Dec 28, 2008

101

ปีหน้า ผมจะได้เริ่มทำงานจริงจังกับบริษัท ชื่อ one Hundred one ในภาวะเศรษฐกิจขาลง คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เด็กโข่งเรียนไม่ยอมจบอย่างผมจะได้งานทำ

หลังจากที่ออกจาก Gsus7 เร็วกว่าที่คิดไว้หนึ่งเดือน ก็เคว้งๆอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นมีทางเดินมากมายจริงๆ ที่บ้านก็กดดันทั้งเรื่องการเรียน และงานราชการ ตอนนั้นขอพระเจ้าให้ช่วยหาทางออกให้ด้วย ก็เชื่อว่าพระเจ้าจะตอบในเวลาของพระองค์
ช่วงนั้น นุโทรมาคุยบ่อยมาก เหมือนรู้ว่าผมต้องการการหนุนใจ เขาหนุนใจทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน ชีวิตส่วนตัว และการมีครอบครัว “เมื่อไหร่จะมีแฟนซะที” เอ่อ... จะตอบยังงัยล่ะ ของอย่างนี้ มันพูดเอง เออเองได้ซะทีไหน แต่สิ่งหนึ่งที่นุพูดมา ก็คือ ไม่ต้องห่วง งานจะมาตามสายสัมพันธ์ในโบสถ์

อีกไม่นาน เมื่อตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ ด้วยเงินเพียงหยิบมือ และความเชื่อว่าเราจะมีงานทำ ตอนแรกไปสมัครเป็นเสมียนรับจ้างพิมพ์ดีด กรอกใบสมัครเสร็จ ฝ่ายบุคคลอ่านแล้ว ถามว่าน้องสนใจมาทำฝ่ายบุคคลไหม พรุ่งนี้มาคุยกับเจ้านายเลยนะ เอ่อ...ใจเย็นครับ จริงๆตอนนั้นก็รู้สึกว่า งานที่นั่นยังไม่ใช่ แต่ก็ทำส่วนของเราเต็มที่ในการหางาน ผมมองว่าหากทำงานที่นั่นเรื่องอื่นๆในชีวิตดูยังไม่เข้ากันสนิทซักเท่าไหร่ ก็ขอพระเจ้าโปรดรีบสำแดงโดยด่วน ทันทีทันใดทันใจ คืนนั้น พี่โจ้ ก็ทักมาในเอ็ม ไอ้เราก็นึกว่าอะไร เห็นถามเรื่องเรียน ไปๆมาๆ ถึงรู้ว่าพี่โจ้ปรึกษาพี่ศรันย์ เรื่องหาคนไปทำงานกับบริษัทที่เขาทำอยู่ แต่เขาไม่แน่ใจว่าผมอยากจะทำงานไหมหรือจะอยากเรียนอย่างเดียว และเกรงว่าคนจะไม่เข้าใจ คิดว่า พี่โจ้ไปดึงตัวผมมาจากบริษัท

ใจจริงก็อยากจะเรียนอย่างเดียว แต่ก็รู้ว่าชีวิตทำอะไรได้มากกว่านั้น อีกทั้ง เรื่องการฝึกอบรมเป็นสายธุรกิจที่ผมสนใจอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องเวลา และเงื่อนไขอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้คุยกับเจ้าของบริษัทและภรรยา ผมประทับใจในชีวิตและนิสัยเขามากทีเดียว (มาทราบภายหลังว่า ขิงก็รู้จักพี่สองคนนี้ แหม โลกนี้กลมดีแท้)
เมื่อได้คุยกันในรายละเอียด ซึ่งคงพูดละเอียดไม่ได้ แต่ธุรกิจนี้ ตั้งขึ้นมาบนจุดแข็งที่มี และเพื่อรองรับงานพันธกิจต่างประเทศ เราไม่ได้หวังกำไรเป็นกอบเป็นกำจากธุรกิจนี้ แต่ธุรกิจต้องอยู่รอดและมีกำไร ที่สำคัญคือ ทำให้คนไทยสามารถไปพันธกิจต่างประเทศ ได้อย่างดี มีงานทำ ดูแลตัวเองได้ ผมชอบแนวคิดจริงๆ
ขิงบอกว่า ถ้าผมได้แต่งงานกับคนที่ผมมองอยู่ตอนนี้ สามารถดูพี่ฮิม-พี่บี เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้อีกคู่หนึ่งเลยทีเดียว อืม... เห็นนิสัยเจ้บีแล้ว ก็พอจะเป็นไปได้ละมั้ง
เมื่อวันศุกร์พี่ฮิม พาไปดูโรงงาน แล้วก็เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังว่าพระเจ้าอวยพรอย่างไร ใช้เวลาเพียง 5 ปี เท่านั้น น่าประหลาดใจว่า ผมเคยได้ยินเรื่อง ผลิตภัณฑ์เสื้อกันยุง ตั้งแต่สมัยเคยทำงานกับท่านผอ. สถาบันนวัตรกรรมแห่งชาติ บอกแล้ว โลกนี้กลมจริงๆนะครับ

101 สำหรับผมเหมือน สิ่งที่พระเจ้ามาพูดด้วยใน 3 นัย

1. เรื่องพื้นฐานสำคัญ ทุกวิชาเรียน วิชาแรก คือ 101 ไม่ว่าเราจะเก่งเพียงใด ต้องทำอะไรมากขนาดไหน อย่าลืมว่า เรื่องพื้นฐาน คือ เรื่องสำคัญ แล้วอะไรคือเรื่องพื้นฐาน “จงรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด” และ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” เรื่องพื้นฐานที่สุด ที่จะทำให้เรา “ยอม” ทำทุกสิ่งเพื่อพระเจ้า ทั้งสิ่งที่เราไม่อยากทำ และสิ่งที่เราอยากทำ โดยไม่ต้องมานั่งใช้เหตุผลไร้สาระ เข่น ถ้าไม่ทำแล้วจะไม่ดีที่สุด (อย่าเอาปัญญาง่อยๆมาสรุปความล้ำลึกของพระเจ้าได้ไหม พระเจ้าสอนให้เราอยู่ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่อยู่ด้วยความกลัว เข้าใจไหม—แล้วพวกนั้น เขาจะได้เข้ามาอ่านไหมเนี่ย) เชื่อเถอะ คนที่อิ่มเอมในรักของพระเจ้า จะรักพระเจ้าแน่ จะรักตัวเองเป็น ดูแลตัวเองเป็น และจะรักคนอื่นเป็น ดูแลคนอื่นเป็น “รักพระเจ้าเยอะๆนะ” คือเรื่องพื้นฐานของชีวิตมนุษย์

2. ทำเกินร้อย มั่นใจได้เลยว่าปีหน้าสุดๆแน่ในทุกมิติของชีวิต ดูจากเรื่องต่างๆที่พาชีวิตตัวเองไปเกี่ยวข้อง ที่ต้องเรียนรู้ใหม่ ที่ต้องฝึกฝนเพิ่ม ที่ต้องคิด ต้องทำ ต้องดำเนินงานให้มันเกิด กับสภาพแวดล้อมที่ต้องเผชิญ ทั้งในชุมชนรอบข้างใกล้ตัวและในเวทีโลก ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนหนึ่งคนเดียว โดยเฉพาะคนอย่างผม ต้องใช้ฤทธิ์เดชพระเจ้ากันสุดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น จะทำได้ขนาดไหน แต่ผมจะมุ่ง จะมั่น จะอด จะทน จะรับผิด จะรับชอบ จะใช้ทั้งหัวและใจใส่ลงไป จะมีชีวิต จะไม่ให้ใครมาหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่น จะเป็นคนจริงของพระเจ้า ช่วยผมด้วยนะครับ พระองค์

3. การอวยพรเกินธรรมชาติ ปกติเรื่องก็จบที่ร้อยเต็ม แต่อีกหนึ่งที่เพิ่มมานี่แหล่ะ คือ สิ่งที่พิเศษ สิ่งต่างๆที่เราทำให้ลูกค้านั้น ใครๆก็ทำได้อย่างมากก็ได้ร้อยเท่ากัน แต่ความพิเศษที่เราเพิ่มให้อีกหนึ่ง นี่แหล่ะ จะเป็นสิ่งที่พิชิตใจลูกค้า ผมก็อธิบายไม่ถูก แต่มันคือความดีเลิศ ที่ลูกค้ามิอาจวัดได้จากสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา ความพิเศษนี้ ถูกถ่ายทอดทางหัวใจ ทางสายตา น้ำเสียง อาการ คำพูด และจิตวิญญาณ นั่นคือ สิ่งที่เราทำอย่างสมกับเป็นลูกของพระเจ้า ทำทุกอย่างเหมือนทำถวายแด่พระเจ้า แล้วพระเจ้าจะทรงให้เกียรติผู้ที่ให้เกียรติพระองค์ แล้วจะรู้ว่า เวลาพระเจ้าให้อะไรเราแบบสุดๆหมดหน้าตัก เป็นความปรีเปรมดิ์ที่เราได้รับในฐานะลูก ผู้ที่พ่อบรรจงให้แบบไม่มีการสงวนสิ่งดีใดใดเหลือไว้อีกเลย

สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าสัมผัสใจ คือ “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นจะถูกสร้างเป็นคนใหม่ สิ่งสารพัดเก่าๆจะสลายไป กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น” “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์”

พระเจ้าครับ ขอให้ปี 2009 จะเป็นปีที่ผมจะได้เรียนรู้จักการ “อยู่ใน” พระคริสต์ มากขึ้นนะครับ ขอบคุณพระเจ้านะครับ สำหรับสิ่งใหม่ๆที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นอีก

ป.ล. เรื่องนี้ เพื่อเฉลิมฉลองเรื่องที่ 101 ของบล้อก ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเขียนมาได้ครบร้อยเรื่องแล้ว ขอบคุณมิตรรักแฟนบล้อกนะครับ ที่สู้อุตส่าห์ถ่างลูกกะตาอ่านความคิด ความรู้สึกของผม ผมไม่ชอบทำอะไรให้ใครเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ (โดยไม่จำเป็น) เพราะฉะนั้น ที่นี่ก็จะเป็นที่ที่ผมเป็นตัวเองได้เต็มที่ ถ้าท่านแวะเข้ามาอ่าน ก็ไม่ต้องแปลกใจในสิ่งที่ผมเป็นนะครับ ขอบคุณมากครับที่ใส่ใจชีวิตของผม เม้นท์ไว้บ้างนะครับ ผมจะได้รู้จักคนอ่านมากขึ้นด้วยเช่นกัน ขอบคุณ “บะหมี่เย็น” นะครับ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดบล้อกนี้ขึ้นมา ผมชอบวิธีที่คุณยิ้มจริงๆ ผมอยากเห็นคุณยิ้มอย่างนั้นอีก อยากเห็นคนทั้งโลกยิ้มอย่างนั้น ถ้าผมทำได้ โลกนี้คงไม่ต่างจากสวรรค์บนดินแน่ๆ

สุดท้าย ขอบคุณพระเจ้านะครับ นับตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ พระองค์ยังเป็นเพื่อนผมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ขอบคุณจริงๆที่ไม่เคยทิ้งกันไปไหน ไม่ว่าผมจะเลวอย่างไร ขอบคุณที่ทรงเอ็นดูผมเสมอ ผมรู้สึกตัวเองเป็นลูกคนโปรดจริงๆนะ ขอบคุณทุกคำตอบสำหรับทุกคำถามจากคนช่างสงสัยอย่างผม ขอบคุณทุกการยืนยันสำหรับคนความเชื่อยังไม่มากอย่างผม ขอบคุณสำหรับทุกความจริงสำหรับคนรักเสรีภาพอย่างผม ขอบคุณสำหรับทุกความเข้าใจที่ทำให้ผมเติบโตขึ้น และขอบคุณ... ที่ทรงรักผม อย่างที่ผมเป็น โดยไม่มีเงื่อนไขข้อแม้ใด ขอบคุณมากครับ ผมรักพระเจ้านะครับ

Dec 26, 2008

... (ไม่มีชื่อเรื่อง)

เมื่อวานซืน...
'tist แตกมาก เดินๆอยู่ เห็นฟ้าสวยๆ ลมเย็นๆ ฮัมเพลงเบาๆ "ลมที่โชยพัดต้นหญ้าใบไม้ปลิว แดดที่อ่อนใส หอมกลิ่นของวันใหม่..." นึกถึงใครบางคน น้ำตาคลอซะงั้น... นึกถึงใครอีกคน คนที่เคยบอกว่า อาการนี้ส่อว่าเรากำลัง in love with คนนั้น
ตกค่ำ ไม่มีแรลลี่ ไม่มีร้องเพลง (แล้วเมื่อวาน ตรูทำไปเพื่ออะไรฟระ แบกหนังสือเพลงไปทำไม วุ่นวายด้วยความหวังดีเกินไปหรือเปล่า เรื่องเชียงใหม่ก็ทีนึงละ) ที่สำคัญ ก็ยังเป็นอีกปีหนึ่ง ที่ไม่ได้ถ่ายรูปตามเคย บอกไปใครจะเชื่อว่าผมไม่เคยมาเดินเที่ยวดูไฟถ่ายรูป (จริงๆ เคยมาครั้งนึง ตอนนั้นเรียนถ่ายรูปอยู่ ผมส่งเรื่องจากภาพก่อนจบด้วยหัวข้อ "Bangkok's night life" ได้ B+ มั้งถ้าจำไม่ผิด)
แต่ก็ยังดี สุดท้ายของวัน ก็ยังแอบได้รับกำลังใจอยู่บ้าง น้ำหยดนิดหนึ่งน้อยลงผืนทราย ย่อมค่าล้ำอนันต์... (เว่อร์จริง!!)

เมื่อวาน...
คริสต์มาสที่เงียบเหงา เดิมๆไม่เคยเปลี่ยน ยิ่งตอนเย็นมีชั้นสร้างทีมงาน ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดกว่าคนอื่นเข้าไปใหญ่ ผมไม่อยากเลือกนาย แต่นายที่ดีย่อมทำให้ผมผงาดได้เต็มศักยภาพ เคยอ่านสามก๊กไหม เข้าใจคำว่า มังกรหลับ หรือเปล่า
ที่สำคัญ ผมรู้ตัว ว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมเข้าใจตัวเองว่าผมเป็นคนอย่างไร ผมยึดถือความจริงและความถูกต้องมากกว่าความสัมพันธ์ผูกพันกับคน คนเดียวที่ผมจะไม่ทิ้งเลย คือ ภรรยาของผม คนเดียวในโลกที่จะมีผลทำให้ผมเปลี่ยนจุดยืนได้เพราะเห็นแก่เธอ แม้เธอต้องตาย เธอก็จะตายในอ้อมกอดของผม ผมเองก็มีนิมิตที่ตั้งใจ อยากจะทำให้เสร็จในช่วงชีวิตของผม แต่หากไม่เสร็จก็ขอบคุณพระเจ้า ผมไม่เคยกลัวงานไม่เสร็จ งานของพระเจ้า พระองค์ดูแลอยู่ ผม(พวกเรา)เป็นอุปกรณ์ของพระเจ้า ทุกอย่างมีวาระอยู่ ผมเชื่ออย่างนี้ คนเราต้องเคารพความคิดของกันและกัน ใช่ไหม

วันนี้...
ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ให้รู้สึกว่าถูกแกล้งด้วยความผิดพลาดคลาดเคลื่อนเล็กๆน้อยๆ แต่ชวนให้หงุดหงิดใจไม่น้อยเลย ตอนยืนรอรถกลับบ้าน ฝนตกพรำๆปะทะใบหน้าพร้อมลมหนาวๆ เออ มันเหงาจริงๆ เรานี่ไม่เหลือเพื่อนคนที่เราจะคุยกับเขาได้ทุกเรื่องจริงๆซะแล้ว เราไม่เห็นมีคนที่จะรู้จักเข้าใจเราจริงๆเลย ผมเคยคิดว่า เมื่อเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆคงดี เราจะเข้าใจคน เข้าใจเรื่องต่างๆดีขึ้น อนิจจา ยิ่งโตขึ้น ยิ่งเห็นตัวตนคนอื่น ยิ่งเข้าใจเขา เขายิ่งไม่เข้าใจเรา ยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง ชีวิตในความรักและความจริงของพระเจ้า คงต้องโตกว่านี้ หรือถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเติบโตแล้วดีไหม ขอแค่เป็นคนธรรมดา มีคนรักใคร่ มีความจริงใจให้คนอื่น เท่านี้คงพอ... ความคิดสุดท้าย คือ ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปทำไม ชีวิตที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว มันทรมาน

ถ้าบอกว่า ไม่เคยมีแฟน จะเชื่อไหม เป็นแฟนกันนี่ เขาเป็นกันอย่างไรเหรอ ไม่รู้สิ ไม่เคยมี จะว่าไปก็รู้ตัวว่า สำหรับผม การมีชีวิตอยู่ลำพังคนเดียวนั้น ผมก็คงไปได้ไม่ไกลเกินนี้เท่าไหร่หรอก ผมรู้จักตัวเองดี แต่ก็จะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไหวละนะ

ตอนนั่งรถกลับบ้านเปิดวิทยุฟัง เพลงที่เปิด ประกอบกับ MV จากชีวิตจริงของคนรอบข้าง ช่างสร้างอารมณ์เหงา ได้ลึกซึ้งดีแท้
สุ่มเพลงนมัสการมาฟัง... โดนซะ แล้วก็กลับใจ ยังงัยก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป จนกว่าพระเจ้าจะกรุณา ในทางใดทางหนึ่ง

สุดท้ายมานั่งอ่านแผนชีวิตของน้องคนนึง นั่นสินะ เราลืมความฝันของเราไปได้อย่างไรกัน ขอบคุณนะ ที่ช่วยเตือนใจ แล้วที่เขียนๆไว้ล่ะ if not you, WHO. if not now, WHEN.

จริงๆจะเรียกว่า อยู่คนเดียวมาได้ตั้งเกือบสามสิบปีแล้ว ก็คงจะได้ ทนอีกหน่อยเดียว ก็คงจะผ่านไปอีกสามสิบปี ยังงัยซะ เวลาก็ไม่เคยหยุดเดินอยู่แล้ว ไม่รอละคู่อุปถัมภ์ จะมาเมื่อไหร่ก็มานะ อย่างมากก็แค่ล้มเหลว ให้รู้กันไปว่าทำไม่ได้ แต่อย่างน้อย ก็ได้ลงมือทำ วันสุดท้ายก็คงจะกล้าสู้หน้าพระเจ้าว่า ผมใช้ทั้งหมดที่ผมเป็น ที่ผมมี ผมทำเต็มที่ ดีที่สุดแล้ว

Lord, i'm doing all i can... to be a better man. หนึ่งในเพลงที่แว่วมาจากวิทยุ

... พระเจ้าครับ ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์จากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บใจปวดกาย... ขอพระเจ้าทรงตอบผมดั่งที่พระองค์เคยตอบยาเบสด้วยนะครับ เอเมน

Dec 24, 2008

คริสต์มาส เทศกาลแห่งความสุข

พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า เพราะว่าการให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ (กจ.20:35)
ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมพระเจ้าถึงน่าจะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลกนี้ เพราะพระองค์มิเคยหวงสิ่งดีใดไว้เลย แม้แต่ชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ก็ทรงประทานให้ได้

ผมเคยเป็นคนที่ รับ ไม่เป็น ขณะเดียวกัน ก็เรียกร้องอยากจะได้อยู่ตลอด ชีวิตไม่เคยพอ ฟังดูตลกไหม
วันหนึ่ง ผมก็ได้รับสิ่งที่ผมไม่เคยคิดอยากจะได้ ด้วยวิธีการ ที่ประหลาดนักหนา แต่คงจะเหมาะกับผมดี

ของขวัญถูกวางไว้ให้ แล้วบอกว่า นี่ของผมนะ แล้วท่านก็เดินจากไป...

นาน...กว่าผมจะยอมเดินเข้าไปเอาของขวัญชิ้นนั้นมาเป็นของผมเอง อีกนาน กว่าผมจะเข้าใจว่าของขวัญจริงๆนั้น ถูกห่อไว้ข้างใน ผมเป็นคนเดียวในโลกนี้ ที่จะแกะออกดูได้

ผมชอบไปดูกล่องของขวัญของคนอื่น ชอบอยากได้อย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง แต่กล่องของตัวเองกลับไม่เคยดูให้ดี นั่นคือเมื่อก่อน

ผมค่อยๆเรียนรู้ว่า สิ่งที่เราทำไม่ได้บอกว่าเราเป็นใคร แต่สิ่งสำคัญคือเราเป็นใคร นั่นจะทำให้เรา ทำ ในสิ่งที่เหมาะที่ใช่ เราไม่สามารถ ฝืน ทำในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นได้ตลอดไป หากวิถีชีวิตของเราไม่เสียไปก่อน เราก็จะกลายเป็นคนที่หลอกใครก็ได้ เพราะแม้แต่ตัวเองเรายังไม่ซื่อสัตย์เลย

หลังจากนั้น ผมก็เข้าใจในอีกบทเรียนสำคัญเรื่องหนึ่งว่า เราไม่สามารถอยากเป็นในสิ่งที่เราเป็นอยู่แล้วได้ และเราไม่สามารถอยากมีในสิ่งที่เรามีอยู่แล้วได้เช่นกัน

ช่องว่างทางความรู้สึกที่ถูกหลอกทั้งสองขั้ว จึงถูกถมให้เต็มด้วยความเข้าใจในความจริงของพระเจ้า

นับแต่นั้น
ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมขาดสิ่งดีใดๆอีกเลย ไม่เคยรู้สึกว่าเราขาดหรือทำอะไรไม่ได้ และไม่ใช่แค่ความรู้สึกนะ แต่ผมเห็นในฝ่ายกายภาพด้วย ผมเห็นพระเจ้าอวยพรเสมอ ผมรู้ว่า พระเจ้าสัญญาไว้กับผมแล้ว ผมมั่นใจอย่างนั้น (ล่าสุด พี่กอล์ฟ บอกว่า ผมหางานเก่ง ผมตอบพี่เขาว่า พระเจ้าอวยพรครับ)

ลองคิดดูนะ กับคนที่เรียนไม่จบปริญญาตรี แต่ได้มีโอกาสทำงานกระทบไหล่คนระดับ อธิบดี CFOบริษัทหลัก50ล้าน คนเก่งๆแบบนี้ที่ผมได้รับโอกาสทำงานด้วยมาตลอด ในภาวะที่ใครๆก็กลัวตกงาน จริงๆนะ ผมไม่เคยกลัวอดตายเลย ผมเชื่อจริงๆว่าพระเจ้าไม่เพียงดูแลลูกของพระองค์ แต่เพราะเราขยัน พระเจ้าจะอวยพรเราแน่

จากคนที่อยากได้แต่ไม่กล้าขอ จากคนที่เมื่อเขาให้ก็ไม่กล้ารับ วันนี้ ผมเรียนรู้ว่า เมื่ออยากได้สิ่งใด จงขอ, จงขอแล้วจะได้ และจงรับเมื่อเขาให้ เพราะเราไม่ได้รับในสิ่งที่มองเห็นได้ แต่เรารับในไมตรีจิตที่อีกฝ่ายนั้นให้แก่เรา สิ่งของกายภาพไม่กี่ปีก็จะเสื่อมสลายไป แต่ หัวใจ จะคงอยู่ไปตลอดจนกว่าเราจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว

ขอบคุณพระเจ้านะครับ ที่ไม่เพียงสอนให้ผมรู้จัก คำว่า "ให้" ผ่านการสอนให้ผมรู้จัก "รับ" ให้เป็น แต่พระเจ้าเปลี่ยนผมให้เป็นคนที่ให้คนอื่นเหมือนพระองค์ ขอบคุณมากครับ วันนี้ผมมีความสุขมากเลยครับ พระองค์

merry christmas ครับ

Dec 23, 2008

breakfast

วันนี้ นั่งคิดเล่นๆว่าอาหารเช้าสำคัญมาก
แต่ดูเหมือนว่าคนกรุงเทพกลับไม่ค่อยกินข้าวเช้ากันเท่าไหร่ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่คนไทย(ในกรุงเทพ) ถึงทำงานไม่ปราดเปรื่องเท่าชาติอื่น ทั้งที่เราฉลาดกว่าเขาเยอะ สุขภาพก็แย่

มองๆไปเห็นคนยืนขายแซนวิชหน้ารถไฟฟ้า จะดีไหม ถ้าตอนเราลงรถไฟฟ้านะ เราบอกว่าเราจะกินอะไร เราจะขึ้นสถานีไหน แล้วก็จ่ายตังค์ พอถึงสถานีปลายทาง ก็แวะรับอาหารเช้าตามที่เราสั่งไว้ อาหารร้อนๆ บริบูรณ์ด้วยคุณค่าโภชนาการ ไม่เสียเวลารอ

จริงๆมีรายละเอียดเยอะนะ แต่ผมขอพิมพ์แนวคิดไว้แค่นี้ เท่าที่ลองคำนวณคร่าวๆร้านนี้มีโอกาสทางธุรกิจใช้ได้เลย อ้อ ร้านนี้ผมขอตั้งชื่อร้านว่า BREAK fast foods เบรกฟ้าสต์ฟูดส์ หุหุ คิดกันเอาเองนะครับ ว่าผมหมายความว่าไร

ใครจะเอาไอเดียนี้ไปทำผมไม่หวงความคิดนี้นะ อยากเห็นคนไทยได้กินข้าวเช้ากันทุกคน แต่ช่วยให้เครดิตไว้หน่อยนะครับ ว่านี่ไอเดียผม ที่สำคัญ อย่าแย่งชื่อร้านของผมไปนะครับ ^^

ปล. ปิ้งแว้ปขึ้นมา ได้อีกร้านนึง ให้ชื่อว่า ดินเน้อร์ (อักษรต่ำ ไม้โท ออกเสียงตรี) DIN NER~ อยากลองเดาดูไม๊ครับว่า concept ร้านจะเป็นอย่างไร ไว้ว่างๆจะมาเล่าให้ฟัง ที่สำคัญตอนนี้กำลังเจรจาหาคนร่วมฝัน หนทางยาวไกล มีคนร่วมฝันก็คงดี...

แต่

อาหารเช้าสำคัญจริงๆครับ เชื่อผม ^^

Dec 19, 2008

ข้อที่ 6 จาก japanese family

วันนี้ไปนวดมาหลังจากที่พังผืดมันกลับมายึดตามเส้นอีกครั้ง
ตัดสินใจจริงจังแล้วว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะประกาศสงครามเพื่อเอาชีวิตที่มีสุขภาพดีของเราคืนมา
นอน กิน ออกกำลังกาย หัวเราะ ทำงาน อ่านหนังสือ ช่วยเหลือคนอื่น อย่างน้อย เจ็ดอย่างนี้ จะต้องทำอย่างสมดุลย์ในทุกวัน

ระหว่างทางกลับบ้าน เห็นเด็กคนนึงวิ่งสนุกสนานตรงทางลงรถไฟฟ้าใต้ดิน
หลังจากลงบันไดเลื่อนมา ก็สังเกตุว่าเด็กคนนั้นมีพี่สาวมาด้วย และน้องเล็กๆ และคุณแม่(ยังสวย)อีกหนึ่งคน
คุณแม่หันมาคุยกับลูก... อะไรไม่รู้ ฟังไม่ออก เดาว่าภาษาญี่ปุ่น จากกิริยาอาการของเหล่าเด็กๆ

ภาพที่ผมชอบมาก คือ เมื่อพวกเขาเดินไปด้วยกัน แม่จูงลูก แล้วลูกๆก็ค่อยเอามือมาจับ เดินแกว่งแขนไปด้วยกัน
ความรู้สึกที่สื่อสารออกมาตรงนั้น สำหรับผม นั่นคือ คำว่า ครอบครัว
เป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความยินดี มั่นคง และอุ่นใจ

ผมและพวกเขาแยกเดินกันไปคนละทาง แต่ความคิดของผมยังคงประทับใจกับความรู้สึกเมื่อกี้นี้ สำหรับผมนี่เป็นข้อดีข้อที่ 6 ของการแต่งงาน คือ ความเป็นครอบครัว คนไม่ได้แต่งงาน จะรู้ถึงความรู้สึกของความเป็นครอบครัวหรือ บางคนอาจเถียงว่า เขาแต่งงานแล้วแต่ยังไม่รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเลย นั่นมันเขา ไม่ใช่ผม คนเราคิดแทนกันไม่ได้นะครับ

สำหรับคนที่ตามอ่านความคิดของผมมาเรื่อยๆ อาจสะกิดใจว่า แล้วข้อดีข้อที่ 5 หายไปไหน
ไม่ได้หายไปไหน เมื่อคืนวาน กลับจากการกินสุกี้กับเพื่อนๆ ก็ได้นั่งคุยกับน้องคนนึง แล้วก็ได้พบกับข้อดีข้อที่5 ของการแต่งงาน แต่ต้องขออภัย ที่อาจจะยังไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกแท้จริงด้วยคำพูดตรงๆได้ บอกได้เพียงว่า การที่เราสามารถมีคนหนึ่งคนบนโลกใบนี้ที่เราสามารถบอกเขาได้ทุกเรื่อง ฟังเขาได้ทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่เราไม่สามารถพูดคุยเล่าสู่กันฟังกับเขาได้ ผมคิดว่าชีวิตเราน่าจะมีความสุขนะ ถ้าวันนึง ผมได้แต่งงานแล้ว ผมอาจจะมาเล่าให้ฟังว่า ข้อดีข้อที่ 5 คืออะไร

อย่างไรก็ตาม วันนี้ ครอบครัวชาวญี่ปุ่น ก็ได้สอนให้ผมได้เรียนรู้จักอีกหนึ่งข้อดีของชีวิตการแต่งงาน คือ ความเป็นครอบครัว หวังว่าพระเจ้าคงสอนผมให้เรียนรู้ข้อดีอีกสักข้อเป็นข้อสุดท้ายต่อไปนะครับ เอเมน

Dec 15, 2008

เรื่องราวรัก ตอนที่4 ขอ...

วันนี้ ผมไม่รู้หรอกครับว่า อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อ แต่สิ่งที่ผมรู้คือ ชีวิตของผมเป็นของพระเจ้า ผมกลับใจ ผมเริ่มต้นใหม่ ผมจะขอรักพระเจ้าสุดหัวใจมากขึ้นทุกวัน ผมจะรักและให้เกียรติตัวเองเช่นที่ผมรักและให้เกียรติพระเจ้า ผมจะส่งผ่านความรักของพระเจ้าออกไปมากเท่าที่ผมจะยังทำได้ ผมจะยอมรับในความเข้มแข็งและความอ่อนแอของผม ผมจะซื่อสัตย์ต่อจิตสำนึกชอบ และผมจะดำเนินชีวิตอย่างคนที่ต้องกล่าวรายงาน

ผมเชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงตั้งต้นการดีในชีวิตเราแล้ว พระองค์จะทรงใช้ทุกอย่างร่วมกันเพื่อให้เกิดผลดีกับเรา เพื่อให้เราได้ไปถึงความสำเร็จตามแผนการณ์น้ำพระทัยและการทรงเรียกของพระองค์

พระเจ้าครับ ขอให้ผมได้เขียนเรื่องราวความรักของพระเจ้าอีกครั้ง ขอทรงโปรดใช้ผมนำความเข้าใจมาสู่มนุษย์ว่าพระองค์รักเขาอย่างไรดั่งที่พระองค์ทรงเรียกให้ผมทำ ขอทรงนำการรื้อฟื้นมาสู่ผม เพื่อผมจะส่งผ่านไปสู่ผู้อื่นต่อไป หากพระองค์จะทรงเห็นว่า ผมสามารถอยู่คนเดียวเพื่อรับใช้พระเจ้าได้ดีกว่า ขอทรงสำแดงแก่ผมเสียแต่วันนี้ หากพระองค์ทรงให้เกียรติผมในการเลือก ขอทรงโปรดสนับสนุนสิ่งที่ผมเลือกเสียแต่วันนี้ ตามวิธีการของพระองค์ ผมพร้อมจะยอมเปลี่ยนแปลง เพื่อในวันเวลาแห่งการล่อลวงใจ ผมจะมีกำลังมากพอที่จะทนได้ และช่วยให้ผู้อื่นทนได้เช่นกัน

พระองค์บอกว่าจงขอแล้วจะได้นี่ครับ ผมขอกับพระองค์นะครับ เอเมน

เรื่องราวรัก ตอนที่3 ทางเลือก

ผมเริ่มหันมามองผู้เชื่อที่อยู่รอบๆตัว ความสนิทสนมที่ก่อตัวขึ้น จากการร่วมรับใช้พระเจ้าด้วยกัน ความรู้จักเข้าใจที่เกิดจากการเห็นชีวิตของกันในการรับใช้ และการร่วมทำกิจกรรมกลุ่มด้วยกัน หลายๆอย่างสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผม จนกระทั่ง เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่จุฬา...

เธอเริ่มห่างชุมชน เริ่มไม่มาโบสถ์ หลายๆอย่างเริ่มแปลกๆไป แต่ผมก็ยังเชื่อในส่วนดีของเธออยู่นะ จนกระทั่งเธอมีแฟน...

ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็เตือนไปตามปกติ เหมือนที่เคยเตือนคนอื่น ผมเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีเหตุผล และทุกคนจะทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่า ดีที่สุดเสมอ ผมเคารพและให้เกียรติในการตัดสินใจเลือกของแต่ละคนเสมอ

ในระยะเวลา 3-4 ปีช่วงนั้น ก่อนที่เธอจะมีแฟน ผมได้รู้จักตัวเองในฝ่ายวิญญาณมากขึ้น ทั้งเรื่องของประทาน การทรงเรียก รวมทั้งการถูกสอนวิธีคิดเรื่องคู่ครองตามชอบพระทัยพระเจ้า ที่สำคัญ คงเป็นเรื่องของความจำเป็นต่อคำถามว่า ทำไมผมถึงจำเป็นต้องแต่งงาน เมื่อใช้เรื่องการทรงเรียก และของประทาน การเสริมสร้าง มาเป็นหลักในการคิดเรื่องคู่อุปถัมภ์จากรายชื่อสาวคริสเตียนที่ผมรู้จักร่วมร้อยคน ก็เหลือเพียง 4 คนเท่านั้น ซึ่งคนที่น่าสนใจที่สุด เธอก็ไปมีแฟนข้างนอกเสียแล้ว

ผมเริ่มอธิษฐาน ช่วงนั้น พระเจ้าก็นำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับคนเหล่านี้แต่ละคนมากขึ้นในแต่ละช่วงเวลา แวะมาแล้วก็จากไป แต่เรื่องราวของเด็กบัญชี จุฬา ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึกเสมอ จนเธอบอกผมว่า เธอจะเลิกกับแฟนเธอแล้วนะ เธออยากจะกลับมาหาพระเจ้า

หลังจากที่ทำใจอยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่จะคร่ำครวญแสวงหาการช่วยเหลือจากพระเจ้ามากขนาดนี้ ผมทำทุกอย่างที่จะสามารถทำได้ เพื่อจะขอให้พระเจ้าเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวในการช่วยกู้เธอครั้งนี้ แล้วเธอก็กลับมาใช้ชีวิตในทางพระเจ้าอีกครั้ง สำหรับความสัมพันธ์ของเราก็ดูเหมือนกำลังจะกลับมาสานต่อกันใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนจะกำลังไปได้ด้วยดี แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในเวลานั้น ผมเจอวิกฤติของชีวิตที่ค่อนข้างรุนแรง ทั้งเรื่องในครอบครัว เรื่องงาน และเรื่องเงิน เป็นบททดสอบใหญ่อีกครั้งของชีวิต ผมคิดว่าคงมีแค่นั้น ผมคิดว่า อย่างไรผมก็ยังมีคนอยู่คนหนึ่งที่จะช่วยกันเติมแรงใจเมื่อท้อ แต่ผมคิดผิด “ทำไมต้องบอกเค้าด้วย เราเป็นอะไรกันเหรอ” ผมยังจำได้ คงจะพร้อมๆกับการก้าวเข้ามาของคนอีกคนหนึ่งในชีวิตของเธอ ครั้งนี้คงต่างออกไปเพราะหนุ่มคนนั้นเชื่อพระเจ้าด้วย

สาหัสฉกาจมากกับเหตุการณ์ ในช่วง 2 ปีนั้น แต่ขอบคุณพระเจ้านะ วันนี้มองย้อนกลับไป ก็เห็นว่าเราแกร่งขึ้นจริงๆ แรงกดดันบีบเค้นทางจิตใจ และกายภาพ สร้างจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้นมาก การเติบโตขึ้นในครั้งนั้น ทำให้เริ่มคิดหนักว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการตัดสินใจเลือก แต่สุดท้ายก็ตกลงที่จะเป็นเพื่อนกัน เรื่องนี้ผมไม่ได้บอกใคร

หลังจากนั้น ไม่นาน ผู้นำก็แนะนำให้ผมเริ่มมองคนใหม่ๆ ไม่ปิดใจตัวเอง ตอนนั้นผมก็บอกชื่อไปสองคนที่น่าสนใจ ซึ่งผมไม่รู้จักมากนัก รู้จักแต่เพียงผ่านๆในความเป็นพี่น้องกันในคริสตจักร ถึงอย่างนั้น ใจผมก็ยังคงรู้สึกผูกพันอยู่กับเด็กบัญชีจุฬาอยู่ เกือบ 8 ปี (ในเวลานั้น) คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะหักใจกันในเพียงชั่วข้ามคืน แต่ผมก็ตั้งใจ ก็บอกพระเจ้าว่า หากใจผมยังไม่สามารถเป็นปกติกับน้องเขาได้ ผมคิดว่าผมไม่พร้อมที่จะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ และ เป็นการไม่ให้เกียรติ ไม่ยุติธรรม กับอีกฝ่ายหนึ่งที่ผมจะเริ่มความสัมพันธ์ด้วย

ยิ่งมาช่วงหลังๆที่ชีวิตกับพระเจ้าแย่เอามากๆ สุดท้ายความต้องการเพื่อตัวเองก็อยู่เหนือจิตใจเพื่อพระเจ้า ผมคิดจะปล่อยไปตามหัวใจ ด้วยทะนงว่าเราจะเอาอยู่ ด้วยใจที่ต้องการเพียงเอาชนะ ขอบคุณพระเจ้าที่ยังไม่ได้มีอะไรคืบหน้า จนพระเจ้าเริ่มหันจิตใจกลับมาเรื่อยๆ ก็มาถึงภาวะสุดท้าย... ผมตัดใจไม่ได้ครับ ก็บอกพระเจ้าไปตรงๆ

ขอบคุณพระเจ้า ผ่านไปเกือบ 2 ปี เมื่อคืนก่อน นั่งเก็บของ ได้เจอรูปถ่ายเก่าๆสมัยรับใช้กลุ่มมัธยม แล้วผมก็ลองเข้า Hi5 ไปดูรูปน้องเขา ผมพบว่า เธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ผมติดอยู่กับภาพมายาของอดีต ผมชอบน้องเขาคนที่อยู่ในรูป ไม่ใช่น้องเขาคนปัจจุบัน ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องหน้าตา ปกติเราก็พอรู้นิสัยใจคอคนจากสีหน้าแววตาเขาอยู่บ้าง และผมยิ่งค่อนข้างแม่นกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

ผมโทรศัพท์ไปหาน้องคนหนึ่ง เราเคยรับใช้ในกลุ่มเดียวกันสมัยมัธยม และเมื่อไม่นานมานี้ เขาเดินมาบอกว่า คนที่ผมเคยชอบ ไม่มีอีกแล้ว คุยอยู่สักพักก็เริ่มเข้าใจ ข้อมูลทุกอย่างถูกจับมาปัดฝุ่นแล้วร้อยเรียงด้วยแว่นตาใหม่

แม้ลึกๆในใจ ผมยังหวังใจว่าผมจะคิดผิด แต่ผมก็รู้ว่าความจริงคืออะไร ก็เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ก่อตั้งคจ.นั่นแหล่ะ วิธีเดียว คือ ท่านต้องออกมาเล่าให้ฟังว่า ระหว่างทางที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้น เธอต้องเป็นคนเล่าให้ผมฟังเองทั้งหมด ถึงจะสามารถเรียกความเชื่อใจกลับคืนมา มีแต่การกลับใจเท่านั้นที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของเราขึ้นใหม่ได้ แต่ผมรู้จักนิสัยของท่านอยู่บ้าง ท่านไม่พูดแน่ เช่นกัน น้องเขาก็ไม่เล่าแน่ เช่นนี้แล้ว ต่อให้ของประทานเหมาะสมสนับสนุนกันเพียงใด ก็คงไม่มีทางแน่นอน

ไม่เพียงเท่านั้น พระเจ้าทำมากกว่านั้น ผลพวงจากเรื่องนี้ คือซากใจที่แข็งเป็นหินของผม ผมรู้ว่ามันต้องใช้เวลานานมาก กว่าที่ผมจะพร้อมที่จะรักใครอีกครั้ง แต่อัศจรรย์กับวิธีการของพระเจ้า พระองค์ใช้คนคนหนึ่งให้นำเรื่องราวความรักของพระองค์กับเขา เข้ามาละลายใจหินของผมให้อ่อนนุ่มขึ้น เหมือนเมื่อครั้งแรกที่ผมรู้จักความรักของพระเจ้าผ่านทางชีวิตรักในพระเจ้าของพี่เลี้ยงคนแรกของผม

เรื่องราวรัก ตอนที่2 วัยรุ่น

ผมมักเล่าให้ใครต่อใครฟังว่าแม้ผมจะเปิดใจต่อเรื่องราวของพระเจ้า ด้วยเหตุว่าพระเจ้าพูดคุยกับเราได้ แต่เหตุผลที่ดึงให้ผมมาโบสถ์ ณ เวลานั้น คือ ผมคิดว่า ที่โบสถ์น่าจะมีผู้หญิงน่ารักมาก (ผมนึกภาพของพวกเด็กเซนต์โย เด็กมาแตร์) พระเจ้าช่วย มาแล้วไม่เป็นดั่งคาด แต่ก็ยังเจอผู้หญิงคนหนึ่ง โดนใจอยู่พอสมควร พูดได้อย่างไม่อายว่าแรกๆมาโบสถ์ มาแคร์ ด้วยหวังว่าจะได้รู้จักกันมากขึ้น ในระหว่างนั้น พระเจ้าก็ให้ผมมีประสบการณ์ต่างๆ มีความเข้าใจ และมีความเชื่อมากขึ้น จนวันหนึ่งที่ผมตัดสินใจเดินติดตามพระเยซูตลอดชีวิต เธอคนนี้ ก็ไม่มาโบสถ์อีกเลย (ล่าสุด เมื่อ 2 ปีก่อน ได้ทราบข่าวว่า เธอแต่งงานแล้วกับคนไม่เชื่อพระเจ้า และกำลังจะมีลูกคนที่สอง)

ช่วงที่เรียนปีหนึ่งที่ธรรมศาสตร์ รังสิต ผมรู้จักคนร่วมหลายร้อยคน เนื่องจากการเป็นผู้ประสานงานจัดกิจกรรมรับเพื่อนใหม่ และอีกหลายกิจกรรม ซึ่งอยู่ในภาวะที่ต่างคนต่างยังไม่รู้จัก ไม่สนิทกัน อีกทั้งตอนนั้นไฟแรงในการประกาศ (เราต่างจากมอร์มอนตรงที่ เราเดิน ไม่ว่าดึก ไม่ว่าไกลแค่ไหน เราก็เดิน) คงไม่ปฏิเสธว่าคริสเตียนนิสัยดี หน้าตาก็ดี(ในแบบของผม)

ผมเพิ่งรู้ว่าการที่ผู้หญิงให้ท่าผู้ชาย เป็นอย่างไร มีครั้งหนึ่ง เข้าค่ายอบรมผู้นำ ดาวคณะเดินมาเคาะห้องตอนเกือบเที่ยงคืน “ขอนอนด้วยคน เรากลัวผี” หน้าตา เสียง เสื้อผ้า...(โอว โน!!!) แน่นอน ผมเป็นคนใจดี ก็เลยให้เธอมานอนด้วย เตียงผมนั่นแหล่ะครับ แล้วผมก็ลงไปนอนที่พื้น จริงๆมีรายละเอียดอีกเยอะ สรุปว่าสุดท้ายผมนั่งฟุบคางเกยเตียง โดยมีเธอหลับอยู่บนเตียงนั้น โดยไม่มีการทำผิดบาปเกิดขึ้น (ได้ยินข่าวลือภายหลังเหตุการณ์นี้ว่า ผมเป็นเกย์) อีกครั้งหนึ่ง กับดาวคณะอีกคน คนนี้ประกาศไว้นาน จนวันหนึ่ง เธอมาถามว่า คริสเตียนเนี่ยเขาไม่แต่งงานกับคนนอกความเชื่อใช่ไหม เปิดประเด็นแบบนี้มา ไอ้เราก็พูดลำบากละ (ก็ตอนนั้น ก็แอบรู้สึกดีกับเธออยู่นิดๆ) แต่ก็ตอบตามพระคัมภีร์นะ จริงตามคาด วันรุ่งขึ้น ทุกคนในคณะรู้กันว่า เธอตกลงคบกับเด็กวิศวะเป็นแฟนแล้ว

คณะผมมีดาวอยู่ 5 คน อีกสามคนที่เหลือ คนหนึ่งเป็นน้องสาวของพี่เลี้ยงผม (ไอ้นี่เข้าทางพี่ชายนี่หว่า...) อีกคนเป็นบัดดี้กับผม (ในคณะเราจะเล่นบัดดี้กัน แต่เธอรวยมาก ลูกสาวอธิบดี คงเป็นปมมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยไม่กล้าคิดมาก แต่ก็เทคแคร์ดีเว่อร์ จนมีคนสงสัยว่าผมกะเด็ดดอกฟ้า) ส่วนคนสุดท้าย เป็นคนที่รูปร่างยั่วยวนใจที่สุด คนนี้มีแฟนอยู่เมืองนอก ด้วยความว่าอยู่กลุ่มเดียวกัน สนิทกัน เธอก็เลยขอยืมผมเป็นเป็นตัวแสดงแทนเวลาจะมีคนมาจีบเธอ เป็นไม้กันหมา... ซะงั้น

มีสาวๆอีกหลายคนในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ที่พบเจอกันและปริ่มๆจะไปเกินเลยไกลกว่าคำว่าเพื่อน เด็กศิลปะศาสตร์น่ารัก สดใส ร่าเริง (ผมยังจำได้ you are my love, security, bright, laugh and warmth เธอเขียนให้ผม) เด็กบัญชีห้าวเท่ห์ เด็กรัฐศาสตร์เสน่ห์แรง เด็กวิทยา สังวิด สังเคราะห์ วารสาร เกือบครบทุกคณะเลยนะเนี่ย แน่นอนว่าคนเหล่านี้ล้วนเกิดจากการถูกประกาศของพี่น้องคริสเตียน และแวะเวียนมาเจอกันในห้องเรียนบ้าง โรงอาหารบ้าง ห้องสมุดบ้าง จะมีบ้างที่เกิดจากกลับบ้านทางเดียวกัน แต่จากความคิดที่ว่า ผมจะไม่คบใครเป็นแฟนถ้าไม่คิดจะแต่งงานด้วย กับการที่เขาต้องเชื่อพระเจ้า รักพระเจ้าเหมือนเรา เพราะเราคงไม่เลิกคบ ไม่เลิกรักพระเจ้าแน่ จึงยังเป็นกรอบความคิดที่ป้องปรามไม่ให้ความสัมพันธ์เกินเลย จนกระทั่ง ผม ได้รู้จักกับเด็กวารสารคนหนึ่ง...

พูดถึงเด็กวารสาร ก่อนจบปี4 มีเด็กวารสารคนหนึ่ง มาสารภาพกับผมว่า เขาแอบชอบผมมานานตั้งแต่ปีหนึ่ง เขาอยากจะแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกกับผม... อึ้งไปเหมือนกัน จำที่เหลือไม่ได้แล้ว (หูอื้อ ตาลาย... น่ารักขนาดนี้ ทำไมเราไม่รู้ว่าเขาแอบชอบเรา โอว โน) รู้แต่ว่า หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เป็นแฟนกับ เพื่อนในคณะผมนั่นแหล่ะ

ในช่วงนั้น ที่โบสถ์ ผมย้ายมาช่วยดูแลน้องๆมัธยม ทุกอย่างก็ปกติดี จนวันหนึ่งที่บางอย่างเริ่มเกิดขึ้น ระหว่างผมกับน้องคนหนึ่ง ต้องบอกไว้ก่อนว่าแรกๆก็ยังไม่มีอะไรมาก แค่รู้สึกแปลกๆ จนกระทั่ง ถูกพระเจ้าจัดการเรื่องของเด็กวารสาร

เด็กวารสารคนนี้ อีกเช่นกันผมชอบเธอในความอ่อนโยน และเด็ดเดี่ยวของเธอ ร่าเริงและฉลาด เรื่องเริ่มจากที่ผมได้รู้จักกับเด็กวารสารคนหนึ่งที่เรากลับบ้านทางเดียวกัน เธอเริ่มคุย เริ่มชวนกินข้าว เริ่มชวนไปเที่ยว และเริ่มชวนผมเข้ากลุ่มของเธอ และทำให้ผมได้รู้จักกับเด็กวารสารคนนี้ ผมชวนเธอคุย ชวนไปกินข้าว ชวนไปเที่ยว ชวนไปโบสถ์ ผมถึงรู้ว่า เธอเชื่อพระเจ้าอยู่แล้ว (เชื่อในแบบของเธออ่ะนะ) ยิ่งผมสนิทกับเธอ ผมยิ่งรู้สึกห่างไกลจากพระเจ้า จำได้ว่า เคยแอบไปเที่ยวด้วยกัน แล้วผมก็ลื่นล้มหน้าเวิร์ดเทรด อายมาก และวันนั้น ผมมารู้ทีหลังว่า คือ วันที่แฟนเก่าเธอมาขอคืนดีด้วย หลังจากที่เธอไปเที่ยวกับผม

ช่วงนั้น ผมรู้สึกตัวว่าเกิดการต่อสู้ในจิตใจและในความคิดมาก จนได้คุยกัน ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะคุยเรื่องการคบเป็นแฟนกัน แต่เธอกลับปรึกษาผมเรื่องที่แฟนเก่าเธอมาขอคืนดีซะนี่ “เราเลือกที่จะเสียใจ เพราะเราเลือกผิด ดีกว่า เสียใจที่เราไม่เลือกกลับไปคืนดีกับเขา” ฟังดูก็รู้แล้วว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา

วันนั้น กลับบ้าน จำได้ว่าสิ่งแรกที่ทำคือ อธิษฐานกับพระเจ้า ขอโทษในความเหลวไหลของเรา และขอบคุณในการตีสอนของพระองค์

นับจากวันนั้นมา ผมไม่เคยคิดเรื่องการเป็นเป็นแฟน หรือการแต่งงานกับคนต่างความเชื่ออีกเลย

เรื่องราวรัก ตอนที่1 เยาว์วัย

โดยพื้นฐาน ตั้งแต่เด็ก ผมรู้สึกว่า ครอบครัวผมไม่อบอุ่นนัก ทำให้ผมคิดตั้งแต่นั้นมาว่า ถ้าวันหนึ่งจะแต่งงาน อยากจะแต่งงานกับคนที่รู้จักกัน รักกันจริงๆ (ตอนนั้น อายุ 5 ขวบ)

ต่อมา โตขึ้น ถึงรู้ว่าชีวิตครอบครัวมีอะไรมากกว่านั้นมาก และ รู้ว่า จริงๆพ่อแม่เราเขาก็ตั้งใจและพยายามทำดีที่สุดแล้ว เท่าที่เขาจะมีความรู้ความเข้าใจ แน่นอนที่สุด นั่นทำให้ผมรู้ว่า พ่อกับแม่รักกัน และรักผมมาก

ตั้งแต่เด็ก (5 ขวบ อยู่อนุบาล) ผมก็เริ่มคิดเรื่องแต่งงานแล้ว (เว่อร์มั้ย) ก็ตามประสาเด็กอ่ะนะ ตอนนั้นจีบ (แบบเด็กๆ) เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จีบตั้งแต่อนุบาลยัน ป.6 มีวีรกรรมมากมายในการพิชิตใจสาวและครอบครัว ยังจำเหมือนเรื่องเพิ่งเกิดที่ถูกเด็กผู้หญิงตบหน้า จริงๆพ่อเขาก็ชอบที่ผมเรียนเก่ง แต่เขาบอกว่า บ้านเราจน (ยังกะละครเมืองไทย) ไม่เหมาะสมฐานะกับเขา เขาไม่ส่งเสริม และตอนนั้น ก็สอบติดที่สวนกุหลาบด้วย ก็เลยย้ายมาเรียนมัธยมที่กรุงเทพ ปิดฉาก ละครความรักวัยเด็ก

จริงๆหลังจากนั้น เราก็มีติดต่อกันบ้าง โดยเฉพาะช่วงที่เธอสอบติดที่เตรียม แล้วย้ายมาเรียนที่กรุงเทพ แต่พระเจ้ามีจริง เธอเปลี่ยนไป หรือ อาจจะเป็นเพราะผมเริ่มชินกับสาวๆเมืองกรุงแล้วก็ไม่รู้นะ ความรู้สึกคงเหมือนถ่านกรุ่นๆที่ถูกน้ำราดลงมา...

ช่วงที่เข้ามาเรียนกรุงเทพ ผมตื่นตาตื่นใจมาก กับหลายต่อหลายอย่าง โดยเฉพาะผู้หญิงที่นี่ น่ารักมากๆ ไม่เหมือนกับที่ตราดเลย โดยเฉพาะกับที่เรียนพิเศษ ผมชอบผู้หญิงที่นี่มาก น่ารักแล้วยังฉลาด (ถ้าไม่สนใจความรู้ คงไม่มาเรียนพิเศษหรอก) ส่วนใหญ่ผมก็ได้เบอร์โทรศัพท์สาวๆ จากที่เรียนพิเศษนี่แหล่ะ อีกที่หนึ่งก็ที่สอบเทียบ มองย้อนดูแล้วก็รู้สึกตัวเองไร้สาระมากเหมือนกันนะ เสียเวลาจริงๆเลย

การได้รู้จักคนเยอะทั้งชายทั้งหญิงและระบุเพศไม่ได้ การที่ปรับตัวเก่งเข้ากับเขาได้ทั่ว ทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ รู้จักรสนิยมของตัวเอง โดยเฉพาะ ลักษณะคนที่ผมชอบหรือไม่ชอบ จนช่วงเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยครั้งที่สองของผม ตอนม.5 ณ โรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษดวงใจ ผมเจอผู้หญิงคนหนึ่ง
เพื่อนทุกคนพูดตรงกันว่า คนนี้ไม่สวยเลย ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ผมก็ไม่ได้เริ่มชอบเขาจากความสวยนี่นา ถึงอย่างไรผมก็คิดว่าเขาหน้าตาดีนะ แค่สวยหลบใน (เหอ เหอ เหอ ...ผมชอบแบบนี้นี่นา) แต่ที่สำคัญคือชอบนิสัยเขามากกว่า หวาน ห้าว เฮ้ว มีมารยาท รู้จักกาลเทศะ และมั่นใจ เห็นเท่านี้ก็ได้ใจผมไปแล้ว
จากความทุ่มเทพยายามที่จะรู้จัก ทำให้ผมเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ว่า ความรัก มีอานุภาพยิ่งใหญ่นัก และสวรรค์จะเข้าข้างคนที่มีความมุ่งมั่น (ผมเพิ่งรู้ว่าเราสามารถหาข้อมูลพื้นฐานทุกอย่างได้ แม้แต่เลขรหัสไมโครฟิล์ม จากกรมการปกครอง ก.มหาดไทย) อนิจจา พระเจ้าทรงมีแผนการ เธอสอบติดอักษร จุฬา ผมสอบไม่ติด ทุกคนงงกันมาก เด็กอักษรคนนี้แหล่ะ ที่อีก 8 เดือนให้หลัง นับจากประกาศผลสอบ เธอเป็นเหตุให้ผมเดินจากสะพานพุทธจนไปถึงสี่พระยา

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มรู้จักกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว เริ่มเปิดฉาก ชีวิตที่รู้จักกับรักแท้

Dec 14, 2008

เรื่องนี้เกี่ยวกับความรัก

เมื่อสัปดาห์ก่อนมีเหตุให้ต้องเข้าไปเดินใน มหาลัยเล็กๆแถวสามย่าน หลังจากที่ไม่ได้เหยียบเข้าไปนับปี
แม้หลายๆอย่างจะเปลี่ยนไป มีตึกใหม่ๆผุดขึ้นมาหลายที่ แต่ดูเหมือนสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะไม่สามารถเปลี่ยนภูมิทัศน์ในมโนภาพที่ยังอัดแน่นไปด้วยความทรงจำได้... มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยเรื่องราว...

กลับมาบ้านวันนั้น ผมอยากจะเขียนเรื่อง จุฬา...ลงกลอน ผมอยากจะลงกลอนความทรงจำของผมทุกอย่างที่เกี่ยวกับจุฬาไว้ในกล่องซักใบ ไม่อยากจะเห็น เพราะมันเจ็บนัก แต่ก็ไม่อยากจะลืม เพราะอาจจะเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวของชีวิตที่สุขใจได้ขนาดนั้น

เป็นความใฝ่ฝันแบบวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่อยากจะเข้ามาเรียนวิศวะที่จุฬา จีบสาวอักษร อนิจจา ว่าที่เฟรชชี่สาวอักษร จุฬา คนแรกที่ผมรู้จัก ทำให้ผมเรียนรู้ว่า การเดินจากสะพานพุทธไปถึงสี่พระยามันเหนื่อยมาก และไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นจากความเจ็บปวดใจ ผมจำได้ โต๊ะตัวนั้น... โต๊ะที่ของชิ้นเดียวกันเปลี่ยนสภาพจากของขวัญเป็นขยะ เพียงชั่วเปลี่ยนมือ

ช่วงเวลาดีๆที่ได้ไปเข้าค่ายติวของรุ่นพี่วิศวะ จำได้ว่า ค่ายนั้น ทำให้ผมเริ่มคิดว่า ผมอาจไม่เหมาะกับที่นี่ เพราะผมไม่นิยม โซตัส เอาเสียเลย

ตึกจุล ครั้งแรกที่เรียนรู้จักการสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อ เป็นครั้งแรกที่ไปเข้าแคร์กับคนที่ไม่รู้จัก แต่ผมก็สนิทไปกับเขาได้เพราะเราเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน

บัญชี คณะที่ผมมีประสบการณ์อัศจรรย์เกินธรรมชาติกับพระเจ้าครั้งแรกในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และที่นี่ยังมีหลายที่หลายมุม ที่ทิ้งรอยแห่งความทรงจำเอาไว้ให้ ผมรู้จักการให้ความรักนำทาง เมื่อเราต้องตามหาคนคนหนึ่งท่ามกลางความมืดของคอนเสิร์ตรับเพื่อนใหม่ ก็จากเด็กคณะนี้ ผมรู้จักความรู้สึกของ เอรอส ก็จากที่นี่ และอีกมากมาย ดูเหมือนว่าสิ่งสุดท้าย ที่ผมได้เรียนรู้จากเด็กคณะนี้ คือ สิ่งที่เรียกว่า ความไว้เนื้อเชื่อใจ

หากความรัก เป็นเรื่องของฉัน และถ้าเรารักกัน เป็นเรื่องของฉันกับเธอ ถึงกระนั้นก็คงยังไม่พอให้เราไปถึงจุดแห่งการแต่งงานอยู่กินด้วยกัน หากเราไม่เชื่อใจกัน

ยังมีอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรักของผม ซึ่งมีฉากของเรื่องหรือมีความเกี่ยวพันกับจุฬา จนผมรู้สึกขยาดกับเด็กจุฬาไปเลย (ผมเพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่า เพื่อนสมัยประถมที่ผมแอบชอบเขา ก็จบโทสถาปัตย์ที่จุฬานี่)

ผมยอมรับว่า ความเจ็บปวดครั้งนั้นมันรุนแรงมาก ผมกลายเป็นคนที่ด้านชา หัวใจหิน ไปเลยทีเดียว ก็ลองคิดดูว่า คนอ่อนไหวอย่างผมจะทนได้ซักขนาดไหนกัน แต่ผมเองก็พยายามประคับประคองรักษาเศษเสี้ยวในดวงใจพังๆของผม พยายามรักษาพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้ในสภาพดีเสมอ รอเวลา หวังใจว่า วันหนึ่งมันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการฟื้นฟูดวงใจทั้งดวง

ผมไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไหร่ อย่างไร หรือจะโดยใคร แต่ผมก็จะหวังใจเสมอว่า คงจะมีวันนั้นซักวัน วันที่มีคนที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ผมเป็นจริงๆ วันนี้...เมื่อเช้า ผมบอกพระเจ้าไปอย่างนี้

วันนี้ ตอนบ่าย พี่ชายที่น่ารักคนหนึ่งได้มาแบ่งปันชีวิตของท่าน แบ่งปันสิ่งที่ท่านเรียกว่า ชีวิตรักในพระเจ้าของท่าน ผมไม่รู้หรอกว่าเกือบสองร้อยคนที่นั่งฟังวันนี้จะได้อะไรไปบ้าง แต่สำหรับผม เรื่องราวของพี่ในวันนี้ เป็นอาหารทิพย์ชั้นดีให้แก่หัวใจของผม ขอบคุณพระเจ้ามากมากครับ

ขอบคุณพระเจ้าที่ฟังผมเสมอ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงได้ยินเสียงร่ำร้องไห้จากก้นบึ้งของหัวใจผม ขอบคุณพระเจ้าที่มิได้ทรงละทิ้งผมไป ขอบคุณพระเจ้าที่มิได้ทรงถือโทษในความผิดบาปจากความอ่อนแอของผม ...นึกขึ้นมาได้ พระเจ้าเคยสัญญาว่า นับจากนี้ไป ผมจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป never alone again... นานแล้วอ่ะนะ

ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงโปรดประทานความรอดนิรันดร์แก่ผม ให้ผมได้มีชีวิตใหม่ ขอบคุณครับ ที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมหวังว่าครั้งนี้ เมื่อผมเลือกความชอบธรรมของพระองค์แล้ว ผมจะไม่เจ็บกายปวดใจ แต่พระเจ้าจะดูแลเหมือนที่พระองค์สัญญาไว้

พระเจ้าครับ ขอให้ผมได้เริ่มต้นเขียนเรื่องราวความรักของพระองค์ในชีวิตของผมอีกครั้งนะครับ และหากทรงเห็นชอบ ขอทรงโปรดให้ "เรา" ได้เริ่มต้นเขียนด้วยกันนะครับ

Dec 7, 2008

พุงย้อย

เช้านี้ เจอคนอ้วนๆ... จะเรียกว่าอ้วนว่าดีไหม เพราะทุกสัดส่วนของเขาก็ถือว่าพอๆกับผม ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก้อนหยุ่นๆที่อยู่ตรงหน้าท้องนี่น่ะสิ น่าเกลี้ยดน่าเกลียด

เห็นแล้วก็นึกถึงตัวเอง ถ้ายังไม่ยอมปรับเปลี่ยนรูปแบบลักษณะการดำเนินชีวิตของตัวเองเสียใหม่ ไม่แคล้วคงได้เห็นก้อนหยุ่นๆนั้นที่พุงตัวเองทุกเช้าเวลาส่องกระจกอย่างมิต้องสงสัย

พ่อเคยถามว่า ที่เรียนๆมาตั้งแต่ประถม จำเอามาใช้บ้างหรือเปล่า กินอาหารให้ครบ5หมู่ในแต่ละวัน ออกกำลังกายเป็นประจำทุกสัปดาห์ พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก อาบน้ำวันละ2ครั้ง แปรงฟันหลังกินอาหาร ไม่กินจุบจิบ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นเรื่องสุขอนามัยพื้นฐานทั้งนั้น

บางคนบอกว่างานที่ต้องทำมีเยอะ ผมไม่เชื่อเรื่องการทำงานมากแล้วพระเจ้าจะพอพระทัยเรามาก พระเจ้าทรงโปรดปรานผู้ที่กระทำตามพระทัยของพระองค์มิใช่หรือ และแน่นอนว่าน้ำพระทัยพระเจ้าในชีวิตเราส่วนตัวแต่ละคนมีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกัน ที่ผ่านมา ชีวิตเราอาจถูกเรียกร้อง ถูกบิดเบือนด้วยคำว่า ตั้งใจดี มีภาระใจ(กรูอยากทำ) มานาน นานพอที่จะทำให้เราหลงหรือลืมเรื่องสำคัญของชีวิตไป

บางคนบอกว่าก็ไม่รู้นี่ว่าพระเจ้าต้องการให้ทำอะไร ผมยอมรับว่า การลองทำสิ่งต่างๆหลากหลายเพื่อให้เรารู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ใช่ นั่นก็เป็นแนวคิดหนึ่ง ซึ่งอาจจะเหมาะสมกับคนที่อายุยังน้อย ยังไม่รู้จักตัวเอง และยังมีเวลาให้เรียนรู้อีกมาก
แต่คนที่รู้จักตัวเองแล้วระดับหนึ่ง คนที่คิดว่าตัวเองเหลือเวลาบนโลกนี้ไม่มากนัก การใช้ความคิดเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่สมควรกระทำ พระเจ้าทรงสร้างเรามาอย่างดี และพระองค์เตรียมเราไว้เพื่อกระทำพระราชกิจของพระองค์ให้สำเร็จ ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พื้นเพครอบครัว ความชอบ ความสนใจ ความถนัด ... เรื่องสำคัญ คือ เราใช้ทั้งหมดที่เรามีอยู่เพื่อใคร

ถึงเวลาหรือยังที่เราควรจะต้องกลับมาถามพระเจ้า ถามตัวเอง อย่างจริงจังว่า "อะไร" คือ สิ่งสำคัญจำเป็นที่เราต้องทำในชีวิตนี้และในเวลานี้ อย่าให้ถึงเวลาที่เมื่อเราเล่าให้พระเจ้าฟังว่า ตอนที่เราอยู่ในโลก เราทำนู่นนี่นั่นเยอะแยะไปหมด แต่พระเจ้าถามเรากลับมาว่า แล้วที่ให้ทำน่ะ ทำหรือเปล่า...

ถึงวันนั้น เราคงตกใจไม่น้อย ความรู้สึกอาจไม่ต่างกับคนที่วันหนึ่งตื่นขึ้นมาส่องกระจก แล้วก็พบกับความจริงที่ว่าตัวเอง "พุงย้อย"

ปล. หลายคนที่พบว่าตัวเอง พุงย้อย เรียบร้อยแล้ว แทนที่จะลุกขึ้นมารีดไขมันออก กลับนิ่งเฉยดูดาย ผมหวังว่า สภาวะ "ยอมรับสภาพ" เช่นนี้ คงไม่เกิดขึ้นกับคนที่เพิ่งจะพบว่าตัวเองใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง หรือ(บ้าคลั่ง)รับใช้พระเจ้า(?)อย่างไม่สมดุลย์มานาน คนเราทุกคนเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้
Yes, we've changed

Dec 6, 2008

ช่วงเวลาที่ยากลำบาก

เคยเล่นปั่นแปะโยนเหรียญทายหัวก้อยไหม ขณะที่เหรียญกำลังหมุนติ้ว โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะหล่นลงด้านใด เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราลุ้นที่สุด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด แต่ผลการออกของเหรียญก็จะมีผลสืบเนื่องตามมาในการกระทำไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

คนเรามักไม่ได้กลัวในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้ว แต่เรามักกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือถ้าพูดให้ถูก สิ่งที่เรากลัวมักเกิดจากจินตนาการของเราเอง เรากลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เช้านี้พ่อเข้าโรงพยาบาล แม่บอกว่าตั้งแต่เมื่อวาน พ่อมีไข้สูง กินอะไรไม่ได้เลย อาเจียนตลอด วันนี้ ป้าๆอาๆก็เลยพาพ่อไปหาหมอ จริงๆตั้งแต่เมื่อวันจันทร์โทรไปหาพ่อ พ่อก็เสียงไม่สู้ดีแล้วล่ะ จนถึงตอนนี้ หมอยังไม่รู้ว่าพ่อเป็นอะไร...

สิ่งที่เป็นห่วงในตอนนี้ ไม่เพียงแค่เรื่องอาการป่วยของพ่อ แต่เป็นห่วงเรื่องความรู้สึกของทั้งพ่อและแม่ด้วย

ในมุมมองของผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบครอบครัวอย่างซื่อสัตย์มาตลอด ภรรยาก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถดำเนินชีวิตด้วยตัวเองได้อย่างคนปกติ ลูกคนเดียวที่มีก็ดูหลักลอย ไม่รู้จะฝากผีฝากไข้ได้หรือเปล่า (จนถึงวันนี้ พ่อก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเรียนไม่จบ และยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก เมื่อผมลาออกจากงานที่ทำกับเชลล์ เพื่อมาช่วยงานที่บริษัทเพื่อน)

ในมุมมองของผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง คนที่ไวต่อความรู้สึกของคนอื่นอย่างมาก คนที่เคยสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่าใครๆ ถึงวันนี้แม้แม่จะพอช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแต่ก็ยังไม่คล่องดังใจ คงเป็นธรรมดาที่จะกังวลถึงอนาคต หากสามีไม่อยู่แล้ว จะอยู่อย่างไร จะอยู่กับใคร ลูกจะรักเราไหม ลูกจะทิ้งเราหรือเปล่า แล้วเมียของลูกจะรังเกียจเราไหม เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่ได้ยินอยู่เป็นระยะจากแม่

ส่วนตัวผมเอง มุมมองของลูกชายคนเดียวที่อยู่ไกลบ้าน คนที่เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตระหนักว่า พ่อของเขาอยู่กับความจริง พูดความจริงกับเขา มากกว่าหลายคนที่บอกใครต่อใครว่าตัวเองรักความจริงเสียอีก พ่อพูดถูกเกือบจะทุกเรื่อง แต่เราเองที่ปิดใจไม่ยอมฟัง "พ่อผมเจ๋ง" ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ผมไม่รู้ว่าพ่อป่วยหนักขนาดไหน ปกติพ่อก็ไม่ใช่คนที่จะมานั่งบอกใครว่าตัวเองไม่สบาย (พ่อเคยพลาดเอาขวานเฉาะขาตัวเอง พ่อเดินกลับบ้าน อาบน้ำแต่งตัว ขี่มอไซค์ไปหาหมอ กว่าพวกเราจะรู้ ก็เกือบอาทิตย์ นี่แหล่ะครับ พ่อผม)

ปี 2008 เป็นปีที่เศรษฐกิจอยู่ในความอึมครึม แต่ปีหน้าก็ชัดเจนแล้วว่า เศรษฐกิจของเราอยู่ในภาวะถดถอยแน่นอน หลายคนหลายบริษัทก็เตรียมตัวรับสถานการณ์กันถ้วนหน้า

พระคัมภีร์บอกเราว่า มีฤดูกาลและวาระสำหรับทุกสิ่งใต้ฟ้านี้ ผมเองก็เชื่ออย่างนั้น เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ยังไม่ถึงวาระนั้นน่ะสิ ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องประคับใจประคองความคิดและความรู้สึกให้ดี ให้เป็นปกติอย่างมากๆ

เมื่อชัดเจนว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เราก็ไม่เครียดมาก รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ หากรู้ชัดๆว่าพ่อเจ็บหนักขนาดไหน คงไม่ต้องให้จินตนาการทำงาน และคงง่ายขึ้นอีกเยอะ ถ้ารู้ว่า "เธอ" คิดอย่างไรกับผมกันแน่

Dec 2, 2008

สิ่งละอันพันละน้อย

แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนแม่แต่งงานกับพ่อมีตังค์อยู่ 150 บาท สมัยสาวๆแม่ต้องเก็บตำลึงไปขาย 5 กำ 1 บาท จะซื้อกรรไกรตัดผ้าซักอันต้องเก็บเล็กผสมน้อยอยู่หลายเดือน "แม่ว่าแม่ก็เก่งนะ ชีวิตนี้ได้เห็นแล้วว่าเงินล้านเป็นอย่างไร" แม่พูดด้วยความภูมิใจ "คนเราต้องรู้จักหา รู้จักเก็บ รู้จักใช้" ครั้งหนึ่งพ่อเคยสอนไว้ สังเกตุการเรียงลำดับของพ่อผมนะครับ อดนึกถึงโวหารไทยสมัยก่อนไม่ได้ "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์.." คนไทยนี่ฉลาดนะ

นานมาแล้ว พี่ตี๋ใหญ่เคยสอนเรื่อง พลังของความสัตย์ซื่อ ความเชี่ยวชาญเป็นผลจากการฝึกฝน หากเราต้องการเก่งเรื่องใด ให้เราทำสิ่งนั้นทุกวัน เราจะชำนาญในเรื่องนั้นๆมากขึ้น

ในพระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ใดที่สัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อย จะได้ครอบครองในสิ่งใหญ่" ผมเชื่อว่านี่เป็นหลักการความสัตย์ซื่อของพระเจ้าด้วย หากเราสัตย์ซื่อในความชอบธรรมของพระเจ้า เราก็จะได้รับการอวยพร แต่ในทางกลับกัน หากเราสัตย์ซื่อในนิสัยที่ไม่ดีทุกวัน นิสัยเหล่านั้นก็จะหนักแน่นมั่นคงในชีวิตของเรามากขึ้น ไม่เชื่อคุณลองเริ่มพูดไม่จริงในเรื่องเล็กๆซักเรื่องสิ ไม่ช้ากว่าคุณจะระลึกตัวขึ้นได้ คุณอาจจะกลายเป็นนักปั้นเรื่องตัวยงแล้วก็ได้

ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของจุดหมายปลายทาง แต่เป็นเรื่องของแต่ละวัน บางคนจับจ้องอยู่แต่เป้าหมาย จนลืมไปว่า เขามีวันนี้อยู่ด้วย หากเราคาดหวังความสำเร็จในท้ายที่สุดของชีวิต เราจำต้องแสวงหาความสำเร็จในทุกวันของชีวิต "ชีวิตจริงไม่มีลิฟท์ มีแต่บันได" ซิก ซิกล่า ผู้เขียน "See you at the top" กล่าวไว้ คุณไม่สามารถยืนเฉยๆ กดปุ่ม แล้วหวังว่าจะถึงยอดตึก คุณต้องก้าวขึ้นไป ทีละขั้น ทีละก้าว จนกว่าจะถึงยอดตึก

ชีวิตคนเรา ประกอบด้วยหลากหลายกระบวนการ และตัวเราเองก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งในส่วนของอีกหลายๆกระบวนการ อย่างไรก็ตาม หากเราสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเดินทางในแต่ละวัน มาเป็นพลังงานให้กับกระบวนการเติบโตของชีวิตส่วนตัวเราได้อย่างดี ไม่มีสะดุด กระบวนการต่างๆที่เรามีส่วนร่วมดำเนินอยู่ก็จะเติบโตไปด้วยเป็นผลสืบเนื่อง และแน่นอนที่สุด ชุมชน สังคม สังคม ประเทศชาติ หรือแม้แต่โลกทั้งใบ ก็จะรับผลขยับไปในทางที่สูงขึ้นอีกนิดนึง จากการการเติบโตนิดๆหน่อยๆของเราแต่ละคนนี่แหล่ะ ยิ่งรวมกันหลายคน ก็ยิ่งเห็นผลชัด แต่ทั้งหมดก็เกิดจากการเติบโตเล็กๆน้อยๆของเราแต่ละคนในแต่ละวันนั่นเอง

Dec 1, 2008

extreamly strong determination

เมื่อวันก่อนดูหนังชุดเรื่อง Heroes มีฉากหนึ่ง
กล่าวถึงซามูไรญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาเรียนวิถีดาบจากมังกร จนเป็นนักรบที่เก่งกล้า
วันนึง มังกรมาที่วังแล้วขอให้เขาสังเวยชีวิตภรรยาเป็นสิ่งตอบแทนการสอนดาบ
ซามูไรคนนั้น ได้เอามีดกรีดอก ควักหัวใจของตนให้มังกร พร้อมกับบอกว่า ชีวิตของนางอยู่ในใจข้า เชิญท่านรับไปเถิด
ตัวละคนในเรื่อง เข้าใจว่า คนเราจำเป็นต้องเข้มแข็งอย่างเด็ดเดี่ยว จึงจะสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องคนที่เรารักได้ เช่น การควักหัวใจตัวเอง...

วันนี้ ผมนมัสการพระเจ้า จริงๆตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ที่พระเจ้าสัมผัสใจ ถึงเรื่องการไว้วางใจ และ ความบริสุทธิ์ สองเรื่องหลักหนักในเวลานี้ แต่ก็ตัดสินใจเพื่อพระเจ้า แม้จะมีความคิดว่า เด่วก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก แต่ก็คิดแย้งกลับว่าต้องขอพระเจ้าให้เราเด็ดเดี่ยวมากขึ้น เราต้องแน่วแน่เอาจริงเอาจัง

ผู้ใดจับคันไถแล้วหันหลังกลับ ผู้นั้นก็ไม่สมควรเข้าแผ่นดินสวรรค์