละออก แยกตัวมาเดินเพียงคนเดียว ซึ่งก็ดูฉลาดดีหากคิดเพียงว่าต้องการรักษาตัวเองให้รอด โดยเฉพาะหากปัญหานั้น เป็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง นั่นคือช่วงเวลาอันเป็นโอกาสสุดแสนจะพิเศษไม่ใช่หรือ ที่พระเจ้ามอบให้กับเรา เพื่อทำให้เราต่างรู้ว่า เรา รักกันมากมายเพียงไหน ทำให้เราสามารถ มี ครอบครัวที่สุดแสนจะอบอุ่นขึ้นมาได้ ทำให้ เรา รู้ว่า เราต่างอยู่เคียงข้างกัน ทำให้เรารู้ว่า เรา เป็นของกันและกัน... เราแต่ละคนอาจผ่านมันไปไม่ได้ แต่เราทั้งคู่จะผ่านมันไปได้ด้วยกันอย่างแน่นอน

4 ปีผ่านไป หอยทากตัวนั้น ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินทางสู่ดินแดนแห่งพระสัญญาอยู่ ทำให้ผมนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่ง ที่กล่าวไว้ว่า "การเดินทางที่สั้นที่สุด คือ การเดินทางไปกับเพื่อนสนิทที่รู้ใจ" หวังว่าเส้นทางที่เจ้าหอยทากต้องเดินอีกไกล คงกลายเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด ในอีกไม่นานนัก

...เคียงข้างกันไป ผมชอบคำนี้จริงๆ

Jan 13, 2008

next step

วันนี้เป็นวันดีอีกวันหนึ่ง (จริงๆก็ดีทุกวันแหล่ะ)

ระหว่างที่กำลังนมัสการพระเจ้าอยู่ เราก็มีคำอธิษฐานกับพระเจ้า (กึ่งๆเป็นถ้อยคำหนุนใจตัวเอง)ว่า พระเจ้าทรงนำเราทีละก้าว ก้าวต่อก้าว แค่ทีละก้าวเท่านั้น แต่เพียงครั้งละก้าว ก็นำเราให้เติบโตขึ้นมาไกลจากที่เดิมมาก..

..นึกถึงตอนไปปีนเขา อยู่ข้างล่างมองขึ้นไปข้างบนก็ดูสูง เกิดความคิดว่าจะขึ้นไปถึงได้ไหมหนอ แต่ถ้ากลัวก็คงจบกันตรงนั้น จริงๆเราแค่เดินทีละก้าว ถ้าไม่แพ้ใจเลิกเดินไปซะก่อน เราสามารถขึ้นไปถึงได้แน่นอน..เอเมน

อีกสาเหตุหนึ่ง ก็คือ เหมือนกับการเคลื่อนไหวไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรากลับคืนมาแล้ว พอนมัสการๆไป เรารู้สึกได้ว่าพระเจ้าดลใจให้ไปทาง ความยินดี สักพักนึง ผู้นำก็มาทาง ความยินดี พอเราตามพระเจ้าไปต่อทางความรักและพระคุณ อีกสักพัก ผู้นำนมัสการก็นำที่ประชุมมาทางเดียวกัน แล้วพระเจ้าก็หนุนใจส่วนตัวใน สดุดี 68 3-7 จนสุดท้าย ก็ เพลง องค์พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เพลงพิฆาตประจำตัว และแน่นอนว่าจบด้วยคำเผยพระวจนะ (ผ่านพี่กอล์ฟ เจ้าประจำ) พระเจ้าให้เห็นภาพของคนที่นอนซุกตัวด้วยความกลัวอยู่หลังก้อนหิน..คุ้นๆมะ ลองอ่านเรื่อง มังกรกายสิทธิ์ ดิ

จะบอกว่า ตอนนี้เรื่องที่กลัวที่สุดคงเป็นเรื่องการเริ่มต้นความสัมพันธ์ ยอมรับตรงๆว่ากลัวเจ็บอีก ทั้งๆที่ก็รู้ว่า เมื่อก่อนเราเจ็บเพราะพึ่งพาวิธีคิด วิธีการแบบมนุษย์ พระเจ้าก็บอกในใจเสมอว่า เพียงแต่ไว้ใจพระเจ้า ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ก็ยังขยาดอยู่ดี แม้ว่า ถึง ณ เวลานี้ จากร้อยเหลือ 4 และเหลือเพียง 1 แล้วก็ตามที...

แต่พระเจ้าพูดขนาดนี้แล้ว กลับใจครับ และก้าวต่อไป ให้พระเจ้าเข้ามาเติมใจให้เต็มร้อย กล้าที่จะก้าวไปกับพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าครับ ช่วงเวลาที่เหลืออีกประมาณ 3 เดือนนี้ ขอพระเจ้าทรงฟื้นฟูชีวิตผมกลับมาอย่างเต็มที่นะครับ ขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือให้ผมกล้าที่จะเดินออกจากคุก เดินออกมาจากการกักขังตนเองหลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยแล้ว ขอพระเจ้ายกชูผมขึ้นตามที่พระองค์ทรงเห็นสมควรนะครับ สุดท้าย ถ้าใช่คนนี้จริงๆ ขอพระเจ้าทรงรักษา เธอ ไว้ให้กับผมด้วยนะครับ ผมขอเลือกที่จะใช้วิธีที่คนชอบธรรมเขาทำกันนะครับ ไม่ว่าจะได้รับผลอย่างไร ผมจะขอบพระคุณพระเจ้าครับ

ขอให้ผมเห็นจริงๆนะครับ ทั้งเรื่อง ชุมชน และ เธอคนนั้น ใน 3 เดือนนี้นะครับ

นึกๆแล้วก็สั่นเหมือนกันนะ เวลาที่เราจะเลือกอะไร และรับผิดชอบกับการเลือกของเราไปตลอดชีวิตเนี่ย ดีแล้วล่ะ พระเจ้าถึงให้เราเดินตามพระองค์ทีละก้าว ทีละก้าว... ไปตลอดชีวิต

Jan 12, 2008

ในเวลาที่เหมาะสม...

จริงๆแล้ว วันนี้เวลานี้ ผมน่าจะกำลังแจกของขวัญให้เด็กๆอยู่บนดอยที่แม่ฮ่องสอน...

วางแผนกันมาหลายสัปดาห์แล้วว่าวันเด็กปีนี้ จะไปร่วมสร้างรอยยิ้มให้เด็กบนดอย แต่เมื่อวันอังคารได้งานด่วนมาชิ้นหนึ่งที่คงต้องทำวันหยุดแน่ๆ ทำงัยดีหว่า กำลังคิดๆอยู่ โต้โผร่วมก๊วนก็ตกมอไซค์ซะงั้น ทริปนี้ก็เลยต้องเลื่อนไปก่อน

เมื่อเย็นเชิญพี่กอล์ฟกะพี่หม่อมและขิง ไปกินข้าวเย็นกัน คิดมาตั้งนานแล้วว่า ถ้าทำงานแล้วอยากจะเลี้ยงข้าวพี่เขาซักมื้อ ก็ได้กินได้คุยกันสนุกสนาน เป็นที่เอนจอยอี้ทติ้งกันไป

พี่กอล์ฟยังเป็นพี่ที่น่ารักและเป็นผู้นำที่น่านับถือเหมือนเดิม ก็ได้คุยกันหลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเด่นของคนวัยหนุ่ม 555!

หลังจากแยกย้ายกับพี่เขาแล้ว ก็ไปนั่งคุยกะขิงต่อที่เดิม คุยกันจนหนำ ขิงก็ขึ้นพี่แท็กกลับบ้าน เราก็ว่าจะขึ้นเหมือนกัน แต่ไม่ยอมมีใครมา แค่คลองเตย จากสีลมนั่งตดยังไม่ทันหายเหม็น แต่เพราะว่าคงใกล้เกิน แทกซี่เลยไม่อยากรับ เพราะช่วงตี2 เป็นช่วงอุ่นหนาฝาคั่งของคนต้องการแทกซี่

ก็แอบบ่นๆอยู่ในใจ ถ้าไม่ต้องแบกงาน2แฟ้มใหญ่ๆกลับมาทำ คงเดินกลับบ้านไปแล้ว แต่อีกความคิดนึงก็รู้สึกดี เสียดายตังค์ค่าแท็กซี่ คิดอยู่ในใจว่าเดินไปขึ้นสาย4 ก็ได้ มีทั้งคืน แต่จะมาเมื่อไหร่ไม่รู้นะ

เดินเกือบๆถึงป้ายรถเมล์ สาย4ก็มา วิ่งเบาๆก็ได้ขึ้นรถ ลมพัดเย็นนั่งสบายกายสบายใจเพราะประหยัดตังค์ได้กว่า30บาท...

นั่งเพลินๆคิดถึงเรื่องต่างๆที่คุยกันตั้งแต่เย็นที่นั่งกินข้าวกับพี่กอล์ฟยันคุยกับขิงจนดึกดื่น เหตุการณ์เมื่อกี้เหมือนจะเป็นอีกครั้งที่พระเจ้าส่งมาสนับสนุนเป็นบทสรุป สำหรับ6ชั่วโมงที่คุยกันมา...

กับบางเรื่อง กับบางคน เราผิดหวัง เราเสียใจ เราไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร เราพยายามหาคนผิด พยายามหาคนมาเป็น(แพะ)ผู้ที่ต้องรับผิด(ไม่มีรับ)ชอบ แต่ถ้าเราเปิดใจให้กว้างสักหน่อย เราจะรู้ว่าพระเจ้าทรงดูแลเราอยู่ แม้แต่ในสถานการณ์แห่งความผิดหวัง อาจเป็นเพราะเราผิดเวลาของพระเจ้าอยู่ก็เป็นได้ เรียกแท็กซี่ตั้งหลายครั้งหลายคัน ไม่มีไป เดินถึงป้ายปุ้บ รถเมล์มาปั้บ

กับบางเรื่อง กับบางคน เราคิดว่าคงต้องใช้เวลานาน (อาจจะ นานแสนนาน สำหรับความคิดบางคน) แต่จริงๆแล้วมันอาจจะแป้บเดียวก็ได้ บางเรื่อง บางคนว่าต้อง 2 ปี บางคนว่า 3 เดือนเร็วไป มนุษย์จะกล้าตั้งตนขึ้นชี้ถูกชี้ผิดแทนพระเจ้าเชียวหรือ

การเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักเรามาก และ(พยายามช่วยเรา)ให้ได้รับสิ่งที่ดีสุดในชีวิตเสมอ จะเป็นรากฐานที่สำคัญของการมีใจขอบพระคุณพระเจ้า การมีทัศนคติด้านบวก การมีความหวังและพลังใจ และความสามารถที่จะอดทนฟันฝ่าอุปสรรคจนผ่านพ้นไปได้

พระเจ้าครับ ขอให้ผมได้รู้จักกาลและเวลาของพระเจ้ามากขึ้นนะครับ และในแต่ละช่วงชีวิตขอพระเจ้าช่วยให้ผมได้เห็นองค์ประกอบของชีวิตอย่างครบถ้วนนะครับ

ผมคิดว่า สำหรับความสัมพันธ์ของชายและหญิง 2 คน น่าจะเกิดขึ้นร่วมกัน หลังจากที่แต่ละคนมีพัฒนาการของ character ที่มั่นคงระดับหนึ่งแล้ว อย่างอื่น เพิ่มเข้า เอาออกทีหลังได้ แต่เรื่อง คุณลักษณะนี่ เรื่องใหญ่ ยังไม่นับรวมอีก2เรื่องใหญ่ ความรักความห่วงใยที่มีต่อกัน (อันนี้มีผลต่อ ความรู้สึก "เต็ม") และเรื่องทิศทาง เป้าหมาย ความฝันของทั้งคู่

ตอนนี้ก็เลยได้แต่บอกพี่กอล์ฟไปว่า ไม่มีอะไรพี่ มองๆอยู่ ยังไม่ถึงเวลาของผมครับ อีกนิดนึงพี่ อีกนิดนึง... จริงๆนะ ผมคิดอย่างนี้จริงๆ รอให้ถึงเวลาของเราดีกว่า ใจเย็นๆ ไอ้อาร์ทธเอ้ย เหอ เหอ!

Jan 9, 2008

PUFF... the magic dragon

เคยฟังเพลงกล่อมเด็กเพลงนี้ไหม Puff หลายคนคงเคยฟัง
ผมรู้จักทำนองเพลงนี้ครั้งแรก จากเพลงที่ร้องว่า...

... วันที่เขาตรึงพระเยซู ท่านอยู่ที่นั่นหรือเปล่า ตะปูสามตัวที่ตอกตรึงนั้น ทรงเจ็บก็เพื่อบาปเรา
สหายสักคนก็ไม่มี มวลไพรีดังฝูงหมาป่า... (ประมาณนี้แหล่ะนะ จำได้รางๆ)

พอได้ยินเพลงนี้เป็นภาษาอังกิด ก็หูผึ่ง แต่เอ๊ะ ฟังไปฟังมา ไม่ได้ยินพระเยซูเลย มีแต่เรื่องของมังกรตัวหนึ่ง แต่นั่นแหล่ะ พอนั่งฟังจนจบเพลงแล้วก็นั่งอยู่ตรงนั้นแหล่ะ

ตัวเอกของเรื่อง...
Puff, the magic dragon lived by the sea
And frolicked in the autumn mist in a land called honah lee,

ตัวละครอีกตัว...
Little jackie paper loved that rascal puff,
And brought him strings and sealing wax and other fancy stuff.

ช่วงหวานสุดๆ...
Together they would travel on a boat with billowed sail
Jackie kept a lookout perched on puffs gigantic tail,

ใครเห็นก็ชื่นชม...
Noble kings and princes would bow wheneer they came,
Pirate ships would lower their flag when puff roared out his name.

แล้วก็เริ่มมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของความหวาน...
A dragon lives forever but not so little boys
Painted wings and giant rings make way for other toys.

ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงของคนอื่น...
One grey night it happened, jackie paper came no more
และของตัวเราเอง...
And puff that mighty dragon, he ceased his fearless roar.

His head was bent in sorrow, green scales fell like rain,
Puff no longer went to play along the cherry lane.

ท่อนนี้ คือบทส่งท้ายของเพลง...
Without his life-long friend, puff could not be brave,
So puff that mighty dragon sadly slipped into his cave.
... ซึ่งหวังว่าจะไม่ได้เป็นบทสรุปของเรื่องนี้

ผมไม่รู้ว่าคนแต่งเพลงนี้ ตั้งใจอะไร แต่คิดเอาเองว่าที่ให้เด็กๆฟัง เพราะอยากจะสอนเด็กว่า สิ่งมีชีวิตไม่ใช่ของเล่น อยากเล่นก็เล่น พอมีของเล่นชิ้นใหม่ ก็ทิ้งไว้อย่างนั้น เขาคงอยากจะสอนเด็กๆที่ได้ฟังเพลงนี้ จะได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เหมือนแจ็กกี้

สำหรับผม ถึงจะปากแข็งอย่างไร ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ตอนนี้ผมกำลัง...
Without his life-long friend, i could not be brave, So sadly slipped into my cave.

คงเข้าใจนะว่า ไม่ได้กำลังเหงา แค่ไม่สามารถอาจหาญได้ ก็แค่เป็นอย่างเจ้า Puff มังกรกายสิทธิ์น่ะแหล่ะ.. แค่นั่นเอง

ปล. ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ นุ โทรมาหาจากเมืองจีน กำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว ขิงก็คงแต่งอีกไม่ช้านี้ เฮ่อ..ท่าจะได้เลื้อยอยู่ในถ้ำตัวเดียวล่ะทีนี้

เผื่ออยากฟัง http://profile.imeem.com/onTYbt/music/4zl5S4sr/peter_paul_mary_puff_the_magic_dragon/

Jan 6, 2008

คืนข้ามปี และที่สุด2007

ปีนี้มาแปลกกว่าทุกปี เพราะคืนข้ามปีครั้งนี้ มีสาวมานอนอยู่ข้างๆคนหนึ่ง ที่สำคัญเราไม่รู้จักกัน...

อย่าเพิ่งคิดไปไกล ผมอยู่บนรถทัวร์ กำลังอยู่บนเส้นทาง ตราด-กรุงเทพฯ ส่วนสาวคนนั้น เขานั่งรถเบาะข้างๆ คงจะหนาวก็เลยนั่ง+นอนเบียดมาทางผมน่ะ ผมก็เลยสละผ้าห่มให้เธอ หวังว่าคงจะอุ่นขึ้นละนะ เป็นประสบการณ์ที่แปลกดี

เคยมีคนบอกว่า ในเทศกาลสำคัญๆ ปกติคนเราก็จะอยู่กับคนที่เราให้ความสำคัญด้วย... ผมก็อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เกิดแล้ว ไม่ว่าจะเทศกาลไหนๆ ท่าทางจะเป็นคนไม่สำคัญจริงๆด้วย ยังดีตั้งแต่รู้จักกับพระเจ้า พระเจ้าก็อยู่กับผมมาตลอด ในทุกเทศกาล

กลับบ้านไปครั้งนี้ ได้ข้อคิดจากพ่ออีกแล้ว
พ่อบอกว่า คนสมัยก่อนทำงานออกแรง ทำให้เหน็ดเหนื่อย การเหนื่อยทำให้รู้ว่าต้องพัก ต้องหยุด แต่คนสมัยนี้ทำงานใช้สมอง ร่างกายไม่มีเหนื่อย เพียงแต่ถึงเวลาก็ล้าและอ่อนเพลียไปเลย ทำให้ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู
ฟังพ่อพูดแล้วก็มานั่งคิดต่อ.. บางทีการเป็นคนอดทน ก็อาจมีข้อเสี่ยงเหมือนกันนะ เพราะอดทนก็เลยไม่ค่อยยอมรับการเหน็ดเหนื่อย คิดแต่ว่ายังสู้ไหว ยังไปต่อได้ แต่พอถึงจุดวกกลับ สายป่านขาด ความอ่อนล้าที่สะสมไว้ก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้อะไรๆแย่มากไปกว่าที่ควรจะเป็น ก็เลยคิดว่า จะลดความดันทุรังลงสักนิด แล้วใช้ชีวิตตามที่ควร

วันที่ 30 ได้นั่งอ่านไดอะรี่ ของปี 2007 มีหลายต่อหลายอย่าง ทั้งเรื่องราว เหตุการณ์ บุคคล ที่เกิดขึ้น เรื่องที่สุดของที่สุดที่คัดๆมาก็จะมีดังนี้

1. 10 วันในเซี่ยงไฮ้... กบนอกโลก
2. 7 วันก่อนวาเลนไทน์... 2ปีในการทำใจหลอกตัวเอง กับอีก2วินาทีในการเลือก ซ้ายหรือขวา ยังงัยก็ต้องเลือกซักทางอยู่ดี
3. คำรับรองจากอ.ขาว และคำพยากรณ์จากอ.กอล์ฟ เรื่อง โยเซฟ... ใครจะว่าผมมั่วและคิดไปเอง ก็เรื่องของเขา ผมเชื่อและรับไว้แล้ว
4. นุ ขิง... เพื่อนแท้ไม่ได้วัดจากคำพูด
5. 10 คุณลักษณะว่าที่ศรีภรรยา... เป็นปีที่พระเจ้าพาไปเจอ พาไปเห็น พาไปรู้จัก สาวๆ หลายต่อหลายคน ทำให้เห็นขึ้นชัดๆว่า คนแบบไหนที่ใช่เลย
6. งาน(ที่ทำอยู่ปัจจุบัน)... ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยพระเจ้า
7. สุดท้าย, Jesus in blue jeans... ปีที่อยู่กับพระเจ้าในวิถีชีวิตปกติ ได้เห็นพระเจ้าในความเป็นมนุษย์ ซึ่งต้องบอกว่า ประสบการณ์เกือบทั้งชีวิตที่พ่อกลั่นกรองถ่ายทอด 2 ชม. วันนั้น เปิดกะโหลกหนาๆของผมได้เยอะมากๆ ทำให้พึงสังวรณ์ได้ว่า ยังมีเรื่องจริงอีกมากในพระคัมภีร์ ที่ไม่ได้ถูกสอน และมีอีกหลายเรื่องที่ถูกสอนแต่ไม่ได้มีอยู่ในพระคัมภีร์

ส่งท้ายปี 2007 และขอต้อนรับสู่ปี 2008 ด้วยของขวัญ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ตั้งแต่กลางปี จากเมืองจีน กระเป๋าสตางค์ใบใหม่ ซื้อเพราะชอบแบบ แต่พอรู้ว่ายี่ห้ออะไรแล้วเลยยังไม่กล้าใช้ทันที ต้องรอเวลา "the legend of the man", its brand.

LiFTed

สวัสดีปีใหม่ 2008

คำๆนี้ "LIFTED" สะกิดใจทิ้งทวนมาตั้งแต่ปลายปี รวมกับอีกหลายๆอย่าง ทำให้รู้ว่าพระเจ้าต้องการสื่อสารกับผม ถึงเรื่องการยกชู ยิ่งผมยอมจำนนต่อพระเจ้า ให้เกียรติพระเจ้า ยกชูพระเจ้าขึ้น พระองค์จะทรงยกชูชีวิตผมขึ้นเช่นกัน ไม่ใช่เงื่อนไข แต่เป็นคำสัญญาระหว่างกัน

ปีนี้คงเป็นอีกปีที่มีเรื่องตื่นเต้นให้ติดตามอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องคำพยากรณ์จากชีวิตของโยเซฟ ตื่นเต้นๆ

ปีนี้ ตั้งใจ อยู่ 2 เรื่อง 1.เรียนให้จบ 2.เป็นมนุษย์ปกติ (การให้เกียรติ เคารพตัวเอง มีความเชื่อถือตัวเองน่ะ)

มนุษย์ปกติ... ชอบคำนี้จริงๆ

แฟนฉัน...

เพิ่งนั่งดูหนังเรื่อง "แฟนฉัน"...

เรื่องราวในอดีตหลายต่อหลายเรื่องทยอยพาเหรดชวนให้ย้อนกลับไปนึกถึง ทั้งสุข ทั้งเศร้า บางเรื่องในตอนนั้นร้องไห้จะเป็นจะตาย ตอนนี้นั่งนึกเองยังอดขำไม่ได้ บางเรื่องกลัวขี้หดตดหาย มองย้อนไปกลายเป็นเรื่องขำขำ แม้แต่เรื่องที่ภูมิใจนักหนา มองตอนนี้ถึงรู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆเขาก็ทำกันได้

ยิ่งโตขึ้น ก็ยิ่งมีสิ่งผิดพลาดมากขึ้น มีหลายสิ่งที่อยากกลับไปแก้ไข อยากกลับไปทำให้เสร็จ อยากกลับไปเริ่มต้นใหม่...
แต่เพราะว่าโตขึ้นนี่แหล่ะมั้ง ถึงยิ่งทำให้รู้ว่า เวลาไม่เคยไหลย้อนกลับ ไม่ว่าเราจะอยากย้อนกลับไปเพียงใด หรือแม้เพียงแต่หยุดไว้สักครู่ เวลา ก็ยังคงเส้นคงวาที่จะเดินหน้าต่อไปอย่างสม่ำเสมอ

ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ จะตระหนักหรือเปล่า แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สัจธรรมสากลสำหรับมนุษย์ทุกคน ก็คือ เราทุกคนได้รับเวลามาเท่าๆกันในแต่ละวัน และ ทุกๆวันเราเลือกได้ว่าจะใช้เวลาอย่างไร

ขมขื่นเจ็บปวดจมอยู่กับอดีตที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ หรือ ให้อภัยและสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับตัวเอง ให้กับคนรอบตัวจากสิ่งที่เราเรียนรู้มา

ในเวลาที่ผมยังเด็ก ผมทำหลายสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยทั้งต่อตัวเองและคนอื่น จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่า มีกี่คนที่ยังคงขุ่นเคืองผมอยู่ หลายคนที่ผมอยากจะขอให้เขายกโทษให้ผม เราไม่ได้ติดต่อกันหลายปีแล้ว...

วันนี้ สิ่งที่ผมทำได้ คือ ให้อภัยตัวเอง และตั้งใจที่จะไม่ทำผิดอีก

อยากให้อีก 30 ปีข้างหน้า เมื่อมองย้อนกลับมา เต็มไปด้วยเรื่องราวของชีวิตที่ดีๆ.. ก็คงต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้สินะ