May 31, 2009

ดูหนังดูละครย้อนดูตัว...Terminator Salvation

มนุษย์แตกต่างจากเครื่องจักรตรงไหนกัน...
มนุษย์โปรแกรมเครื่องจักร มนุษย์ใส่ข้อมูลให้เครื่องจักร เครื่องจักรประมวลผลตามโปรแกรม เครื่องจักรทำงาน...ให้มนุษย์

เทคโนโลยีของโลกทุกวันนี้ ก้าวล้ำหน้าขึ้นทุกวัน เครื่องจักรได้รับการปรับปรุงให้ดูเหมือนสามารถคิดเหมือนมนุษย์ได้มากขึ้น ผ่านการโปรแกรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้เครื่องจักรสามารถคิดและตอบสนองความรู้สึกของมนุษย์ได้มากขึ้น

เจ๋งกว่านั้น โปรแกรมบางตัวทำให้เครื่องจักรเรียนรู้ที่จะตอบสนองจากพฤติกรรมของมนุษย์ หรือสามารถพัฒนาโปรแกรมของตัวเองได้

แต่ถึงกระนั้น ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ก็เป็นกระบวนการของการใช้เหตุใช้ผลของเครื่องจักรที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบการตัดสินใจของมนุษย์...


มนุษย์มีหัวใจ เหตุผลของมนุษย์มีทั้งส่วนของตรรกะและส่วนของความรู้สึก มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความคิด จิตใจและจิตสำนึก

หากเราสอนเด็กคนหนึ่งว่าเขาควรคิดอย่างไร บอกเขาว่าอะไรผิดอะไรถูก วางขอบเขตของจิตสำนึกให้เขา ให้คุณค่ากับบางเรื่องเพื่อสร้างค่านิยมเป็นบรรทัดฐานให้เขา จำกัดขอบเขตความคิดด้วยสิ่งที่เรียกว่า "มาตรฐานทางศีลธรรม" (บางคนเรียกว่า "ศาสนา")
และใช้ตัวเราเองเป็นเครื่องโน้มนำศรัทธาหรือความเชื่อ ไม่ช้าไม่นาน เราคงจะได้สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่จงรักภักดีกับเรา เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นพวกมีจริยธรรมสูง บริสุทธิ์ผุดผ่อง คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใคร่ยินดีจะเกลือกกลั้วกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆเท่าใดนัก


มนุษย์มีความเข้มแข็งของจิตใจ ที่ทำให้เราพร้อมที่จะยืนหยัด ยินดีเสียสละประโยชน์ของตัวเองในสิ่งที่เราเชื่อและเห็นคุณค่า
มนุษย์มีความอ่อนโยนของจิตใจ ที่ทำให้เราพร้อมที่จะเห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอของผู้อื่น และช่วยเหลือเขาตามกำลังความสามารถที่เรามี
มนุษย์มีหัวจิต มีหัวใจ


ในโลกยุคที่มนุษย์กำลังพยายามพัฒนาเครื่องจักรให้เข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น
มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย ก่อนที่โลกนี้จะถึงจุดที่มิอาจแยกแยะมนุษย์กับเครื่องจักรได้ด้วยตาเปล่า
ลองหันกลับมาพิจารณาตัวเองสักหน่อยดีไหมว่า ท่านกำลังเปลี่ยนมนุษย์คนอื่นให้เป็นเครื่องจักรมากขึ้นไหม
หรือแม้แต่ตัวท่านเอง กำลังกลายเป็นเหมือนเครื่องจักรมากขึ้นหรือเปล่า... ขอจงตอบมา

YES NO CANCEL !!!

May 27, 2009

only a woman can

คุณคิดว่า ถ้าคุณมีโอกาสได้พบกับใครสักคนที่ไม่เพียงเป็นคนที่คุณไม่เคยคิดว่าจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ไม่เพียงเป็นคนที่ตรงกับคนในฝันของคุณ ไม่เพียงทำในสิ่งที่เพลงข้างล่างนี้ว่าไว้ แต่ เธอ คนนั้นยังรักคุณด้วย แน่นอนว่าคุณรักเธอโดยไม่ต้องสงสัย

คุณจะทำอย่างไรกับเธอ
คุณกล้าพอไหม ที่จะปล่อยให้เธอเดินผ่านเลยไป ด้วยคุณรู้ว่า คุณและเธอ จะได้มาเจอกันอีกครั้งแน่
เพราะทั้งคู่ต่างเป็นของกันและกัน

ถึงตอนนั้น คุณกล้าพอที่จะมั่นใจไหมว่า เธอจะเป็นคนที่คุณจะรักเธอไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ

สำหรับผม เหตุผลและความรู้สึกของคำตอบทั้งสิ้นของคำถามข้างต้น ทั้งหมด คือ เหตุผลข้อที่ 7 ที่ผมคิดว่า ผมควรจะแต่งงาน...


I wasn’t perfect
I’ve done a lot of stupid things
Still no angel
I wasn’t looking for forgiveness
Wasn’t laid out by my pride
Shocked by her attention
And someone signed me up for love
I didn’t want it
And now I can’t live without it

She changed my life
She cleaned me up
She found my heart
Like only a woman can
She pulls me up
When she knows I’m sad
She knows her man
Like only a woman can

She’s kind of perfect
She’s kind of everything I’m not
Yeah, she’s an angel
And it’s amazing how she’s patient
Even more at times I’m not
She’s my conscience
And who decided I’d be hers
I wanna hate them
Cos now I can’t live without her

She changed my life
She cleaned me up
She found my heart
Like only a woman can
She pulls me up
When she knows I’m sad
She knows her man
Like only a woman can

Like only a woman can
And who decided I’d be hers
I wanna hate them
Cos now I can’t live without her

Oh, and she changed my life
She cleaned me up
She found my heart
Like only a woman can
She pulls me up
When she knows I’m sad
She knows her man
Like only a woman can

Like only a woman can
Like only a woman can
Like only a woman
Like only a woman can


Like Only A Woman Can - Brian Mcfadden

May 22, 2009

(วิธี) การแก้ปัญหา

วันนี้ สอบเสร็จแล้วกำลังจะกลับบ้าน ฝนก็ตก (หนักมากๆ)
ระหว่างที่ยืนรอขอให้ฝนหยุดตก พลางคิดอยู่ว่าจะกลับบ้านทางไหน
ก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจ ขอให้ฝนหยุดตกไวๆเพื่ออะไร จะรีบไปไหน ไปทำอะไร...

เกิดสูญญากาศทางความคิดขึ้นมาในหัวแว้ปนึง ก่อนจะคิดได้ว่า เรายังไม่มีจุดหมายเลย เร่งเร้าเอาวิธีการ(ตามที่ใจอยาก)เสียแล้ว

เมื่อไตร่ตรองหาจุดหมายได้ (รู้ตัวแล้วว่า เย็นนี้ต้องการอะไร) ฝนก็เริ่มซา แต่ยังตกอยู่ให้พอเปียก
บางคนยืนรอนิ่งๆ บางคนนั่งรอด้วยกันกับเพื่อน บางคนยืนบ่นอย่างหัวเสีย บางคนลุยฝนออกไปเลย มีคนยอมขึ้นแท็กซี่ด้วย ส่วนคนที่พกร่มมา แน่นอน ไม่กลัวเปียกอยู่แล้ว

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนอยู่เฉยๆระหว่างที่ฝนตกหนัก พอฝนเริ่มซา ก็คิดว่าจะเดินเลียบทางเดินไปตามหลังคากันฝน อาจจะอ้อมหน่อย แต่จะไปโผล่ที่ประตูซึ่งจะสามารถขึ้นสะพานลอยข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้พอดี

เดินเข้าจริงๆ ไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิดแฮะ เพราะทางเดินไม่ได้ถูกออกแบบให้เชื่อมกันจริงๆ บางช่วงหลังคาโหว่ บางช่วงมีคนเอารถมาจอดขวางอย่างไม่คิดถึงคนอื่น
ระหว่างทางเดินจะมีแอ่งน้ำเป็นระยะๆ ผมเห็นบางคนเดินลุยแอ่งน้ำตรงหน้า บางคนเดินอ้อมไปไกล บางคนถอดใจถอยกลับไปนั่งพัก มีบางคนทำกระโดดเหยงๆ เหมือนจะหลอกตัวเองว่าเท้าจะไม่เปีียกอย่างนั้นแหล่ะ

เดินอ้อมไปนาน อีกนิดก่อนจะุถึงประตู ฝนก็หยุดตก...

นึกถึงบางคน คงบอกว่า ผมเสียเวลาเดินฟรีๆ รอเฉยๆก็สบายแล้ว ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย

แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น
จริงอยู่เดินมาตั้งไกล อาจจะเหนื่อยบ้าง แต่คนที่ไม่เดิน เขาก็ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้เห็นโลกกว้างๆมากกว่ามุมมองแคบๆใต้ตัวตึก ไม่ได้สนุกและมีชีวิตชีวาไปกับการผจญภัย ไม่ได้รู้จักหนทางใหม่ๆ ผมว่าเขาต่างหากที่เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาเสียความสุขของการมีชีวิตอยู่ไปตั้งนาน

ชีวิตคนเรา เรื่องเกินคาดคิดอย่างเช่นฝนตกวันนี้ เกิดขึ้นได้เสมอ ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แต่มันคือ วิธีที่เราใช้ในการจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราต่างหาก
บางครั้ง การรอ ก็เป็นสิ่งดี แต่บ่อยครั้ง การลุกขึ้นทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ก็เป็นสิ่งที่ดีกว่า

มนุษย์เราทุกคน มีความฉลาดและมีสติปัญญา ไม่มีใครโง่กว่าใครจริงๆหรอก แน่นอน ผมหมายถึงว่า ไม่มีใครฉลาดกว่าใครจริงๆด้วย เราต่างมีเรื่องที่เราเชี่ยวชาญชำนาญแน่ๆ ดังนั้น วิธีการในการแก้ปัญหาของคนเราจึงสามารถแตกต่างกันได้ตามความถนัดของแต่ละคน

สำคัญที่ว่า เรามีเป้าหมายที่จะไปหรือยัง เพราะเราแก้ปัญหาเพื่อไปต่อให้ถึงเป้าหมาย ไม่ได้แก้ปัญหาเพื่อแก้ปัญหา
หากไม่มีเป้าหมายชัดเจน อาจไม่เพียงโดนยัดเยียดเป้าหมาย อาจโดนยัดเยียดวิธีการอีกด้วย

เมื่อถึงเวลานั้น อย่าว่าแต่จะเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝนเลย อย่างมากก็คงเป็นได้แค่ เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่กลัวจะเป็นหวัดเพราะละอองฝนตามที่พี่ชายบอกเธอมา

May 14, 2009

รู้สึก...ผิด

มนุษย์เราถูกสร้างมาให้มีจิตสำนึก จิตสำนึกจะทำหน้าที่แสดงความไม่เห็นด้วย เมื่อเราทำ/พูดบางสิ่ง "ผิด" จากมาตรฐานอันดีที่รับการบรรจุไว้อยู่ภายใน (บางคน ขั้นเทพ ไม่เพียงสิ่งที่ทำ/พูด แต่รวมถึงสิ่งที่คิด/รู้สึกด้วย)

จิตสำนึกเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมมาก มันจะทำการปรับมาตรฐานในเรื่องต่างๆอย่างอัตโนมัติ เพื่อให้ความรู้สึกผิดนั้นลดน้อยถอยลง มนุษย์จะรู้สึกสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิดในจิตใจ บางคนเรียกกระบวนการนี้ว่า การปกป้องตัวเอง หรือ การรักษาหน้า

ใครๆก็รู้สึกผิดได้เมื่อทำผิด แต่มีคนอีกไม่น้อย ที่ถูกทำให้รู้สึกผิด จากสีหน้า ท่าทาง คำพูด หรือแม้แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายหนึ่ง
การทำให้คนอื่นรู้สึกผิด หลายครั้ง เพื่อประโยชน์อะไรบางอย่าง บ่อยครั้ง หลายคนชอบทำให้ตัวเองรู้สึกผิด เพื่อซื้อความสบายใจให้ตัวเองหลังจากทำผิด ขณะที่ บางคนมักทำให้คนอื่นรู้สึกผิด แต่ก็เพื่อซื้อความสบายใจให้ตัวเองเช่นกัน
บางคนเรียก การทำให้รู้สึกผิดเช่นนี้ว่า ปรักปรำ

บางคนทำผิดชัดเจนต่อสังคม โกงชาติโกงแผ่นดิน ใครต่อใครปรักปรำว่าทำผิด ยังเดินลอยหน้าลอยตา ไม่รู้สึกรู้สา
บางคน มีแต่ใจตนเท่านั้นที่รู้ว่าตนทำผิดแน่ ร่ำรวยเพราะโกงเขามา แต่เพียงคนที่เอาผิดและลงโทษเขาได้ สำแดงพระคุณต่อเขา เขากลับใจและยินดีชดใช้คืนให้

หากมองการทำผิด เหมือนการสร้างหนี้ ยิ่งทำผิดมาก ก็คงยิ่งมีความรู้สึกผิดมาก แค่นี้ก็ทุกข์ระทมขมขื่นพออยู่แล้ว
การเร่งรัดเอาดอกเบี้ยของหนี้สินจากคนจน คงไม่ได้ช่วยให้เขาหายจนเร็วขึ้น เช่นเดียวกัน การทำให้ผู้อื่นรู้สึกผิดเพื่อให้เขาสำนึกผิดและกลับใจใหม่ จึงแทบไม่เป็นประโยชน์กับตัวผู้กระทำผิดเลย เว้นเสียแต่เพราะเขาไม่ตระหนักถึงความผิดนั้น

แต่ถึงกระนั้น การช่วยให้ผู้กระทำผิดตระหนักถึงความผิด โดยช่วยสอนให้เขามีมาตรฐานจริยธรรมของจิตสำนึกสูงขึ้นด้วยใจถ่อมสุภาพ ผมคิดว่าน่าจะเป็นวิธีการที่ดีกว่าในการช่วยให้คนสำนึกผิดและกลับใจใหม่ มากกว่า การหว่านล้อมด้วยเหตุผล ลีลา สำนวน และกดดันบีบบังคับเค้นให้รู้สึกผิดด้วย อวจนภาษา (non-verbal language) ซึ่งผู้ใช้อาจไม่ตั้งใจ ไม่รู้ตัว หรือจะโดยเจตนาใด มนุษย์ตดเหม็นอย่างผม ก็คงไปปรักปรำเขาไม่ได้

การกระทำเช่นนี้ ไม่เพียงคนจะรู้สึกฟ้องผิด แต่หลายครั้ง ส่งผลทำให้คนขาดความสามารถในการไตร่ตรองความถูกผิดของตัว บางคนถึงกับสูญเสียจุดยืนความเชื่อ และจำยอมละเลยความรู้สึกของตัวเองในการดำเนินชีวิต

ผลปลายทางที่เกินคาดคิด คือ การที่เขากดตัวเองใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความกลัว หวานอมขมกลืนปล่อยชีวิตอยู่ในกรอบแคบๆ ไร้ซึ่งความฝันและความหวังในวัยเยาว์ ด้วยคิดเพียงว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญกับ การปรักปรำ ให้ต้องเหนื่อยกายปวดใจ

สิ่งสำคัญและอันตราย คือ ความเคยชินกับการปรักปรำ มักจะทำให้คนหลงลืมพระคุณและความเมตตา มักทำให้คนนั้นทำการปรักปรำผู้อื่นให้รู้สึกผิดได้โดยง่าย เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง

นึกถึงสมัยเป็นเด็ก เคยเห็นเขาเลี้ยงวัว เลี้ยงควายตัวใหญ่ๆ อยู่ในคอกเชือกเส้นเล็กๆ
เขาบอกว่า ตอนที่วัวควายพวกนี้ยังเล็กๆอยู่ ใช้สายไฟล้อมคอกเอาไว้ พอวัวมันเดินมาถึงสายไฟ ก็โดนไฟดูด มันก็เจ็บและจำ ทำให้มันจะไม่เดินมาเกินเส้นนี้อีก... อนิจจา ฤาจะยอมเป็นดั่งวัวดั่งควายจนตาย

ปล. ขออุทิศบทความนี้ ให้แก่ผู้ที่ล้มเลิกความฝันของตัวเอง เพียงเพราะ ถูกทำให้รู้สึกว่า ความฝันมุ่งหวังตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้น "ผิด"