Dec 25, 2007

คริสต์มาส ช่วงเวลาแห่งความรื่นเริง

- คริสมาสนี้ไม่ได้ไปร้องเพลงแครอริ่งที่ไหน
- คริสตมาสปีนี้ อากาศร้อน
- คริสตมาสปีนี้เงียบ แต่ไม่รู้สึกเหงาวังเวง ...อยู่ได้
- คริสตมาสปีนี้ ไม่มีของขวัญให้ใคร ...ก็ไม่เชิง ให้ไปคนนึง แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นของขวัญวันคริสตมาส
- คริสตมาสปีนี้ รู้สึกแปลกๆเวลามีคนบอกว่าเป็นวันเกิดพระเยซู (พระเยซูเกิดหน้าร้อน)...25ธันวาคม เดิมเป็นวันบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์
- คริสตมาสปีนี้ ก็เป็น1วัน ที่เหมือนกับทุกๆปี เพียงแต่ผม รู้สึก ว่ามันต่างออกไป...

ทุกๆปีช่วงคริสตมาส เราก็จะเห็นชาวคริสต์ออกมารณรงค์ให้คนเชื่อพระเจ้า โดยเฉพาะถ้อยคำแรงๆฟังดูน่ากลัวตามสี่แยกไฟจราจร แม้ว่าจะจริง แต่ผมไม่ชอบเลย...

หากเรารู้ว่ามีสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องจริง ที่แม้ความเห็นของคนหมดโลกนี้ก็ไม่อาจทัดทานความจริงนั้นได้ แล้วเราจะโกรธไหม ถ้ามีคนมาว่าเราบ้า ที่เชื่อสวนทางกับคนหมดโลกนี้ ใครกันแน่ที่น่าสงสาร และน่าเห็นใจ

มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ เผชิญหน้ากับความชั่วร้ายทั้งในใจตัวเองและคนรอบข้างอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ละคนก็มีวิธีการ พยายาม จัดการตัวเองแตกต่างกัน ได้ผลมากบ้างน้อยบ้าง บางคนทำได้ดีก็บอกต่อ มีคนเคารพนับถือกันไป

แต่ถ้าวันหนึ่งเราได้รับการหยิบยื่นของขวัญที่จะช่วยลบล้างความชั่วร้ายในใจนั้นออกไป เราจะไม่รับไว้หรือ

ความรอดเป็นของขวัญที่พระเจ้าหยิบยื่นให้มนุษย์ "ทุกคน"
พระคุณ เป็นของขวัญที่อยู่ในกล่องของขวัญอีกชั้นหนึ่ง บางคนรับของขวัญมาแล้วไม่เคยเปิด จึงไม่เข้าใจคำว่า พระคุณซ้อนพระคุณสักที

จะคริสตมาส ปีใหม่ วาเลนไทน์ หรือเทศกาลไหนๆ สำหรับมนุษย์ผู้บอกตัวเองว่ารู้จักกับพระเจ้า เราก็เปี่ยมด้วยความยินดีเสมอ แม้ว่าจะมีอารมณ์ร่วมอื่นๆปนมาอยู่เป็นระยะๆ

เพราะมีพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า สันติสุขที่พระคริสต์ให้กับเรานั้นไม่เหมือนกับที่โลกให้... คริสเตียนจึงน่าจะเป็นกลุ่มคนที่สะท้อนถึงสันติสุขแท้ที่พึงมีได้ในมนุษย์ โดยเฉพาะกับเทศกาลรื่นเริงแห่งความรักและการให้อย่างคริสตมาสนี้

สำหรับผม คริสตมาสปีนี้ อาจไม่เหมือนปีก่อนๆ แต่จะเป็นไรไป
ในเมื่อทุกๆวัน ก็เป็นวันคริสตมาสสำหรับผมอยู่แล้วนี่นา..

สุขสันต์วันคริสตมาสครับ

Dec 24, 2007

กำลัง...ใจ

กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญ มาเถิดมา มาให้กำลังใจกัน... เพลงนี้แว่วๆขึ้นมาในความทรงจำก่อนที่จะเขียนบทความนี้ เหมือนจะย้ำลงไปในความคิดว่าทุกคนต่างก็ต้องการกำลังใจ...

เมื่อเช้านั่งดู whisper of the heart นั่งดูผ่านๆ แต่ก็มีประเด็นชวนคิดสะกิดใจให้นึกถึงคำว่า กำลังใจ
คนที่มีร่างกายแข็งแรง มีกำลังมาก จึงสามารถเอากำลังของตัวเองไปแบ่งให้คนอื่นใช้ได้ ไปช่วยคนอื่นยกของ... นั่นเป็นกำลังกาย
กำลังใจ ก็คงไม่ต่างกัน หากเราจะแบ่งกำลังของใจเราให้คนอื่น ใจเราคงต้องเข้มแข็งมากพอ

ตกเย็นไปเล่นฟิตเนส ครั้งแรกในชีวิต เหมือนจะยิ่งตอกย้ำบทเรียนชีวิตเรื่อง กำลังใจ
เทรนเนอร์ให้ลองนอนหงายยกน้ำหนัก (เล่นกันพอหอมปากหอมคอ...แกว่างั้น) 3 ครั้ง ครั้งละ 15 ที จริงๆเป็นการเล่นเพื่อบริหารอกรวม (แกบอก..ไม่รุหรอกว่าตรงไหน) ยกเสร็จเมื่อยแขนมากๆ แขนสั่นล้าสุดๆ ครั้งสุดท้าย พี่เทรนเนอร์แอบช่วยยกประคองๆให้หลายทีอยู่ หมดแรงแทบขับรถกลับไม่ไหวเลยทีเดียว "เป็นเพราะว่าเราไม่แข็งแรง ก็เลยล้าที่แขน ต่อไปแขนแข็งแรงขึ้น อกก็จะได้"...เทรนเนอร์ใจดีอธิบาย

...ร่างกายเราไม่มีแรงจึงล้าเร็ว ใจที่หมดแรงก็คงล้าเร็วเหมือนกัน "...เล่นยกน้ำหนัก ต้องมีสมาธิ ใจต้องมีกำลังดี..." ได้ยินแว่วๆมาจากเทรนเนอร์คนเดิม

"the great spirit only live in the strong body" เหมือนจะเคยได้ยินใครบางคนกล่าวไว้ หรือว่าเราคิดได้เองก็ไม่รุสิ
ปีหน้า2008 คงจะไม่เพียงออกกำลังกายเท่านั้น แต่จะหันมาออกกำลังใจด้วย

สักวันที่หัวใจดวงนี้แข็งแรงขึ้น มีกำลังขึ้นมาก... มากพอจะแบ่งไปให้ใจใครอีกคนได้มีกำลังขึ้น ให้เราต่างเป็นกำลัง แก่ใจของกันและกัน ให้มีแรงประคับประคองใจเราไปถึงยังจุดหมายที่เราฝันไว้

ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่เพียงทรงเป็น แรงฮึด ให้กับผมเวลาที่ใจหมดแรง แต่ทรงเป็น กำลัง ที่ค้ำจุนใจผมไว้เสมอ

ขอส่งกำลังใจ(น้อยๆ)ให้ผู้อ่านทุกท่านครับ

Dec 18, 2007

อารมณ์คนโสด...

ลดความรักลงซักนิด แล้วใช้ชีวิตตามที่ควร...
ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ทั้งต่อเขาและตัวเราเอง...

เฮ่อ ดั่งอุทกหลั่งล้นหลากหลาย....

มีคนเคยถามว่า ผมชอบผู้หญิงแบบไหน ...ผมคิดว่า นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่ตอบยากมากสำหรับผม
เมื่อก่อนจะไม่ค่อยตอบ เพราะไม่รู้จะตอบยังงัย จนหลายคนพาลคิดเอาว่า ขอให้เป็นผู้หญิงมาเถอะ ไอ้อาร์ทธชอบหมด...แป่ว

หลังๆมา(แม้จะไม่มีคนมาถาม)ผมตอบคำถามนี้ได้แล้วหล่ะ (ดีใจจัง) ผมชอบผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเอง มีความเชื่อมั่นต่อตัวเองและนบนอบเชื่อฟัง เข้มแข็งและอ่อนโยน คิดเป็นและลงมือทำ จริงจังและอารมณ์ดี ที่สำคัญต้องรู้ตัวว่า ตัวเองเป็นคนหน้าตาดี
รับไม่ไหวจริงๆกับผู้หญิงที่ทะเล่อทะล่า ไม่รู้จักกาละเทศะ คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง โง่แล้วอวดฉลาด เจ้าชู้ ขี้โกหก รักสนุกจนเกินเหตุ ที่สำคัญมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง

เคยนั่งคิดว่าอยากมีภรรยาเเบบไหน คิดไปคิดมา สุดท้ายนะ ขอให้เป็นคนที่รักกัน เชื่อใจกัน ตกลงใจจะร่วมทางเดินของชีวิตที่เหลือไปด้วยกัน จะช่วยกันประคับประคองชีวิตของกันและกันไปให้ถึงจุดหมายที่เราต่างคนต่างฝันไว้ร่วมกัน

ถ้าจะให้ดี อย่างน้อยก็ขอให้เข้าใจอารมณ์และความคิดของผมบ้าง
...อยากได้หญิงไทยเชื้อสายจีน(ที่หน้าตา สีผิวและนิสัย) สวย ฉลาด มีชีวิตที่พัฒนาตัวเองไปได้เรื่อยๆ

อยากมีชีวิตที่จะได้อยู่ใกล้ชิด เพื่อเรียนรู้จักกันมากขึ้น กับเธอคนนั้น (คนไหนก็ไม่รุ) ...คนที่จะเป็นคู่ชีวิตของผม

ยิ่งคิดอยากจะแต่งงานมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะต้องนั่งทำใจอยู่คนเดียวมากขึ้นเท่านั้น... เฮ่อ...

จะเป็นไปได้ไหมหนอ... ที่เส้นทางชีวิตของเราจะมาเกี่ยวข้องกันอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ดูเหมือนเป็นความบังเอิญจากเจตน์จำนงแห่งสวรรค์ เพื่อให้เราต่างเป็นเพียงผู้ตอบสนอง ก่อเกิดเป็นความมั่นใจที่หนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าความรู้สึกชอบพอแห่งใจที่เราสองต่างมีต่อกัน




Dec 12, 2007

a bad day ?

เช้านี้ ตื่นมา... สาย
รีดเสื้อ... แ_'งทำไมมันเรียบยากเรียบเย็นงี้วะ
จะไปขึ้นมอไซค์... คนรออยู่ 10 คน (10 คน จริงๆนะ ม่ได้โม้ ปกติ 5 คนนี่ก็หรูแล้ว)
เอาวะไปขึ้นอีกวินนึงก็ได้

อีก 5-6 ก้าวถึงมอไซค์ ชีมาจากไหน โดดขึ้นมอไซค์ หน้าตาเฉย (คันเดียวที่เหลืออยู่ ไปแล้ว)

วะ เดินไปก็ได้โว้ย ฮึ่ม ฮึ่ม ขอบคุณพระเจ้า
ไปถึงก็ซื้อแซนวิชไม่ทัน หิววววว..มาก ต้องออกไปประชุมตอน9 โมงอีก

ยัง ยัง ยังไม่พอ เมื่อวานนี้ ทำงานพลาด โดนนายเตือนกันไปเบาะๆ พอตกเย็นเจอที่ผิดหนักกว่าเดิม เช้านี้บอกพี่อีกคนที่เหมือนจะเป็นนาย โดน...เละ

ยังดี ตอนกลางวัน นายเลี้ยงข้าว เห็นกินข้าวอิ่มๆ คงอารมณ์ดี ... "ไมผิดบ่อยจังวะ ผิดไอ้ที่มันไม่น่าผิด" จ๋อยคร้าบ...
ยัง ยัง ยังไม่หมด พอกลับมาออฟฟิซ ต้องแก้ไอ้ตัวที่ผิด แก้แ_'ง 3 รอบ คนเซ็น ถึงขั้นมีอารมณ์เสีย รู้กันทั้งออฟฟิซเลยทีเดียว แทบตายอยู่ตรงนั้น

ต้องไปข้างนอก ตอนนั่งรถเมล์กลับ 2 ป้าย หลับ..นั่งเลยไปอีก อะไรกันนักกันหนาเนี่ย โว้ยโว้ยโว้ย

ตอนเย็นยังไม่วาย โดนเบาๆอีกทีก่อนกลับบ้าน

ตอนเดินกลับบ้าน ก็ให้นึกสมเพชตัวเองเล็กๆ เมื่อคืนวาน เพื่อนที่ออฟฟิซคนนึงบอกว่าสมเพชตัวเอง เพราะไม่มีคนไปเที่ยวปีใหม่ด้วย เฮ่อะ ชั้นไม่ใช่แค่เพื่อนเที่ยวนะ แค่อยากจะบอกใครสักคนว่าวันนี้เหนื่อยจังเลย แค่เนี้ย ยังไม่รู้จะบอกใครเลย

นึกถึงเพลงนึงขึ้น send someone to love me, i need to rest in arms...

เฮ่อ... กำลังคิดเพลินๆ + หิวมาก.... ว่าจะเดินไปหาอะไรกินที่ KFC คลองเตย ฟูดส์ เซ็นเตอร์ ดันไปเจอคนที่ไม่ควรเจอ แน่นอนว่าอีกคนมันก็ทำหวงก้างใส่เหมือนเคย (ถุย กินเดนกรูไม่รู้ตัว... โทดที แอบคิดดังไปหน่อย) แต่ก็อึ้งๆ ยืนมึนๆอยู่ตรงไฟแดง 3 นาที พาลกินข้าวไม่ลงเอาดื้อๆ ยืนมึนอีก 1 นาที ไปซื้อโอวัลตีนกินที่ 7-11 ก็ได้ฟะ

(วันนี้ เพื่อนที่ออฟฟิซมันถามผม คุณอาร์ทธ คุณว่าผมมันโง่หรือบ้า ผมคิดถึงคนที่ผมเคยอยู่ด้วยกันมากผมแอบคนที่ผมอยู่ด้วยตอนนี้ไปหาเขา คนตอนนี้เขาก็ดีกับผม แต่คนตอนโน้นผมก็ยังไม่ลืมเขา ไมผมแ_'งเอี้ยงี้วะ (คิดในใจ... เออ กรูเข้าใจ กรูก็ไม่ต่างจากเมิงเท่าไหร่หร้อก) ผมอยู่คนเดียวดีกว่ามั้ยคุณอาร์ทธ (ไม่ตอบโว้ย))

เซ็ง เข้าใจมะว่ามันเซ็ง

วันนี้แคร์รวม ปีเตอร์ ทร้องค์ มา (ไม่รู้ล่วงหน้าเหมือนเดิม) เทศน์ เรื่องลักษณะความรักของพระเจ้าเออ เอาเข้าไป กรูจาบ้าตาย บอกพระเจ้าตรงๆวันนี้เซ็งมักๆ น้ำตาจะหล่นมาตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว

ทร้องค์นำนมัสการหลังเทศน์ เพลงเดียว how could i live ผมเดินออกไปข้างหลัง บอกพระเจ้าว่าจริงๆ ผมไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว ไม่อยากร้องไห้จริงๆนะ แล้วก็พรากๆ พรั่งพรู

ทร้องค์จะเรียกคนออกไปอธิษฐานเผื่อข้างหน้าเป็นกลุ่มๆ ผมเดินไปหลังห้องสุด ...พระเจ้าไม่ต้องพูดกับผมก็ได้ ถ้าอยากพูดก็ลากผมออกไปละกัน

.
.
.

ชา...ราบาราบาราบาราบาราเย เริ่มมีภาษาแปลก แล้วก็เริ่มพูดไปเรื่อยๆ สักพัก... God speak to me Lord, speak to me...
... i need to hear your voice... speak to me...
then, the Holy Spirit stir in my heart! okay. next, your turn.
เราเดินออกไปตั้งแต่ทร้องค์ยังไม่เรียกเลย เขาพูดตั้งยาว ได้ยินแค่ว่า ในการเติบโต...
ปรากฎว่า...

จะอธิฐานเผื่อคนที่เติบโตผ่านความเจ็บปวด พระเจ้าต้องการรื้อฟื้นจิตใจที่เจ็บช้ำ ...เข้าใจเตรียมนะพระเจ้า

release me all, release me all พูดอยู่ได้แค่เนี้ย + พรากๆพรากๆ (น้ำตานะ ม่ะช่ายน้ำลาย)

อ.กอล์ฟเดินมา... อธิฐานเผื่อ จำได้คำเดียว ลบล้างเรื่องเก่าๆ ...และพยากรณ์ว่า ชีวิตจะเป็นดั่งโยเซฟ แม้ในบางเวลาที่ดูพระเจ้าอาจนำพาให้ห่างไกลจากนิมิต แต่รักษาไว้ + รับการชำระ + อดทนต่อความไม่เข้าใจของพี่น้อง ถึงเวลาพระเจ้าจะยกชูเป็นพรต่อประชาชาติหนึ่งเป็นแน่ (ประมาณเนี้ยนะ)

ทร้องค์ what's your name? "allow God change you from the inside to outside to be the new man" ประมาณนี้

my dear Lord pls come into my heart. change me from the inside to be the realman of you, God. pls come into my life change me and rebuild me. let me know you more, grow more be like you more, shine your glory more. inthe Jesus's name

such a bad day, isn't it?

Dec 5, 2007

looKING ( part 4,ending )

หมายเหตุ เพื่ออรรถรสในการอ่าน กรุณาอ่านตามลำดับตั้งแต่ตอนที่ 1

วันอาทิตย์...

ขณะกำลังกลับใจที่ไปร่วมนมัสการที่โบสถ์ช้าด้วยอาการงกๆเงิ่นๆอยู่ที่บ้านตอนเที่ยงกว่าๆ พระเจ้าสัมผัสใจให้รีบไปโบสถ์ มีเรื่องจะบอก ก็รีบกระวีกระวาดไป เข้าไปในห้องประชุมไม่ทันหายหอบ คำเผยพระวจนะก็มาถึงอย่างแรง "ให้เรากลับใจรับการชำระ แล้วพระองค์จะทรงยกชูชีวิตของเราขึ้น" รู้เลยว่าเรื่องอะไร (มารู้จริงๆมากขึ้น ก็เย็นวันจันทร์)

ยอมรับว่าสู้มานาน สู้แล้วล้ม สู้แล้วล้ม นานเสียจนแทบจะไม่หวังว่าจะผ่านแล้ว ยืดหยุ่นจนเลยเส้นเป็นประนีประนอม มองไม่เห็นชัยชนะแม้จะรู้ความจริงว่าเราชนะได้ก็ตาม ถึงกระนั้น ลึกๆในใจก็ยังคงหวังว่าจะมีสักวัน สักวันที่จะแข็งแรงพอ... ก็กลับใจกันไป

แล้วก็มีภาพยนตร์เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง looKING ตอนต้นเรื่องขึ้นว่า มนุษย์เรารู้สึกในสิ่งที่เราเห็น...
...ในหลวงชอบถ่ายรูป ไม่ใช่เพราะพระองค์เห็นชาวบ้านตัวดำๆ แต่เพราะทรงเห็นความรักที่ชาวบ้านเขามีให้พระองค์...
ตอนท้ายเรื่องจบว่า มนุษย์เรามองเห็นในสิ่งที่เรารู้สึก

จริงอยู่ว่าเราอาจเกิดความรู้สึกตามที่สายตาเรามองเห็น แต่สิ่งสำคัญหลายอย่างมองไม่เห็นได้ด้วยตา สิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา มักไม่ยั่งยืน หลายๆเรื่องต้องใช้ตาใจมองถึงจะมองเห็น ถ้าใจของเรามองเห็นแล้ว ดวงตาย่อมมองเห็นได้ไม่ยาก

ครั้งหนึ่ง อ.สอนถ่ายรูปเคยบอกว่า ก่อนกดชัตเตอร์ ให้เห็นความสวยงามในรูปนั้นเสียก่อน หลังจากเราเรียนจบถึงเข้าใจว่า ทุกอย่างในโลกนี้ถูกสร้างมาให้มีความงามซ่อนอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่า ใคร จะมองเห็น และจะเปิดเผยออกมาให้คนในโลกนี้ได้ชื่นชมร่วมกัน

ทำไมคนบางคนถึงมองไม่เห็นสิ่งดีในชีวิตของคนๆหนึ่งเลย ทำไมคนบางคนถึงไม่สามารถเชื่อใจใครอีกคนได้ ก็เพราะเขาเห็นตามที่เขารู้สึกใช่หรือเปล่า
... ผมคิดว่า ความรู้สึก เป็นกลางมีทั้งคุณและโทษ ถ้าชีวิตเราควบคุมความรู้สึกของเราไม่อยู่ หรือ เลือกที่จะให้ความสำคัญกับความรู้สึกดีมากจนเกินไป ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร

คนบางคนฉลาด รู้เท่าทันความรู้สึกของคนอื่น เขาอาจจะมองคนอื่นเป็นเพียงของเล่น หรือเหมือนหมาแมวแถวบ้านตัวหนึ่งก็เป็นได้ล่ะมั้ง

ผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า ทำไม ใครบางคนถึงมองไม่เห็นผมเสียแล้ว... ก็เพราะว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมอีกแล้ว..
ตรงกันข้าม ที่ผมยังคงเห็นใครคนนั้นอยู่เรื่อยๆ เพราะผม..ยังคงรู้สึกอะไรกับเขาอยู่ แม้จะรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไรก็ตามที
และเรื่องจริงที่ผมเพิ่งสังเกตตัวเองก็คือ ช่วงปีที่ผ่านมา ผมมองไม่ค่อยเห็นใคร ในขณะที่ช่วง 1-2 เดือนมานี้ ผมเริ่มเห็นใครคนหนึ่งเป็นประจำเลย

ป.ล. เย็นวันจันทร์ ไปคอนเสิร์ตของ Bob Fitt มา พระเจ้าแตะใจรับการปลดปล่อยเรื่องความกลัว กล้าที่จะทิ้งความรู้สึกเก่าๆ ก้าวข้ามความรู้สึกยึดติดในความสัมพันธ์เก่าๆที่ไม่จริง ไม่ต้องกลัวการสูญเสีย เป็นไทในพระเจ้า ทำตามความจริง ดำเนินชีวิตมีเสรีภาพในพระองค์ แล้วพระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมให้

คืนนั้น ผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกใหม่ ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมมีมุมมองใหม่ในการมองเห็นเรื่องเดิมๆ

... เมื่อความจริงเปลี่ยนความรู้สึกของเราให้เที่ยงตรงมากขึ้น เราก็เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น

มนุษย์เรา มองเห็นในสิ่งที่เรารู้สึก...จริงๆ

looKING ( part 3 )

ตอนเย็น ได้นั่งคุยกับน้องคนหนึ่ง ได้หนุนใจเขาในการดำเนินชีวิต พูดตรงๆว่า พอรู้จักเขาแล้วก็อดประทับใจในส่วนดีไม่ได้ ยิ่งเมื่อเห็นคนข้างบนกับคนข้างล่างชีวิตเขาแล้ว นับถือจริงๆ

หลายคน เมื่อเวลาผ่านไป ความตั้งใจที่จะตอบแทนความรักที่อีกฝ่ายมีให้ กลับเป็นเหตุให้ความรักของทั้งสองฝ่ายจืดจางลง ชีวิตมีแต่เรื่องของสิ่งที่ควรทำและการตัดสินใจ จนเริ่มสูญเสียความรู้สึกและแรงปรารถนาแห่งจิตใจของแต่ละฝ่าย เวลายิ่งนาน ตะกอนยิ่งนอนก้นในหัวใจหนาขึ้นทุกที...

...ความจริงแท้ นำมาซึ่งเสรีภาพแท้ และการมีอิสรภาพแท้จะอยู่ในขอบเขตของความจริง...

บางคนเรียกการตอบแทนอย่างนั้นว่ารักแท้ รักจนยอมเสียสละตัวเองได้... เขาว่างั้น แต่ผมสงสัยว่า เราจะรักผู้อื่นได้อย่างไร หากเรายังรักตัวเองไม่เป็น ยังไม่เคารพ นับถือ ซื่อสัตย์ ให้เกียรติตัวเอง
พระคัมภีร์บอกว่า ให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง ...เหมือนรักตัวเอง

ผมเชื่อจริงๆว่า ยิ่งเรารักพระเจ้า เราก็ยิ่งรักตัวเองเป็น ก็ยิ่งรักคนอื่น ก็ยิ่งเห็นคุณค่าความรักของพ่อแม่ แฟน พี่น้อง เพื่อนๆ ญาติๆ และคนอื่นๆที่มอบให้เรา ก็ยิ่งง่ายที่จะแจกจ่ายความรักให้กับคนที่ยังมองไม่เห็นว่า ความรักมีอยู่มากมายรอบๆตัวเรา แต่ถ้าใครบางคนเริ่มต้นกระบวนนี้ จากการรักตัวเองด้วยตัวเอง ผมไม่แน่ใจว่าจุดสุดท้ายเขาจะ สามารถ รักคนอื่นได้หรือเปล่า เพราะความรัก เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจะผลิตสร้างได้เองมานานแล้ว เราเพียงยอมรับมาเป็นของเรา แล้วส่งออกให้คนอื่นต่อไป

ป.ล. ช่วงหัวค่ำ โบสถ์มีงานปาร์ตี้สำหรับคนวัยหนุ่มสาว ได้มีโอกาสคุยกับรุ่นพี่อาวุโสสูงสุดสั้นๆ ซึ่งวันนี้มานั่งเล่าเรื่องความรักในชีวิตคู่ของพี่เขา ให้พวกเราฟังด้วย "คนไหน คนนี้น่ะเหรอ (ชี้นิ้วประกอบ) ดี เป็นคนดีมาก รักพระเจ้า เป็นคนมีศักยภาพ" คำตอบสั้นๆในเวลาที่จำกัดจากผู้นำสูงสุด กับคำถามว่า "พี่มองคนนี้เป็นอย่างไร"

looKING ( part 2 )

วันพุธ 3วันก่อนวันอาทิตย์...

หลังจากอัดอั้นมานานหลาย กับความไม่เข้ากันกับรุ่นพี่คนหนึ่ง + กับอีกหลายเรื่อง ก็เลยขอนัดคุยกะรุ่นพี่อาวุโสท่านนึง ก่อนคุยก็ประเมินไว้แล้วว่าผลน่าจะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้นัก รุ่นพี่อาวุโสรู้จักเรา เห็นเรา เข้าใจเรา เชื่อใจเรา น้อยกว่ารุ่นพี่คนนั้น + เราเองก็ไม่คมชัดพอที่จะอธิบายความรู้สึกของเราด้วยความจริงและสิ่งที่ถูกเรียกว่าเป็นตรรกกะและเหตุผลได้
การพูดสิ่งที่เราเห็นแย้งกับสิ่งที่คนอื่นเห็นน่ะง่าย แต่การที่คนอื่นจะเปลี่ยน/มีมุมมองเห็น(ด้วย)ในสิ่งที่เราเห็นนี่สิ ไม่ง่าย

สุดท้ายก็ได้แต่ให้ข้อมูล และก็ต้องนัดคุยกันครั้งต่อไป ดีซะอีก รุ่นพี่อาวุโสจะได้รู้จักเรามากขึ้น
แม้อาจจะดูไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ แต่ผมก็เห็นว่าเป็นก้าวเล็กๆที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว... จุดเริ่มต้นของปลายทางแห่งความสัมพันธ์ที่มั่นคงต่อกัน


วันเสาร์ 1วันก่อนวันอาทิตย์...

วันนี้เป็นอีกวันที่ดีในชีวิตเลยนะ

ตอนกลางวัน ผมไปซื้อของ ทีแรกคิดว่า ถ้าเจอเสื้อเหลืองเท่ห์ๆสักตัว ก็จะซื้อ ก็เจอจริงๆนะ แต่ตัวเล็กเกิน ไม่เหมาะกับเรา สุดท้ายก็ได้เสื้อสีอื่นมาสองตัว "..แต่ก็เป็นตัวที่เราชอบนี่" คนที่ไปด้วยพูดขึ้นมา
...ก็จริงนะ หลายครั้งหลายคราในชีวิตเรา ไม่เพียงเรารู้ว่าเราไม่ชอบอะไร แต่เรารู้ด้วยว่าเราชอบอะไร ถึงอย่างนั้นสุดท้ายเราก็ไม่มีสิ่งที่เราชอบที่สุดเป็นตัวเลือกของเรา ทำให้นึกถึงทฤษฎีหนึ่งสมัยเรียนหนังสือ "second best theory" ทฤษฎีดีรอง ง่ายๆก็คือ การเลือกสิ่งที่ดีที่สุดรองลงมาในสภาวะที่เราสามารถเลือกได้ เพราะทางเลือกที่ดีที่สุดเป็นอุดมคติ ไม่มีอยู่จริง หรือมีข้อจำกัดทำให้ไม่สามารถเลือกได้

เหมือนเพลงหนึ่งที่เคยดังทั่วบ้านเมือง ...อยู่กับสิ่งที่จริง ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน แล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด

...หลายครั้งเราเลือกทำในสิ่งที่รักไม่ได้ แต่เราเลือกรักในสิ่งที่ทำได้ เราเลือกได้ว่าจะมองตัวเองเป็นเหยื่อของวิบากกรรม หรือชีวิตคือการเรียนรู้
(เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งพูดไว้ว่า เราอาจเลือกคนที่เรารักไม่ได้ แต่เรารักคนที่เราเลือกได้ อืม...น่าคิด น่าคิด)

Dec 4, 2007

looKING ( part 1 )

เมื่อวานนี้ ที่โบสถ์มีหนังสั้นเนื่องในวันพ่อ น้ำตาปริ่มๆอีกแล้วชั้น เฮ่อ ทำมายเป็นคนอ่อนไหวอย่างนี้ฟะ แต่ชีวิตมันก็มีเรื่องราวของมันแหล่ะนะ ค่อยๆฟัง ค่อยๆอ่านไปละกันนะ


ประมาณ 7 วันก่อนวันอาทิตย์...

ผมโทรไปหาน้องคนนึง มีอยู่ช่วง(นานๆ)หนึ่งเราคุยกันบ่อย สนิทกันมาก แต่พักหลังๆเราไม่ค่อยได้คุยกัน นานนะครั้งล่าสุดที่โทรไปคุย จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่
"เรารู้สึกว่าพักหลังๆไม่ค่อยเห็นพี่เลย" "พี่หลบหน้าเราอยู่มั้ง"(เราเดินเกือบชนกันตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นพี่จริงๆเหรอ...คิดอยู่ในใจ) "เราสายตาสั้นด้วยแหล่ะ" (ก็เลยเห็นแต่คนที่เดินตามอยู่ใกล้ๆล่ะสิ...แค่คิดอีกเหมือนกัน) "อืม พี่ก็วุ่นๆด้วยแหล่ะ เลยอาจจะไม่ค่อยเจอกัน" (... ในใจน่ะคิดไปไหนต่อไหนแล้ว...)
...น่าแปลกดี คนเดียวกับที่บอกเราว่ามองไม่เห็นเราในวันนี้ เคยมองเห็นเรากลางคอนเสิร์ตมืดๆที่จัดในสนามกีฬาวันรับน้องใหม่ เคยsmsมาปลุกเพราะมองเห็นเราหลับในห้องประชุม เคยสังเกตว่าเราไม่ได้มาBC เคยเห็นเราตาแดงๆเวลาแอบร้องไห้...ฯลฯ วันนี้เขามองไม่เห็นเรา
...ก็เป็นไปได้ ที่เขาอาจจะไม่เห็นเราอยู่ในสายตาอีกแล้ว ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องโทรมา หรือโทรกลับ ...ไม่ได้เป็นอะไรกัน น้ำมากหลายในสระกว้าง ไฉนเลยจะเห็นค่าของน้ำนิดเพียง 1 หยดน้อย

...อีกครั้งหนึ่งที่ต้องบอกตัวเองก่อนหลับตานอนว่า มันจบลงแล้ว..จริงๆ

Dec 3, 2007

เพียงพอ...พอเพียง

เมื่อ2-3วันก่อน อาบน้ำอยู่เพลินๆ ก็นึกถึงเมลหนึ่งทีเพื่อนเคยส่งให้อ่าน หลายคนคงเคยอ่านบ้างแล้ว

เนื้อหาในเมล จะประมาณว่า พูดถึงผู้ชายคนหนึ่งเดินเที่ยวอยู่ในสวนดอกไม้ที่สวยมากๆ และเขามีสิทธิที่จะเลือกเอาดอกไม้กลับบ้านได้ 1 ดอก ภายใต้เงื่อนไขว่า ห้ามเดินย้อนกลับมา เดินหน้าได้อย่างเดียว
ในเมลนั้นบอกว่า ทางเดินตั้งแต่ช่วงที่เริ่มเห็นประตูทางออก ดอกไม้จะเริ่มบางไม่ค่อยมีให้เห็น และเขาสรุปให้ข้อคิดว่า บางทีเราช่างเลือกเสียจนต้องรอให้ถึงจุดที่จะวิกฤต (เช่น ใกล้เหยียบ 30) เราถึงจะเลือก ซึ่งถึงตอนนั้น คนดีๆหลายคน(ส่วนใหญ่)ก็ไม่อยู่ให้เราเลือกแล้ว....

ผมคิดว่า เรื่องสำคัญคือ ตัวเราต้องรู้จักตัวเราเอง รู้ว่าเราชอบดอกไม้แบบไหน กลิ่นไหนดมแล้วสดชื่น หรือดมแล้วคลื่นไส้ สีไหนเห็นแล้วสดใส หรือชวนให้หม่นใจ รับได้ไหมกับ "หนาม(ใหญ่)" ที่เขามี คุณลักษณะใดที่ไม่เอาแน่ๆ เช่น พันกันเป็นไม้เลื้อย

ระหว่างเดินชมสวน เราก็ชื่นชมความงามของการทรงสร้างไป ใช้ชีวิตไปอย่างมีความสุข เห็นโลกอย่างที่เป็นในความสวยงามที่พระเจ้าสร้างไว้

ถ้าเราเห็นดอกไม้ที่เราต้องการ ก็เดินช้าลงสักหน่อย หรือหยุดซักครู่ พิจารณาให้ดีๆว่าเราจะไปต่อคนเดียว หรือจะถือดอกไม้นั้นไปด้วย อาจต้องใช้เวลาบ้างแต่ก็อย่าให้นานเกิน ชีวิตยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ

บางคนก็หยิบมาก่อน คิดในใจว่า ถ้าไปข้างหน้าแล้วเจอที่ถูกใจกว่า หรือไม่ถูกใจค่อยเปลี่ยนใหม่... ต้นไม้เปลี่ยนดินยังต้องใช้เวลาในการปรับตัว แล้วคนต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการปรับใจ

ถ้ายังไม่รู้จักรู้ใจตัวเองก็อย่าเพิ่งดีกว่ามั้ง ? วันที่รู้ใจตัวเองแล้ว ถ้าที่อยู่ในมือตรงกันก็ดีไป แต่ถ้าไม่ ใครบางคนอาจไม่สามารถใช้ชีวิตได้สมกับที่ตัวเองเป็น ใช้ชีวิตไม่ได้สุดใจเพราะดอกไม้ที่อยู่ในมือ และนั่นก็คงมีส่วนให้คนที่เขารักเราทุกข์ใจไปด้วย

คนที่รู้ความต้องการของตัวเองแล้วจริงๆ (ไม่ใช่แค่คิดว่ารู้นะ) เลือกแล้วย่อมเสียใจน้อยกว่าคนที่ไม่รู้จักตัวเอง แต่คนที่รู้ความต้องการของพระผู้สร้าง เลือกแล้วจะอิ่มใจมากขึ้นทุกวัน แม้การเลือกนั้น คือ เดินออกจากสวนมือเปล่าก็ตามที

คนที่ใช้ชีวิตสนุกไปวันๆ คงไม่ง่ายๆที่จะเห็นความต้องการในอนาคต คงไม่ง่ายที่จะรู้ว่าเราจะต้องทำอะไร รับผิดชอบอะไร ชีวิตมักเต็มไปด้วยคำว่าอยากทำอะไร... ไม่ง่ายที่คนเหล่านี้จะรู้จักคำว่า "พอเพียง"

บางคนแย้งว่า เขารู้จัก เพราะเขาได้รับแล้ว... มันต่างกัน
"ความพอเพียง" เกิดจากความตั้งใจ รู้จักตัวเอง กำหนดความต้องการ และลงมือแสวงหา แต่
"ความเพียงพอ" เกิดจากความรู้สึกพอ หลังจากที่เราได้รับบางสิ่งมา

สำหรับหลายคน ความรู้สึกพอในวันนี้ อาจกลายเป็นความไม่อิ่มใจในวันหน้า (หากเขาเติบโตขึ้นในการรู้จักความจริงและการยอมรับตัวเอง) คนที่รู้จักพอเพียง จะรู้จักคำว่าเพียงพอ แต่คนที่รู้จักเพียงพอ ชีวิตนี้อาจไม่รู้จักความพอเพียงเลย ก็เป็นได้

ชีวิต... มีช่วงวัยของมัน ไม่ต้องรีบร้อน แต่ก็ต้องไม่ละเลย ถ้ายังมีคำถามในใจว่า ต้องรอให้โตถึงเมื่อไหร่ หรือมั่นใจเกินเหตุว่าเราโตแล้ว... นี่อาจเป็นเวลาดีที่เราควรเรียนรู้จักกับคำว่า... "ความพอเพียงของชีวิต"




ปล.1 ก่อนหน้าจะอาบน้ำ นึกถึงคนๆหนึ่งกับเรา แล้วก็มีคำว่า "perfect" อยู่ในหัว ในขณะที่รู้อยู่เต็มอก ว่าเราสองคนไม่มีคนไหน perfect ...ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์เราแหล่ะเนอะ ใครมันจะสมบูรณ์แบบไปซะทุกเรื่อง

ปล.2 ขอถวายเรื่องนี้ เป็น 1 สิ่งดีทำเพื่อพ่อ เนื่องในวโรกาสฉลองพระชนมายุครบ 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2550