Apr 29, 2009

คนข้างๆ

วันนี้นึกถึงประโยคหนึ่ง ประมาณว่า "บอกเราสิว่า เพื่อนของท่านคือใคร แล้วเราจะบอกว่าท่านเป็นอย่างไร" ผมเข้าใจว่า เขาคงหมายถึงคนรอบๆตัวมากกว่า

จริงอยู่ว่า การมีทัศนคติที่ดีและแข็งแรง ย่อมทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องรับผลอิทธิพลความคิดจากคนรอบข้างมากนัก
แต่บางที มันก็อดหงุดหงิดรำคาญใจไม่ได้นะ

ตรงกันข้าม กับบางคนหงุดหงิดรำคาญใจมา แม้จะไม่แสดงออกมา แต่เพราะความร่าเริงยินดีของเขา ก็สามารถปัดเป่าเมฆหมอกแห่งความระทมที่อยู่ภายในได้เสียสิ้น

คนข้างกาย มีผลกับความคิด และชีวิตของเราอย่างมาก
คนบางพวก มีไว้ข้างกายแล้วสบายใจ เพราะเขาพูดสิ่งที่เราอยากฟัง
คนบางพวก มีไว้ข้างกายแล้วกดดัน เพราะเขาพูดสิ่งที่เราไม่อยากฟัง
คนบางพวก มีไว้ข้างกายแล้วเป็นประโยชน์ เพราะเขาพูดกับเราด้วยสติปัญญาความรอบรู้
คนบางพวก มีไว้ข้างกายแล้วดี เพราะเขาพูดกับเราด้วยความรัก

จะมีคนแบบไหนข้างกาย ก็เลือกกันเองละกัน สำหรับผมเลือกแล้วครับ

Apr 22, 2009

ความรับผิดชอบต่อตัวเอง

ช่วง 2-3 วันมานี้ เรื่องราวรอบๆตัวชวนให้คิดถึงเรื่องหนึ่ง คือ ความรับผิดชอบต่อตัวเอง
จริงๆเรื่องนี้ เคยเป็นเรื่องเป็นราวในความคิดของผมมาครั้งหนึ่งแล้ว
ไม่ใช่ว่าเพราะผมเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบนะ แต่ การเป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น โดยบ่อยๆครั้งที่เกิดขึ้นจนเกินพอดี กลายเป็นการละเลยความรับผิดชอบส่วนตัวที่พึงมีไป

เคยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เตือนผมด้วยความเป็นห่วง เขาคิดว่า ผมใจดีเกินไป มองโลกในแง่ดี และเชื่อในส่วนดีของผู้อื่นมากเกินไป ในขณะที่คนอื่นเขาไม่ได้เป็นคนดีเหมือน(ที่)ผม(มอง) เขาบอกว่า ผมเป็นคนที่ให้คนอื่น นึกถึงประโยชน์ของผู้อื่น ยินดียอมถูกเอาเปรียบ อยากเห็นคนอื่นๆมีความสุข ซึ่งหากไปเจอคนดีที่เขารู้จักพอก็ดีไป แต่หากไปเจอคนที่้จ้องแต่จะเอาประโยชน์เข้าตัว ผมก็จะปล่อยให้เขาเอาเปรียบไปเรื่อยๆจนตัวตาย ซึ่งเพื่อนผมเห็นว่า มันไม่ได้อะไรขึ้นมา มันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ ไม่ได้เกิดประโยชน์กับงานของพระเจ้าจริงๆตามที่ผมตั้งใจไว้

...

เอาล่ะ ทีนี้สำหรับครั้งนี้ เรื่องมันเริ่มต้นจากตรงไหนล่ะ

ผมถูกสอนมาตลอดว่า เราต้องสร้างคนขึ้นมาทำงานแทนเรา เพื่อที่เราจะไปทำงานอย่างอื่นที่เขาทำไม่ได้ (เนื้อหาที่ถูกสอนมา ไปไกลถึงขนาดการทำซ้ำ (duplicate) ตัวเราขึ้นมา ซึ่งผมไม่เชื่ออย่างนั้น) แต่นานเกือบ 10 ปีแล้ว ที่ผมไม่ได้อยู่ในกระบวนการสร้างชีวิตเพื่อไปทำงานแทนใคร ถึงกระนั้น ในความรับผิดชอบต่อพระเจ้าของผม ผมก็พยายามจะเรียนรู้ พัฒนาชีวิต และทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้คนอื่นๆได้มีเวลามากขึ้นไปทำสิ่งที่ผมทำไม่ได้

ผมเชื่อว่า คนอื่นๆก็คงจะคิดเหมือนผม เพราะเราต่างก็ได้รับการสอนมาเหมือนๆกัน ดังนั้น ในระยะยาว ระบบของคนทำงานจะปรับตัวเข้าสู่จุดดุลยภาพ คือ ทุกคนต่างได้ทำงาน ได้เรียนรู้ ได้ฝึกฝน ในสิ่งที่ตนเองสนใจ มีภาระใจ ชอบและทำได้ดี ในขณะที่คนรุ่นใหม่ๆ ก็จะได้รับการฝึกให้ทำงานขั้นพื้นฐานทั่วๆไป เพื่อเรียนรู้หาตัวตนของตัวเอง

ผมเชื่อว่า การทุ่มเทของหัวใจและแรงกาย การใช้สติปัญญาและความสามารถที่เรามีอย่างเจาะจงเช่นนี้ ย่อมทำงานให้งานในแต่ละส่วนสำเร็จลงได้อย่างไม่ยากนัก และแน่นอนว่าภาพรวมทั้งหมดย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะสำเร็จตามไปด้วย

แต่ถึง ณ วันนี้ ผมคิดว่า ความเชื่อเหล่านี้ซึ่งผมเชื่อมาตลอดเกือบ 15 ปี อาจจะเป็นความเชื่อที่ไม่ใช่เรื่องจริงซักเท่าไหร่นัก (แน่นอนว่า น่าจะยังมีอีกหลายเรื่อง ต้องตรวจสอบกันต่อไป)

อะไรทำให้ผมคิดเช่นนั้น เพราะผมไม่เคยเห็นกระบวนการเคลื่อนอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อที่จะไปถึงจุดดุลยภาพเลย (ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ไม่มีทั้ง move along curve และ shift) เราเหมือนวิ่งวนไปเวียนมา เริ่มต้นนับ 1 ใหม่อยู่เรื่อยๆ ทุรนทุรายอยู่กับภาพหลอนเรื่องเดิมๆอย่างบ้าคลั่ง และเหนื่อยหอบอย่างชนิดที่ผมอยากจะเรียกว่า เปล่าประโยชน์ (ต่อให้ไม่มีการขัดขวาง สุดท้ายเราก็จะหมดแรงดิ้นและตายไปเองในที่สุุด)

เกือบตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แม้หลายเรื่องของชีวิตผมจะดีขึ้น แต่คุณภาพชีวิตพื้นฐานของผมในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งไม่ได้ดีขึ้นเลย แม้ผมจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้มีศักยภาพในการไปถึงได้ แต่ผมก็ไม่เคยไปถึงเลย จนผมเกิดคำถามสงสัยว่า การที่ผมช่วยคนนั้นทีคนนี้ทีแบบนี้ มันดีแล้วจริงเหรอ มันเป็นการใช้ชีวิตที่คุ้มค่ากับทุกลมหายใจเข้าออกของผมแล้วใช่ไหม

ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ผมเคยจนอย่างไรก็จนอย่างนั้น เผลอๆจะจนกว่าเดิมเสียอีก และสุดท้าย ก็ไม่มีใครมาเ้ข้าส่วนในความจนนั้น ผมก็ต้องรับผลแต่เพียงลำพังอยู่ดี

ผมนั่งคิดทบทวน และผมตัดสินใจแล้วว่า ผมพอแล้วกับความเชื่อเดิมๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวผมเองตกเป็นเครื่องมือของมนุษย์ ไม่ใช่อุปกรณ์ของพระเจ้า

มนุษย์ทุกคน พระเจ้าสร้างมาแตกต่างกัน ไม่มีใครสามารถแทนใครได้แน่ เราแต่ละคนต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน มีความรับผิดชอบในโลกนี้ที่แตกต่างกัน มีการวัดผลที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องส่วนตัว ที่เราเองแต่ละคนต้องรับผิดชอบกับพระผู้สร้างของเรา

หากยังทำตัวเหมือนเดิม ต่อไปภายภาคหน้า จะดูเเลคนที่เรารักได้อย่างไร

ที่ผ่านมานั้น น่าจะเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เพียงพอให้เรียนรู้ได้ว่า ความคิดและสิ่งที่เราเห็นในความเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว แต่เราเองต่างหาก ที่ไม่กล้ารับผิดชอบกับความคิดและการมองเห็นของตัวเอง ผมคงยังผลัดผ่อนที่จะเผชิญหน้ากับผลที่จะเกิดขึ้น ด้วยการหลบอยู่ภายใต้หน้าฉาก ที่เรียกว่า การเชื่อฟังผู้มีตำแหน่งผู้นำ เพียงเพราะผมไม่กล้าพอจะรับผิดชอบกับความเข้าใจที่ได้รับมา แต่มันก็ทำให้ผมต้องรับผลของการไม่รับผิดชอบด้วยเช่นกัน

หมดเวลาแล้วกับ จารีตและประเพณีที่สั่งสมเป็นคำสอนตกทอดกันมาจากบรรพชน ซึ่งถูกฝั่งแน่นอยู่ในชีวทัศน์ ติดหนึบอยู่ในก้านสมอง พอกันทีกับความตั้งใจดีในเรื่องหนึ่งๆ (ซึ่งก็สำคัญจริงๆ) แต่ทำให้ไปละเลยเรื่องสำคัญอื่นๆอีกมากมาย

เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร น่าจะหยุดใช้คำว่า "มีภาระใจ" มาเป็นตัวคัดสรร ตัดสิน และเรียกร้องการมีส่วนร่วมอย่างพร่ำเพรื่อได้แล้ว เพราะคงมีแต่คนที่จิตใจมั่นคงพอเท่านั้น ที่จะกล้าแสดงตัวเห็นแตกต่างกับจารีตของชุมชน (เว้นแต่วิถีที่ท่านเป็น สอดคล้องกับจารีตด้วยใจสมัครอยู่แล้ว) การแสดงตัวรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเชื่อ การเคารพในความเชื่อของตนและผู้อื่นในชุมชน น่าจะเป็นสิ่งใหม่ที่ควรใช้เป็นบรรทัดฐานของสังคม

ขอให้ผมได้เริ่มต้นรับผิดชอบต่อตัวเอง รับผิดชอบต่อ"ภาระใจ"ของตัวผมเองก่อนเถอะนะ และจริงๆแล้ว ผมคิดว่า ทุกคนก็ควรเริ่มต้นรับผิดชอบต่อชีวิตและภาระใจของตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปรับผิดชอบหรือเรียกร้องให้ผู้อื่นมาร่วมรับผิดชอบ ชีวิตและภาระใจของตัวเราเอง (แม้จะบอกว่าเป็นงานของพระเจ้าก็ตาม)

Apr 17, 2009

ลอบสังหาร

เช้านี้ ได้ยินข่าวสะเทือนใจข่าวหนึ่ง คือ การลอบสังหารคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

ออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ได้อยู่สีใดทั้งนั้น ผมเป็นคนไทย และผมไม่เห็นด้วยที่เราจะพยายามบังคับขู่เข็ญชักจูง จะโดยเจตนาใด หรือวิธีการใด เพื่อให้คนที่มีความเชื่อต่างจากเรา มาคิดเห็นพ้องต้องกันกับความคิดของคนกลุ่มเรา ผมเชื่อเรื่องการเคารพให้เกียรติกัน เราสามารถมีเอกภาพในความหลากหลายได้

คนที่มีมุมมองต่างจากเรา ไม่ได้แปลว่า เราถูกเขาผิดเสียหน่อย

ผมคิดว่า การลอบสังหาร เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน รุนแรง และไร้ซึ่งอารยธรรมอย่างที่สุด
การลอบสังหารเป็นการฆ่าหรือประทุษร้ายต่อผู้อื่น โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ไม่มีโอกาสได้ป้องกันตัว เป็นการฆ่าที่ผู้ลงมือกระทำสามารถออกแบบควบคุมและกำหนดทุกรายละเอียดได้ โดยที่อีกฝ่ายไม่สามารถใช้ได้แม้แต่สิทธิของการเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ เช่นครั้งนี้ ตำรวจพบปลอกกระสุนร่วม 60 นัด ร่วงเต็มถนน พยานเล่าว่า มือปืนกราดกระสุนใส่รถทั้งคัน

การลอบสังหารชีวิต ส่วนมากเกิดจากเจตนามุ่งร้าย หวังทำลายชีวิตให้พินาศย่อยยับไป
แต่
การลอบสังหารความคิด มักเกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ที่เพียงพอ โดยส่วนมากมักกระทำด้วยเจตนาหวังดี บริสุทธิ์ใจ และอาจใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเห็นผล ซึ่งกว่าจะรู้ว่าเราถูกลอบสังหาร ความคิดอาจบาดเจ็บสาหัสหรือตายเสียแล้ว ถึงตอนนั้นชีวิตก็คงไม่ต่างจากตายทั้งเป็น

ในพระคริสต์ธรรม ยากอบ 4:1-2 บอกว่า "อะไรเป็นสาเหตุของสงคราม และอะไรเป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน มิใช่กิเลสตัณหาของท่านหรือที่ทำให้ท่านต่อสู้กัน ท่านทั้งหลายอยากได้ แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน..."

และในพระคริสต์ธรรม สุภาษิต 14:6-8 บอกว่า "คนมักเยาะเย้ยแสวงปัญญาเสียเปล่า แต่ความรู้นั้นก็ง่ายแก่คนที่มีความเข้าใจ จงไปให้พ้นหน้าคนโง่ เพราะที่นั่นเจ้าไม่พบถ้อยคำแห่งความรู้ ปัญญาของคนหยั่งรู้คือการเข้าใจทางของเขา แต่ความโง่ของคนโง่เป็นที่หลอกลวง"

จะป้องกันตัวเองจากการถูกลอบสังหาร คงไม่ง่ายนัก หากเราเป็นอุปสรรคสำหรับความต้องการบางสิ่งของบางคนหรือกลุ่มคน แต่อย่างน้อย การรู้จัก "พอ" และ "แบ่งปัน" ก็คงช่วยได้เยอะ

ในขณะที่การป้องกันตัวเองจากการถูกลอบสังหารความคิด เป็นเรื่องที่น่าจะทำได้ง่ายกว่า หากเราเข้าใจหนทางของเราเอง และไปให้พ้นหน้าจากสิ่งหลอกลวง

Apr 12, 2009

stand up !!

ตอนนี้ปวดหัวปี๊ดเลย.... สงสัยวันนี้จะกินอิ่มไปมั้ง หุหุหุ เกี่ยวไหม
เพิ่งจะพูดเล่นๆว่า กินเผื่อวันหยุดสงกรานต์ ท่าจะจริงซะละมั้งน่ะ

วันนี้ เราไปดูหนังเรื่อง knowing กันมา ชอบมากมาย ไปอ่าน review ใน multiply ละกันนะ

แล้วก็ไปกินข้าวด้วยกันต่อ อิ่มมากมาย แม้บางคนจะกลับไปก่อน ด้วยภารกิจเดินทางกับครอบครัว... เดินทางโดยปลอดภัยนะครับ ^^

กำลังนั่งอิ่มๆอยู่ ก็ได้รับคำสั่งห้ามกระทำบางอย่างกับบางคนในช่วงสงกรานต์นี้ และด้วยความงี่เง่าของผมเอง ก็เลยทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องขึ้นมา แต่ก็ดีเพราะ ยิ่งทำให้เรื่องของเรา เป็นเรื่องของเรามากขึ้น

หลังจากความเข้าใจต่อกันกลับคืนมา ผมมีความรู้สึกหลายๆอย่างเกิดขึ้น.........

----------------------------------------------------------

ก่อนหน้านี้ มีเจ้านายเก่าคนหนึ่ง พยายามชักชวนให้ผมกลับไปทำงานกับเขาอีกครั้งหนึ่ง ผมนั่งคิดทบทวนตัวเอง ผมพบว่า ผมเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่ผมเลือกเอง อะไรก็ตามที่ผมเลือกเอง ผมยินดีที่จะรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น และแน่นอน ทุกครั้งในการเลือกของผม ผมพิถีพิถันและมีหลักเกณฑ์ในการเลือกเสมอ

จริงๆแล้วผมเป็นคนใช้ชีวิตง่ายๆ ชิลๆ ไม่เรื่องมาก อะไรหยวนได้ก็หยวน ผมมองว่าผมสามารถปรับใจผม ให้เอาตัวรอดได้ดี ก็เลยเสียนิสัยกลายเป็นคนยืดหยุ่นสูงมากจนหมิ่นเหม่กับการประนีประนอม (แล้วมันดีไหมล่ะน่ะ T_T)

ที่ผ่านมา ผมไม่เห็นด้วยในหลายๆสิ่งกับการกระทำของคนๆหนึ่ง ซึ่งจริงๆผมเคยเชื่อใจเขา แต่วันเวลาที่ผ่านไป ได้รู้จักกันมากขึ้น ยิ่งเหมือนไม่รู้จักเขามากขึ้น สิ่งที่เขาพยายามอยากให้ผมเชื่อ ขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเห็น ความไว้วางใจซึ่งจริงๆควรจะมีต่อเขามากขึ้น มันกลับลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ แต่ผมก็คิดเสมอว่า เราสามารถอยู่ด้วยกันได้

จนวันนี้ ชีวิตปกติสุขของผมดูเหมือนกำลังถูกทำลายลงด้วยมือของผู้ปกครองที่ขาดความเข้าใจ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า เป็นผู้บีบบังคับที่โหดร้าย (สภษ.28:16) ดูเหมือนคนที่ผมรัก กำลังเผชิญกับการบีบบังคับบางอย่างอยู่ ถ้าทำอะไรผม ผมไม่ว่า ผมไม่รู้สึก แต่ทำกับคนที่ผมรัก ผมไม่ยอมแน่

นานแล้วที่ผมไม่มีความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับนักรบที่ร้างสนามรบมานานกำลังใส่เกราะ เพื่อออกไปทำสงครามปกป้องคนที่เขารัก เขาไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า จะตายไหม แต่ที่แน่ๆเพื่อคนที่เขารัก เขายอมสละชีวิตตัวเองปกป้อง

คงเหมือนที่ใครบางคนกล่าวไว้ว่า ความเข้มแข็งที่แท้จริงจะเกิดขึ้น เมื่อเรารักและมีใครสักคนให้ปกป้อง

พวกเราอยากอยู่อย่างสงบๆ สร้างครอบครัวด้วยความรัก ส่งผ่านความรักของพระเจ้าไปถึงคนรอบข้าง รับใช้พระเจ้าตามของประทาน กำลัง และความสามารถที่เรามี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่พระเจ้าทรงปรารถนา ขอให้เราถวายเกียรติพระเจ้าในแบบที่พระเจ้าทรงสร้างเรามาได้ไหม

วันนี้ ผมได้เรียนรู้ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะนั่งมองอยู่เฉยๆอย่างน่าสมเพช รอคอยความหวังลมๆแล้งๆว่าทุกอย่างจะดีขึ้น

ในทุกๆเรื่อง ต้องมีการเริ่มต้น จงลุกขึ้น ยืนหยัดเพื่อคนที่คุณรัก เพราะนั่น คือ ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของตัวคุณเอง

Apr 6, 2009

just a fiction...

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ม้าป่าตัวนี้ถูกล่ามไว้ด้วยเชือกสีทองเล็กๆที่เท้าของมัน...

อัศวินและผู้กล้าหลายคนต่างต้องใจในคุณลักษณะของมัน พยายามจะขึ้นขี่เพื่อครอบครอง ต่างก็เชื่อว่าเชือกเล็กๆนั้นไม่อาจทนทานแรงของมันได้ แต่ก็ดูเหมือนไม่มีใครจะทำให้มันขยับตัวได้

ผู้เฒ่าคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ม้าตัวนี้เดินตามพระราชาออกมาจากป่า แต่หลังจากที่พระราชาเสด็จกลับเมืองหลวง มันก็ไม่ยอมให้ใครขึ้นขี่หลัง มันพยศและไม่ยอมใคร ซ้ำยังอาละวาดทำความเสียหาย ไม่มีใครเอามันอยู่ จนเช้าวันหนึ่ง มันก็ยืนสงบนิ่งไม่ไหวติง โดยที่เท้าของมันถูกล่ามไว้ด้วยเชือกสีทองเล็กๆเส้นนั้น

บางคนบอกว่าเพราะมันเป็นม้ายโสจึงถูกสาป ผ่านไปนานหลายปี คำลือเรื่องผู้ปลดปล่อยจึงกลายเ็ป็นตำนานว่าม้าตัวนี้ยืนรอคำสั่งจากนายตัวจริงของมัน ผู้ที่จะสามารถปลดปล่อยมันจากพันธนาการได้

ในยามสงครามเช่นนี้ ขุนศึกทุกคนต่างรู้ดีว่า การมีดาบและม้าที่ีดี จะช่วยได้มากยามต้องเผชิญหน้ากับกองทัพศัตรูเพียงลำพังในสมรภูมิ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถทำให้มันขยับตัวได้เสียที

วันหนึ่งมีขบวนสินค้าของพ่อค้าผ้าผ่านทางมา ด้วยความไร้เดียงสาอย่างเด็กของลูกสาวพ่อค้าผ้า จึงเดินเข้ามาเล่นกับม้าตัวนี้ "ฮี้....แฮ่" มันร้องเสียงดัง ขาหน้าตะกุยอากาศ เห็นได้ชัดว่า สิ่งเดียวที่รั้งมันไว้ได้คือเชือกที่ล่ามอยู่ ไม่เพียงเด็กสาวจะตกใจร้องไห้ แต่นำความประหลาดใจมาสู่ชาวเมืองด้วย นานแล้วที่ม้าตัวนี้ไม่ตอบสนองกับใคร

เด็กสาวหมั่นแวะเวียนมาเล่นกับม้าตัวนี้ หาอาหารมาให้กินบ้าง มีคนเตือนเธอถึงสิ่งที่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับความร้ายกาจของม้าตัวนี้ เธอเพียงขอบคุณเขา ยิ้มร่าอย่างมีความสุข และเดินไปเล่นกับม้าของเธอเหมือนเคย

ผู้เฒ่าคนเดิมบอกให้เธอเรียกชื่อของม้าตัวนี้ หากเธอรู้จักชื่อของมัน เธอจะนำจิตใจของมันกลับมาจากความมืดได้ มิเช่นนั้นมันจะกลายเป็นม้าของ the death ในที่สุด หากเธอเรียกชื่อของมันถูก แสงสว่างจะกลับสู่จิตใจของมัน มันจะได้รับกำลังและฤทธิ์เดชของมันกลับคืนมา

"แต่หนูไม่รู้จักชื่อของมันนี่คะ คุณตา" "ไม่มีใครรู้หรอกแม่หนู เธอต้องใช้จิตใจของเธอค้นหามันเอง..."
"ตาเฝ้าดูผู้คนมานาน เห็นมีแต่หนูนี่แหล่ะที่มีพลังของแสงในชีวิตมากพอจะช่วยมันได้" "หนูจำคำพยากรณ์เรื่องปีกแห่งม้าสีขาวได้ไหม" "จุดสิ้นสุดแห่งสงครามน่ะเหรอคะคุณตา หรือว่าคุณตา หมายถึง..."

ผู้เฒ่าได้แต่ยิ้มให้เด็กสาว แล้วหันไปมองม้าสีดำตัวนั้น...

คืนนี้ดวงจันทร์เต็มดวง เด็กสาวยืนอยู่ข้างๆม้าสีดำตัวนั้น ในมือของเธอถือเชือกสีทองที่ล่ามเท้ามันไว้อยู่ เธอนึกถึงคำของผู้เฒ่า
"หากตั้งใจจะหาชื่อของม้าตัวนี้ สิ่งแรกคือ ต้องแก้พันธนาการเสียก่อน แต่จงคิดให้ดี เพราะเชือกเส้นนี้ ราชาเป็นคนผูกไว้ หากแก้แล้วจะไม่สามารถมัดคืนได้อีก"

"ego eimi" เธอตัดสินใจแล้ว เงื่อนไขของการปลดปล่อย คือ การกล่าวถ้อยคำนี้ ในคืนจันทร์เต็มดวง แสงสีทองของเชือกเปล่งประกายเจิดจ้าคลุมร่างของม้าตัวนั้นเอาไว้ สายตาของเธอพร่าไปเพราะแสงนั้น เธอหลับตาลง

เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มีบางอย่างเกิดขึ้นกับมัน ที่หน้าผาก และขาของมันกลายเป็นสีขาว ที่สำคัญ ดูเหมือนเธอจะเห็นกองทหารที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนยืนล้อมอยู่
"กองทัพแห่งแดนผู้ตาย" เธอหันขวับไปหาเสียงนั้น ม้าตัวนั้นพูดกับเธอได้
"you are free, my dark Lord." "we waiting you for along time" เสียงดังอึกทึกมาจากกองทหารที่อยู่รอบๆตัวเธอ
เด็กสาวประหลาดใจและสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นที่สุด มันเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน ในสิ่งที่เธอเคยได้ยินมา แต่ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรับรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเธอเอง

ม้าตัวนั้น ย่อตัวลงมาให้เธอ "ขึ้นมา หรือเธอจะตายเพราะพวกนี้อยู่ที่นี่" "ไม่ต้องห่วง ชั้นแค่จะพาเธอออกไปให้พ้นจากเจ้าพวกกระหายเลือดพวกนี้เท่านั้น"...

"หลีกไป" คำพูดสั้นๆ เรียบๆ แต่ทรงพลังนั้น ทำให้เหล่ากองทหารต้องเปิดทางหลบเป็นช่อง บางตัวพยายามจะเอามือเหนอะๆมาจับขาของเด็กสาว แต่ก็ต้องกระเด็นปลิวไปเพราะหางของม้าที่สะบัดมาไวกว่า

ระหว่างทาง ม้าตัวนั้น ได้ซักถามและเล่าเรื่องต่างๆให้เธอฟัง เธอพอจะจับใจความได้ว่า แท้ที่จริง ผู้เฒ่าคนนั้น ก็คือพระราชาที่กำหราบม้าป่าตัวนี้จนอยู่หมัด ม้าหนุ่มเล่าเรื่องต่างไปเรื่อยๆ มันคงไม่ได้สังเกตุเห็นว่าสีขนของตัวมันเองค่อยๆเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กสาวฟังจนเธอเคลิ้มเผลอหลับไปบนหลังของมัน
.
.
.
หากใครสักคน เข้าไปในฝันของสาวน้อยคนนี้ได้ คงได้เห็นภาพฝันตามคำพยากรณ์ เธอที่เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวกำลังขี่ม้าหนุ่มสีขาวบริสุทธิ์ที่มีปีกใหญ่ โบยบินอยู่เหนือนครที่บัดนี้เต็มไปด้วยความสงบสุขนิรันดร์

Apr 1, 2009

April Care Day

วันที่ 1 เมษายน สำหรับคนทางโลกตะวันตก คงเป็นเทศกาลของการพูดเรื่องไม่จริงต่อกัน โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งห้ามโกรธ วันนี้ผมเล่นกับน้องคนหนึ่งเหมือนกัน

แม้เขาจะย้ำกับผมถึงสองครั้งว่าอย่าล้อเล่น แต่ผมก็ยัง ฝืน เล่นต่อไป เมื่อเฉลย หลายๆอย่างจึงเกิดขึ้น...
---------

เย็นวันนี้ ผมนัดกับน้องๆในทีมจะไปเยี่ยมน้องบางคนในกลุ่ม ที่ขาดการติดต่อกับคนในกลุ่มไปนานเกือบเดือน หลังจากที่อธิษฐานเผื่อและพยายามติดต่อเขามาตลอด ขอบคุณพระเจ้า วันนี้เขามาเข้ากลุ่มกับเรา แต่...
เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำทุกอย่างเป็นปกติ...ปกติมาก

หลังเสร็จกิจกรรมจากกลุ่ม เราได้คุยกัน "ไม่มีอะไรครับพี่ ผมแค่ติดงาน" ไอ้....
---------

เมื่อวาน พี่คนหนึ่งที่เคยทำงานด้วย โทรมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบด้วยความเป็นห่วง เขาเองก็ลำบากไม่น้อย เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า แต่พี่เขาก็รับปากจะช่วยมองๆงานให้ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะทำได้ เขาจะส่งงานมาให้ทำ

เมื่อวานไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโทรมาหาผม ช่วงเวลาสั้นๆ นับตั้งแต่ที่ไม่ได้ทำงานด้วยกับพี่เขา แต่เขาก็ยังมีมิตรจิตมิตรใจ โทรมาไต่ถาม หวนคิดถึงใครบางคนที่เคยดำรงสถานะนายเก่า และยังคงมีหน้าที่ควรจะใส่ใจดูแลทุกข์สุขแม้ในเวลาปัจจุบัน...
ผมอดคิดถึงคำเตือนของใครหลายคนไม่ได้ว่าให้ระวัง หากวันหนึ่งที่ผมไม่มีประโยชน์กับเขา...
---------

เมื่อวานนี้ผม ได้เรียนรู้เรื่องหนึ่งในความคิดของตัวเองว่า เพราะการที่เราให้ความสำคัญกับเรื่องคำพูดมาก ทั้งต่อตนเองและคนอื่น ทำให้เราคาดหวังว่าคนอื่นเขาจะเข้าใจในความตั้งใจของเราด้วย แต่แท้จริงแล้ว คนเราเขาดูกันที่การกระทำ

คำพูด จะพูดอย่างไรก็ได้ จะพูดว่ารักสักกี่พันล้านครั้ง แต่ไม่เคยเห็นการกระทำจากความรักสักครั้ง ก็เปล่าประโยชน์

เมื่อกลางวันวันนี้ ผมได้เรียนรู้ว่า ผมไม่ควรล้อเล่นกับความรู้สึกของตัวเอง ผมโตแล้ว การทำสิ่งใดเพียงเพราะความสนุกโดยเฉพาะกับคนที่รักเรา แคร์เรา ห่วงใยเรา มีแต่จะสร้างบาดแผลและรอยร้าวให้แก่กับทั้งสองฝ่าย..
ผม... ผมขอโทษนะ ที่ผมคิดถึงความรู้สึกของคุณน้อยเกินไป

เย็นนี้ สิ่งที่ผมทำเมื่อตอนกลางวันกับคนหนึ่ง เหมือนย้อนกลับเข้ามาสู่ตัวของผมเอง ความรู้สึกที่ผมบอกน้องคนนั้นไปว่า น่าเอาปืนยิงทิ้งจริงๆ ผมรู้สึก เหมือนถูกล้อเล่นกับความรักและความห่วงใย ความปรารถนาดีที่เรามีให้ต่อเขา... มันไม่มีค่าอะไรเลยหรือ ช่วยรู้สึกตัวหน่อยได้ไหม ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
---------

สิ่งที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกของคนคนหนึ่งที่เขาบอกว่าแคร์ผม มากไปกว่านั้น ผมเห็นจากสิ่งที่เขาทำด้วย มันทำให้ผมรู้สึกละอายใจยิ่งนัก ผมทำลงไปได้อย่างไร นี่หรือคือการกระทำของความรักและความห่วงใยที่ผมพูดว่าผมมีต่อเขา...

ทำไมนะ ผมถึงต้องไปยึดติดกับการที่จะต้องได้ยินคำพูดเพียงไม่กี่คำ จนละเลยการกระทำที่เห็นกันมาตลอด คิดแล้วควายจริงๆเลยเรา

ผมเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมเพิ่งจะได้เรียนรู้จากมัน ผมได้แต่หวังว่า ผมจะไม่สำนึกตัวกลับใจใหม่ช้าเกินไปนัก
ผมหวังว่า ผมจะยังมีโอกาสที่จะคิดและใส่ใจความรู้สึกของคนที่เขาแคร์ผมอยู่

ขอให้ผมได้รักและห่วงใยคุณด้วยทั้งหมดที่ผมมีเถอะนะ ผมจะไม่ขอให้คุณเชื่อสิ่งที่ผมพูดอีกแล้ว แต่ขอให้ผมได้พิสูจน์ตัวในสิ่งที่ผมพูดจากสิ่งที่ผมได้ทำแล้ว กำลังทำอยู่ และจะทำต่อไป

ขอบคุณที่เป็นเหตุผลให้ผมอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นให้สมกับที่พระเจ้าเรียกให้ผมเป็น

ผมรู้ว่า ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงรักผมเหมือนเดิม แต่มนุษย์เราไม่ใช่พระเจ้า ขอบคุณที่ยังรัก ให้อภัย และไม่ทิ้งกันไปไหน
แม้จะยังไม่ชัดเจนนัก แต่คุณก็ได้สร้างอะไรบางอย่างไว้ในใจของผมแล้วล่ะ

อย่างน้อย นับจากนี้ไป สำหรับผม ไม่มีอีกแล้ว กับเทศกาลการพูดโกหก จะมีก็แต่เพียง เทศกาลการห่วงใยใส่ใจกัน

และหากคุณจะยินดี ผมขออนุญาตทำให้ทุกวันของคุณ เป็นวัน April Care Day ของผมนะครับ.