Dec 28, 2008

101

ปีหน้า ผมจะได้เริ่มทำงานจริงจังกับบริษัท ชื่อ one Hundred one ในภาวะเศรษฐกิจขาลง คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เด็กโข่งเรียนไม่ยอมจบอย่างผมจะได้งานทำ

หลังจากที่ออกจาก Gsus7 เร็วกว่าที่คิดไว้หนึ่งเดือน ก็เคว้งๆอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นมีทางเดินมากมายจริงๆ ที่บ้านก็กดดันทั้งเรื่องการเรียน และงานราชการ ตอนนั้นขอพระเจ้าให้ช่วยหาทางออกให้ด้วย ก็เชื่อว่าพระเจ้าจะตอบในเวลาของพระองค์
ช่วงนั้น นุโทรมาคุยบ่อยมาก เหมือนรู้ว่าผมต้องการการหนุนใจ เขาหนุนใจทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน ชีวิตส่วนตัว และการมีครอบครัว “เมื่อไหร่จะมีแฟนซะที” เอ่อ... จะตอบยังงัยล่ะ ของอย่างนี้ มันพูดเอง เออเองได้ซะทีไหน แต่สิ่งหนึ่งที่นุพูดมา ก็คือ ไม่ต้องห่วง งานจะมาตามสายสัมพันธ์ในโบสถ์

อีกไม่นาน เมื่อตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ ด้วยเงินเพียงหยิบมือ และความเชื่อว่าเราจะมีงานทำ ตอนแรกไปสมัครเป็นเสมียนรับจ้างพิมพ์ดีด กรอกใบสมัครเสร็จ ฝ่ายบุคคลอ่านแล้ว ถามว่าน้องสนใจมาทำฝ่ายบุคคลไหม พรุ่งนี้มาคุยกับเจ้านายเลยนะ เอ่อ...ใจเย็นครับ จริงๆตอนนั้นก็รู้สึกว่า งานที่นั่นยังไม่ใช่ แต่ก็ทำส่วนของเราเต็มที่ในการหางาน ผมมองว่าหากทำงานที่นั่นเรื่องอื่นๆในชีวิตดูยังไม่เข้ากันสนิทซักเท่าไหร่ ก็ขอพระเจ้าโปรดรีบสำแดงโดยด่วน ทันทีทันใดทันใจ คืนนั้น พี่โจ้ ก็ทักมาในเอ็ม ไอ้เราก็นึกว่าอะไร เห็นถามเรื่องเรียน ไปๆมาๆ ถึงรู้ว่าพี่โจ้ปรึกษาพี่ศรันย์ เรื่องหาคนไปทำงานกับบริษัทที่เขาทำอยู่ แต่เขาไม่แน่ใจว่าผมอยากจะทำงานไหมหรือจะอยากเรียนอย่างเดียว และเกรงว่าคนจะไม่เข้าใจ คิดว่า พี่โจ้ไปดึงตัวผมมาจากบริษัท

ใจจริงก็อยากจะเรียนอย่างเดียว แต่ก็รู้ว่าชีวิตทำอะไรได้มากกว่านั้น อีกทั้ง เรื่องการฝึกอบรมเป็นสายธุรกิจที่ผมสนใจอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องเวลา และเงื่อนไขอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้คุยกับเจ้าของบริษัทและภรรยา ผมประทับใจในชีวิตและนิสัยเขามากทีเดียว (มาทราบภายหลังว่า ขิงก็รู้จักพี่สองคนนี้ แหม โลกนี้กลมดีแท้)
เมื่อได้คุยกันในรายละเอียด ซึ่งคงพูดละเอียดไม่ได้ แต่ธุรกิจนี้ ตั้งขึ้นมาบนจุดแข็งที่มี และเพื่อรองรับงานพันธกิจต่างประเทศ เราไม่ได้หวังกำไรเป็นกอบเป็นกำจากธุรกิจนี้ แต่ธุรกิจต้องอยู่รอดและมีกำไร ที่สำคัญคือ ทำให้คนไทยสามารถไปพันธกิจต่างประเทศ ได้อย่างดี มีงานทำ ดูแลตัวเองได้ ผมชอบแนวคิดจริงๆ
ขิงบอกว่า ถ้าผมได้แต่งงานกับคนที่ผมมองอยู่ตอนนี้ สามารถดูพี่ฮิม-พี่บี เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้อีกคู่หนึ่งเลยทีเดียว อืม... เห็นนิสัยเจ้บีแล้ว ก็พอจะเป็นไปได้ละมั้ง
เมื่อวันศุกร์พี่ฮิม พาไปดูโรงงาน แล้วก็เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังว่าพระเจ้าอวยพรอย่างไร ใช้เวลาเพียง 5 ปี เท่านั้น น่าประหลาดใจว่า ผมเคยได้ยินเรื่อง ผลิตภัณฑ์เสื้อกันยุง ตั้งแต่สมัยเคยทำงานกับท่านผอ. สถาบันนวัตรกรรมแห่งชาติ บอกแล้ว โลกนี้กลมจริงๆนะครับ

101 สำหรับผมเหมือน สิ่งที่พระเจ้ามาพูดด้วยใน 3 นัย

1. เรื่องพื้นฐานสำคัญ ทุกวิชาเรียน วิชาแรก คือ 101 ไม่ว่าเราจะเก่งเพียงใด ต้องทำอะไรมากขนาดไหน อย่าลืมว่า เรื่องพื้นฐาน คือ เรื่องสำคัญ แล้วอะไรคือเรื่องพื้นฐาน “จงรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด” และ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” เรื่องพื้นฐานที่สุด ที่จะทำให้เรา “ยอม” ทำทุกสิ่งเพื่อพระเจ้า ทั้งสิ่งที่เราไม่อยากทำ และสิ่งที่เราอยากทำ โดยไม่ต้องมานั่งใช้เหตุผลไร้สาระ เข่น ถ้าไม่ทำแล้วจะไม่ดีที่สุด (อย่าเอาปัญญาง่อยๆมาสรุปความล้ำลึกของพระเจ้าได้ไหม พระเจ้าสอนให้เราอยู่ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่อยู่ด้วยความกลัว เข้าใจไหม—แล้วพวกนั้น เขาจะได้เข้ามาอ่านไหมเนี่ย) เชื่อเถอะ คนที่อิ่มเอมในรักของพระเจ้า จะรักพระเจ้าแน่ จะรักตัวเองเป็น ดูแลตัวเองเป็น และจะรักคนอื่นเป็น ดูแลคนอื่นเป็น “รักพระเจ้าเยอะๆนะ” คือเรื่องพื้นฐานของชีวิตมนุษย์

2. ทำเกินร้อย มั่นใจได้เลยว่าปีหน้าสุดๆแน่ในทุกมิติของชีวิต ดูจากเรื่องต่างๆที่พาชีวิตตัวเองไปเกี่ยวข้อง ที่ต้องเรียนรู้ใหม่ ที่ต้องฝึกฝนเพิ่ม ที่ต้องคิด ต้องทำ ต้องดำเนินงานให้มันเกิด กับสภาพแวดล้อมที่ต้องเผชิญ ทั้งในชุมชนรอบข้างใกล้ตัวและในเวทีโลก ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนหนึ่งคนเดียว โดยเฉพาะคนอย่างผม ต้องใช้ฤทธิ์เดชพระเจ้ากันสุดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น จะทำได้ขนาดไหน แต่ผมจะมุ่ง จะมั่น จะอด จะทน จะรับผิด จะรับชอบ จะใช้ทั้งหัวและใจใส่ลงไป จะมีชีวิต จะไม่ให้ใครมาหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่น จะเป็นคนจริงของพระเจ้า ช่วยผมด้วยนะครับ พระองค์

3. การอวยพรเกินธรรมชาติ ปกติเรื่องก็จบที่ร้อยเต็ม แต่อีกหนึ่งที่เพิ่มมานี่แหล่ะ คือ สิ่งที่พิเศษ สิ่งต่างๆที่เราทำให้ลูกค้านั้น ใครๆก็ทำได้อย่างมากก็ได้ร้อยเท่ากัน แต่ความพิเศษที่เราเพิ่มให้อีกหนึ่ง นี่แหล่ะ จะเป็นสิ่งที่พิชิตใจลูกค้า ผมก็อธิบายไม่ถูก แต่มันคือความดีเลิศ ที่ลูกค้ามิอาจวัดได้จากสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา ความพิเศษนี้ ถูกถ่ายทอดทางหัวใจ ทางสายตา น้ำเสียง อาการ คำพูด และจิตวิญญาณ นั่นคือ สิ่งที่เราทำอย่างสมกับเป็นลูกของพระเจ้า ทำทุกอย่างเหมือนทำถวายแด่พระเจ้า แล้วพระเจ้าจะทรงให้เกียรติผู้ที่ให้เกียรติพระองค์ แล้วจะรู้ว่า เวลาพระเจ้าให้อะไรเราแบบสุดๆหมดหน้าตัก เป็นความปรีเปรมดิ์ที่เราได้รับในฐานะลูก ผู้ที่พ่อบรรจงให้แบบไม่มีการสงวนสิ่งดีใดใดเหลือไว้อีกเลย

สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าสัมผัสใจ คือ “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นจะถูกสร้างเป็นคนใหม่ สิ่งสารพัดเก่าๆจะสลายไป กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น” “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์”

พระเจ้าครับ ขอให้ปี 2009 จะเป็นปีที่ผมจะได้เรียนรู้จักการ “อยู่ใน” พระคริสต์ มากขึ้นนะครับ ขอบคุณพระเจ้านะครับ สำหรับสิ่งใหม่ๆที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นอีก

ป.ล. เรื่องนี้ เพื่อเฉลิมฉลองเรื่องที่ 101 ของบล้อก ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเขียนมาได้ครบร้อยเรื่องแล้ว ขอบคุณมิตรรักแฟนบล้อกนะครับ ที่สู้อุตส่าห์ถ่างลูกกะตาอ่านความคิด ความรู้สึกของผม ผมไม่ชอบทำอะไรให้ใครเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ (โดยไม่จำเป็น) เพราะฉะนั้น ที่นี่ก็จะเป็นที่ที่ผมเป็นตัวเองได้เต็มที่ ถ้าท่านแวะเข้ามาอ่าน ก็ไม่ต้องแปลกใจในสิ่งที่ผมเป็นนะครับ ขอบคุณมากครับที่ใส่ใจชีวิตของผม เม้นท์ไว้บ้างนะครับ ผมจะได้รู้จักคนอ่านมากขึ้นด้วยเช่นกัน ขอบคุณ “บะหมี่เย็น” นะครับ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดบล้อกนี้ขึ้นมา ผมชอบวิธีที่คุณยิ้มจริงๆ ผมอยากเห็นคุณยิ้มอย่างนั้นอีก อยากเห็นคนทั้งโลกยิ้มอย่างนั้น ถ้าผมทำได้ โลกนี้คงไม่ต่างจากสวรรค์บนดินแน่ๆ

สุดท้าย ขอบคุณพระเจ้านะครับ นับตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ พระองค์ยังเป็นเพื่อนผมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ขอบคุณจริงๆที่ไม่เคยทิ้งกันไปไหน ไม่ว่าผมจะเลวอย่างไร ขอบคุณที่ทรงเอ็นดูผมเสมอ ผมรู้สึกตัวเองเป็นลูกคนโปรดจริงๆนะ ขอบคุณทุกคำตอบสำหรับทุกคำถามจากคนช่างสงสัยอย่างผม ขอบคุณทุกการยืนยันสำหรับคนความเชื่อยังไม่มากอย่างผม ขอบคุณสำหรับทุกความจริงสำหรับคนรักเสรีภาพอย่างผม ขอบคุณสำหรับทุกความเข้าใจที่ทำให้ผมเติบโตขึ้น และขอบคุณ... ที่ทรงรักผม อย่างที่ผมเป็น โดยไม่มีเงื่อนไขข้อแม้ใด ขอบคุณมากครับ ผมรักพระเจ้านะครับ

Dec 26, 2008

... (ไม่มีชื่อเรื่อง)

เมื่อวานซืน...
'tist แตกมาก เดินๆอยู่ เห็นฟ้าสวยๆ ลมเย็นๆ ฮัมเพลงเบาๆ "ลมที่โชยพัดต้นหญ้าใบไม้ปลิว แดดที่อ่อนใส หอมกลิ่นของวันใหม่..." นึกถึงใครบางคน น้ำตาคลอซะงั้น... นึกถึงใครอีกคน คนที่เคยบอกว่า อาการนี้ส่อว่าเรากำลัง in love with คนนั้น
ตกค่ำ ไม่มีแรลลี่ ไม่มีร้องเพลง (แล้วเมื่อวาน ตรูทำไปเพื่ออะไรฟระ แบกหนังสือเพลงไปทำไม วุ่นวายด้วยความหวังดีเกินไปหรือเปล่า เรื่องเชียงใหม่ก็ทีนึงละ) ที่สำคัญ ก็ยังเป็นอีกปีหนึ่ง ที่ไม่ได้ถ่ายรูปตามเคย บอกไปใครจะเชื่อว่าผมไม่เคยมาเดินเที่ยวดูไฟถ่ายรูป (จริงๆ เคยมาครั้งนึง ตอนนั้นเรียนถ่ายรูปอยู่ ผมส่งเรื่องจากภาพก่อนจบด้วยหัวข้อ "Bangkok's night life" ได้ B+ มั้งถ้าจำไม่ผิด)
แต่ก็ยังดี สุดท้ายของวัน ก็ยังแอบได้รับกำลังใจอยู่บ้าง น้ำหยดนิดหนึ่งน้อยลงผืนทราย ย่อมค่าล้ำอนันต์... (เว่อร์จริง!!)

เมื่อวาน...
คริสต์มาสที่เงียบเหงา เดิมๆไม่เคยเปลี่ยน ยิ่งตอนเย็นมีชั้นสร้างทีมงาน ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดกว่าคนอื่นเข้าไปใหญ่ ผมไม่อยากเลือกนาย แต่นายที่ดีย่อมทำให้ผมผงาดได้เต็มศักยภาพ เคยอ่านสามก๊กไหม เข้าใจคำว่า มังกรหลับ หรือเปล่า
ที่สำคัญ ผมรู้ตัว ว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมเข้าใจตัวเองว่าผมเป็นคนอย่างไร ผมยึดถือความจริงและความถูกต้องมากกว่าความสัมพันธ์ผูกพันกับคน คนเดียวที่ผมจะไม่ทิ้งเลย คือ ภรรยาของผม คนเดียวในโลกที่จะมีผลทำให้ผมเปลี่ยนจุดยืนได้เพราะเห็นแก่เธอ แม้เธอต้องตาย เธอก็จะตายในอ้อมกอดของผม ผมเองก็มีนิมิตที่ตั้งใจ อยากจะทำให้เสร็จในช่วงชีวิตของผม แต่หากไม่เสร็จก็ขอบคุณพระเจ้า ผมไม่เคยกลัวงานไม่เสร็จ งานของพระเจ้า พระองค์ดูแลอยู่ ผม(พวกเรา)เป็นอุปกรณ์ของพระเจ้า ทุกอย่างมีวาระอยู่ ผมเชื่ออย่างนี้ คนเราต้องเคารพความคิดของกันและกัน ใช่ไหม

วันนี้...
ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ให้รู้สึกว่าถูกแกล้งด้วยความผิดพลาดคลาดเคลื่อนเล็กๆน้อยๆ แต่ชวนให้หงุดหงิดใจไม่น้อยเลย ตอนยืนรอรถกลับบ้าน ฝนตกพรำๆปะทะใบหน้าพร้อมลมหนาวๆ เออ มันเหงาจริงๆ เรานี่ไม่เหลือเพื่อนคนที่เราจะคุยกับเขาได้ทุกเรื่องจริงๆซะแล้ว เราไม่เห็นมีคนที่จะรู้จักเข้าใจเราจริงๆเลย ผมเคยคิดว่า เมื่อเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆคงดี เราจะเข้าใจคน เข้าใจเรื่องต่างๆดีขึ้น อนิจจา ยิ่งโตขึ้น ยิ่งเห็นตัวตนคนอื่น ยิ่งเข้าใจเขา เขายิ่งไม่เข้าใจเรา ยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง ชีวิตในความรักและความจริงของพระเจ้า คงต้องโตกว่านี้ หรือถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเติบโตแล้วดีไหม ขอแค่เป็นคนธรรมดา มีคนรักใคร่ มีความจริงใจให้คนอื่น เท่านี้คงพอ... ความคิดสุดท้าย คือ ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปทำไม ชีวิตที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว มันทรมาน

ถ้าบอกว่า ไม่เคยมีแฟน จะเชื่อไหม เป็นแฟนกันนี่ เขาเป็นกันอย่างไรเหรอ ไม่รู้สิ ไม่เคยมี จะว่าไปก็รู้ตัวว่า สำหรับผม การมีชีวิตอยู่ลำพังคนเดียวนั้น ผมก็คงไปได้ไม่ไกลเกินนี้เท่าไหร่หรอก ผมรู้จักตัวเองดี แต่ก็จะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไหวละนะ

ตอนนั่งรถกลับบ้านเปิดวิทยุฟัง เพลงที่เปิด ประกอบกับ MV จากชีวิตจริงของคนรอบข้าง ช่างสร้างอารมณ์เหงา ได้ลึกซึ้งดีแท้
สุ่มเพลงนมัสการมาฟัง... โดนซะ แล้วก็กลับใจ ยังงัยก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป จนกว่าพระเจ้าจะกรุณา ในทางใดทางหนึ่ง

สุดท้ายมานั่งอ่านแผนชีวิตของน้องคนนึง นั่นสินะ เราลืมความฝันของเราไปได้อย่างไรกัน ขอบคุณนะ ที่ช่วยเตือนใจ แล้วที่เขียนๆไว้ล่ะ if not you, WHO. if not now, WHEN.

จริงๆจะเรียกว่า อยู่คนเดียวมาได้ตั้งเกือบสามสิบปีแล้ว ก็คงจะได้ ทนอีกหน่อยเดียว ก็คงจะผ่านไปอีกสามสิบปี ยังงัยซะ เวลาก็ไม่เคยหยุดเดินอยู่แล้ว ไม่รอละคู่อุปถัมภ์ จะมาเมื่อไหร่ก็มานะ อย่างมากก็แค่ล้มเหลว ให้รู้กันไปว่าทำไม่ได้ แต่อย่างน้อย ก็ได้ลงมือทำ วันสุดท้ายก็คงจะกล้าสู้หน้าพระเจ้าว่า ผมใช้ทั้งหมดที่ผมเป็น ที่ผมมี ผมทำเต็มที่ ดีที่สุดแล้ว

Lord, i'm doing all i can... to be a better man. หนึ่งในเพลงที่แว่วมาจากวิทยุ

... พระเจ้าครับ ขอพระองค์ทรงอวยพระพรแก่ข้าพระองค์ และขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และขอพระหัตถ์ของพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ และขอพระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์จากเหตุร้าย เพื่อมิให้ข้าพระองค์เจ็บใจปวดกาย... ขอพระเจ้าทรงตอบผมดั่งที่พระองค์เคยตอบยาเบสด้วยนะครับ เอเมน

Dec 24, 2008

คริสต์มาส เทศกาลแห่งความสุข

พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า เพราะว่าการให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ (กจ.20:35)
ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมพระเจ้าถึงน่าจะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลกนี้ เพราะพระองค์มิเคยหวงสิ่งดีใดไว้เลย แม้แต่ชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ก็ทรงประทานให้ได้

ผมเคยเป็นคนที่ รับ ไม่เป็น ขณะเดียวกัน ก็เรียกร้องอยากจะได้อยู่ตลอด ชีวิตไม่เคยพอ ฟังดูตลกไหม
วันหนึ่ง ผมก็ได้รับสิ่งที่ผมไม่เคยคิดอยากจะได้ ด้วยวิธีการ ที่ประหลาดนักหนา แต่คงจะเหมาะกับผมดี

ของขวัญถูกวางไว้ให้ แล้วบอกว่า นี่ของผมนะ แล้วท่านก็เดินจากไป...

นาน...กว่าผมจะยอมเดินเข้าไปเอาของขวัญชิ้นนั้นมาเป็นของผมเอง อีกนาน กว่าผมจะเข้าใจว่าของขวัญจริงๆนั้น ถูกห่อไว้ข้างใน ผมเป็นคนเดียวในโลกนี้ ที่จะแกะออกดูได้

ผมชอบไปดูกล่องของขวัญของคนอื่น ชอบอยากได้อย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง แต่กล่องของตัวเองกลับไม่เคยดูให้ดี นั่นคือเมื่อก่อน

ผมค่อยๆเรียนรู้ว่า สิ่งที่เราทำไม่ได้บอกว่าเราเป็นใคร แต่สิ่งสำคัญคือเราเป็นใคร นั่นจะทำให้เรา ทำ ในสิ่งที่เหมาะที่ใช่ เราไม่สามารถ ฝืน ทำในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นได้ตลอดไป หากวิถีชีวิตของเราไม่เสียไปก่อน เราก็จะกลายเป็นคนที่หลอกใครก็ได้ เพราะแม้แต่ตัวเองเรายังไม่ซื่อสัตย์เลย

หลังจากนั้น ผมก็เข้าใจในอีกบทเรียนสำคัญเรื่องหนึ่งว่า เราไม่สามารถอยากเป็นในสิ่งที่เราเป็นอยู่แล้วได้ และเราไม่สามารถอยากมีในสิ่งที่เรามีอยู่แล้วได้เช่นกัน

ช่องว่างทางความรู้สึกที่ถูกหลอกทั้งสองขั้ว จึงถูกถมให้เต็มด้วยความเข้าใจในความจริงของพระเจ้า

นับแต่นั้น
ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมขาดสิ่งดีใดๆอีกเลย ไม่เคยรู้สึกว่าเราขาดหรือทำอะไรไม่ได้ และไม่ใช่แค่ความรู้สึกนะ แต่ผมเห็นในฝ่ายกายภาพด้วย ผมเห็นพระเจ้าอวยพรเสมอ ผมรู้ว่า พระเจ้าสัญญาไว้กับผมแล้ว ผมมั่นใจอย่างนั้น (ล่าสุด พี่กอล์ฟ บอกว่า ผมหางานเก่ง ผมตอบพี่เขาว่า พระเจ้าอวยพรครับ)

ลองคิดดูนะ กับคนที่เรียนไม่จบปริญญาตรี แต่ได้มีโอกาสทำงานกระทบไหล่คนระดับ อธิบดี CFOบริษัทหลัก50ล้าน คนเก่งๆแบบนี้ที่ผมได้รับโอกาสทำงานด้วยมาตลอด ในภาวะที่ใครๆก็กลัวตกงาน จริงๆนะ ผมไม่เคยกลัวอดตายเลย ผมเชื่อจริงๆว่าพระเจ้าไม่เพียงดูแลลูกของพระองค์ แต่เพราะเราขยัน พระเจ้าจะอวยพรเราแน่

จากคนที่อยากได้แต่ไม่กล้าขอ จากคนที่เมื่อเขาให้ก็ไม่กล้ารับ วันนี้ ผมเรียนรู้ว่า เมื่ออยากได้สิ่งใด จงขอ, จงขอแล้วจะได้ และจงรับเมื่อเขาให้ เพราะเราไม่ได้รับในสิ่งที่มองเห็นได้ แต่เรารับในไมตรีจิตที่อีกฝ่ายนั้นให้แก่เรา สิ่งของกายภาพไม่กี่ปีก็จะเสื่อมสลายไป แต่ หัวใจ จะคงอยู่ไปตลอดจนกว่าเราจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว

ขอบคุณพระเจ้านะครับ ที่ไม่เพียงสอนให้ผมรู้จัก คำว่า "ให้" ผ่านการสอนให้ผมรู้จัก "รับ" ให้เป็น แต่พระเจ้าเปลี่ยนผมให้เป็นคนที่ให้คนอื่นเหมือนพระองค์ ขอบคุณมากครับ วันนี้ผมมีความสุขมากเลยครับ พระองค์

merry christmas ครับ

Dec 23, 2008

breakfast

วันนี้ นั่งคิดเล่นๆว่าอาหารเช้าสำคัญมาก
แต่ดูเหมือนว่าคนกรุงเทพกลับไม่ค่อยกินข้าวเช้ากันเท่าไหร่ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่คนไทย(ในกรุงเทพ) ถึงทำงานไม่ปราดเปรื่องเท่าชาติอื่น ทั้งที่เราฉลาดกว่าเขาเยอะ สุขภาพก็แย่

มองๆไปเห็นคนยืนขายแซนวิชหน้ารถไฟฟ้า จะดีไหม ถ้าตอนเราลงรถไฟฟ้านะ เราบอกว่าเราจะกินอะไร เราจะขึ้นสถานีไหน แล้วก็จ่ายตังค์ พอถึงสถานีปลายทาง ก็แวะรับอาหารเช้าตามที่เราสั่งไว้ อาหารร้อนๆ บริบูรณ์ด้วยคุณค่าโภชนาการ ไม่เสียเวลารอ

จริงๆมีรายละเอียดเยอะนะ แต่ผมขอพิมพ์แนวคิดไว้แค่นี้ เท่าที่ลองคำนวณคร่าวๆร้านนี้มีโอกาสทางธุรกิจใช้ได้เลย อ้อ ร้านนี้ผมขอตั้งชื่อร้านว่า BREAK fast foods เบรกฟ้าสต์ฟูดส์ หุหุ คิดกันเอาเองนะครับ ว่าผมหมายความว่าไร

ใครจะเอาไอเดียนี้ไปทำผมไม่หวงความคิดนี้นะ อยากเห็นคนไทยได้กินข้าวเช้ากันทุกคน แต่ช่วยให้เครดิตไว้หน่อยนะครับ ว่านี่ไอเดียผม ที่สำคัญ อย่าแย่งชื่อร้านของผมไปนะครับ ^^

ปล. ปิ้งแว้ปขึ้นมา ได้อีกร้านนึง ให้ชื่อว่า ดินเน้อร์ (อักษรต่ำ ไม้โท ออกเสียงตรี) DIN NER~ อยากลองเดาดูไม๊ครับว่า concept ร้านจะเป็นอย่างไร ไว้ว่างๆจะมาเล่าให้ฟัง ที่สำคัญตอนนี้กำลังเจรจาหาคนร่วมฝัน หนทางยาวไกล มีคนร่วมฝันก็คงดี...

แต่

อาหารเช้าสำคัญจริงๆครับ เชื่อผม ^^

Dec 19, 2008

ข้อที่ 6 จาก japanese family

วันนี้ไปนวดมาหลังจากที่พังผืดมันกลับมายึดตามเส้นอีกครั้ง
ตัดสินใจจริงจังแล้วว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะประกาศสงครามเพื่อเอาชีวิตที่มีสุขภาพดีของเราคืนมา
นอน กิน ออกกำลังกาย หัวเราะ ทำงาน อ่านหนังสือ ช่วยเหลือคนอื่น อย่างน้อย เจ็ดอย่างนี้ จะต้องทำอย่างสมดุลย์ในทุกวัน

ระหว่างทางกลับบ้าน เห็นเด็กคนนึงวิ่งสนุกสนานตรงทางลงรถไฟฟ้าใต้ดิน
หลังจากลงบันไดเลื่อนมา ก็สังเกตุว่าเด็กคนนั้นมีพี่สาวมาด้วย และน้องเล็กๆ และคุณแม่(ยังสวย)อีกหนึ่งคน
คุณแม่หันมาคุยกับลูก... อะไรไม่รู้ ฟังไม่ออก เดาว่าภาษาญี่ปุ่น จากกิริยาอาการของเหล่าเด็กๆ

ภาพที่ผมชอบมาก คือ เมื่อพวกเขาเดินไปด้วยกัน แม่จูงลูก แล้วลูกๆก็ค่อยเอามือมาจับ เดินแกว่งแขนไปด้วยกัน
ความรู้สึกที่สื่อสารออกมาตรงนั้น สำหรับผม นั่นคือ คำว่า ครอบครัว
เป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความยินดี มั่นคง และอุ่นใจ

ผมและพวกเขาแยกเดินกันไปคนละทาง แต่ความคิดของผมยังคงประทับใจกับความรู้สึกเมื่อกี้นี้ สำหรับผมนี่เป็นข้อดีข้อที่ 6 ของการแต่งงาน คือ ความเป็นครอบครัว คนไม่ได้แต่งงาน จะรู้ถึงความรู้สึกของความเป็นครอบครัวหรือ บางคนอาจเถียงว่า เขาแต่งงานแล้วแต่ยังไม่รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเลย นั่นมันเขา ไม่ใช่ผม คนเราคิดแทนกันไม่ได้นะครับ

สำหรับคนที่ตามอ่านความคิดของผมมาเรื่อยๆ อาจสะกิดใจว่า แล้วข้อดีข้อที่ 5 หายไปไหน
ไม่ได้หายไปไหน เมื่อคืนวาน กลับจากการกินสุกี้กับเพื่อนๆ ก็ได้นั่งคุยกับน้องคนนึง แล้วก็ได้พบกับข้อดีข้อที่5 ของการแต่งงาน แต่ต้องขออภัย ที่อาจจะยังไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกแท้จริงด้วยคำพูดตรงๆได้ บอกได้เพียงว่า การที่เราสามารถมีคนหนึ่งคนบนโลกใบนี้ที่เราสามารถบอกเขาได้ทุกเรื่อง ฟังเขาได้ทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่เราไม่สามารถพูดคุยเล่าสู่กันฟังกับเขาได้ ผมคิดว่าชีวิตเราน่าจะมีความสุขนะ ถ้าวันนึง ผมได้แต่งงานแล้ว ผมอาจจะมาเล่าให้ฟังว่า ข้อดีข้อที่ 5 คืออะไร

อย่างไรก็ตาม วันนี้ ครอบครัวชาวญี่ปุ่น ก็ได้สอนให้ผมได้เรียนรู้จักอีกหนึ่งข้อดีของชีวิตการแต่งงาน คือ ความเป็นครอบครัว หวังว่าพระเจ้าคงสอนผมให้เรียนรู้ข้อดีอีกสักข้อเป็นข้อสุดท้ายต่อไปนะครับ เอเมน

Dec 15, 2008

เรื่องราวรัก ตอนที่4 ขอ...

วันนี้ ผมไม่รู้หรอกครับว่า อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อ แต่สิ่งที่ผมรู้คือ ชีวิตของผมเป็นของพระเจ้า ผมกลับใจ ผมเริ่มต้นใหม่ ผมจะขอรักพระเจ้าสุดหัวใจมากขึ้นทุกวัน ผมจะรักและให้เกียรติตัวเองเช่นที่ผมรักและให้เกียรติพระเจ้า ผมจะส่งผ่านความรักของพระเจ้าออกไปมากเท่าที่ผมจะยังทำได้ ผมจะยอมรับในความเข้มแข็งและความอ่อนแอของผม ผมจะซื่อสัตย์ต่อจิตสำนึกชอบ และผมจะดำเนินชีวิตอย่างคนที่ต้องกล่าวรายงาน

ผมเชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงตั้งต้นการดีในชีวิตเราแล้ว พระองค์จะทรงใช้ทุกอย่างร่วมกันเพื่อให้เกิดผลดีกับเรา เพื่อให้เราได้ไปถึงความสำเร็จตามแผนการณ์น้ำพระทัยและการทรงเรียกของพระองค์

พระเจ้าครับ ขอให้ผมได้เขียนเรื่องราวความรักของพระเจ้าอีกครั้ง ขอทรงโปรดใช้ผมนำความเข้าใจมาสู่มนุษย์ว่าพระองค์รักเขาอย่างไรดั่งที่พระองค์ทรงเรียกให้ผมทำ ขอทรงนำการรื้อฟื้นมาสู่ผม เพื่อผมจะส่งผ่านไปสู่ผู้อื่นต่อไป หากพระองค์จะทรงเห็นว่า ผมสามารถอยู่คนเดียวเพื่อรับใช้พระเจ้าได้ดีกว่า ขอทรงสำแดงแก่ผมเสียแต่วันนี้ หากพระองค์ทรงให้เกียรติผมในการเลือก ขอทรงโปรดสนับสนุนสิ่งที่ผมเลือกเสียแต่วันนี้ ตามวิธีการของพระองค์ ผมพร้อมจะยอมเปลี่ยนแปลง เพื่อในวันเวลาแห่งการล่อลวงใจ ผมจะมีกำลังมากพอที่จะทนได้ และช่วยให้ผู้อื่นทนได้เช่นกัน

พระองค์บอกว่าจงขอแล้วจะได้นี่ครับ ผมขอกับพระองค์นะครับ เอเมน

เรื่องราวรัก ตอนที่3 ทางเลือก

ผมเริ่มหันมามองผู้เชื่อที่อยู่รอบๆตัว ความสนิทสนมที่ก่อตัวขึ้น จากการร่วมรับใช้พระเจ้าด้วยกัน ความรู้จักเข้าใจที่เกิดจากการเห็นชีวิตของกันในการรับใช้ และการร่วมทำกิจกรรมกลุ่มด้วยกัน หลายๆอย่างสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผม จนกระทั่ง เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่จุฬา...

เธอเริ่มห่างชุมชน เริ่มไม่มาโบสถ์ หลายๆอย่างเริ่มแปลกๆไป แต่ผมก็ยังเชื่อในส่วนดีของเธออยู่นะ จนกระทั่งเธอมีแฟน...

ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็เตือนไปตามปกติ เหมือนที่เคยเตือนคนอื่น ผมเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีเหตุผล และทุกคนจะทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่า ดีที่สุดเสมอ ผมเคารพและให้เกียรติในการตัดสินใจเลือกของแต่ละคนเสมอ

ในระยะเวลา 3-4 ปีช่วงนั้น ก่อนที่เธอจะมีแฟน ผมได้รู้จักตัวเองในฝ่ายวิญญาณมากขึ้น ทั้งเรื่องของประทาน การทรงเรียก รวมทั้งการถูกสอนวิธีคิดเรื่องคู่ครองตามชอบพระทัยพระเจ้า ที่สำคัญ คงเป็นเรื่องของความจำเป็นต่อคำถามว่า ทำไมผมถึงจำเป็นต้องแต่งงาน เมื่อใช้เรื่องการทรงเรียก และของประทาน การเสริมสร้าง มาเป็นหลักในการคิดเรื่องคู่อุปถัมภ์จากรายชื่อสาวคริสเตียนที่ผมรู้จักร่วมร้อยคน ก็เหลือเพียง 4 คนเท่านั้น ซึ่งคนที่น่าสนใจที่สุด เธอก็ไปมีแฟนข้างนอกเสียแล้ว

ผมเริ่มอธิษฐาน ช่วงนั้น พระเจ้าก็นำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับคนเหล่านี้แต่ละคนมากขึ้นในแต่ละช่วงเวลา แวะมาแล้วก็จากไป แต่เรื่องราวของเด็กบัญชี จุฬา ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึกเสมอ จนเธอบอกผมว่า เธอจะเลิกกับแฟนเธอแล้วนะ เธออยากจะกลับมาหาพระเจ้า

หลังจากที่ทำใจอยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่จะคร่ำครวญแสวงหาการช่วยเหลือจากพระเจ้ามากขนาดนี้ ผมทำทุกอย่างที่จะสามารถทำได้ เพื่อจะขอให้พระเจ้าเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวในการช่วยกู้เธอครั้งนี้ แล้วเธอก็กลับมาใช้ชีวิตในทางพระเจ้าอีกครั้ง สำหรับความสัมพันธ์ของเราก็ดูเหมือนกำลังจะกลับมาสานต่อกันใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนจะกำลังไปได้ด้วยดี แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในเวลานั้น ผมเจอวิกฤติของชีวิตที่ค่อนข้างรุนแรง ทั้งเรื่องในครอบครัว เรื่องงาน และเรื่องเงิน เป็นบททดสอบใหญ่อีกครั้งของชีวิต ผมคิดว่าคงมีแค่นั้น ผมคิดว่า อย่างไรผมก็ยังมีคนอยู่คนหนึ่งที่จะช่วยกันเติมแรงใจเมื่อท้อ แต่ผมคิดผิด “ทำไมต้องบอกเค้าด้วย เราเป็นอะไรกันเหรอ” ผมยังจำได้ คงจะพร้อมๆกับการก้าวเข้ามาของคนอีกคนหนึ่งในชีวิตของเธอ ครั้งนี้คงต่างออกไปเพราะหนุ่มคนนั้นเชื่อพระเจ้าด้วย

สาหัสฉกาจมากกับเหตุการณ์ ในช่วง 2 ปีนั้น แต่ขอบคุณพระเจ้านะ วันนี้มองย้อนกลับไป ก็เห็นว่าเราแกร่งขึ้นจริงๆ แรงกดดันบีบเค้นทางจิตใจ และกายภาพ สร้างจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้นมาก การเติบโตขึ้นในครั้งนั้น ทำให้เริ่มคิดหนักว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการตัดสินใจเลือก แต่สุดท้ายก็ตกลงที่จะเป็นเพื่อนกัน เรื่องนี้ผมไม่ได้บอกใคร

หลังจากนั้น ไม่นาน ผู้นำก็แนะนำให้ผมเริ่มมองคนใหม่ๆ ไม่ปิดใจตัวเอง ตอนนั้นผมก็บอกชื่อไปสองคนที่น่าสนใจ ซึ่งผมไม่รู้จักมากนัก รู้จักแต่เพียงผ่านๆในความเป็นพี่น้องกันในคริสตจักร ถึงอย่างนั้น ใจผมก็ยังคงรู้สึกผูกพันอยู่กับเด็กบัญชีจุฬาอยู่ เกือบ 8 ปี (ในเวลานั้น) คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะหักใจกันในเพียงชั่วข้ามคืน แต่ผมก็ตั้งใจ ก็บอกพระเจ้าว่า หากใจผมยังไม่สามารถเป็นปกติกับน้องเขาได้ ผมคิดว่าผมไม่พร้อมที่จะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ และ เป็นการไม่ให้เกียรติ ไม่ยุติธรรม กับอีกฝ่ายหนึ่งที่ผมจะเริ่มความสัมพันธ์ด้วย

ยิ่งมาช่วงหลังๆที่ชีวิตกับพระเจ้าแย่เอามากๆ สุดท้ายความต้องการเพื่อตัวเองก็อยู่เหนือจิตใจเพื่อพระเจ้า ผมคิดจะปล่อยไปตามหัวใจ ด้วยทะนงว่าเราจะเอาอยู่ ด้วยใจที่ต้องการเพียงเอาชนะ ขอบคุณพระเจ้าที่ยังไม่ได้มีอะไรคืบหน้า จนพระเจ้าเริ่มหันจิตใจกลับมาเรื่อยๆ ก็มาถึงภาวะสุดท้าย... ผมตัดใจไม่ได้ครับ ก็บอกพระเจ้าไปตรงๆ

ขอบคุณพระเจ้า ผ่านไปเกือบ 2 ปี เมื่อคืนก่อน นั่งเก็บของ ได้เจอรูปถ่ายเก่าๆสมัยรับใช้กลุ่มมัธยม แล้วผมก็ลองเข้า Hi5 ไปดูรูปน้องเขา ผมพบว่า เธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ผมติดอยู่กับภาพมายาของอดีต ผมชอบน้องเขาคนที่อยู่ในรูป ไม่ใช่น้องเขาคนปัจจุบัน ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องหน้าตา ปกติเราก็พอรู้นิสัยใจคอคนจากสีหน้าแววตาเขาอยู่บ้าง และผมยิ่งค่อนข้างแม่นกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

ผมโทรศัพท์ไปหาน้องคนหนึ่ง เราเคยรับใช้ในกลุ่มเดียวกันสมัยมัธยม และเมื่อไม่นานมานี้ เขาเดินมาบอกว่า คนที่ผมเคยชอบ ไม่มีอีกแล้ว คุยอยู่สักพักก็เริ่มเข้าใจ ข้อมูลทุกอย่างถูกจับมาปัดฝุ่นแล้วร้อยเรียงด้วยแว่นตาใหม่

แม้ลึกๆในใจ ผมยังหวังใจว่าผมจะคิดผิด แต่ผมก็รู้ว่าความจริงคืออะไร ก็เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ก่อตั้งคจ.นั่นแหล่ะ วิธีเดียว คือ ท่านต้องออกมาเล่าให้ฟังว่า ระหว่างทางที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้น เธอต้องเป็นคนเล่าให้ผมฟังเองทั้งหมด ถึงจะสามารถเรียกความเชื่อใจกลับคืนมา มีแต่การกลับใจเท่านั้นที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของเราขึ้นใหม่ได้ แต่ผมรู้จักนิสัยของท่านอยู่บ้าง ท่านไม่พูดแน่ เช่นกัน น้องเขาก็ไม่เล่าแน่ เช่นนี้แล้ว ต่อให้ของประทานเหมาะสมสนับสนุนกันเพียงใด ก็คงไม่มีทางแน่นอน

ไม่เพียงเท่านั้น พระเจ้าทำมากกว่านั้น ผลพวงจากเรื่องนี้ คือซากใจที่แข็งเป็นหินของผม ผมรู้ว่ามันต้องใช้เวลานานมาก กว่าที่ผมจะพร้อมที่จะรักใครอีกครั้ง แต่อัศจรรย์กับวิธีการของพระเจ้า พระองค์ใช้คนคนหนึ่งให้นำเรื่องราวความรักของพระองค์กับเขา เข้ามาละลายใจหินของผมให้อ่อนนุ่มขึ้น เหมือนเมื่อครั้งแรกที่ผมรู้จักความรักของพระเจ้าผ่านทางชีวิตรักในพระเจ้าของพี่เลี้ยงคนแรกของผม

เรื่องราวรัก ตอนที่2 วัยรุ่น

ผมมักเล่าให้ใครต่อใครฟังว่าแม้ผมจะเปิดใจต่อเรื่องราวของพระเจ้า ด้วยเหตุว่าพระเจ้าพูดคุยกับเราได้ แต่เหตุผลที่ดึงให้ผมมาโบสถ์ ณ เวลานั้น คือ ผมคิดว่า ที่โบสถ์น่าจะมีผู้หญิงน่ารักมาก (ผมนึกภาพของพวกเด็กเซนต์โย เด็กมาแตร์) พระเจ้าช่วย มาแล้วไม่เป็นดั่งคาด แต่ก็ยังเจอผู้หญิงคนหนึ่ง โดนใจอยู่พอสมควร พูดได้อย่างไม่อายว่าแรกๆมาโบสถ์ มาแคร์ ด้วยหวังว่าจะได้รู้จักกันมากขึ้น ในระหว่างนั้น พระเจ้าก็ให้ผมมีประสบการณ์ต่างๆ มีความเข้าใจ และมีความเชื่อมากขึ้น จนวันหนึ่งที่ผมตัดสินใจเดินติดตามพระเยซูตลอดชีวิต เธอคนนี้ ก็ไม่มาโบสถ์อีกเลย (ล่าสุด เมื่อ 2 ปีก่อน ได้ทราบข่าวว่า เธอแต่งงานแล้วกับคนไม่เชื่อพระเจ้า และกำลังจะมีลูกคนที่สอง)

ช่วงที่เรียนปีหนึ่งที่ธรรมศาสตร์ รังสิต ผมรู้จักคนร่วมหลายร้อยคน เนื่องจากการเป็นผู้ประสานงานจัดกิจกรรมรับเพื่อนใหม่ และอีกหลายกิจกรรม ซึ่งอยู่ในภาวะที่ต่างคนต่างยังไม่รู้จัก ไม่สนิทกัน อีกทั้งตอนนั้นไฟแรงในการประกาศ (เราต่างจากมอร์มอนตรงที่ เราเดิน ไม่ว่าดึก ไม่ว่าไกลแค่ไหน เราก็เดิน) คงไม่ปฏิเสธว่าคริสเตียนนิสัยดี หน้าตาก็ดี(ในแบบของผม)

ผมเพิ่งรู้ว่าการที่ผู้หญิงให้ท่าผู้ชาย เป็นอย่างไร มีครั้งหนึ่ง เข้าค่ายอบรมผู้นำ ดาวคณะเดินมาเคาะห้องตอนเกือบเที่ยงคืน “ขอนอนด้วยคน เรากลัวผี” หน้าตา เสียง เสื้อผ้า...(โอว โน!!!) แน่นอน ผมเป็นคนใจดี ก็เลยให้เธอมานอนด้วย เตียงผมนั่นแหล่ะครับ แล้วผมก็ลงไปนอนที่พื้น จริงๆมีรายละเอียดอีกเยอะ สรุปว่าสุดท้ายผมนั่งฟุบคางเกยเตียง โดยมีเธอหลับอยู่บนเตียงนั้น โดยไม่มีการทำผิดบาปเกิดขึ้น (ได้ยินข่าวลือภายหลังเหตุการณ์นี้ว่า ผมเป็นเกย์) อีกครั้งหนึ่ง กับดาวคณะอีกคน คนนี้ประกาศไว้นาน จนวันหนึ่ง เธอมาถามว่า คริสเตียนเนี่ยเขาไม่แต่งงานกับคนนอกความเชื่อใช่ไหม เปิดประเด็นแบบนี้มา ไอ้เราก็พูดลำบากละ (ก็ตอนนั้น ก็แอบรู้สึกดีกับเธออยู่นิดๆ) แต่ก็ตอบตามพระคัมภีร์นะ จริงตามคาด วันรุ่งขึ้น ทุกคนในคณะรู้กันว่า เธอตกลงคบกับเด็กวิศวะเป็นแฟนแล้ว

คณะผมมีดาวอยู่ 5 คน อีกสามคนที่เหลือ คนหนึ่งเป็นน้องสาวของพี่เลี้ยงผม (ไอ้นี่เข้าทางพี่ชายนี่หว่า...) อีกคนเป็นบัดดี้กับผม (ในคณะเราจะเล่นบัดดี้กัน แต่เธอรวยมาก ลูกสาวอธิบดี คงเป็นปมมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยไม่กล้าคิดมาก แต่ก็เทคแคร์ดีเว่อร์ จนมีคนสงสัยว่าผมกะเด็ดดอกฟ้า) ส่วนคนสุดท้าย เป็นคนที่รูปร่างยั่วยวนใจที่สุด คนนี้มีแฟนอยู่เมืองนอก ด้วยความว่าอยู่กลุ่มเดียวกัน สนิทกัน เธอก็เลยขอยืมผมเป็นเป็นตัวแสดงแทนเวลาจะมีคนมาจีบเธอ เป็นไม้กันหมา... ซะงั้น

มีสาวๆอีกหลายคนในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ที่พบเจอกันและปริ่มๆจะไปเกินเลยไกลกว่าคำว่าเพื่อน เด็กศิลปะศาสตร์น่ารัก สดใส ร่าเริง (ผมยังจำได้ you are my love, security, bright, laugh and warmth เธอเขียนให้ผม) เด็กบัญชีห้าวเท่ห์ เด็กรัฐศาสตร์เสน่ห์แรง เด็กวิทยา สังวิด สังเคราะห์ วารสาร เกือบครบทุกคณะเลยนะเนี่ย แน่นอนว่าคนเหล่านี้ล้วนเกิดจากการถูกประกาศของพี่น้องคริสเตียน และแวะเวียนมาเจอกันในห้องเรียนบ้าง โรงอาหารบ้าง ห้องสมุดบ้าง จะมีบ้างที่เกิดจากกลับบ้านทางเดียวกัน แต่จากความคิดที่ว่า ผมจะไม่คบใครเป็นแฟนถ้าไม่คิดจะแต่งงานด้วย กับการที่เขาต้องเชื่อพระเจ้า รักพระเจ้าเหมือนเรา เพราะเราคงไม่เลิกคบ ไม่เลิกรักพระเจ้าแน่ จึงยังเป็นกรอบความคิดที่ป้องปรามไม่ให้ความสัมพันธ์เกินเลย จนกระทั่ง ผม ได้รู้จักกับเด็กวารสารคนหนึ่ง...

พูดถึงเด็กวารสาร ก่อนจบปี4 มีเด็กวารสารคนหนึ่ง มาสารภาพกับผมว่า เขาแอบชอบผมมานานตั้งแต่ปีหนึ่ง เขาอยากจะแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกกับผม... อึ้งไปเหมือนกัน จำที่เหลือไม่ได้แล้ว (หูอื้อ ตาลาย... น่ารักขนาดนี้ ทำไมเราไม่รู้ว่าเขาแอบชอบเรา โอว โน) รู้แต่ว่า หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เป็นแฟนกับ เพื่อนในคณะผมนั่นแหล่ะ

ในช่วงนั้น ที่โบสถ์ ผมย้ายมาช่วยดูแลน้องๆมัธยม ทุกอย่างก็ปกติดี จนวันหนึ่งที่บางอย่างเริ่มเกิดขึ้น ระหว่างผมกับน้องคนหนึ่ง ต้องบอกไว้ก่อนว่าแรกๆก็ยังไม่มีอะไรมาก แค่รู้สึกแปลกๆ จนกระทั่ง ถูกพระเจ้าจัดการเรื่องของเด็กวารสาร

เด็กวารสารคนนี้ อีกเช่นกันผมชอบเธอในความอ่อนโยน และเด็ดเดี่ยวของเธอ ร่าเริงและฉลาด เรื่องเริ่มจากที่ผมได้รู้จักกับเด็กวารสารคนหนึ่งที่เรากลับบ้านทางเดียวกัน เธอเริ่มคุย เริ่มชวนกินข้าว เริ่มชวนไปเที่ยว และเริ่มชวนผมเข้ากลุ่มของเธอ และทำให้ผมได้รู้จักกับเด็กวารสารคนนี้ ผมชวนเธอคุย ชวนไปกินข้าว ชวนไปเที่ยว ชวนไปโบสถ์ ผมถึงรู้ว่า เธอเชื่อพระเจ้าอยู่แล้ว (เชื่อในแบบของเธออ่ะนะ) ยิ่งผมสนิทกับเธอ ผมยิ่งรู้สึกห่างไกลจากพระเจ้า จำได้ว่า เคยแอบไปเที่ยวด้วยกัน แล้วผมก็ลื่นล้มหน้าเวิร์ดเทรด อายมาก และวันนั้น ผมมารู้ทีหลังว่า คือ วันที่แฟนเก่าเธอมาขอคืนดีด้วย หลังจากที่เธอไปเที่ยวกับผม

ช่วงนั้น ผมรู้สึกตัวว่าเกิดการต่อสู้ในจิตใจและในความคิดมาก จนได้คุยกัน ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะคุยเรื่องการคบเป็นแฟนกัน แต่เธอกลับปรึกษาผมเรื่องที่แฟนเก่าเธอมาขอคืนดีซะนี่ “เราเลือกที่จะเสียใจ เพราะเราเลือกผิด ดีกว่า เสียใจที่เราไม่เลือกกลับไปคืนดีกับเขา” ฟังดูก็รู้แล้วว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา

วันนั้น กลับบ้าน จำได้ว่าสิ่งแรกที่ทำคือ อธิษฐานกับพระเจ้า ขอโทษในความเหลวไหลของเรา และขอบคุณในการตีสอนของพระองค์

นับจากวันนั้นมา ผมไม่เคยคิดเรื่องการเป็นเป็นแฟน หรือการแต่งงานกับคนต่างความเชื่ออีกเลย

เรื่องราวรัก ตอนที่1 เยาว์วัย

โดยพื้นฐาน ตั้งแต่เด็ก ผมรู้สึกว่า ครอบครัวผมไม่อบอุ่นนัก ทำให้ผมคิดตั้งแต่นั้นมาว่า ถ้าวันหนึ่งจะแต่งงาน อยากจะแต่งงานกับคนที่รู้จักกัน รักกันจริงๆ (ตอนนั้น อายุ 5 ขวบ)

ต่อมา โตขึ้น ถึงรู้ว่าชีวิตครอบครัวมีอะไรมากกว่านั้นมาก และ รู้ว่า จริงๆพ่อแม่เราเขาก็ตั้งใจและพยายามทำดีที่สุดแล้ว เท่าที่เขาจะมีความรู้ความเข้าใจ แน่นอนที่สุด นั่นทำให้ผมรู้ว่า พ่อกับแม่รักกัน และรักผมมาก

ตั้งแต่เด็ก (5 ขวบ อยู่อนุบาล) ผมก็เริ่มคิดเรื่องแต่งงานแล้ว (เว่อร์มั้ย) ก็ตามประสาเด็กอ่ะนะ ตอนนั้นจีบ (แบบเด็กๆ) เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จีบตั้งแต่อนุบาลยัน ป.6 มีวีรกรรมมากมายในการพิชิตใจสาวและครอบครัว ยังจำเหมือนเรื่องเพิ่งเกิดที่ถูกเด็กผู้หญิงตบหน้า จริงๆพ่อเขาก็ชอบที่ผมเรียนเก่ง แต่เขาบอกว่า บ้านเราจน (ยังกะละครเมืองไทย) ไม่เหมาะสมฐานะกับเขา เขาไม่ส่งเสริม และตอนนั้น ก็สอบติดที่สวนกุหลาบด้วย ก็เลยย้ายมาเรียนมัธยมที่กรุงเทพ ปิดฉาก ละครความรักวัยเด็ก

จริงๆหลังจากนั้น เราก็มีติดต่อกันบ้าง โดยเฉพาะช่วงที่เธอสอบติดที่เตรียม แล้วย้ายมาเรียนที่กรุงเทพ แต่พระเจ้ามีจริง เธอเปลี่ยนไป หรือ อาจจะเป็นเพราะผมเริ่มชินกับสาวๆเมืองกรุงแล้วก็ไม่รู้นะ ความรู้สึกคงเหมือนถ่านกรุ่นๆที่ถูกน้ำราดลงมา...

ช่วงที่เข้ามาเรียนกรุงเทพ ผมตื่นตาตื่นใจมาก กับหลายต่อหลายอย่าง โดยเฉพาะผู้หญิงที่นี่ น่ารักมากๆ ไม่เหมือนกับที่ตราดเลย โดยเฉพาะกับที่เรียนพิเศษ ผมชอบผู้หญิงที่นี่มาก น่ารักแล้วยังฉลาด (ถ้าไม่สนใจความรู้ คงไม่มาเรียนพิเศษหรอก) ส่วนใหญ่ผมก็ได้เบอร์โทรศัพท์สาวๆ จากที่เรียนพิเศษนี่แหล่ะ อีกที่หนึ่งก็ที่สอบเทียบ มองย้อนดูแล้วก็รู้สึกตัวเองไร้สาระมากเหมือนกันนะ เสียเวลาจริงๆเลย

การได้รู้จักคนเยอะทั้งชายทั้งหญิงและระบุเพศไม่ได้ การที่ปรับตัวเก่งเข้ากับเขาได้ทั่ว ทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ รู้จักรสนิยมของตัวเอง โดยเฉพาะ ลักษณะคนที่ผมชอบหรือไม่ชอบ จนช่วงเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยครั้งที่สองของผม ตอนม.5 ณ โรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษดวงใจ ผมเจอผู้หญิงคนหนึ่ง
เพื่อนทุกคนพูดตรงกันว่า คนนี้ไม่สวยเลย ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ผมก็ไม่ได้เริ่มชอบเขาจากความสวยนี่นา ถึงอย่างไรผมก็คิดว่าเขาหน้าตาดีนะ แค่สวยหลบใน (เหอ เหอ เหอ ...ผมชอบแบบนี้นี่นา) แต่ที่สำคัญคือชอบนิสัยเขามากกว่า หวาน ห้าว เฮ้ว มีมารยาท รู้จักกาลเทศะ และมั่นใจ เห็นเท่านี้ก็ได้ใจผมไปแล้ว
จากความทุ่มเทพยายามที่จะรู้จัก ทำให้ผมเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ว่า ความรัก มีอานุภาพยิ่งใหญ่นัก และสวรรค์จะเข้าข้างคนที่มีความมุ่งมั่น (ผมเพิ่งรู้ว่าเราสามารถหาข้อมูลพื้นฐานทุกอย่างได้ แม้แต่เลขรหัสไมโครฟิล์ม จากกรมการปกครอง ก.มหาดไทย) อนิจจา พระเจ้าทรงมีแผนการ เธอสอบติดอักษร จุฬา ผมสอบไม่ติด ทุกคนงงกันมาก เด็กอักษรคนนี้แหล่ะ ที่อีก 8 เดือนให้หลัง นับจากประกาศผลสอบ เธอเป็นเหตุให้ผมเดินจากสะพานพุทธจนไปถึงสี่พระยา

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มรู้จักกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว เริ่มเปิดฉาก ชีวิตที่รู้จักกับรักแท้

Dec 14, 2008

เรื่องนี้เกี่ยวกับความรัก

เมื่อสัปดาห์ก่อนมีเหตุให้ต้องเข้าไปเดินใน มหาลัยเล็กๆแถวสามย่าน หลังจากที่ไม่ได้เหยียบเข้าไปนับปี
แม้หลายๆอย่างจะเปลี่ยนไป มีตึกใหม่ๆผุดขึ้นมาหลายที่ แต่ดูเหมือนสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะไม่สามารถเปลี่ยนภูมิทัศน์ในมโนภาพที่ยังอัดแน่นไปด้วยความทรงจำได้... มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยเรื่องราว...

กลับมาบ้านวันนั้น ผมอยากจะเขียนเรื่อง จุฬา...ลงกลอน ผมอยากจะลงกลอนความทรงจำของผมทุกอย่างที่เกี่ยวกับจุฬาไว้ในกล่องซักใบ ไม่อยากจะเห็น เพราะมันเจ็บนัก แต่ก็ไม่อยากจะลืม เพราะอาจจะเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวของชีวิตที่สุขใจได้ขนาดนั้น

เป็นความใฝ่ฝันแบบวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่อยากจะเข้ามาเรียนวิศวะที่จุฬา จีบสาวอักษร อนิจจา ว่าที่เฟรชชี่สาวอักษร จุฬา คนแรกที่ผมรู้จัก ทำให้ผมเรียนรู้ว่า การเดินจากสะพานพุทธไปถึงสี่พระยามันเหนื่อยมาก และไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นจากความเจ็บปวดใจ ผมจำได้ โต๊ะตัวนั้น... โต๊ะที่ของชิ้นเดียวกันเปลี่ยนสภาพจากของขวัญเป็นขยะ เพียงชั่วเปลี่ยนมือ

ช่วงเวลาดีๆที่ได้ไปเข้าค่ายติวของรุ่นพี่วิศวะ จำได้ว่า ค่ายนั้น ทำให้ผมเริ่มคิดว่า ผมอาจไม่เหมาะกับที่นี่ เพราะผมไม่นิยม โซตัส เอาเสียเลย

ตึกจุล ครั้งแรกที่เรียนรู้จักการสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อ เป็นครั้งแรกที่ไปเข้าแคร์กับคนที่ไม่รู้จัก แต่ผมก็สนิทไปกับเขาได้เพราะเราเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน

บัญชี คณะที่ผมมีประสบการณ์อัศจรรย์เกินธรรมชาติกับพระเจ้าครั้งแรกในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และที่นี่ยังมีหลายที่หลายมุม ที่ทิ้งรอยแห่งความทรงจำเอาไว้ให้ ผมรู้จักการให้ความรักนำทาง เมื่อเราต้องตามหาคนคนหนึ่งท่ามกลางความมืดของคอนเสิร์ตรับเพื่อนใหม่ ก็จากเด็กคณะนี้ ผมรู้จักความรู้สึกของ เอรอส ก็จากที่นี่ และอีกมากมาย ดูเหมือนว่าสิ่งสุดท้าย ที่ผมได้เรียนรู้จากเด็กคณะนี้ คือ สิ่งที่เรียกว่า ความไว้เนื้อเชื่อใจ

หากความรัก เป็นเรื่องของฉัน และถ้าเรารักกัน เป็นเรื่องของฉันกับเธอ ถึงกระนั้นก็คงยังไม่พอให้เราไปถึงจุดแห่งการแต่งงานอยู่กินด้วยกัน หากเราไม่เชื่อใจกัน

ยังมีอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรักของผม ซึ่งมีฉากของเรื่องหรือมีความเกี่ยวพันกับจุฬา จนผมรู้สึกขยาดกับเด็กจุฬาไปเลย (ผมเพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่า เพื่อนสมัยประถมที่ผมแอบชอบเขา ก็จบโทสถาปัตย์ที่จุฬานี่)

ผมยอมรับว่า ความเจ็บปวดครั้งนั้นมันรุนแรงมาก ผมกลายเป็นคนที่ด้านชา หัวใจหิน ไปเลยทีเดียว ก็ลองคิดดูว่า คนอ่อนไหวอย่างผมจะทนได้ซักขนาดไหนกัน แต่ผมเองก็พยายามประคับประคองรักษาเศษเสี้ยวในดวงใจพังๆของผม พยายามรักษาพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้ในสภาพดีเสมอ รอเวลา หวังใจว่า วันหนึ่งมันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการฟื้นฟูดวงใจทั้งดวง

ผมไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไหร่ อย่างไร หรือจะโดยใคร แต่ผมก็จะหวังใจเสมอว่า คงจะมีวันนั้นซักวัน วันที่มีคนที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ผมเป็นจริงๆ วันนี้...เมื่อเช้า ผมบอกพระเจ้าไปอย่างนี้

วันนี้ ตอนบ่าย พี่ชายที่น่ารักคนหนึ่งได้มาแบ่งปันชีวิตของท่าน แบ่งปันสิ่งที่ท่านเรียกว่า ชีวิตรักในพระเจ้าของท่าน ผมไม่รู้หรอกว่าเกือบสองร้อยคนที่นั่งฟังวันนี้จะได้อะไรไปบ้าง แต่สำหรับผม เรื่องราวของพี่ในวันนี้ เป็นอาหารทิพย์ชั้นดีให้แก่หัวใจของผม ขอบคุณพระเจ้ามากมากครับ

ขอบคุณพระเจ้าที่ฟังผมเสมอ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงได้ยินเสียงร่ำร้องไห้จากก้นบึ้งของหัวใจผม ขอบคุณพระเจ้าที่มิได้ทรงละทิ้งผมไป ขอบคุณพระเจ้าที่มิได้ทรงถือโทษในความผิดบาปจากความอ่อนแอของผม ...นึกขึ้นมาได้ พระเจ้าเคยสัญญาว่า นับจากนี้ไป ผมจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป never alone again... นานแล้วอ่ะนะ

ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงโปรดประทานความรอดนิรันดร์แก่ผม ให้ผมได้มีชีวิตใหม่ ขอบคุณครับ ที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมหวังว่าครั้งนี้ เมื่อผมเลือกความชอบธรรมของพระองค์แล้ว ผมจะไม่เจ็บกายปวดใจ แต่พระเจ้าจะดูแลเหมือนที่พระองค์สัญญาไว้

พระเจ้าครับ ขอให้ผมได้เริ่มต้นเขียนเรื่องราวความรักของพระองค์ในชีวิตของผมอีกครั้งนะครับ และหากทรงเห็นชอบ ขอทรงโปรดให้ "เรา" ได้เริ่มต้นเขียนด้วยกันนะครับ

Dec 7, 2008

พุงย้อย

เช้านี้ เจอคนอ้วนๆ... จะเรียกว่าอ้วนว่าดีไหม เพราะทุกสัดส่วนของเขาก็ถือว่าพอๆกับผม ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก้อนหยุ่นๆที่อยู่ตรงหน้าท้องนี่น่ะสิ น่าเกลี้ยดน่าเกลียด

เห็นแล้วก็นึกถึงตัวเอง ถ้ายังไม่ยอมปรับเปลี่ยนรูปแบบลักษณะการดำเนินชีวิตของตัวเองเสียใหม่ ไม่แคล้วคงได้เห็นก้อนหยุ่นๆนั้นที่พุงตัวเองทุกเช้าเวลาส่องกระจกอย่างมิต้องสงสัย

พ่อเคยถามว่า ที่เรียนๆมาตั้งแต่ประถม จำเอามาใช้บ้างหรือเปล่า กินอาหารให้ครบ5หมู่ในแต่ละวัน ออกกำลังกายเป็นประจำทุกสัปดาห์ พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก อาบน้ำวันละ2ครั้ง แปรงฟันหลังกินอาหาร ไม่กินจุบจิบ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นเรื่องสุขอนามัยพื้นฐานทั้งนั้น

บางคนบอกว่างานที่ต้องทำมีเยอะ ผมไม่เชื่อเรื่องการทำงานมากแล้วพระเจ้าจะพอพระทัยเรามาก พระเจ้าทรงโปรดปรานผู้ที่กระทำตามพระทัยของพระองค์มิใช่หรือ และแน่นอนว่าน้ำพระทัยพระเจ้าในชีวิตเราส่วนตัวแต่ละคนมีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกัน ที่ผ่านมา ชีวิตเราอาจถูกเรียกร้อง ถูกบิดเบือนด้วยคำว่า ตั้งใจดี มีภาระใจ(กรูอยากทำ) มานาน นานพอที่จะทำให้เราหลงหรือลืมเรื่องสำคัญของชีวิตไป

บางคนบอกว่าก็ไม่รู้นี่ว่าพระเจ้าต้องการให้ทำอะไร ผมยอมรับว่า การลองทำสิ่งต่างๆหลากหลายเพื่อให้เรารู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ใช่ นั่นก็เป็นแนวคิดหนึ่ง ซึ่งอาจจะเหมาะสมกับคนที่อายุยังน้อย ยังไม่รู้จักตัวเอง และยังมีเวลาให้เรียนรู้อีกมาก
แต่คนที่รู้จักตัวเองแล้วระดับหนึ่ง คนที่คิดว่าตัวเองเหลือเวลาบนโลกนี้ไม่มากนัก การใช้ความคิดเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่สมควรกระทำ พระเจ้าทรงสร้างเรามาอย่างดี และพระองค์เตรียมเราไว้เพื่อกระทำพระราชกิจของพระองค์ให้สำเร็จ ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พื้นเพครอบครัว ความชอบ ความสนใจ ความถนัด ... เรื่องสำคัญ คือ เราใช้ทั้งหมดที่เรามีอยู่เพื่อใคร

ถึงเวลาหรือยังที่เราควรจะต้องกลับมาถามพระเจ้า ถามตัวเอง อย่างจริงจังว่า "อะไร" คือ สิ่งสำคัญจำเป็นที่เราต้องทำในชีวิตนี้และในเวลานี้ อย่าให้ถึงเวลาที่เมื่อเราเล่าให้พระเจ้าฟังว่า ตอนที่เราอยู่ในโลก เราทำนู่นนี่นั่นเยอะแยะไปหมด แต่พระเจ้าถามเรากลับมาว่า แล้วที่ให้ทำน่ะ ทำหรือเปล่า...

ถึงวันนั้น เราคงตกใจไม่น้อย ความรู้สึกอาจไม่ต่างกับคนที่วันหนึ่งตื่นขึ้นมาส่องกระจก แล้วก็พบกับความจริงที่ว่าตัวเอง "พุงย้อย"

ปล. หลายคนที่พบว่าตัวเอง พุงย้อย เรียบร้อยแล้ว แทนที่จะลุกขึ้นมารีดไขมันออก กลับนิ่งเฉยดูดาย ผมหวังว่า สภาวะ "ยอมรับสภาพ" เช่นนี้ คงไม่เกิดขึ้นกับคนที่เพิ่งจะพบว่าตัวเองใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง หรือ(บ้าคลั่ง)รับใช้พระเจ้า(?)อย่างไม่สมดุลย์มานาน คนเราทุกคนเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้
Yes, we've changed

Dec 6, 2008

ช่วงเวลาที่ยากลำบาก

เคยเล่นปั่นแปะโยนเหรียญทายหัวก้อยไหม ขณะที่เหรียญกำลังหมุนติ้ว โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะหล่นลงด้านใด เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราลุ้นที่สุด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด แต่ผลการออกของเหรียญก็จะมีผลสืบเนื่องตามมาในการกระทำไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

คนเรามักไม่ได้กลัวในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้ว แต่เรามักกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือถ้าพูดให้ถูก สิ่งที่เรากลัวมักเกิดจากจินตนาการของเราเอง เรากลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เช้านี้พ่อเข้าโรงพยาบาล แม่บอกว่าตั้งแต่เมื่อวาน พ่อมีไข้สูง กินอะไรไม่ได้เลย อาเจียนตลอด วันนี้ ป้าๆอาๆก็เลยพาพ่อไปหาหมอ จริงๆตั้งแต่เมื่อวันจันทร์โทรไปหาพ่อ พ่อก็เสียงไม่สู้ดีแล้วล่ะ จนถึงตอนนี้ หมอยังไม่รู้ว่าพ่อเป็นอะไร...

สิ่งที่เป็นห่วงในตอนนี้ ไม่เพียงแค่เรื่องอาการป่วยของพ่อ แต่เป็นห่วงเรื่องความรู้สึกของทั้งพ่อและแม่ด้วย

ในมุมมองของผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบครอบครัวอย่างซื่อสัตย์มาตลอด ภรรยาก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถดำเนินชีวิตด้วยตัวเองได้อย่างคนปกติ ลูกคนเดียวที่มีก็ดูหลักลอย ไม่รู้จะฝากผีฝากไข้ได้หรือเปล่า (จนถึงวันนี้ พ่อก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเรียนไม่จบ และยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก เมื่อผมลาออกจากงานที่ทำกับเชลล์ เพื่อมาช่วยงานที่บริษัทเพื่อน)

ในมุมมองของผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง คนที่ไวต่อความรู้สึกของคนอื่นอย่างมาก คนที่เคยสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่าใครๆ ถึงวันนี้แม้แม่จะพอช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแต่ก็ยังไม่คล่องดังใจ คงเป็นธรรมดาที่จะกังวลถึงอนาคต หากสามีไม่อยู่แล้ว จะอยู่อย่างไร จะอยู่กับใคร ลูกจะรักเราไหม ลูกจะทิ้งเราหรือเปล่า แล้วเมียของลูกจะรังเกียจเราไหม เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่ได้ยินอยู่เป็นระยะจากแม่

ส่วนตัวผมเอง มุมมองของลูกชายคนเดียวที่อยู่ไกลบ้าน คนที่เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตระหนักว่า พ่อของเขาอยู่กับความจริง พูดความจริงกับเขา มากกว่าหลายคนที่บอกใครต่อใครว่าตัวเองรักความจริงเสียอีก พ่อพูดถูกเกือบจะทุกเรื่อง แต่เราเองที่ปิดใจไม่ยอมฟัง "พ่อผมเจ๋ง" ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ผมไม่รู้ว่าพ่อป่วยหนักขนาดไหน ปกติพ่อก็ไม่ใช่คนที่จะมานั่งบอกใครว่าตัวเองไม่สบาย (พ่อเคยพลาดเอาขวานเฉาะขาตัวเอง พ่อเดินกลับบ้าน อาบน้ำแต่งตัว ขี่มอไซค์ไปหาหมอ กว่าพวกเราจะรู้ ก็เกือบอาทิตย์ นี่แหล่ะครับ พ่อผม)

ปี 2008 เป็นปีที่เศรษฐกิจอยู่ในความอึมครึม แต่ปีหน้าก็ชัดเจนแล้วว่า เศรษฐกิจของเราอยู่ในภาวะถดถอยแน่นอน หลายคนหลายบริษัทก็เตรียมตัวรับสถานการณ์กันถ้วนหน้า

พระคัมภีร์บอกเราว่า มีฤดูกาลและวาระสำหรับทุกสิ่งใต้ฟ้านี้ ผมเองก็เชื่ออย่างนั้น เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ยังไม่ถึงวาระนั้นน่ะสิ ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องประคับใจประคองความคิดและความรู้สึกให้ดี ให้เป็นปกติอย่างมากๆ

เมื่อชัดเจนว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เราก็ไม่เครียดมาก รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ หากรู้ชัดๆว่าพ่อเจ็บหนักขนาดไหน คงไม่ต้องให้จินตนาการทำงาน และคงง่ายขึ้นอีกเยอะ ถ้ารู้ว่า "เธอ" คิดอย่างไรกับผมกันแน่

Dec 2, 2008

สิ่งละอันพันละน้อย

แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนแม่แต่งงานกับพ่อมีตังค์อยู่ 150 บาท สมัยสาวๆแม่ต้องเก็บตำลึงไปขาย 5 กำ 1 บาท จะซื้อกรรไกรตัดผ้าซักอันต้องเก็บเล็กผสมน้อยอยู่หลายเดือน "แม่ว่าแม่ก็เก่งนะ ชีวิตนี้ได้เห็นแล้วว่าเงินล้านเป็นอย่างไร" แม่พูดด้วยความภูมิใจ "คนเราต้องรู้จักหา รู้จักเก็บ รู้จักใช้" ครั้งหนึ่งพ่อเคยสอนไว้ สังเกตุการเรียงลำดับของพ่อผมนะครับ อดนึกถึงโวหารไทยสมัยก่อนไม่ได้ "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์.." คนไทยนี่ฉลาดนะ

นานมาแล้ว พี่ตี๋ใหญ่เคยสอนเรื่อง พลังของความสัตย์ซื่อ ความเชี่ยวชาญเป็นผลจากการฝึกฝน หากเราต้องการเก่งเรื่องใด ให้เราทำสิ่งนั้นทุกวัน เราจะชำนาญในเรื่องนั้นๆมากขึ้น

ในพระคัมภีร์กล่าวว่า "ผู้ใดที่สัตย์ซื่อในสิ่งเล็กน้อย จะได้ครอบครองในสิ่งใหญ่" ผมเชื่อว่านี่เป็นหลักการความสัตย์ซื่อของพระเจ้าด้วย หากเราสัตย์ซื่อในความชอบธรรมของพระเจ้า เราก็จะได้รับการอวยพร แต่ในทางกลับกัน หากเราสัตย์ซื่อในนิสัยที่ไม่ดีทุกวัน นิสัยเหล่านั้นก็จะหนักแน่นมั่นคงในชีวิตของเรามากขึ้น ไม่เชื่อคุณลองเริ่มพูดไม่จริงในเรื่องเล็กๆซักเรื่องสิ ไม่ช้ากว่าคุณจะระลึกตัวขึ้นได้ คุณอาจจะกลายเป็นนักปั้นเรื่องตัวยงแล้วก็ได้

ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของจุดหมายปลายทาง แต่เป็นเรื่องของแต่ละวัน บางคนจับจ้องอยู่แต่เป้าหมาย จนลืมไปว่า เขามีวันนี้อยู่ด้วย หากเราคาดหวังความสำเร็จในท้ายที่สุดของชีวิต เราจำต้องแสวงหาความสำเร็จในทุกวันของชีวิต "ชีวิตจริงไม่มีลิฟท์ มีแต่บันได" ซิก ซิกล่า ผู้เขียน "See you at the top" กล่าวไว้ คุณไม่สามารถยืนเฉยๆ กดปุ่ม แล้วหวังว่าจะถึงยอดตึก คุณต้องก้าวขึ้นไป ทีละขั้น ทีละก้าว จนกว่าจะถึงยอดตึก

ชีวิตคนเรา ประกอบด้วยหลากหลายกระบวนการ และตัวเราเองก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งในส่วนของอีกหลายๆกระบวนการ อย่างไรก็ตาม หากเราสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเดินทางในแต่ละวัน มาเป็นพลังงานให้กับกระบวนการเติบโตของชีวิตส่วนตัวเราได้อย่างดี ไม่มีสะดุด กระบวนการต่างๆที่เรามีส่วนร่วมดำเนินอยู่ก็จะเติบโตไปด้วยเป็นผลสืบเนื่อง และแน่นอนที่สุด ชุมชน สังคม สังคม ประเทศชาติ หรือแม้แต่โลกทั้งใบ ก็จะรับผลขยับไปในทางที่สูงขึ้นอีกนิดนึง จากการการเติบโตนิดๆหน่อยๆของเราแต่ละคนนี่แหล่ะ ยิ่งรวมกันหลายคน ก็ยิ่งเห็นผลชัด แต่ทั้งหมดก็เกิดจากการเติบโตเล็กๆน้อยๆของเราแต่ละคนในแต่ละวันนั่นเอง

Dec 1, 2008

extreamly strong determination

เมื่อวันก่อนดูหนังชุดเรื่อง Heroes มีฉากหนึ่ง
กล่าวถึงซามูไรญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาเรียนวิถีดาบจากมังกร จนเป็นนักรบที่เก่งกล้า
วันนึง มังกรมาที่วังแล้วขอให้เขาสังเวยชีวิตภรรยาเป็นสิ่งตอบแทนการสอนดาบ
ซามูไรคนนั้น ได้เอามีดกรีดอก ควักหัวใจของตนให้มังกร พร้อมกับบอกว่า ชีวิตของนางอยู่ในใจข้า เชิญท่านรับไปเถิด
ตัวละคนในเรื่อง เข้าใจว่า คนเราจำเป็นต้องเข้มแข็งอย่างเด็ดเดี่ยว จึงจะสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องคนที่เรารักได้ เช่น การควักหัวใจตัวเอง...

วันนี้ ผมนมัสการพระเจ้า จริงๆตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ที่พระเจ้าสัมผัสใจ ถึงเรื่องการไว้วางใจ และ ความบริสุทธิ์ สองเรื่องหลักหนักในเวลานี้ แต่ก็ตัดสินใจเพื่อพระเจ้า แม้จะมีความคิดว่า เด่วก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก แต่ก็คิดแย้งกลับว่าต้องขอพระเจ้าให้เราเด็ดเดี่ยวมากขึ้น เราต้องแน่วแน่เอาจริงเอาจัง

ผู้ใดจับคันไถแล้วหันหลังกลับ ผู้นั้นก็ไม่สมควรเข้าแผ่นดินสวรรค์

Nov 28, 2008

หลงทาง ?

นับจากเหตุการณ์ความไม่สงบในคริสตจักร ดูเหมือนวงจรชีวิตของหลายคนมีการขยับปรับเปลี่ยนทั้งโดยสมัครใจและไม่เต็มใจ
ตอนแรก ผมตั้งใจจะเขียนข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปคริสตจักร นั่งเขียนไปเขียนมาอยู่หลายวัน เขียนจนป่วย ก็มานั่งนึกว่า เอ...นี่เราทำไปทำไมเนี่ย ค้นจิตใจตัวเองอยู่สักครู่ สันดานลึกๆเพียงอยากได้รับการยอมรับจากคน อยากแสดงความสะใจว่า เห็นมั้ย บอกมาตั้งหลายปีแล้วไม่ฟัง สมน้ำหน้า ทีนี้จะฟังได้หรือยัง
ขนาดตัวเองยังรู้สึกสะอิดสะเอียนตัวเองเลย ก็เลยหยุดเขียนละ อะไรที่ไม่ได้ทำด้วยความรัก ต่อให้ดีแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์

รู้สึกเสียดายเวลาตั้งหลายวัน เอามานั่งอ่านหนังสือ คงจบไปสองเล่ม

นึกถึงคำพูดของเพื่อนๆหลายคน ที่ล้วนต่างยอมรับในความเฉียบแหลมและศักยภาพที่ผมมี แต่ทุกคนต่างไม่เข้าใจที่ชีวิตของผมดูเหมือนจะไปไม่ถึงไหนซักที มีคนนึงให้ความเห็นอย่างน่าฟังว่า เป็นเพราะผมจิตใจดีและเชื่อในส่วนดีของผู้อื่นมากเกินไป ผมจึงมักถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์ให้คนอื่น "ทั้งๆที่ผมรู้ตัว"

ผมเรียนรู้นับแต่วันนั้นว่า เราควรใช้แรงที่เรามี ลงมือทำในสิ่งที่เราจะได้เก็บเกี่ยวไว้ในยุ้งฉางของเราเอง หากยุ้งเราเต็ม ไม่ยากที่เราจะแจกจ่ายให้ผู้อื่น แต่หากยุ้งของคนอื่นเต็ม เราจะใช้สิทธิอะไรไปร้องขอให้เขาแจกจ่าย

แต่วันนี้ ดูเหมือนคนที่หลอกใช้แรงงานของผมจะไม่ใช่คนอื่นคนไกล นอกจากอวิชชาในตัว ความทนงตัวอย่างผิดๆหลอกกินแรงผมไปหลายวัน อย่างไรก็ขอบคุณพระเจ้านะครับ รู้สึกตัวคราวนี้ ไม่เพียงกลับใจเรื่องนี้ ยังได้กลับใจเรื่องอื่นด้วย

หากตายังไม่สว่างแล้วปล่อยให้ทิฐิครอบงำ เกิดว่าสามารถ "เอาชนะ" ใจสาวเจ้าขึ้นมาได้จริงๆ วันนั้นอาจยิ่งหาหนทางเดินได้ยากกว่าวันนี้

ก็ไม่รู้ว่าสำหรับ คนที่รู้และยอมรับว่าตัวเองหลงทาง จะเรียกคนหลงทางได้ไหม แต่อย่างน้อย วันนี้ก็จะเป็นวันแรก ที่กำลังเริ่มต้นเดินกลับสู่หนทางที่ถูกต้องอีกครั้ง...
find a way back into love...

Thy word is a lamp unto my feet, and a light unto my path. Psalm 119:105

Nov 24, 2008

เส้นทางชีวิต

ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องที่อยากจะเขียนลงบล็อคไม่ต่ำกว่า 4 เรื่อง ไม่รวมเรื่องนี้
มีเรื่องให้ต้องตัดสินใจใหญ่ๆ 1 เรื่อง สำคัญๆ อีก ไม่ต่ำกว่า 3 และเรื่องที่ต้องตัดสินใจเลือก อันเป็นผลจาก 4 เรื่องข้างต้นอีกนับสิบ

ไม่ว่าจะเลือกทางไหน หน้าตาของชีวิตเราคงเปลี่ยนไปไม่น้อย บางคนบอกว่าชีวิตมันง่ายกว่านั้น ผมทำให้มันยุ่งยากเอง นั่นสินะ ก็อาจเป็นได้ หากเป็นเมื่อก่อน ผมแค่คิดว่า เรียนให้เก่งๆ ทำงานดีๆ มีตังค์เยอะๆ มีเพื่อนดีๆ ช่วยให้คนรอบข้างเราเขามีความสุข มีเสียงหัวเราะ นั่งร้องไห้เป็นเพื่อนกัน ดูแลพ่อแม่ในวัยชรา แต่งงานกับผู้หญิงที่เรารักกัน มีลูกสัก 3 คน เปิดร้านอาหารให้คนมีที่พบปะกัน มานั่งกินข้าว นั่งพักผ่อน เปิดห้องสมุด ให้คนมีที่แสวงหาความรู้เท่าที่เขาต้องการ ช่วยเหลือชุมชนที่ผมอยู่ ตามกำลังความสามารถที่ช่วยได้ ช่วยคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้ วันหนึ่งที่เราต้องจากโลกนี้ไป คงมีสักคนที่มีกำลังใจขึ้น จากชีวิตของเรา ก็คิดแค่นี้จริงๆ คิดว่ามันคงง่ายๆมั้ง

มาถึงวันนี้ ผมไม่เห็นอะไรซักอย่าง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยู่ตรงไหนของเส้นทางชีวิต ดูหลักลอย เลื่อนลอย ไม่จริงจังเอาอะไรซักอย่าง ผมมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ชีวิตที่ผมต้องการนี่นา ผมคิดว่า มันไม่ใช่ชีวิตที่พระเจ้าต้องการเห็นด้วยซ้ำ

เรียนไม่จบ โง่ดักดาน งานอย่าว่าแต่ดีเล้ย เรื่องที่อยากมีเงินเยอะๆจะได้ช่วยคนอื่นได้มากขึ้น วันนี้ช่วยตัวเองให้รอดยังแทบแย่ คนรอบข้างเขาจะมีความสุขจริงเหรอ ไม่รู้สิ มีแต่คนเป็นห่วง กับคนที่เห็นเราไม่มีประโยชน์ หรือเอาประโยชน์จากเราล่ะมั้ง เพื่อนๆที่สนิทกันก็แยกย้ายกันหมดแล้ว อย่างว่าละนะ ช่วงชีวิตในเวลานี้ ต่างคนต่างก็มีครอบครัว มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ผมก็ยังลอยๆ เรื่องแต่งงานไม่ต้องพูดถึง อย่าว่าแต่ผู้หญิงจะชอบเล้ย แค่จะมีคนคุยด้วยให้เข้าใจกันยังยากเลย ร้านอาหาร ฝันไปเถอะ ห้องสมุด คงมีแต่หนังสือ สุดท้ายคงได้เอามาชั่งกิโลขาย ชีวิตอย่างนี้ จะช่วยอะไรใครได้สักเท่าไหร่ วันหนึ่ง ผมก็คงจากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆอยู่แล้ว

สำหรับผมตอนนี้ ไม่ว่าจะมองเส้นทางชีวิตเส้นไหน ก็มองไม่เห็นปลายทางสักเส้น ใจก็รู้นะว่าอย่างไรก็คงต้องก้าวเท้าเดินต่อไป จะหยุดอยู่กับที่ แต่เวลาไม่ได้หยุดด้วย เพียงแต่มันเหนื่อย ทางก็ไกลอยู่แล้ว กำลังใจยังน้อยอีก คิดถึงเรื่อง หอยทาก แล้วก็ยังให้อดยิ้มไม่ได้ แม้ว่าทางจะไกล แต่มันก็ยังรู้ว่าปลายทางของมันคือเรือ และมันก็ยังกระดื้บไปกับคู่ของมัน คงเหมือนที่ใครคนหนึ่ง เคยกล่าวไว้ เส้นทางการเดินทางไกลที่สั้นที่สุด คือ เส้นทางที่มีเพื่อนรู้ใจร่วมเดินทางไปด้วย

มีคนเคยแบ่งปันว่า เส้นทางชีวิตคริสเตียน มีคนอยู่ 4 กลุ่ม ที่เราควรมี คู่ครองที่ดี, เพื่อนคริสเตียนที่ดี, ผู้เลี้ยง/ผู้นำ/ผู้ให้คำปรึกษาที่ดี และ คริสตจักร/ชุมชนผู้เชื่อที่ดี หากมีโอกาสเลือก ให้เลือกให้ดี เพราะ 4 กลุ่มคนนี้ จะมีผลกับชีวิตบนโลกนี้ของเราทั้งชีวิต ผ่านมา 10 กว่าปี ผมเรียนรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องเลือกคนกลุ่มต่างๆเหล่านี้หรอก เราเพียงเลือกเส้นทางชีวิตให้ดี ให้ถูกเท่าที่เราจะคิดได้ แล้วเส้นทางของเรากับคนเหล่านั้นจะถูกดึงดูดเข้าหากันและกันเอง การที่เราสนใจเลือกกลุ่มคนก่อน บางครั้งกลับไม่สอดคล้องกับเส้นทางที่เราอยากจะเลือก เพราะบ่อยๆครั้งความผูกพันที่มีต่อกัน ความรู้สึกของเราเองนั่นแหล่ะ ที่ทำให้เราไม่ได้อยากเลือก เส้นทางชีวิต ที่เราควรจะเลือกเสียเอง

Oct 20, 2008

again...

เมื่อเดือน มีนาคม ผมเขียนเรื่อง second chance วันนี้ อยากจะเขียนภาคต่อ (เพื่อเพิ่มอรรถรส ลองย้อนไปอ่านอีกทีก็ได้)

สิ่งที่สงสัยอยู่เสมอ ก็คือ ในโลกแห่งความเป็นจริง คนเราจะมีโอกาสครั้งที่สองได้อีกสักกี่ครั้งกัน
จริงอยู่ว่าพระเจ้าอาจจะให้โอกาสเราใหม่ แต่โอกาสใหม่ทุกครั้งก็มักจะมี ผล จากความผิดพลาดครั้งก่อนปนมาด้วยเสมอๆ

ช่วงนี้เครียดมาก เครียดจริงๆ เป็นร้อนใน ปวดหลัง ปวดหัว ท้องเสีย ครบชุดใหญ่เลย
ที่น่าแปลกคือ สถานการณ์ เหมือนจะกลับมาคล้ายๆ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆ บางเรื่องคล้ายปีที่แล้ว บางเรื่อง 2ปีก่อนหน้า และบางเรื่อง ก็3-4ปีก่อนหน้านี้ รู้สึกเหมือนสอบใหญ่ final project ก่อนจบ อะไรแบบนั้น

พูดตามตรงว่าตื่นเต้น ไม่ได้เครียด จริงจัง เหนื่อย สนุก สุข แฮปปี้ และเปี่ยมด้วยความหวังแบบนี้มานานแล้ว เมื่อเช้ายังนั่งเปรยๆกับพระเจ้าอยู่ว่า รู้สึกชีวิตมันเนือยๆมานาน มันติดๆขัดๆไปหมด แต่ไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย

แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พระองค์ทรงจัดให้ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ผมขอมอบทุกความเป็นไปได้ไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้านะครับ ขอพระองค์ทรงโปรดอวยพระพรแก่ผมด้วยครับ ช่วยให้ผมตอบสนองทุกเรื่องอย่างถูกต้อง ให้ผมได้กลับมาอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า อีกครั้งหนึ่ง เหมือนทุกๆครั้งที่เคยผ่านมา

ปวดหลังว่าแย่... แต่ปวดใจแย่กว่า

ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา เจ็บหลังแบบแปลกๆ ไม่รู้ว่าไปยกของผิดท่ามาหรือเพราะอะไร แต่ปวดมากๆจริงๆ จนเมื่อวานคืนวันเสาร์ มันเปลี่ยนมาปวดแน่นๆแถวๆหัวใจแทน หายใจเข้าลึกๆไม่ได้เลย ปวดมาก

วันนี้ตอนนมัสการก็ปวดมาก ปวดจริงๆ นึกขึ้นมาได้ว่า เคยปวดมากๆอย่างนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว สงสัยว่าเราเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า เราจะหัวใจวายตายไหมเนี่ย พอนึกถึงตรงนี้ ความคิดหลายอย่างก็หลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะกับคำถามที่ว่า หากวันนี้ต้องตายจริงๆ อะไรเป็นสิ่งที่เสียใจที่สุดที่ยังไม่ได้ทำเพื่อพระเจ้า

ผมนึกถึงผู้หญิง 2 คน ผู้หญิงทั้งสองคนนี้เป็นคนที่ผมรักและแคร์มากที่สุด บ่อยครั้งที่ผมทำให้ทั้งสองคนนี้เสียใจ คนนึงแม้จะยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่ผมมั่นใจมากกว่าเธอรักผม เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ส่งผ่านความรักของพระองค์มาให้ผม ส่วนอีกคนนั้นแม้จะรู้จักพระเจ้าแล้ว และเป็นคนที่พระเจ้าใช้สอนผมเรื่องความรัก อีกทั้งยังเป็นคนที่ผมตั้งใจจะใช้เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกันกับเธอ แต่ผมไม่มั่นใจนักว่าตัวเธอเองคิดเหมือนผมหรือเปล่า

จากการปวดใจครั้งนี้ ทำให้ผมขอบคุณพระเจ้าอย่างมาก ผมซาบซึ้งที่พระเจ้าทรงรักผมผ่านทางแม่ผมอย่างมาก ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังสอนให้ผมรักคนอื่น"เป็น" ความรักที่อดทนนานต่อความเจ็บปวด ความรักที่มีความปรารถนาดีให้เสมอ ความรักที่ซื่อสัตย์เชื่อใจกัน ความรักที่ร่วมชื่นชมในสิ่งดีงาม ความรักที่รู้จักการเอาใจใส่กันและกัน ความรักที่จะอยู่เคียงข้างกันเสมอไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ความรักที่พร้อมจะเชื่อในส่วนดี ให้โอกาส และมีความหวังใจในอีกฝ่ายเสมอ

ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมรู้จักคุณค่าของชีวิต ทำให้ผมรู้ว่า อะไร หรือ ใคร คือ คนที่มีคุณค่ากับผมมากที่สุดในชีวิต มากเสียจนไม่สามารถปล่อยให้"เธอ"ไม่รู้จักกับพระเจ้าได้ มากเสียจน ผมจะไม่ยอมปล่อยให้เธอเดินจากไปเหมือนที่เคยเป็นมา ผมต้องมุ่งมั่นทำให้เธอมั่นใจ(โดยเฉพาะการอธิษฐาน)ว่า "ผม" คือ คนที่เธอวางใจว่าจะใช้เวลาของชีวิตที่เหลือกับผม

แม้ว่าสถานการณ์ของชีวิตผมช่วงนี้ ดูเหมือนจะเลวร้ายมาก แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ พระเจ้ากำลังเปลี่ยนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ให้เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว เป็นคนจริงของพระเจ้า ผมเห็นอนาคตและการอวยพรของพระเจ้า ในช่วงเวลาแห่งความมืดมิดนี้อย่างชัดเจน

แม้บางครั้ง เราอาจจะไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของเราที่เกิดขึ้น หรือแม้แต่ไม่ได้มีทางให้เลือกเดินมากนัก แต่ผมเชื่อมั่นว่า อย่างไรเสีย หาก"นั่น" เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากเพียงพอที่เราจะสละทั้งชีวิตเพื่อให้ได้มา ผมคิดว่า "นั่น" คือความรัก เป็นความปีติสุขที่ยิ่งใหญ่ เป็นความหมายของชีวิตที่มากมาย อย่างน้อยก็กับคนๆหนึ่ง เช่น "ผม" จริงๆ

Oct 14, 2008

เพื่อนเก่า...

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิทที่สุดสมัยมัธยมคนนึง
เขารู้ว่า แม่ผมไม่สบาย ก็เลยฝากอาหารเสริมไปเยี่ยมแม่...
(มองในแง่ดี คงไม่ค่อยมีใครรู้ว่า แม่ผมไม่สบาย หรือจะบอกว่า ผมรู้จักคนในโบสถ์ไม่เยอะดีนะ ช่างเหอะ พระคัมภีร์ก็เขียนอยู่แล้วชัดเจนว่า ความรักของคนจะเยือกเย็นลง)

ไม่ได้เจอกัน 10 ปี แม้มิตรภาพ ความสนิทใจ เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่บางสิ่งเปลี่ยนไป...

ผมพบอย่างหนึ่งว่า ระดับความจริง ความสมเหตุสมผลในชีวิตของผม มันต่างจากเพื่อนผมเยอะมากๆ... ผมน้อยกว่าเขาเยอะ

เรานั่งคุยกันหลายอย่าง หลายเรื่องที่เขากลับเป็นฝ่ายเเนะนำผม และผมเองก็ยอมรับฟังแต่โดยดี (เข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมคนที่โบสถ์หลายคนบอกว่าผมไม่ค่อยฟังใคร)

ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าฟังและตอบคำอธิษฐานของผม ให้ผมได้เจอเรื่องจริง ชีวิตจริงของคน (นึกแล้วก็ขำ มีบางคนบอกว่า พระเจ้าไม่ช่วยเหลือผม เขาก็คงช่วยไม่ได้.. ไม่เป็นไร ไม่ต้องช่วยก็ได้) ไม่ใช่แค่เพื่อนคนนี้ แต่หลากหลายผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาให้ผมได้เรียนรู้ในช่วงสั้นๆช่วงนี้

ท้ายสุดก่อนแยกย้ายกันไปทำภารกิจของแต่ละคน เราคุยกันเรื่องชีวิตครอบครัว เพื่อนผมก็เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขาประสบอยู่ และสรุปด้วยประโยคที่ว่า "แต่งงานก็ดี จะได้เป็นกำลังใจให้กัน ช่วยกันทำมาหากิน"

ตบท้ายด้วยเมื่อวาน ที่ไปเจอพี่อีกคนนึง "ชีวิตแต่งงานก็ดี เวลาทุกข์ ทุกข์ครึ่งนึง เวลาสุข สุขสองเท่า"

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเพื่อนเก่าเหล่านี้ ที่ไม่เพียงนำความสมจริงของชีวิตมากระแทกชีวิตของผม แต่ให้ผมได้เห็นข้อดีข้อที่ 4 ของการมีชีวิตคู่ คือ การเป็นกำลังใจให้กันและกันในการดำเนินชีวิต ทั้งในเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบาก และเวลาแห่งความสุขใจ... นั่นสินะ อยู่กับพระเจ้าคนเดียว ยังดีขนาดนี้ แล้วถ้าอยู่กับอีกคนนึงด้วย จะยิ่งดีกว่านี้ขนาดไหน ^^

pursuit of happYness

It was right then that i started thinking about Thomas Jefferson...

the declaration of Independence and the part about our right to life, liberty and the persuit of happiness.

and i remember thinking, how did he know to put the "pursuit" part in there?

that maybe happiness is something that we can only pursue.
and maybe we can actually never have it.

no matter what... how did he know that?

- Chris Gardner, "the pursuit of happyness" -

เป็นหนังที่ชอบมากๆที่สุดอีกเรื่องนึง ไม่รู้เหมือนกันว่า เร็วๆนี้ ช่วงหนึ่งของชีวิตจริงของผม จะเป็นเหมือนกับชีวิตจริงของ Gardner หรือไม่
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมรู้ว่า พระเจ้าให้ผมสามารถแสวงหาสันติสุขของพระเจ้าได้
ใจผมยังคงสงบมั่นคง ขอบคุณพระเจ้าที่ฝึกผม ผมผ่านมันไปได้แน่ครับ

Oct 9, 2008

ใครๆก็ชอบพูดว่า...

ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมเป็นคนมีศักยภาพ
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมตั้งใจดี
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมทำงานช้า ทำงานไม่เป็น
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมชอบทำตามใจตัวเอง
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมไม่ยอมโตซะที ไม่มีความรับผิดชอบ
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมเจ้าชู้ ชอบหว่านเสน่ห์ให้สาวๆ
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมเป็นคนไม่มีอนาคต
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมเป็นพวกท่าดีทีเหลว เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
ใครๆก็ชอบพูดว่า มันช้าไปแล้วที่ผมจะเริ่มต้น หรือ ประสบความสำเร็จได้
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมช่างฝัน ไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง

และอื่นๆอีกมากมาย...ที่คนเขาชอบพูดถึงผมกัน

มีไม่กี่คนที่จะเดินมาพูดกับผมตรงๆในประเด็นข้างต้น
ส่วนใหญ่คนที่มาพูด ก็จะมาพร้อมประโยคที่บอกว่า ฉัน/พี่/ผม รู้จักอาร์ทธจริงๆ รักนะเนี่ย เป็นห่วงหรอก ถึงได้บอก

ผมรู้สึกซาบซึ้งใจในความรัก ความห่วงใย (อาจจะมีบ้างที่เขาสมเพชผม) อุตส่าห์มาบอกเล่าสิ่งที่เป็นห่วงให้ผมรู้สึกสำนึกตัวเอง
.
.
.

ผมไม่รู้หรอกนะว่า คนเขาเห็นอะไร เขาถึงบอกว่าผมมีศักยภาพ แล้วไอ้ศํกยภาพนี่หน้าตามันเป็นยังงัย แต่ผมก็ชอบคำนี้นะ ถึงขนาดเอามาตั้งชื่อตัวเอง ก็คงชอบจริงๆ แต่จะดีกว่านี้นะ ถ้าศํกยภาพที่ผมมี ที่ใครๆเขาก็เห็นกัน เขาจะช่วยผมเปลี่ยนมันให้เป็นความสามารถ

แล้ว ไอ้ความตั้งใจดีเนี่ย คืออะไรเหรอ จะรู้ไหมว่า ผมไม่ได้เป็นคนมีความตั้งใจสูงส่งอะไรนัก ชีวิตนี้ที่มีก็อยากใช้ให้ดีที่สุด ผมคงไม่พูดว่า ผมจะมีผลกับคนทั้งโลก แต่ก็คงไม่เห็นแก่ตัวจนไม่คิดจะทำอะไรเพื่อคนอื่นเลย คนเราเกิดมาร่วมโลกใบเดียวกัน จะดีจะชั่วยังงัย เราก็เป็นคนเหมือนๆกัน มีอะไรช่วยได้ก็ช่วยกันไป พระเจ้าก็ยังทรงให้ฝนตกแก่ทุกคน
ถ้าเห็นว่าผมเป็นคนตั้งใจดีจริงๆก็ขอบคุณ แต่จะดีกว่านี้ ถ้าช่วยให้ผมทำสิ่งที่ผมตั้งใจไว้ให้สำเร็จได้ด้วย

จริงๆแล้วผมน่ะ รักสบายจะตาย ในงาน 1 ชิ้น ผมไม่ใช่คนที่จะทุ่มเททำกับมันอย่าง หมด แรงโดยไม่จำเป็น งานทุกอย่าง มันมี จุดวิกฤต มันมีเรื่องสำคัญ มีเรื่องที่ยากจริงๆ ถ้าทำถูกจุด ป้องกันได้ งานเสร็จเร็ว ปัญหาไม่เกิด แต่แน่นอนว่า คงต้องใช้เวลาบ้างในการทำความรู้จักกับงาน นายเก่า เคยสอนเอาไว้ว่า speed and reliable, not slow but sure มันเป็นศิลป์ในการทำงานระหว่างความเร็วและผลงาน ชีวิตคนเรามีหลายเรื่อง หลายอย่าง โลกนี้กว้างนัก มีเรื่องให้เราเลือกทำได้เยอะแยะมากมาย ขอโทษจริงๆ ที่ผมสนใจเฉพาะเรื่องที่ผมสนใจ และประณีตกับงานที่ผมทำ ขอโทษจริงๆที่ความเร็วในการก้าวของผมเป็นพวกม้าตีนปลาย
ขอโทษจริงๆที่ผมไม่มีความสามารถบอกเล่าสิ่งที่ผมคิดให้คนอื่นเข้าใจได้ทั้งหมด ผมคิดแค่ว่าหากผมทำเสร็จ วันหนึ่งหลายๆคนคงเข้าใจ อีกหลายคนคงได้รับการหนุนน้ำใจ และอีกหลายคนคงเห็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต แต่ดูเหมือน ผมจะไม่มี โอกาส ที่จะทำมันให้เสร็จล่ะมั้ง

ที่ผ่านมา ผมพยายามมาก พยายามเป็นคนดี พยายามเชื่อฟัง (ในสิ่งที่ผมไม่เชื่อ เเละผมคิดว่าไร้สาระมาก) แต่ดูเหมือนทั้งหมดทั้งสิ้น ก็คงจะเป็นได้แค่ความตั้งใจดีๆในสายตาของใครๆ และก็เป็นผมเองที่ต้องรับผลที่เกิดขึ้นตามมา เพียงลำพัง
สุดท้าย ไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็โดนมองไม่ดีอยู่แล้ว พระเจ้าก็ไม่เคยได้รับเกียรติผ่านชีวิตผมอยู่แล้ว

หากยังคงคิดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม อนาคตที่มีแน่ๆ ท่าทางจะไม่มีแน่เหมือนที่ใครๆชอบพูดกัน ถ้ามัวแต่จะทำให้ถูก ให้คนอื่นๆพอใจ ท่าทาง พ่อแม่ผมคงไม่ได้รู้จักพระเจ้าแน่ ความรักที่ผมมีให้กับผู้หญิงคนเดียว ก็คงต้องจำใจถูกกระจายให้คนอื่นอย่างเสมอภาค ชีวิตก็คงแวดล้อมแต่คนที่เป็นเด็ก แคระแกรนบิ้วเบี้ยวไม่สมประกอบอย่างนี้อยู่เรื่อยไป

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เป็นตัวของตัวเองในการทรงสร้างของพระเจ้าดีกว่า (อยากเห็น โลกแห่งความจริงใช่ไหม เด่วจัดให้ เหอเหอเหอ)ใครเขาจะพูดอย่างไรก็คงห้ามเขาไม่ได้ แต่จากนี้ ก็คงต้องเจอแรงเสียดทานอีกแยะเยอะแน่ๆ เอาเถอะ ขอแค่วันสุดท้ายแค่คนเดียว พูดกับผมว่า "ดีแล้ว เราพอใจเจ้ามาก" ก็พอละ

Sep 26, 2008

Do the right thing, Not do the things right

คนเราหลายคน ชอบทำนู่นนี่นั่น เพราะเชื่อว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน
บางคนไม่ได้เชื่ออย่างนั้น แต่ก็ยังทำอะไรหลายอย่างอยู่ดี เพราะคิดว่าอยากจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับที่เกิดมา

คนเราเกิดมาต่างกัน มีความถนัด มีความสามารถ พื้นเพ ความสนใจ และ ความฝันแตกต่างกันไป แต่ละคนเหมาะจะทำแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนล้วนมีคุณค่า มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ในความเป็นคน เท่าเทียมกัน... เราทุกคนต่างก็มี สิทธิ ที่จะแสวงหาความสุขให้ชีวิตของตัวเองเป็นพื้นฐาน

ความสุขของบางคนเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง บางคนเอาคนอื่นเป็นที่ตั้ง ขณะที่บางคนเอาสังคมเป็นที่ตั้ง

บางที การพยายาม ทำสิ่งต่างๆให้ถูก อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าจะฝืนเกินไปหรือเปล่า ในการดัดปรับแต่งเติมเสริมเปลี่ยนให้สิ่งต่างๆเป็นได้ดั่งใจเรา

การเปลี่ยนหนึ่งเรื่องที่มันลงตัวกันเองอยู่แล้ว ให้เป็นตามใจเรา ก็อาจจะเป็นการเริ่มต้นเปลี่ยนลวดลายจิ้กซอร์ของภาพชีวิตเราทั้งหมด เพื่อให้มันลงตัวใหม่ก็ได้

แม้วันนี้ ผมเองยังมีความฝัน ยังมีความหวัง ยังเชื่อในความรัก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากชีวิตนี้ ก็คือ จงเลือกทำในสิ่งที่ถูกเสมอ ทำในสิ่งที่จิตสำนึกแห่งความเป็นคนของเราไม่ฟ้องว่าผิด ทำในสิ่งที่มโนสำนึกบอกว่าถูก ต่อตัวเอง ต่อผู้อื่น แล้วชีวิตเราจะพบคำว่า สันติสุข

คนเราสามารถกลับใจใหม่ได้เสมอ เราสามารถเลือกกลับมาทำในสิ่งที่ถูกต้องได้เสมอ เราไม่จำเป็นต้องทำให้สิ่งต่างๆมันถูก หากสิ่งที่เราทำมันคือสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว

Sep 24, 2008

ทางแยก

ชีวิตคนเรานี่มีทางแยกมากมายหลายทางนะ คุณคิดเหมือนผมไหม ทั้งที่จุดเริ่มต้นของทุกเรื่อง เรามีทางแยกอยู่แค่ 2 ทาง
จะทำตามความจริง หรือ จะทำตามใจตัวเอง

ชีวิตคนเราก็แปลกดี ยิ่งรู้เหมือนยิ่งไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างไร ชีวิตก็ยังก้าวเดินต่อไป เวลายังคงเดินทางผ่านเราไปทุกวินาที

แต่ถ้าเราไม่เลือกซักทาง ชีวิตก็คงจบอยู่ที่ตรงแยก ไม่ไปไหน
ถ้าเลือกแล้วย้อนไปย้อนมา ชีวิตก็คงไปไม่ถึงไหน เช่นกัน

สามสิบปีที่ผ่านมา บนโลกใบนี้ ผมคิดว่า ผมพอแล้วกับคำว่า "ยังงัยก็ได้" มันอาจจะดูสายไปซักหน่อย กับการเริ่มต้นเส้นทางชีวิตในวัยสามสิบ สำหรับคนในยุคนี้

แต่วันนี้ ผมตอบตัวเองได้ชัดเจน ว่าผม ต้องการใช้ชีวิตอย่างไร ต้องการทำงานแบบไหน ต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้กับใคร มันคงไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะสมหวัง แต่ อย่างน้อย การได้หวังและมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อให้ได้มันมา มันก็เป็นชีวิตที่เราเลือก และยินดีรับผิดชอบกับทุกผลที่อาจเกิดขึ้น ด้วยตัวของเราเอง

Sep 21, 2008

Dear God,

พระเจ้าครับ
ผมอยากจะขอบคุณพระเจ้านะครับ
ที่วันนี้พระเจ้าได้ให้ผมมีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกของความสุขของคำว่ารัก
ได้เข้าใจว่าการกระทำที่เหมือนๆกัน แต่ทำไมบางคนถึงทำได้ดีกว่าคนอื่น
พระเจ้าครับ แม้ว่าชีวิตผมจะไม่ได้มีอะไรมาก อาจจะมีแค่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว
แต่ว่านี่ก็คืออาหารทั้งหมดที่ผมมี
หากผมให้พระองค์เสีย ผมก็คงไม่มีกินแล้วหล่ะ

ความฝัน ความสนใจ ความทะเยอทะยาน ทั้งหมดก็คงทำไม่ได้

ที่ผ่านๆมา พระเจ้ามักจะ ขอ ให้ผมมอบให้พระองค์
บางอย่างผมให้ง่าย บางอย่างก็ให้ไม่ง่าย ยิ่งเห็นว่าสำคัญ ก็ยิ่งให้ยากขึ้น

แต่วันนี้ พระเจ้า ไม่ได้ขออะไรจากผมเลย ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอีกบทเรียนที่ให้ผมได้เรียนรู้จักน้ำพระทัยของพระองค์

พระเจ้าครับ ผม ยอมรับ กับพระองค์จริงๆ ว่าวันนี้ ผมยิ่งเห็นหลายๆต่อหลายอย่างในตัวเธอ ที่ผมคิดว่าเหมาะกับผมดี
ทั้งสไตล์ ความคิด ระดับคิด และ ทิศทางชีวิต
ผมยิ่งเห็นคุณค่าเธอ ที่สำคัญ ผมยิ่งรู้ตัว ว่าผมรักเธอ เสียแล้ว

แต่พอมองอีกด้านหนึ่ง ผมก็เจียมตัวเองนะครับ

ขอบคุณมากนะครับ ทั้งก่อนหน้าที่เราจะรู้จักกัน และเวลาอีก 13 ปี ที่รู้จักกัน ขอบคุณครับที่สอนให้ผมรู้จักคำว่ารัก
ขบคุณครับ

Sep 17, 2008

ช่วยกัน

เมื่อวันอาทิตย์ ได้อ่านพระคัมภีร์ตอนหนึ่ง กล่าวถึง สามี-ภรรยาคู่หนึ่ง ขายของได้เงินมาเยอะ แต่กลับบอกว่าได้น้อยแล้วเอามาถวายพระเจ้า ซึ่งทั้งคู่ต่างก็รู้เห็นเป็นใจกัน ก็ต้องรับผลกันไป
มีน้องคนหนึ่ง พูดว่า เป็นสามี-ภรรยากันแล้วก็ไม่ท้วงติงห้ามปรามกันเลย กลับสนับสนุนเป็นใจให้ทำผิด ไม่เสริมในทางดีต่อกันเลย อย่างนี้อย่าแต่งงานเสียดีกว่า ฟังแล้วก็ขำแต่ก็เออ จริง

ตกเย็นวันนั้นมีสอบวัดความเข้าใจพระคัมภีร์ ยากมาก ตั้งแต่อยู่ที่โบสถ์มา 10 กว่าปี ไม่เคยทำข้อสอบที่ยากอย่างนี้มาก่อนเลย ทำไปทำมาก็เลยออกมาเข้าห้องน้ำ เห็นอีกห้องหนึ่งที่นั่งสอบอยู่ มีอยู่โต๊ะหนึ่ง เขานั่งกันสองคน อ้าวเขาเป็นสามีภรรยากันนี่นา โอ้ว มีอย่างนี้ด้วย ข้อดีข้อแรกของการชีวิตคู่ คือ มีคนช่วยกันคิด

เมื่อวาน ไปพบลูกค้า ตอนกลางวันก็แวะกินข้าวกับเพื่อนที่ไปด้วยกัน เธอถามว่า ขนมจีนที่ผมซื้อมากินอร่อยไหม ถ้าอร่อยจะซื้อไปให้สามีกินด้วย ตึง!!! มีงี้ด้วย ข้อดีข้อที่สองของการชีวิตคู่ คือ มีคนช่วยกันเป็นห่วงเป็นใย

เช้านี้ นั่งกินข้าวที่ ที่ทำงาน กำลังอิ่มๆ ก็เห็น ไก่... ไม่รู้จะอธิบายท่าทีท่าทางของพวกมันอย่างไร
เจ้าไก่แจ้ตัวผู้ ก็ก้มหัวลง ยืนนิ่งๆ ผมก็งง มันทำอะไร แล้วเจ้าไก่ตัวเมียก็เดินมา จิกเข้าไปหนึ่งที ไก่ตัวผู้ก็ยืดหัวขึ้นมาเดิน ทำอยู่อย่างนี้ 2-3 ครั้ง ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน แต่เข้าใจว่า ถ้าไก่ตัวเมียไม่ได้ช่วยจิกพวกเเมลงเล็กๆให้ไก่ตัวผู้ มันก็คงกำลัง จิก ให้ไก่ตัวผู้ที่ เผลอหลับ ตื่น น่ะแหล่ะ โอ้ววว... ข้อดีข้อที่สามของการชีวิตคู่ คือ มีคนช่วยกันดูแล

นับข้อดีได้ครบเจ็ดข้อเมื่อไหร่ คงต้อง ช่วยกัน มาอยู่ด้วยกันแล้วหล่ะ เนอะ ^^

Sep 14, 2008

ความถ่อมใจ

เมื่อเช้าเพิ่งจะส่งเมลไปขอคำปรึกษาพี่กอล์ฟ
เมื่อกลางวันเพิ่งจะได้ไปเปิดหูเปิดตา นั่งฟังสัมนาการเลี้ยงเด็กให้เป็นอัจฉริยะ
เย็นนี้ นิยมเรียกเข้าไปคุยเพื่อขยับตำแหน่งงานกลับมาเป็นผู้ช่วยส่วนบุคคลซะอย่างงั้น

พระเจ้าครับ ผมไม่เข้าใจพระองค์จริงๆนะเนี่ย
วันที่ผมยังงัยก็ได้ พระองค์ก็ไม่เอายังงัย แต่พอผมเลือกจะเอายังงัย พระองค์ก็ดูเหมือนจะให้ไปอีกทางหนึ่ง

การละวางสิ่งที่เราเห็นว่าดีที่สุดในระยะยาว เพื่อวันนี้ อาจเป็น ความถ่อมใจ กระมัง ที่พระเจ้าต้องการบอกเรา

Sep 13, 2008

ดูหนังดูละครย้อนดูตัว...จาก Handcock ถึง death race

ช่วงนี้เหมือนร่างกายส่งสัญญาณทางเทคนิค ถึงความไม่ปกติในการดำเนินชีวิต
ไม่รู้จะเล่ายังงัยเหมือนกัน รู้สึกเหมือนตัวเองโง่ลง ฉลาดน้อยลง หงุดหงิดง่ายขึ้น (ชอบ)อยู่คนเดียวมากขึ้น...

วันนี้หลังเลิกงาน ปวดหัวมากๆ ก็เลยไปนั่งหลับที่เอสพลานาดสักพัก (บ้านช่องไม่มีให้กลับ น่าสงสาร --')
ตื่นมากินข้าวแล้วก็เลยแว้ปดู death race ระหว่างเรื่องก็สนุกระดับหนึ่ง
แต่ที่ชอบที่สุดคงเป็นบทพูดของนักแสดงนำชายมากกว่า
...จริงๆนะ ผมคิดว่า คนที่ชีวิตคุ้นเคยกับความชั่วร้าย เมื่อมีคนคนหนึ่งที่เชื่อในส่วนดีของเขา นั่นก็มากพอที่จะเป็นกำลังให้เขากลับใจใหม่ ตั้งใจดำเนินเติบโตต่อไปในความดี และถ้าเขาสูญเสียคนๆนั้น ก็พูดต่อยากนะ
อีกประเด็นหนึ่ง คงเป็นฉากจบ
ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะเป็นพ่อที่พร้อมจะดูแลลูกของผมหรือเปล่า แต่ที่ผมรู้ คือผมรักลูกของผมมากที่สุดในโลกกว่าใคร และนั่นคือเรื่องที่สำคัญ...

ก่อนหน้านี้ ไปดู wall-E กับ ขิง ดูจบแล้วขิงพูดติดตลกว่า เรื่องนี้คนเขียนบทคงมีชีวิตจริงไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ คนทึ่มๆ เฉิ่มๆ ก้มหน้าก้มตาเก็บขยะ ใครเขาไปดาวดวงไหนกันหมดแล้ว หรือไม่ก็เลิกทำกันหมดแล้ว หมอนี่ก็ยังทำต่อไป รื่นรมย์กับสิ่งรอบๆตัว เหงาๆอยู่คนเดียว
แล้วก็ไปแอบหลงรักสาวไฟแรงสูง โฉบเฉี่ยว ทันสมัย มั่น สวย เก่ง ฉลาด
ใครดูแล้วคงพอรู้ว่า ความทุ่มเทของ wall-E สูญเปล่าเพียงใด เนื่องด้วยสาว Eve ไม่เคยรับรู้ถึงสิ่งที่ Wall-E ทำให้
เรื่องนี้ คนสร้างตั้งใจให้เป็นหนังรักคลาสสิค จบอย่างมีความสุข แต่ชีวิตจริง สิ่งที่หวังคงไม่ง่ายที่จะเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ชีวิตจริง...
Eve ยังมีหุ่นรุ่นใหม่ option ครบ function เฉพาะอันแสนเร้าใจรายล้อมอยู่เพียบ
wall-E อย่างผม ก็คงต้องเก็บขยะต่อไป ก็หวังว่า ซักวัน ต้นไม้นั้น ก็คงทำให้ Eve ดีใจได้
หวังว่าซักวัน ความรักจะทำให้ชีวิตของ Wall-E และ Eve สมบูรณ์... เอาน่า อย่างน้อย เธอก็มีความสุขดีนี่นา

ก่อนหน้านั้น ก็คงเป็นเรื่อง Handcock ฮีโร่พันธุ์ประหลาด ผู้ช่วยเหลือที่ไม่มีคนชอบขี้หน้าเอาเสียเลย ก็แหงล่ะ เวลาที่คุณไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองเป็นใคร คุณจะรู้สึกอย่างไร เวลาที่คุณทำเพราะปรารถนาดีกับคนอื่น แต่สิ่งที่คุณได้รับกลับมา คือ การขับไล่ไสส่ง ไม่มีแม้ความรู้สึกว่า ขอบคุณ
มันก็อดรู้สึกนึกถึงตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้น้อยใจอะไรมากมายหรอกนะ ชินแล้วแหล่ะ
ประเด็นคงเป็นเรื่องของการที่ฝ่ายชายเสียสละ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง จะกี่หน จะนานเท่าไหร่ เขาก็ยังยืนยันจะเสียสละความรักของเขาที่มีต่อฝ่ายหญิง เพื่อให้ฝ่ายหญิงมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง
ฟังๆแล้วอาจไม่เข้าใจ ลองไปหาหนังมาดูเองละกันนะ

ความรักนี่ก็แปลก เมื่อปีก่อน ผมยังมั่นอกมั่นใจว่าเราควบคุมความรักได้ เราสั่งให้ใจของเรารักใครก็ได้ แต่วันนี้ ผมรู้แล้วว่า สิ่งที่ผมเคยคิด อาจจะจริง แต่ยังไม่ครบ

พระเจ้า ทรงเป็นความรัก
พระองค์ทรง เติม ให้เรา เต็ม ด้วยพระองค์เองฉันใด ความรัก ที่แท้จริง ก็จะเติมใจเราให้เต็มฉันนั้น
ความรักเช่นนั้น คงไม่ได้เจอกันง่ายๆ จนพอจะสั่งให้ใจของเรา รัก ให้ได้หรอกนะ

Aug 24, 2008

ฝัน ?

เมื่อเช้า นอนเปื่อยๆอยู่ ก็นึกถึงหน้าใครบางคนที่เคยยิ้มให้ จำได้ว่าในฝัน เรายิ้มมีความสุขดี

นึกถึงเมื่อครั้งหนึ่งที่นอนป่วยอยู่ที่ขอนแก่น คนคนหนึ่งที่อยู่เช็ดตัวให้จนไข้ลด

คนคนหนึ่ง ที่ยืนมองพระอาทิตย์ตกบนยอดตึกด้วยกัน

คนคนหนึ่ง ที่มีวิธีการเตือนได้น่ารักน่าฟังยิ่งนัก

คนคนหนึ่ง ที่มานั่งเป็นเพื่อนตอนที่ร้องไห้อยู่คนเดียว

คนคนหนึ่ง ที่นั่งเล่าสู่ความฝันให้ฟังกันและกัน

คนคนหนึ่ง ที่พยายามจะลืม แต่ไม่เคยทำได้เสียที

คนคนหนึ่ง ที่คุยกันเมื่อไหร่ ความรู้สึกที่มีให้ก็เหมือนเดิม

คนคนหนึ่ง ที่ชีวิตวนกันไปเวียนกันมาอยู่เป็นระยะๆ

คนคนหนึ่ง ที่คำสัญญายังคงเป็นคำสัญญาเสมอ


ปีที่แล้ว มีเพื่อนคนหนึ่งเคยถามว่า 9 ปีที่ผ่านมา ไม่มีความหมายอะไร ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ
มีสิ มีความหมายมากทีเดียว และก็รู้สึกมากด้วย เสียดายมาก แต่ตอนนั้นก็แค่คิดว่า คนไหนก็ได้ที่รักกัน ที่จะไปด้วยกัน เดินรับใช้พระเจ้าไปด้วยกัน
ก็ถวายให้พระเจ้า ตัดใจไป เราบังคับใจใครไม่ได้อยู่แล้ว
ที่สำคัญ ความรู้สึกว่า เสียดาย กำลังสะท้อน ว่าเราให้สิ่งที่เรารัก เราเห็นคุณค่ากับพระเจ้าที่เรารัก
ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมรู้ว่า ผมรักพระเจ้าที่สุด รักพระองค์มากกว่าคนที่ผมรักมากที่สุด


วันหนึ่ง เมื่อรู้ซึ้งถึงคำว่า ความรักความผูกพัน ดูเหมือนอะไรต่อมิอะไรมันก็ล่วงเลยผ่านไปมากแล้ว
ถ้าหากเราย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้คงดี

ไม่ว่าพยายามจะบอกตัวเองอย่างไร บอกคนรอบข้างอย่างไร ความจริงก็ยังคงเป็นความจริง เรื่องจริงของความรัก ที่เราบังคับฝืนมันไม่ได้ ความรักยังคงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันออกแบบตัวของมันเองเสมอ

ตื่นจากฝันครั้งนี้ อยากจะลงมือสร้างฝันครั้งใหม่ อยากจะร่วมสร้างฝันกับคนคนหนึ่ง... คนนั้น

Aug 23, 2008

เล็ก เหลา ชิ้น ตก เปื่อย

หมดแรงจะคลานแล้วว่ะ

ทำไม

อะไร

ยังงัย


มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเนี่ย

รู้สึกเหมือนได้กลับมายืนที่เดิมเลย ยืนที่เดิม เงียบๆ คนเดียว

Aug 22, 2008

แต่งงาน ?

เคยคิดอยากแต่งงานมาก็หลายครั้ง แต่ละครั้งก็จริงจังขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่รู้สึกถึงความจริงจังและรุนแรงเหลือหลาย
สถานการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นอย่างเจาะจง ให้คิดถึงเรื่อง คู่อุปถัมภ์

ไม่น่าเชื่อว่าเราจะโตขึ้นได้ขนาดนี้ นิ่งได้ขนาดนี้ แรงกดดันมีผลดีต่อการสร้างชีวิตคนจริงๆ

เมื่อวันก่อน นั่งคุยกับน้องคนหนึ่ง บอกเขาไปว่า ความสับสนวุ่นวาย ทำให้คนเก่งขึ้น แต่ความนิ่งสงบ ทำให้คนเติบโตขึ้น (แต่เราก็ไม่ได้บอกไปหรอกนะว่า บ่อยครั้ง การนิ่งสงบนั้น เกิดขึ้นภายใต้สภาวะแรงกดดันแบบสุดๆ)
... จริงๆนะ ก้อน carbon ธรรมดาๆก้อนหนึ่ง ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า "ถ่าน" แต่ถ้า เอาถ่าน ธรรมดาๆก้อนนี้ กด อัด บีบ หลอม อยู่ภายใต้สภาวะแรงกดดันหนักๆเป็นเวลานานเพียงพอ สุดท้าย เราจะได้ เพชร ก้อนหนึ่ง
ถ่านยิ่งก้อนใหญ่ ก็ยิ่งใช้เวลานาน ชีวิตยิ่งใหญ่ ก็คงใช้เวลานานไม่ต่างกัน

อีกวันคุยกับน้องอีกคน เรื่อง แนวคิด การสร้างชีวิตคน ด้วยภาพเปรียบเทียบของต้นไม้
ต้นไม้มี 2 ลักษณะ คือ ไม้ยืนต้น กับ ไม้ล้มลุก
ไม้ล้มลุก ขึ้นง่าย ให้ผลเร็ว แต่อายุไม่ยืน และมักไม่สามารถเป็นร่มเงาบังแดดฝนให้ใครได้ ขณะที่
ไม้ยืนต้น โตช้าหน่อย แต่เมื่อโตแล้ว ก็เป็นร่มเงาให้นกกามาอาศัยทำรังอยู่ได้มากมาย

และต้นไม้ก็มีการเติบโต 2 แบบ คือ ไม้ป่า กับ ไม้ปลูก
ไม้ปลูก คือ ต้นไม้ที่เราปลูกขึ้น ดูแล ให้น้ำ ค้ำยัน ทำร่ม เรียกว่า ประคมประหงมกัน เพื่อมั่นใจได้ว่า โตแน่ ขณะที่
ไม้ป่า คือ ไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มีเพียงการยืนหยัดของตัวมันเอง กับ การช่วยเหลือจากฟากฟ้าเท่านั้น (แถวบ้าน พ่อชอบเรียกว่า ปลูกแบบฝากเทวดาเลี้ยง เหอ เหอ เหอ)

ชีวิตคนเราก็เรียนรู้จากต้นไม้ได้ คนเราย้ายที่ย้ายทางบ่อย ก็ไม่ต่างจากไม้ย้ายดิน ถ้าเป็นไม้ล้มลุกก็ไม่เป็นไร แต่ไม้ใหญ่คงลำบากหน่อย ความแข็งแรง ความมั่นคง คงต้องใช้เวลา
คนที่โตมาแบบไม้ปลูก ก็มักคิดว่า ชีวิตคนเราสร้างได้ออกแบบได้ ซึ่งก็จริงส่วนหนึ่ง แต่บางเรื่อง เราก็ออกแบบไม่ได้ เช่น ความรัก ความรักออกแบบตัวของมันเอง ^^
แต่คนที่โตมาแบบไม้ป่า รากจะแข็งแรงกว่า แผ่ขยายและลงลึกกว่า เพราะต้องหาน้ำ หาอาหารเอง และเวลาเจอพายุ ก็ไม่มีอะไรให้คอยพยุงชีวิตเอาไว้
ไม้ป่า อาจมองไม่สวยเหมือนไม้ปลูก แต่ช่างไม้รู้กันดีกว่า เนื้อไม้ภายในของมัน แข็งแรงและสวยงามมากเพียงใด

ไม้ป่าที่กำลังยืนต้นอย่างผม คงไม่เหมาะกับ ไม้ปลูก หรือ ไม้ล้มลุก เท่าไหร่
แม้จะมองไม่ค่อยเห็นทาง แต่ก็วางใจพระเจ้าว่า พระองค์จะทรงเป็นหนทางให้เราได้มั่นใจ และเมื่อถึงเวลา ความไม่พร้อม ของเรา ก็จะกลายเป็น ความพร้อม สำหรับการใช้ชีวิตคู่กับอีกคนหนึ่งได้

Aug 8, 2008

ไปช้าๆ... ไวที่สุด

เมื่อวานนี้ เกิดอุบัติเหตุอีกแล้ว
เอารถน้องอีฟ ไปเอาของแถวราม แล้วก็ต้องรีบบึ่งไปบางนาต่อ
ขณะลงจากสะพานข้ามคลอง พอหลุดโค้งมา รถคันหน้าเราก็เร่ง เราก็เร่งตาม แล้วเขาก็เบรกกกกกก !!

เราก็เบรก เหมือนจะเบรกทัน เข้าใจว่ารถคงใส่ของมาหนัก มันก็เลยมีแรงโถมไปข้างหน้า กระจังหน้าแตก โลโก้หลุดไปเลย
เขาก็ดี รีบออกมาขอโทษยกใหญ่ เขาก็บอกว่า มีมอไซค์ตัดหน้าเขา เขาจึงต้องรีบเบรกอย่างกระทันหัน

สักพักใหญ่ๆ ประกันมาถึง เรากลายเป็นฝ่ายผิดซะงั้น เพิ่งจะรู้ว่า ถ้ามาเลนเดียว รถขับตามหลัง ชนเขา อย่างไรก็ผิด T_T

กลับมา ก็ขับไปให้เพื่อนที่อู่ดูตีราคาค่าซ่อม เฮ้อ... เเหนื่อยสุดๆ แต่ก็ยังเห็นพระพรของพระเจ้านะ เพราะถ้าชนสูงกว่านี้อีกไม่กี่มิล ก็จะโดนฝากระโปรงหน้าด้วย นั่นหมายถึง อย่างน้อยอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท

เคลียร์เรื่องรถเสร็จ ก็มานั่งตอกไม้ ทำชั้นวางของ กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน เตรียมใจไว้ตั้งแต่รถชนแล้วว่า คงได้ทำคนเดียวแหงๆ จริงๆ ตั้งแต่รู้ว่าต้องไปเอาของแทรกเข้ามา ก็พอประเมินได้ว่าเวลาทำชั้นคงเลื่อน คนที่นัดไว้ก็อาจไม่ว่าง... จริงตามนั้น

นั่งทำไป นึกถึงเรื่องที่เจอ และเรื่องที่กำลังคิดอยู่ในใจ ก็เข้าใจแนวคิดเรื่อง เวลาของพระเจ้ามากขึ้น
มนุษย์อย่างเราๆท่านๆ มีเหตุมีผลคิดอะไรเยอะแยะ ทำนู่นนี่นั่นมากมาย เราก็เลยต้องเร่งรีบทำให้ไว เพื่อจะทำให้ได้เยอะ

แต่

หลายเรื่อง หลายครั้ง การค่อยเป็นค่อยไป การไปอย่างมีเสถียรภาพ กลับเป็นการใช้เวลาที่น้อยที่สุด
การที่เรารีบเร่งทำทุกเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่ได้แปลว่า ภาพรวมการใช้เวลาจะน้อยที่สุด

... ต้นไม้ การเร่งให้มันมีผลไวๆ อาจจะทำได้ แต่จะคาดหวังว่า ผลนั้นจะหอมหวานอร่อย คงจะยาก

นึกถึงที่พ่อเคยสอนไว้... "ช้าเสียการ นานเสียกิจ" ต้องใช้คู่กับ "ช้าๆได้พร้าสองเล่มงาน"

(สำหรับบางเรื่อง)ไปช้าๆน่ะ... ไวที่สุด

Jul 31, 2008

ระทึก

เมื่อวันก่อน อยู่ดีๆก็เพิ่งรู้ตัวว่าต้องไปบางนาในบัดเดี๋ยวนั้น ด้วยวิธีการนั่งซ้อนท้ายรถมอ'ไซค์ไป
เป็นการกระทำที่ผิดนโยบายสวัสดิภาพส่วนบุคคลเป็นที่สุด ผมเองตั้งใจอยู่แล้วว่า เส้นทางที่รถใหญ่วิ่งคล่อง ผมจะไม่วิ่งด้วยรถเล็กที่ต้องเอาเนื้อไปเสี่ยงกับเหล็กโดยไม่จำเป็น

รู้สึกอยู่ในใจเหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นไหม แต่ก็อธิษฐานขอการปกป้องจากพระเจ้า แล้วนั่งต่อไปด้วยความไว้ใจในพระเจ้า

และแล้วก็ถึงเวลาที่สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้น
รถของเราวิ่งอยู่ทางซ้าย แท็กซี่เลี้ยวมาจากทางซ้าย (วิ่งอยู่หน้าเรา)เปิดไฟออกขวา พร้อมหันหัวออก เราก็เตรียมเร่งจะแซงแมงกะไซค์อีกคันที่วิ่งอยู่ซ้ายเรา
แล้วมันก็เบรก (เบรกล้อตายเลยนะ)เพื่อจะรับผู้โดยสารที่กวักมือเรียกอยู่หยอยๆ

เห็นแล้วก็เตรียมใจในเสี้ยวบัดดล ตามองถุงใส่สัมภาระ กอดให้แน่น คิดอย่างเดียวอย่าให้มันกระจาย วินาทีต่อมาก็ราวด้อฟสปริงม้วนหน้าลงไปนอนกับพื้นเรียบร้อย

นึกภาพตามนะครับ รถเพิ่งจะออกมาจากสี่แยกไฟเขียว วิ่งมา 80 แล้วเบรกชนิดล้อตาย คว่ำแบบรถกลับหัวกลับท้าย ถนนถูกขูดเป็นทางยาว รถไถลจากจุดเกิดเหตุไปประมาณ 10 เมตร

จริงๆ ตอนก่อนเกิดเหตุ ยังนึกอยู่ในใจเล่นๆเลย มอไซค์ก็ดีเหมือนกันเนอะ ซื้อไว้ขี่ซักคันดีกว่า... เลิกเลยครับ กับความคิดนี้ นั่งรถไฟฟ้า เก็บตังค์เก็บชีวิตไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า

ลุกขึ้นมายืนขยับแข้งขยับขา ทุกส่วนไม่มีการติดขัด มีก็เพียงฝ่ามือที่ใช้ยันพื้น เป็นรอยถลอกเล็กน้อย (... แต่เจ็บมาก เลือดไหลโกรก)

คนขับแท็กซี่ เดินมาแบบเอาเรื่อง (จะเอาตังค์ มากกว่า) แล้วพระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์มาช่วยเรา ก็คือ คนขับมอไซค์คันทางซ้ายของเราเมื่อกี้นั่นเอง เขาเดินมาเป็นพยานให้ว่าเราไม่ผิด สุดท้าย แท้กซี่ก็ขับรถออกไป

ผมก็พูดกับน้องเท เจ้าของมอไซค์ ก็ไม่เป็นอะไรมาก ข้อเท้าเคล็ด ถุงเท้า รองเท้าขาด แต่คนปกติดี รู้สึกเหมือนล้มลงบนฟูกมากกว่าครับ นุ่มสบาย (...แต่หลังจากนั้น 2-3 วัน เริ่มปวดเมื่อยเนื้อตัวบ้างละ)

อย่างไรก็ตามดูจากสภาพรถ สถานที่เกิดเหตุ สภาพการเกิดเหตุแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ต้องบอกว่าแทบไม่เป็นอะไรเลย แม้ว่าใจจะระทึกอยู่บ้างพอควร

Jul 30, 2008

i can smile ... ^_^

ตั้งแต่ก่อนกลับบ้านครั้งที่ผ่านมา อยากจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับรอยยิ้ม
แต่ก็ไม่ได้เขียนซะที บางที อาจจะดีก็ได้ เพราะพอได้เขียนตอนนี้ ก็มีประสบการณ์มากมายที่ได้เรียนรู้
จนถึงขนาดต้องเปลี่ยนชื่อเรื่อง จาก ฉันไม่สามารถยิ้มได้ เป็น ฉันสามารถยิ้มได้

คงเป็นเรื่องปกติของชีวิตคนเรา ที่จะมีช่วงเวลา ขาขึ้น และ เวลา ขาลง จุดสำคัญอยู่ที่ว่า การขึ้นหรือลงนั้น ทำให้ชีวิตของเรา ขึ้น ไปอีกได้ไกลเท่าไร

เวลาเดินขึ้นเขา แม้ไม่ใช่ทุกก้าวที่ไปข้างหน้า แต่ทุกก้าวก็ทำให้เราไปถึงเป้าหมายมากขึ้น
แต่คนอย่างผม จะเดินขึ้นเขาลงห้วยไปที่ไหนไม่เคยเกี่ยง ขอเพียงเรื่องเดียว "คนร่วมทาง"

ผมคงไม่แปลกจากคนอื่นหรอกนะ ที่เมื่อเวลาเราเหนื่อย เพียง ยิ้ม ของ ใครบางคน แม้ไม่ได้เห็น เพียงแต่นึกถึงในความคิด ก็เรียกเรี่ยวแรงให้เราไปต่ออีกได้
จะน่าหนักใจ ก็คงตรงที่ วันนี้ ยังไม่มีคนที่เขายินดีจะยิ้มให้เราเสมอไม่ว่าในสถานการณ์ไหนๆน่ะสิ

ยิ่งไปดู หนังเรื่อง Hell boy ยิ่งโดนใจกับเพลง i can't smile without you
คงเป็นเรื่องที่วิเศษสุดในชีวิต หากมีใครสักคนเห็นคุณค่าของเรา จนยอมรับผิดชอบในการมีอยู่ของเรา เพื่อเป็นราคาให้กับการที่จะได้อยู่ด้วยกัน นั่นสินะ หากวันหนึ่ง เรามีคนนั้น แล้วต้องจากกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราจะยิ้มได้อย่างไร หากไม่มีเขา/เธอคนนั้นแล้ว

กลับไปบ้านก็เห็นแม่เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ยิ้มเมื่อเห็นพ่อ เมื่อเห็นผม แม้ผมจะเข้าใจแต่ก็อดที่จะบอกแม่ไม่ได้ว่า แม่สามารถยิ้มได้แม้จะไม่เห็นใคร เพราะความสุขใจน่ะเป็นเรื่องของเรา ในใจตัวเองก็คิดว่า จริงๆแล้ว ก็คงมีคนที่เขารอคอยให้เราเป็นเหตุแห่งรอยยิ้มของเขาอยู่บ้างล่ะน่ะ

จากความคิดที่เมื่อนึกถึงใครบางคนเวลาเหนื่อยๆแล้วทำให้เรายิ้มได้ ก็พัฒนาไปสู่ความหวังว่าเราเองจะเป็นเหตุให้ใครคนนั้นเขายิ้มได้บ้างในเวลาที่ท้องฟ้าแห่งชีวิตของเขาหมองหม่นลง
รวมไปถึงความคิดที่ว่า จะลองพยายามยิ้มให้กับคนอื่นมากขึ้น ในภาวะที่สิ่งรอบๆตัวมีเรื่องทำให้ตึงเครียดได้ง่ายๆเช่นนี้ รอยยิ้มของเราอาจเป็นรอยยิ้มเดียวที่เขาได้รับในวันนั้นก็ได้

นึกถึงน้องที่ ที่ทำงานคนนึง... เวลาที่เขาทำงาน ชวนให้นึกถึงเพื่อนผมคนนึงเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่เขาจะแต่งงาน เห็นแล้วก็อดขำด้วยความน่ารำคาญใจไม่ได้ แต่ก็เข้าใจในความตั้งใจและภาวะของเขานะ ตรงกันข้าม ถ้าไม่คุยเรื่องงานกัน ความสดใส ความมีชีวิตชีวา ความจริงใจ ความเป็นตัวของตัวเอง กลมกันจนกลายเป็นรอยยิ้มของเธอ เห็นแล้ว...เฮ้อ!! ^^
... แน่นอนว่า ตอนที่นั่งเขียนอยู่นี่ แค่นึกถึง ผมเองก็แอบยิ้มเล็กๆให้กับตัวเองแล้วครับ ^^

ปล. อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้แอบยิ้มกับตัวเองได้เสมอๆ เป็นเพลงเพลงหนึ่ง ที่ฟังเมื่อไหร่ก็... ^^

... วันเดือนปีเคยเป็นแค่เพียงสายลมผ่าน แต่ใครคนหนึ่งทำเวลาฉันให้รู้สึกมีความหมาย คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ ... ^^

Jul 14, 2008

i knew you...

I knew you…
หลังจากที่หัวใจรู้สึกเหี่ยวห่อมา 2-3 คืน รู้สึกถึงแรงกดดันและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วรอบตัว เหมือนครั้งหนึ่งที่เคยรู้สึก เหมือนตัวเองต้องเดินผ่านพายุ ในขณะที่รอบตัวแปรปรวนก็ยิ่งต้องนิ่ง และความท้าทายนั้น คือ ต้องนิ่งโดยเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

จำได้ว่า 2 คืนที่ผ่านมา นอนคุดคู้ อธิษฐานแล้วก็หลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน... นึกถึงเพลง Adam ขึ้นมาซะงั้น ...ในยามอ่อนแอต้องการสักคน เป็นใครหนึ่งคนที่ได้ถูกฟ้ากำหนดมา...

เช้านี้ ไปนมัสการก่อนที่วันนี้จะต้องมีภารกิจไม่น้อยที่จะต้องทำให้เสร็จ คำเผยพระวจนะจากพระเจ้าช่วยฟื้นฟูใจอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าคำเพียงสั้นๆ จะได้ใจมากขนาดนี้... “เรารู้จักเจ้า”

ความหมายของคำนี้ลึกซึ้งจริงๆ นึกถึงตอนที่ อิสอัค เข้าหานางเรเบคา พระคัมภีร์ก็ใช้คำว่า knew

การรู้จักกันจริงๆนี่ ดีจริงๆนะ อย่างน้อยก็ทำให้เรามีความมั่นคงในจิตใจขึ้นอย่างมาก

เพราะพระเจ้ารู้จักเรา ด้วยความรักของพระองค์ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น จึงเป็นความพอดีในชีวิต ไม่หนักเกิน ไม่สบายเกิน ขอบคุณสำหรับคำเชิญชวนนะครับ ผมลืมไปเลยว่า แอก ของพระองค์ก็พอเหมาะ และภาระของพระองค์ก็เบา

เฮ่อ... มัวแต่สาละวนจะทำนู่นนี่นั่นให้พระเจ้า จนกลายเป็นภาระ(ใจ)หนักๆ ลืมไปจริงๆว่า พระองค์รู้จักเรา และสิ่งที่พระองค์ปรารถนาจากชีวิตเรามากกว่าการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ คือ สัมพันธภาพที่แนบสนิท การรู้จักกัน

วันหนึ่ง เราคงพูดได้บ้างว่า I knew you, my Lord.

Jul 12, 2008

เสียง...(ที่ไม่ได้ยิน ??)

รู้จักกันมาก็นานร่วม 13 ปี
ตั้งแต่วันแรกๆที่รู้จักกัน ก็เรียกเขาว่า เพื่อน
เรียนรู้จักกันมาเรื่อยๆ จนพอจะรู้จัก เสียง ของเขา

แปลกแต่จริง ช่วงนี้ ดูเหมือนเสียงที่คุ้นเคยจะเงียบไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราอยู่ในที่อึกทึกครึกโครม นานเกินเหตุ
หรือ เราเองที่ใจเปิดน้อยลงจนฟังไม่ได้ยิน...

เมื่อวันจันทร์ ได้รับมอบหมายงานมางานหนึ่ง สุดๆแล้วไม่รู้ทำอย่างไร
ก็เลยออกไปกินข้าว พักสงบๆเสียหน่อย ออฟฟิซมันวุ่นวายเหลือเกิน
แว้ปหนึ่งในหัวกับเสียงแผ่วเบาที่คุ้นเคย

ผมก็เลยขี่เจ้าหอมแดง (มอไซค์ของเพื่อนที่ออฟฟิซ) ไปแยกเม่งจ๋าย
อัศจรรย์ยิ่งนัก ทุกอย่างที่ต้องการ ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้อย่างพร้อมมูลครบถ้วนที่นั่นแล้ว ฮาเลลูยา

ไม่เพียงเท่านั้น

ปกติ ทุกวันพุธเวลาพลบค่ำ การเดินทางไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ มักใช้บริการรถไฟใต้ดินเป็นหลัก
แต่ครั้งนี้ เดินออกมาจากออฟฟิซ เสียงที่แว้ปเข้ามาในหัวคือ มอไซค์ หรือ แท็กซี่ ดี ดูจากสภาพดินฟ้าอากาศแล้วก็เลยไปแท็กซี่
ขอบคุณพระเจ้า
วันนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รถไฟใต้ดิน ใช้เวลาจอดอย่างน้อย ประมาณ 15 นาที ต่อสถานี...

ชีวิตช่วงนี้ แม้จะไม่ได้ ทำ ในสิ่งที่เราเป็น เต็มที่นัก
อาจจะไม่ได้ใช้ทุกอย่างที่มี อาจจะอึดอัดใจอยู่บ้าง
หลายครั้ง ก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า จะอยู่ให้คนเข้าใจเราผิดทำไม
กลับไปอยู่บ้านดูแลพ่อแม่ดีกว่าไหม
หรือเราควรพยายามที่จะอธิบายเหตุผลของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง เพื่อที่เขาจะเข้าใจอย่างถูกต้อง
หรือเราควรจะเปลี่ยนตัวเอง ให้ก้าวจังหวะชีวิตมันว่องไวรวดเร็วเหมือนคนอื่นๆรอบตัว

แต่ก็พอจะเข้าใจว่า เสียง นั้น กำลังบอกว่าอะไร

มันก็ช่วยไม่ได้ คนเรา ก็มักมองในสิ่งที่เราเห็น เชื่อในสิ่งที่เราคิดว่าจริง เป็นเรื่องปกติ

นึกขึ้นมาถึงเรื่องเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ที่โดนนายว่า ว่าเราพูดขัดแย้งในตัวเอง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงได้เถียงออกไปแล้ว ว่านายนั่นแหล่ะ ที่คิดช้ากว่าเรา 1 ก้าว
แต่เราเองก็ไวเกิน แทนที่จะบอกทางเลือกให้ก่อน ดัน เสนอความเห็นไปทันที
ยังดี มีคนคิดทันช่วยอธิบายให้ (หุหุ พี่เลี้ยงเราเอง) แต่ก็คงช้าไปแล้ว ทีมงานที่นั่งอยู่ ก็คงรับรู้ว่า ผมสับสนไปแล้ว

เมื่อวันก่อน ก็ได้นั่งคุยกับพี่คนนึงที่เคยดูแลชีวิตเรามาก่อน วันนี้เธอจะย้ายมาทำงานที่ออฟฟิซด้วย
พี่เขาก็พูดถึงว่า เด็กๆที่ใหม่ๆ ทำงานแบบนี้ อาจจะไม่รู้สึก แต่กับคนที่เคยทำงานมาก่อน เคยอยู่กับความป็นระบบที่แข็งแรงมากๆมาก่อน ก็อาจจะรู้สึกได้... แน่นอนว่า ผมรู้สึกอย่างมากกกก

อาจเป็นเพราะเราเป็นคนใจร้อน และเอาแต่ใจตัวเองล่ะมั้ง พระเจ้าถึงต้องฝึกให้เรา อดและทน อย่างมากๆ
จะว่าไป พระเจ้า ก็คงรู้จัก ความบ้า ของเราดีกว่าใคร
ถึงให้เราได้ยิน เสียง ของพระองค์จนคุ้นเคยมาตั้งแต่วันแรกๆที่รู้จักกัน เพื่อแม้การกระซิบเพียงแผ่วเบาในวันนี้ ก็จะเพียงพอที่จะทำให้เราสงบนิ่งได้ (ถ้าลอง บ้า ขึ้นมา ก็เห็นจะมีอยู่ไม่กี่คนล่ะมั้ง ที่เอาเราอยู่)

ขอบคุณนะครับ ที่ให้ผมได้เรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจ ด้วยพระสุรเสียงของพระองค์...

...เสียงพระเจ้าบอกอยู่ในใจฉัน ว่าจงเข้มแข็งและอดทน ยามใดที่ใจท้อ ยามใดที่อ่อนไหว พระองค์ยังคงอยู่ใกล้ๆเรา...

Jun 28, 2008

move move MOVE !!!

สัปดาห์ก่อน ปั่นงานกันแทบอ้วก แทบอ้วกจริงๆ ไม่ได้ใช้เป็นสำนวน
นอนเฉลี่ยวันละ 2 ชม. บางคืนไม่ได้นอนเลย
นึกถึงภาพยนตร์สงครามสุดประทับใจ we were soldier ฉากที่ต้องไปติดอยู่กลางวงล้อมของศัตรู หลับไม่ได้ เพราะนั่นอาจหมายถึงการไม่มีพรุ่งนี้ให้ตื่นอีกเลย

วันก่อน รู้สึกถึงจุด ไม่ไหวแล้ว ก็เลยขึ้นชื่อ msn ไว้ว่า Defcon, alpha bravo, broken arrow

จำได้ สมัยเรียนวิชาทหาร (ไม่รู้จำผิดหรือเปล่า) การเรียก DefCon เป็นการขอกำลังสนับสนุนจากพื้นสู่พื้น (ปืนใหญ่) alpha bravo คือ พิกัดตำแหน่งที่บอกก่อนหน้านี้ ถูกต้องแล้ว ให้ยิงซ้ำ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ชุด

ส่วน broken arrow คือ การขอกำลังสนับสนุนทางอากาศเต็มรูปแบบ มีความหมายโดยนัยว่า ถ้าไม่มาช่วย คุณจะเสียทหารราบทั้งหมด เป็นช่วงชีวิตที่ระทึกถึงใจมาก

ได้แต่หวังว่า เมื่อร้องขอไปแล้ว การสนับสนุนจะมา แล้วทหารราบอย่างเราๆ จะได้เคลื่อนที่เข้าไปใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น เคลื่อนที่เข้าบุกยึดฐานที่มั่นของศัตรู

Jun 21, 2008

มิตรภาพ...

วันอาทิตย์หน้าที่โบสถ์จะจัดงานวันเพื่อน

ผมต้องรับผิดชอบทำโปรแกรมวันเพื่อนด้วย... คนไม่ค่อยจะมีเพื่อน จะคิดโปรแกรมออกได้ยังงัย
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ก็อยู่คนเดียวมาตลอด ไม่รู้เป็นเพราะที่บ้านสอนให้ไม่ไว้ใจใครหรือเปล่า ก็เลยกลายเป็นคนที่เห็นคุณค่าของมิตรภาพมากๆไปอย่างไม่รู้ตัว

กลายเป็นคนที่ยอมแลกอะไรต่อมิอะไรเพียงเพื่อจะได้เพื่อนซักคน ทั้งที่ในใจก็รู้ว่า เขาคบกับเราเพียงเพราะ บางสิ่ง ที่เรามีให้เขา เพื่อจะดึงเขาไว้กับเรา นานๆเข้า ก็ไม่มีจุดยืน ไม่เป็นตัวเอง ยอมเปลี่ยนตัวเองไป เพียงเพื่อรักษา ความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันเอาไว้

ยิ่งพอโดนทิ้ง ความรู้สึกถูกหักหลัง ก็ยิ่งกลายเป็นกำแพงที่ถูกซ่อนไว้ในใจมากขึ้นเรื่อยๆ

เพิ่งจะไม่กี่ปีมานี้เอง ที่รู้สึกถึงความไม่หวังประโยชน์จากคนที่เขาเรียกตัวเองว่า เพื่อนของผม

นุ ขิง เอ็กซ์ คริสเตียนกลุ่มนี้ ที่เริ่มทำให้ผมเปิดใจเป็นเพื่อนกับคนอื่น ถึงได้เริ่มเรียนรู้ว่าการเป็นเพื่อนกัน ไม่ยุ่งยากอย่างนั้น

แต่หลังๆเมื่อพวกเราเติบโตขึ้น แยกย้ายกันไปทำภารกิจ แม้ความเป็นเพื่อนไม่ได้จางไป แต่โอกาสที่เราจะได้ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกันเหมือนก่อน คงไม่เหมือนเดิม

โลกแห่งความเป็นจริง ก็ยังมีคนที่นึกถึงเราเมื่อเขาเดือดร้อน และรำคาญใจเมื่อเราโทรไปหาอยู่เยอะแยะ
โลกแห่งความเป็นจริง ก็ยังมีคนที่อยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนกับเรา แต่เราอยากจะแค่รู้จักกับเขา
และก็ยังมีอีกหลายคนที่เราเองก็อยากเป็นเพื่อนกับเขา แต่เขาก็เพื่อนเยอะแยะเหลือเกิน

ไม่รู้สินะ ห่างๆกันก็คิดถึง แต่พอเจอหน้ากันก็ไม่รู้จะคุยอะไร ยิ่งอยู่ไกลกัน อัตราการเติบโตของชีวิตแต่ละคนก็ยิ่งต่างกัน พอมาเจอกันอาจเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้
บางทีอยู่ใกล้กันเกิน อาจเผลอลืมปล่อยให้ความเป็นเพื่อนจืดจางไปก็มี

ช่างเถอะ อย่าไปใส่ใจเลย วันนี้...อาทิตย์นี้ อาจเพราะมีประเด็นเรื่องมิตรภาพและความเป็นเพื่อนเข้ามาในชีวิตหลายเรื่องล่ะมั้ง หลากความรู้สึกจนทำให้คิดถึงเพื่อนสนิทที่ห่างๆกันไป

อย่างไรซะ มิตรภาพก็เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่าย เป็นเพื่อนกันน่ะดีอยู่แล้ว คิดอย่างนี้ซะก็จะได้สบายใจ

Jun 20, 2008

ความรับผิดชอบเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อ

วันนี้เป็นวันแรกที่เข้าไปนั่งอยู่ใน Director's Meeting ก่อนเข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะเข้าดีหรือเปล่า แต่คิดว่าน่าจะควรเข้า น่าจะส่งผลดีต่อการทำงานภาพรวมได้มากขึ้น ก็บอกพระเจ้าไว้ว่า ถ้าพระเจ้าพอพระทัยกับการเข้าประชุมของผม ขอให้ได้รับมอบหมายงานจากการประชุมครั้งนี้

พระเจ้าทรงโปรดอวยพรให้ผมได้รับการมอบหมายงาน แม้อาจจะดูไม่สำคัญอะไร แต่สำคัญมากสำหรับผม

หลังจากนั้น มีการจัดงานวันเกิดให้ประธานบริษัท และประชุมงานกับผู้ถือหุ้นท่านหนึ่งเรื่องการเปิดธุรกิจใหม่ คำแบ่งปัน คำแนะนำหลายๆอย่าง ทำให้เราได้เรียนรู้วิธีมอง วิธีคิด และวิธีการใช้ชีวิต ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น เรื่องของการปรับตัวเมื่อบริบทชีวิตเปลี่ยน ความเอาจริงเอาจัง การลงรายละเอียด การตั้งคำถาม

ผมชอบประโยคนี้ของท่านประธานมาก "ความรับผิดชอบเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อ" ชวนให้นึกถึงประโยคเด็ดของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง "the great power comes with the great responsibility"

หลังจากประชุมกับท่านผู้ถือหุ้นเสร็จ ก็เลยขอรับคำแนะนำจากท่านเรื่องการพัฒนาองค์กร พระเจ้าก็แตะใจให้ชวนน้องคนนึงเข้าไปประชุมด้วย ตอนแรกก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะแนะนำตัวน้องให้พี่ผู้ถือหุ้นรู้จักอย่างไรดี เพื่อพี่เขาจะได้ไว้ใจ และสะดวกใจที่จะให้คำแนะนำได้อย่าง "ลึก" เพียงพอ... ขอบคุณพระเจ้า ผมเกริ่นๆไปนิดหน่อย น้องเขาก็พูดแนะนำตัวเอง ไม่รู้ว่าคิดได้หรือพระเจ้าทรงจัดให้ แต่ที่แน่ๆ เป็นการเเนะนำตัวที่เข้าเป้ามาก

เป็น 2 ชั่วโมงที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลเชิงวิชาการ สิ่งที่คนอื่นเคยทำมา คำแนะนำต่างๆ และการต่อยอดในการประยุกต์ใช้ เป็นครั้งแรกเลยมั้ง ที่หัวแล่นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่มาทำงานที่นี่
หลายสิ่งที่พี่เขาพูด ยิ่งตอกย้ำถึง ภารกิจ (ไม่อยากใช้คำว่า ที่เราได้รับมาจากสวรรค์)ที่จะต้องทำที่บริษัทที่นี่
ในตอนท้ายที่นั่งคุยกัน พี่เขาก็บอกว่า ท่าทางผมจะเป็นนักคิด (แหม พี่ดูออกไวมากครับ) น้องเขาก็พูดต่อว่า ตัวเขาเองคงจะเป็นนักทำ ก็ดีครับ จะได้ใช้จุดแข็งของแต่ละคนเสริมกันในการทำงานรับใช้พระเจ้า

ตอนนั่งรถกลับมา น้องเขาก็พูดถึงงานในบางลักษณะที่เป็นตัวเขา และบางลักษณะที่ไม่ใช่ตัวเขาเลย ฟังๆดูแล้ว ก็ให้นึกคิดขอบคุณพระเจ้า ที่วันนี้พระเจ้าทรงนำให้พี่ผู้ถือหุ้นคนนี้มา เพราะทีแรกนัดกันไว้ว่าจะไปประชุมกันข้างนอก (ซึ่งวันก่อนผมหัวเสียไป เพราะเขายกเลิกนัดโดยไม่บอกผม... กลับใจแล้วครับ) ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็คงไม่ได้ปรึกษาเรื่ององค์กร คงไม่มีการพูดคุยเหมือนในวันนี้เกิดขึ้น

คิดไปคิดมาแล้ว ก็เข้าใจว่า พระเจ้าคงกำลังสนับสนุนเราในการรับใช้พระเจ้าในการทำงานอยู่ พระองค์คงทรงเห็นถึงสิ่งที่เราเชื่อและสิ่งที่เราตั้งใจจะรับผิดชอบ แต่อาจจะยังต้องการการเรียนรู้ฝึกฝนอีกมาก (ลืมบอกไป พี่เขาอนุญาตให้เรานัดกับเขาอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อเรียนรู้ในเรื่องการปรับปรุงระบบการทำงานในบริษัท ขอบคุณพระเจ้า)

ชวนให้นึกถึงเมื่อวาน น้องคนนึงก็มาเข้ากลุ่ม หลังจากที่ไม่เจอกันนาน หลังจากที่กลุ้มอกกลุ้มใจกับพระเจ้าอยู่หลายสิบวัน ขอบคุณพระเจ้า ที่เริ่มเห็นสิ่งต่างๆไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามที่รับและเชื่อไว้

ชวนให้นึกถึงพระคำของพระเจ้าที่พระองค์บอกไว้ พระองค์จะทรงโปรดให้ทุกสิ่งทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลดีกับชีวิตของเราในทุกสิ่ง และ เมื่อเราเชื่อเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

เมื่อเราเชื่อ...เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในสิ่งที่เราขอรับผิดชอบต่อพระพักตร์ของพระเจ้าเป็นแน่ เอเมน

Jun 18, 2008

เวลาที่นับได้

เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิต ที่จดบันทึกการใช้เงินและเวลาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จดจนเกิดคำถามกับตัวเองว่าเราเว่อร์ไปหรือป่าว แต่หลับหูหลับตาจดอยู่หลายเดือน ผลลัพธ์ที่ได้ คือการได้เห็นรูปแบบการใช้จ่าย และการใช้เวลาของตัวเอง จึงสามารถหาแนวทางแก้ไข และวางแผนรับมือล่วงหน้าได้อย่างดี วิกฤตในชีวิตครั้งนั้น สร้างโอกาสที่ดีให้กับชีวิต

ตอนนี้ที่ออฟฟิซ เริ่มมีการให้พนักงานวางแผนและบันทึกการทำงาน...

เช้าวันนี้ รู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย เนื่องจากมีการยกเลิกนัดแล้วก็ไม่ได้แจ้งให้ผมทราบ นัดตอนบ่ายก็ยกเลิกโดยไม่แจ้งอีก ยังดีที่ฉุกคิดขึ้นได้ จึงโทรไปเช็คเอง แต่ที่ผมไม่พอใจ คือ เมื่อมีการยกเลิกนัด ทำไมถึงไม่มีการแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้อง

ไม่อยากคิดต่อเอาเอง หรือเพราะเราไม่ได้เกี่ยวข้อง(เราคิดไปเองว่าเราเกี่ยว), หรือเพราะลืม(เราไม่สำคัญ), หรือเพราะยกเลิกกระทันหัน ฯลฯ ... คิดมาแบบไหน ก็แง่ลบทั้งนั้น

รู้สึกถูกบั่นทอนกำลังใจในการทำงานเหมือนกัน (ก็เลยแว้บไปหลับแก้เซ็ง 1 งีบ) เฮ้อ...แค่นี้ก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว ทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน หวังว่าหลังจากเดือนนี้ไป คงเข้าที่เข้าทางมากขึ้น

เมื่อกี้มานั่งเขียนบันทึกการทำงาน ก็ไม่รู้จะเขียนอะไร เห็นคนอื่นเขาเขียนกันเยอะเเยะ จับต้องได้ จะว่าไม่ได้ทำงานก็ไม่ใช่ แต่ถามว่าทำอะไรก็ไม่รู้ นั่งนึกย้อนไป เออ... เดือนกว่าแล้วที่ทำงานที่นี่ อารมณ์นี้เลย ทำอะไรมั่ง ก็ตอบไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกว่างานเยอะไปหมดเลย รู้สึกเหมือนไม่เคยมีเวลาพอสักที...

คนอย่างผมนี่ ยิ่งขยับตัวมาก ยิ่งช้า, ยิ่งขยับตัวน้อย ยิ่งเร็ว
ยิ่งเรื่องใหญ่ ก็ต้องยิ่งนิ่งคิด เวลาทำก็จะเหยีบมิดได้อย่างมั่นใจ

ทำอย่างไรดีหนอ ถึงจะขยับตัวน้อยลงได้

สงสัย คงต้องเริ่มจัดระเบียบชีวิตกันใหม่เสียแล้ว

Jun 15, 2008

อย่างน้อย...

เคยคิดว่า ถ้ามีเวลามากกว่านี้ก็คงดี เราคงทำงานต่างๆได้ทันแน่ๆ
เคยคิดว่า ถ้ามีอุปกรณ์นู่นนี่นั่นแล้ว จะทำงานได้ดีขึ้น
เคยคิดว่า ถ้ามีเงินมากขึ้น จะทำให้ข้อจำกัดในการทำงานลดน้อยลง

แล้ววันนี้ก็เข้าใจว่า คิดอย่างที่เคยคิดมา...ช่างคิดอย่างเด็กเหลือเกิน

ต่อให้วันนี้ ผมได้รับพรวิเศษจากสวรรค์ให้เป็นคนที่มี 30 ชั่วโมงต่อวัน ผมก็ยังคงทำงานไม่ทันอยู่ดี
ต่อให้เวลานี้ ผมสามารถเลือกใช้อุปกรณ์อะไรก็ได้ที่มีอยู่ในโลก หรือจินตนาการสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ประสิทธิภาพการทำงานของผมก็คงต่างจากเดิมไม่มากนัก
ต่อให้วินาทีนี้ ผมมีเงินมากพอจะซื้ออะไรก็ได้ทุกสิ่งตามใจปรารถนา ข้อจำกัดในการทำงานก็คงลดลงไปเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

เป็นความตระหนักที่เกิดขึ้นมาในใจ ทุกอย่างเริ่มต้นจากความคิด จากวิธีคิด พัฒนาสู่วิธีการดำเนินชีวิต และการทำงาน

ถ้ายังคิดเหมือนเด็กๆแบบเมื่อก่อน ชีวิตคงไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็คงจอดแน่ แต่ถ้ารักจะมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป ต้องยอมเปลี่ยนแปลง

กล้ายอมรับว่าเรามีเวลามากพอที่จะทำการดีทุกอย่าง, สิ่งต่างๆที่เรามี เรามีพอเพียงที่จะทำการดีทุกอย่าง และข้อจำกัดที่เราเผชิญ เป็นเครื่องมือหลักที่สร้างเราให้เรียนรู้และเติบโตขึ้น

การไปซื้อโน้ตบุ้ควันนี้ ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่า เราเป็นคนประเภทที่ไม่ถนัดจะไปแก้ปัญหากันตรงหน้า แต่เป็นพวกเก็บข้อมูล วางแผนคาดการณ์ทางเลือกล่วงหน้าโดยใช้สติปัญญา และจินตนาการที่มีอยู่
จึงเป็นความจำเป็นของชีวิต ที่แต่ละวันจะต้องมีช่วงเวลาแห่งการเข้าสงบ เพื่อไตร่ตรอง ใคร่ครวญ ทบทวน ประเมิน วางแผน

แม้สุดท้าย อาจจะไม่ได้รับผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจไว้ อาจจะไม่เหมือนที่เคยเรียน ที่เคยรู้มา และอาจจะอยู่นอกเหนือพลังแห่งการจินตนาการของเรา
แต่..
อย่างน้อย เราก็รู้อยู่แก่ใจของเราเองว่า เราทุ่มเทไปสุดกำลังแล้ว และเราก็อิ่มใจมากแล้วกับการลงมือทำสิ่งนั้น

Jun 14, 2008

อีกช่วงเวลาหนึ่ง...ต้องสู้

...
ไม่รู้จะเขียนเล่าสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอย่างไรดี
ไม่ได้อึดอัด แต่คงจะอัดอั้นตันใจมากกว่า
ไม่ได้อยากโวยวาย แต่ถ้าได้ระบายออกบ้างคงดี

เป็นอีกช่วงหนึ่ง ที่แรงกดดัน ก็คือ แรงกดดัน
มันไม่ได้กดดันให้ชีวิตตกต่ำลง ตรงกันข้าม กลับเป็นการกดดันให้ชีวิตสูงขึ้นเสียอีก
ประหลาดใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่นิ่งได้ขนาดนี้ แม้จะรั่ว จะพลาด จะเห็นอะไรต่อมิอะไรอยู่ข้างหน้าเต็มไปหมด ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ทั้งนั้น

วันนี้ จริงๆแล้วรู้สึกไม่ค่อยจะดีกับตัวเองเท่าไหร่เลย มากมายหลายอย่างที่คิดไว้ ไม่ได้ทำออกมาให้เกิดขึ้นเห็นจริง ผลมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนไม่ได้ทำอะไรเลย รู้สึกเหมือนเป็นคนจับจดยังงัยก็ไม่รู้

เห็นความเสี่ยงที่หลายเรื่องจะพังทลายอยู่เต็มไปหมด ชีวิตเราคนเดียวคงไม่เท่าไหร่ แต่อีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกันอยู่ อาจได้รับผลไปด้วยนี่สิ ที่สำคัญ ไม่มากก็น้อย ก็คงส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งหมดอีกที

แม้จะเชื่ออยู่ลึกๆในใจ มั่นใจว่าสุดท้ายทุกอย่างก็จะคลี่คลายได้ไปในทางที่ดีขึ้น แต่ตอนนี้ บอกไม่ถูก... เครียดมั้ง หรือจะเรียกว่า ผะอืดผะอมดี

วันนี้ได้นั่งฟังเพื่อนคนหนึ่งแบ่งปันเรื่อง ยุทธศาสตร์ ก็มานั่งคิดว่า เออ จริงๆแล้วเรานี่รู้จักตัวเองก็พอสมควรนะ มีข้อมูลชีวิตเราเองมากเพียงพอ แต่เรายังบริหารจัดการ วางยุทธศาสตร์ชีวิตตัวเราเองได้ไม่ดีเลย แล้วกับเรื่องอื่นๆที่เราฝัน เราอยาก เราตั้งใจ ที่เรายังมีข้อมูลน้อยเหลือเกิน คงคาดหวังได้ไม่ง่ายว่าจะจัดการได้

คิดๆดู เราเองคงต้องฉลาดในการใช้ชีวิตมากกว่านี้ แม้จะดูมีข้อจำกัด ดูลำบาก ดูไม่สบาย แต่เราก็เลือกทางนี้เองนี่นา นึกถึงถ้อยคำที่มีการเปิดเผยมาถึงชีวิตของเราเอง ซึ่งก็จริง จะเลือกเอาทางที่ง่ายกว่านี้ก็ได้ไม่ยากอะไร แต่เราเลือกเองที่จะมาทางนี้ เป็นอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ไม่มีใครบังคับ ก็ต้องเผชิญหน้าและฝ่าฟันมันไปให้ได้

ต้องให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ ให้กำลังใจคนอื่นรอบๆตัวเยอะๆด้วยเหมือนกันเหมือนที่ให้ตัวเอง
เราจะฉลาดขึ้น เราจะแกร่งขึ้น เราจะผ่านพ้นไปได้แน่ เราจะเป็นพรกับอื่นได้แน่ มีผลกับคนอีกเยอะได้แน่... ต้องสู้

Jun 8, 2008

not happens in twice

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางครั้ง พระเจ้าถึงดูเงี้ยบเงียบ ทรงไม่ตอบอะไรเราสักอย่าง...
หรือพระองค์ทิ้งเราไปเสียแล้ว

แท้จริง พระเจ้า ทรงอยู่กับเราเสมอ หลายครั้งเพียงเพราะ...
เรามองที่สถานการณ์มากกว่ามองพระเจ้า
เราลงมือทำหลายสิ่งอย่างใจร้อนมากกว่าลงมือทำบางสิ่งที่พระเจ้าทรงนำ
เราประนีประนอมกับความอ่อนแอในจิตใจของเรามากกว่าจะยอมรับและมีชัยชนะเหนือ
เราไม่กล้าทำสิ่งที่เราเชื่อว่าถูก เพียงเพราะคนอื่นที่เหลือเห็นว่าผิด
...

วันนี้ไปดูนาร์เนียมา ส่วนตัว ผมชอบ หนังสือของ ลูอิส เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาเป็นคริสเตียนที่มีสำนวนการเขียนสวย ยิ่งมาเจอนาร์เนีย หนังสือนิยายสุดคลาสสิค ที่เขาเขียนขึ้นเพื่อให้ลูกๆของเขาอ่าน ด้วยหวังว่า วันหนึ่ง ลูกๆของเขาที่เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว (ตอนที่เขาเขียนเสร็จ) จะเป็นเด็กพอที่จะอ่าน และเข้าใจ จนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์

มีหลายๆฉากที่ประทับใจ มีหลายสิ่งที่ได้เรียนรู้และต้องกลับใจ

- สิ่งต่างๆจะไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง หลายครั้งเราคาดหวังว่าพระเจ้าจะช่วยเราในสถานการณ์เดิมๆ แต่พระเจ้าคาดหวังให้เราเติบโตขึ้น มากกว่าแต่จะเพียงเฝ้ารอ หรือ กระทำสิ่งต่างๆอย่างขาดความเชื่อ

- การตระหนักในความไม่พร้อมที่จะต้องรับผิดชอบ อาจเป็นความพร้อมสำหรับความรับผิดชอบที่กำลังจะเกิดขึ้น

- ผู้นำ คือ ผู้ที่ต้องอยู่ในสมรภูมิ อยู่หน้าผู้ตาม และอยู่เหนือสถานการณ์

- ความบ้าบิ่น ไม่ใช่ความกล้าหาญ ความกล้าแท้จริง คือ การเผชิญหน้า กับ ความกลัวที่เกิดขึ้นในใจของเราเอง ความกลัวที่เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงข้อจำกัดของเรากับสถานการณ์ตรงหน้า แม้ตระหนักอย่างนั้น แต่ยังคงเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องโดยวางใจในพระเจ้า นั่นเป็นความกล้าหาญแท้

ขอพระเจ้าทรงโปรดช่วย โปรดอวยพรผมด้วย ในโอกาสที่ผมได้รับมา ทั้งเรื่องทริป, NYsup. project, เรื่อง โน้ทบุ้ค เรื่องที่บ้าน และอีกหลายเรื่อง ขอทรงโปรดอวยพรข้าพระองค์ ในพระนามพระเยซู... เอเมน

Jun 6, 2008

พระพร...

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปร่วมออกร้านในงานเทศกาลคริสเตียน
ด้วยความที่ไปช้า พื้นที่ตั้งร้านของเราจากร่วม 3 เมตร จึงเหลืออยู่เพียงเมตรเดียว อีกทั้งถูกขนาบข้างด้วยร้านใหญ่ทั้ง 2 ด้าน
แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะทำให้ร้านเป็นที่โดดเด่นขึ้นมา แต่ก็ยังกลืนอยู่ดี
เหลือบไปเห็นบริเวณเวิ้งว่างร้างเปล่า ที่ดูอยู่นอกอาณาบริเวณที่ตั้งออกร้าน จิตใจได้รับการเร้า ก็เลยย้ายไปตั้งที่นั่น ขอบอกว่า โดดเด่นเป็นสง่า เนื่องด้วยห่างไกลจากร้านอื่นเหลือ (ถ้าเคยไปอิมแพค เห็นเสาต้นใหญ่ๆ พึงรู้ว่า ร้านของเราจัดวางของไว้ครึ่งเสา)
เมื่อความมืดมาเยือน เราจึงพบว่า สถานที่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา เต็มไปด้วยแสงสว่างของดวงไฟ โดยที่เราไม่ต้องเปิดเพิ่มเลยซักดวงเดียว ร้านค้าอื่นๆ ต่างค่อยๆทยอยย้ายกันมาเปิดข้างๆเรา...

เราพบการจัดเตรียมอย่างครบถ้วนเกินความเข้าใจได้ในความบกพร่องของเราเสมอ...

ในงานนี้ มีวงดนตรีวงหนึ่งที่เผยพระวจนะพยากรณ์ถ้อยคำของพระเจ้า อย่างแม่นยำชัดเจน ฟังเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนที่ได้รับการเปิดเผย ก็ใคร่อยากรับฟังบ้าง วันที่มีโอกาสเข้าไปฟัง ก็ตั้งใจว่าคงนั่งอยู่ได้แค่ประมาณ 15 นาที นั่งอยู่จนถึงเวลาที่คิดไว้ จะลุกไปอยู่แล้ว พระเจ้าก็เร้าใจให้นั่งอยู่ต่อ แต่ด้วยความที่คืนก่อนนั้นไม่ได้นอน ก็เลยนั่งฟุบลงไป
เขาก็เรียก บอกว่า
God give you the great call, you have 2 ways to choose by yourself. the easy way and the difficult way. the difficult way will bring the bless from God for you....... and your family.
นั่งจดๆได้ซักพักกำลังจะฟุบต่อ อีกคนก็เรียกอีกครั้ง
i see you have the humble spirit. and God so pround in you. one day God will raise you up. Keep in humility when you be promoted.
หมดคำถามที่ค้างคาใจ คิดว่า คงต้องเขียนบล็อครวมคำพยากรณ์ในชีวิตสักครั้งละมั้ง

ยอมแล้วครับ...

สุดท้าย เป็นอีกครั้งที่ได้เรียนรู้ว่า การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
ตั้งแต่งานที่ BEC ผมเห็นร้านข้างๆเขาเอาเสื้อแนวๆวัยรุ่นหน่อยๆมาขาย เห็นอยู่ลายนึง ช่างโดนใจ ช่างเหมาะเจาะกับความเป็นตัวเราเสียนี่กระไร คิดอยู่ว่า จะซื้อไปใส่เองให้ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ
แต่ขอบคุณพระเจ้า เขาตามมาให้เราซื้อถึงที่ อิมแพค
ตอนอยู่ที่ร้านเสื้อ ด้วยความที่ใกล้วันเกิดน้องคนหนึ่ง นึกถึงเธอแล้ว ก็คงไม่มีเสื้อลายไหนที่จะเหมาะกับเธอไปมากกว่าลายที่เราชอบ ที่สำคัญ สำหรับไซส์(ที่น่าจะเหมาะกับ)เธอ เหลือตัวสุดท้าย ตัวเดียวเท่านั้น
ก็คิดว่า เด่วหาลายอื่นให้ตัวเองก็ได้ แต่ลายอื่นที่ชอบไม่มีอีกแล้ว บางตัวลายได้แต่ไซส์หมด ดูเหมือนว่า มีอีกทางให้เลือกก็คือซื้อลายเดียวกัน แต่คิดแล้วก็อาจจะไม่เหมาะ จะกลายเป็นการชี้เป้าไปโดยไม่จำเป็น ก็เลยตัดใจซื้อตัวเดียว เพื่อมาให้น้องเขา (หลังจากที่รื้อคุ้ยกองเสื้อผ้ากระจุยกระจายอย่างยุ่งเหยิงเป็นที่สุด)
เห็นรอยยิ้ม และความดีใจของคนรับแล้วก็มีความสุขใจดี (หวังว่าคงจะใส่ได้พอดีนะ)

เรื่องกล้องอุปกรณ์ไปเนปาล สุดท้าย ก็เป็นความผิดพลาดของ แคนนอนเอง ที่ลงรายการผิด และหยิบอุปกรณ์ให้ดูผิด ทำให้เราวุ่นวายพักใหญ่ สุดท้ายก็ขอโทษกันไป

มีธนาคารโทรมาเสนอเงินให้กู้ในวงเงินประมาณราคาโน้ตบุ้ค ก็เลยลองส่งเรื่องไปดู อาจจะได้ตังค์มาซื้อโน้ตบุ้คทันงานคอมมาร์ตครั้งนี้ก็ได้

สุดท้าย วันนี้ ไปแจกใบปลิวคำพยานชีวิตที่สีลม ได้เจอรุ่นน้องที่กลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเป็นน้องที่ค่อนข้างสนิทด้วย ดีใจจริงๆ หลังจากที่นึกถึงเพื่อนที่มหาลัย และอธิษฐานเผื่อมาได้ซักระยะ ก็มี เวลา ที่ได้เจอกัน เชื่อว่า ความรอด คงเป็นพระพรที่สำคัญ สำหรับชีวิตของเขาต่อไป

อธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้ากันต่อไปสำหรับพระพรที่ได้รับมาแล้ว และกำลังจะมาถึง ขอบคุณพระเจ้าครับ ^^

May 29, 2008

ถ้ามีคนร่วมฝ่าฟันอยู่เคียงข้างกายกัน...

ตั้งแต่วันอาทิตย์ ทำกุญแจบ้านหล่นหาย... ที่ไหนก็ไม่รู้
วันจันทร์ วางแผนใช้เวลาทั้งสัปดาห์มาเสียเปล่า เพิ่งจะรู้ตัวว่าต้องไปออกร้าน ตั้งแต่วันอังคาร-เสาร์
โน้ตบุ้ค ที่ยืมพี่คนนึงมาใช้แล้วจอแตก เขาอยากให้เราซื้อต่อ... แต่เราคงจ่ายแค่ค่าซ่อมจอ (ซึ่งมันก็ครึ่งหนึ่งของการซื้อใหม่แล้ว)
อุปกรณ์กล้อง หากันไม่เจอชิ้นหนึ่ง แม้จะยังไม่สรุป แต่สุดท้ายก็คงต้องรับผิดชอบเอง
SD card อีกตัว คืนผิดตัวไปได้อย่างไรไม่รู้ แม้มันจะชัดเจนว่าเราไม่ได้ผิด แต่เราก็ไม่รอบคอบเอง ก็ตั้งใจว่าจะรับผิดชอบเอง น้องการตลาดเขาก็คงไม่รู้เรื่องเหมือนกันแหล่ะ

... อุตส่าห์ไปขอเงินเก็บจากพ่อมา ว่าจะเอามาซื้อโน้ตบุ้ค ยังไม่ทันได้ซื้อ เงินก็หมดซะแล้ว ไม่คุ้มกับการต้องโดนที่บ้านว่าเอาซะเลย

... วันนี้ บัตรเครดิตหายอีก...

งานก็ยังไม่คืบหน้าขึ้นเลย ทั้งเรื่องการจัดโปรแกรมทัวร์ ระบบในออฟฟิซ บลาบลาบลา...
นึกถึง กิจกรรมพิเศษ ในงานบริหารเขต ก็ยังดูรั่วๆ ไม่ลงตัว นี่มีงานเฟรนด์เดย์ ของสถน. ต้องรีบคิดให้เสร็จ เพื่อทำเรื่องเสนองบ
น้องๆที่ดูแลชีวิตของเขาอยู่ ชีวิตของเขาก็ฝากไว้กับเรา...

วันนี้นั่งอยู่ที่ร้าน มันก็เป็นคำถามกับตัวเอง ว่าเรามานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่... เหมือนกับมันไม่ใช่ตัวเราเลย เหมือนกับ ทำอะไรไม่ได้เรื่อง ไม่สำเร็จซักอย่าง
บางที desktop management อาจจะเป็นงานที่เหมาะกับเราที่สุดแล้วมั้ง แต่อย่างไรเราก็เลือกที่จะรักงานที่เราทำได้นี่เนาะ

ยังมีอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่บ้าน พ่อแม่และค่ายา การสอบและการเรียน นู่นนี่นั่น จิปาถะ อาทิตย์นี้น้องคนหนึ่งที่เพิ่งจะมาเข้ากลุ่มต้องไปงานบวชเพื่อน คงไม่มา...

... ไม่รู้จะเรียกว่า มันเหนื่อย ดีหรือเปล่า มันบอกไม่ถูก ใจมันล้า...

เพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่ปัจจุบัน คงสถานภาพหัวหน้างานด้วย เคยบอกว่า ผมจำเป็นต้องแต่งงาน เพื่อนิมิตจะได้สำเร็จ
2-3วันนี้ เขาก็เล่าถึงสภาพของเขาให้ฟัง ฟังๆแล้ว เขาก็เจอหนักกว่าผมมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่อดรู้สึกไม่ได้
เขาบอกว่า ผมเล่าให้ภรรยาของผมฟัง...

ดีที่สุดที่พอจะทำได้ วันนี้ก็เลยแอบหลบไปหลับ เพราะถึงไม่หลบไป ผมก็คงหลับอยู่ดี ร่างกายเหนื่อย มันคงไม่หนักหนาเท่าใจมันล้า
ตื่นมาก็กิน แล้วก็หลับ

...รู้สึกตัวนะ แต่มันไม่อยากตื่น แม้จะอยากฝืนตื่น
รู้สึกใจมีแรงขึ้นมาบ้าง น้องที่ออฟฟิซคนนึง โทรมาบอกว่า เพลงในอัลบั้ม ถูกเปิดในสถานีวิทยุด้วย ยังงงอยู่ว่า น้องเป็นใคร แต่ช่างเถอะ ประเด็นอยู่ที่ว่า น้ำเสียงและสำนวนการพูดของน้องคนนี้ ทำให้นึกถึงใครบางคน ใจมันก็ชื่นขึ้นมานิดนึง

เดินกลับมาที่ร้าน เอาเนื้อเพลงมานั่งอ่านอย่างจริงจัง "..ถ้ามีคนร่วมฝ่าฟันอยู่เคียงข้างกายกัน.." ถ้ามีคนนั้นจริงๆ เราจะแข็งแรงกว่านี้หรือเปล่านะ นิมิตจะมีโอกาสเสร็จได้มากขึ้นไหมนะ เราจะรับใช้พระเจ้าได้มากกว่านี้หรือเปล่านะ
ที่สำคัญ คำว่า แต่งงาน ยังดูเหมือนห่างไกลจากชีวิตเรามากนัก

อย่างไรก็ตาม ความจริง ก็คือ วันนี้ แม้จะไม่มีคนที่จะร่วมฝ่าฟันอยู่เคียงข้างกัน เราก็ต้องไปต่อไป อย่างไรก็ต้องไปต่อ อย่างไรก็ต้องเสร็จ อย่างไรก็ต้องทำให้ได้...

ขอพลังของพระองค์หนุนใจภายในผมต่อไปด้วยนะครับ

May 25, 2008

alone in the night

เมื่อกี้ไปแบกโต๊ะขาว เตรียมไว้ สำหรับอาหารกลางวันพรุ่งนี้
แสงสลัวๆ ทำนู่นนี่นั่นอยู่คนเดียว เป็นภาพที่เห็นอยู่จนชินตากับชีวิตตัวเอง

ไม่ใช่ว่าอยากทำคนเดียว แต่คนจะทำงานด้วยกัน ความคิดและจิตใจไม่เท่ากัน มันก็ทำงานลำบาก

ให้นึกถึงเรื่องการสร้างคนขึ้นมา เราสร้างให้เขาทำเป็นอย่างที่เราเคยทำน่ะ ไม่ยากนะ
แต่สร้างให้เขามีวิธีคิด มีหัวใจ มีความมุ่งมั่น อย่างเรา โดยคงความเป็นตัวเขา แล้วสามารถสร้างสรรค์วิธีการใหม่ๆที่เหมาะกับตัวเขาขึ้นมา เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ได้ในที่สุด อันนี้ไม่ง่ายเลยแฮะ ก็ต้องเรียนรู้กันต่อไป

จริงอย่างที่ อ.แม็กซ์เวลล์ สอนไว้ "เราสามารถสอนคนได้จากสิ่งที่เรารู้ แต่เราสร้างคนได้จากสิ่งที่เราเป็นเท่านั้น"

วันนี้ แม่โทรมาหา ร้องไห้ บอกว่า คิดถึง ก็เข้าใจแม่นะ แต่ที่เป็นห่วงกว่าคือ พ่อ
พ่อที่อยู่กับแม่คนที่เข้มแข็งมาตลอด คนที่พ่อวางใจว่าสามารถจัดการเรื่องนู่นนี่นั่นให้เสร็จได้อย่างไม่ต้องห่วง วันนี้ แม่ไม่เหมือนเดิม อาจเพราะผลจากการผ่าตัด และยาที่กินด้วยละมั้ง แต่พ่อ ต้อง เหนื่อย มากขึ้น ทั้ง ร่างกายและจิตใจนี่น่ะสิ

นึกถึงหนังเรื่อง chocolate เด็กพิเศษ อัจฉริยะด้านการต่อสู้ ชีวิตจริง คงไม่มีใครอยากเป็นคนพิเศษแบบนี้ (ถ้าเลือกได้ พวกเราก็อยากเป็นอย่างคนธรรมดา -- ที่ใช้คำว่า พวกเรา เพราะผมเองก็จัดเป็นเด็กพิเศษ อาจจะไม่แรงเท่า ออร์ธิสติกส์
เขาเรียกว่า เด็ก แอสเพอร์เกอร์* อยากรู้ว่าคืออะไร ลองหาใน กูเกิลดูละกัน--)
จะบอกแค่ว่า ไม่ว่าอย่างไร พิเศษขนาดไหน ในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ ความรักก็ยังคงเป็น สิ่งที่ใหญ่ที่สุด เป็นเรื่องธรรมดาที่พิเศษสุด สำหรับผู้ที่ได้พบกับมัน

ความรัก สมบูรณ์ในตัวมันเอง มันจึงสามารถทำให้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องครบถ้วนสวยงามไปด้วย

อยากจะรักพ่อกับแม่มากกว่านี้ อยากจะบอกว่า รัก ในวันที่ท่านยังสามารถได้ยินเราพูดได้
อยากจะรักพระเจ้ามากกว่านี้ อยากจะทำให้ได้ในทุกเรื่องที่รู้ว่าพระเจ้าพอใจ
อยากจะรักตัวเองมากขึ้น อยากให้เกียรติตัวเองมากกว่านี้
อยากจะรักคนอื่นมากกว่านี้ เป็นเพื่อนกับเขา เหมือนกับที่รักตัวเอง

อยากจะบอกว่า รัก... แต่ผมจะไม่กระพือความรักขึ้นหรอกนะ จนกว่าความรักจะจุใจแล้ว

วันนึง คงได้เขียนเรื่อง together in the night, together in the light.

ไข้เริ่มลดละ นอนดีกว่า ไนท์ครับ

ตัวอย่าง บทความ เรื่องแอสเพอร์เกอร์
www.elib-online.com/doctors46/child_asperger001.html

May 24, 2008

เพื่อตัวเอง, คนอื่น หรือ เพื่อใคร

หลังจาก ฝืน สังขาร มาได้พักใหญ่ๆ
เมื่อวาน ร่างกายก็ปฏิเสธที่จะทำตามหัวใจซะแล้ว

ตื่นเช้ามาด้วยอาการปวดหลังอย่างรุนแรง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนจะนอนอยู่บ้านต่อไปแล้ว
แต่ภารกิจที่ออฟฟิซ ยังมีอีกมากมายนัก ที่ต้องรับผิดชอบ

นึกๆดูแล้วก็พอจะเข้าใจว่าทำไม หลายต่อหลายคนถึงมองว่าผมไม่มีเสถียรภาพ (โดยเฉพาะคนที่สังคมให้เกียรติว่าเป็นผู้ที่รู้จักผมดี)
แต่เขาเหล่านั้น ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าผมมีอาการปวดหลัง ที่พร้อมจะออกอาการเสมอ หากผมดูแลสุขภาพตัวเองไม่ดีพอ

ในขณะที่เพื่อนสนิท2-3คน รู้จักผมอย่างดีว่า ผมมีใจสู้ บ้าดีเดือดขนาดไหน...


2-3 วันมานี้ เพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง ได้ยินหลากเรื่องราวจากหลายบุคคลที่เข้าใจเขาผิดจากความเป็นจริง ทั้งที่ส่วนใหญ่ ก็เป็นเรื่องเดิมๆ แต่พูดกันเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องใหม่กันอยู่เสมอ ถ้าเป็นผม ก็คงรู้สึกเหนื่อยและท้อใจอยู่ไม่น้อย แต่พวกเรา ผมและคนสนิทใกล้ตัว เรารู้จักเขาดี เรารู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่อยู่เพื่อตัวเอง ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นกล่าวหาให้เขาเป็น

ขณะที่นั่งรถไฟไปทำงาน เห็นคนชรา2คนนั่งคุยกัน เดาได้ว่าคงเป็นเพื่อนกัน เห็นแล้วชวนให้นึกถึงวันนึงที่เราคงแก่ตัวไป คงมีเหลือไม่กี่คนที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่เพื่อกันและกันกับเรา

ภาพของชายแก่ 2 คนนี้ เหมือนกับของขวัญรางวัลจากการตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงมาทำงาน เพื่อคนที่เรารัก และรักเรา

i've loved to love you, Jesus.

May 21, 2008

ห่วง...

แม่เคยบอกว่า ผมไม่เข้าใจหรอกว่า แม่ห่วงผมขนาดไหน จนกว่าผมจะมีลูกเอง...

ผมมักนึกในใจว่า ทำไมจะไม่เข้าใจ ลูกแกะก็เคยมีตั้งหลายคน

ผ่านไปหลายปี จนได้กลับมาดูแลคนอีกครั้ง

อาจเพราะวันนี้โตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น รักคนอื่นมากขึ้นละมั้ง ถึงห่วงขนาดนี้
เขาจะกินยังงัย อยู่ยังงัย ทำงานเหนื่อยมั้ย อธิษฐานหรือยัง มีอะไรสงสัยหรือป่าว รักพระเจ้ามากขึ้นมั้ย ปลอดภัยดีมั้ย
มันสารพัด สารเพ จะคิดเป็นห่วง
แต่ท้ายที่สุด ก็มีแต่ต้องขอพระเจ้าดูแล และไว้วางใจพระเจ้าว่าพระองค์ดูแลคนที่เรารัก เราเป็นห่วงได้ดีที่สุด ดีกว่าเรามากมายนัก

เริ่มเข้าใจแม่มากขึ้นแล้ว ว่าแม่ห่วงเราขนาดไหน

แน่นอน พระเจ้าคงห่วงเรามากกว่านั้น

May 18, 2008

เกิดคาดคิด

แผนการและดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบมาจากพระเจ้า

หลังจากบอกพระเจ้าว่า ชีวิตเราเป็นของพระเจ้า อยากจะให้พระเจ้าใช้มากกว่านี้
พระองค์ทรงจัดให้

บอกพระเจ้าตอนบ่าย ตอนเย็นก็มีน้องมาให้ดูแล 5 คน แต่ละคน มีความพิเศษที่แตกต่างกันไป ท้าทายใจมากๆ กับการดูแลคนครั้งนี้ หลังจากที่ห่างหายจากวงการอภิบาลมานาน

วันนี้

รับเรื่องในการจัดการ โครงการพิเศษของเขต (พิเศษ อีกแล้ว ชีวิตนี้ ขออะไรที่มันธรรมดาบ้างได้มั้ย)
คงต้องเข้าไปช่วย ด้านงาน พธบ. ด้วย

ดูแล้วก็เป็นแรงกดดันที่หนักหนาเอาเรื่อง แต่เชื่อว่า โดยพระเจ้าเราจะผ่านไปได้

ที่ผ่านมา ชีวิตไร้แรงกดดันมานาน มันก็เลยอืดฉึ่ง กดดันกันอย่างนี้สิดี ชีวิตจะได้มีรสชาติ

อย่างไรก็ตาม คำอธิษฐานเป็นเรื่องที่สำคัญขึ้นอีกมากนับจากนี้ไป ฝากอธิษฐานเผื่อผมและน้องๆในแคร์ผมด้วยนะครับ
ถ้าจริงอย่างที่ผมเห็น เราจะมี 1ผู้นำ 1ผู้สนับสนุน 1นักอภิบาล 1นักนำบรรยากาศ และอีก 1นักประกาศ
อย่างไรก็ตาม ขอให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น ขอให้เรารักพระเจ้าสุดใจ กำลัง และความคิด

สู้กันต่อไป ฮา! ฮา! ฮาเลลูยา!