Sep 29, 2009

โลภมาก... ลาภหาย

เมื่อกี้ได้นั่งคุย (โทรศัพท์) กับพ่อ
เป็นบทสนทนาที่อยากจะจดจำไว้อีกครั้งหนึ่ง

คุยกันเรื่องเงินๆ ทองๆ และการทำมาหากิน

บอกพ่อไปว่า โครงการลงทุนที่ทำกับเพื่อนไป เจ๊งแล้ว
พอหัวเราะชอบใจ "กูบอกมึงแล้ว"
พ่อบอกว่า...
ทำอะไรอย่าโลภ อะไรที่มันได้น้อยๆ มันอาจจะไม่ทันใจ แต่มันคงทน เช่น ทำการเกษตร ราคาขายมันอาจจะไม่ดี แต่มันมีกิน
คนสมัยนี้ ใจร้อน อยากได้เงินเร็ว แต่ไม่ขยันทำงาน อยากได้เิงินเป็นก้อนใหญ่ๆ
ยิ่งโลภมาก ก็เสี่ยงมาก ยิ่งเสี่ยงมาก ก็มีโอกาสเจ๊งมาก ยิ่งไปเสี่ยงโง่ๆ แบบยืมจมูกคนอื่นหายใจ ยิ่งเจ๊งแทบจะแน่นอน
ถ้าอยากจะเสี่ยง ยังมีอะไรให้ทำด้วยตัวเองอีกเยอะ
อย่าคิดว่าอะไรๆมันจะง่ายไปซะหมด
คนที่ทำได้มันก็มีจริง แต่มันจะมีซักกี่คนที่ทำได้อย่างนั้น
เจ็บแล้วก็จำไว้ ครั้งหน้าจะได้ไม่พลาดอีก เพื่อนดีๆ มีให้คบ เพื่อนไม่ดี จะคบอย่างไร ก็คิดเอาเอง...

นั่งฟังพ่อพูดแล้วก็นึกถึง คนที่รวยชั่วข้ามคืนเพราะถูกรางวัลลอตเตอรี่
จำได้ว่า หลายคน รวยไม่นานก็จนเหมือนเดิม มีบางคนกลับไปถีบสามล้อรับจ้างเหมือนเดิม
คนที่ไม่รู้วิธีการให้ได้มา ก็คงไม่รู้วิธีการที่จะรักษามันไว้
นึกในใจขำๆ คนซื้อลอตเตอรี่ ไม่รู้กี่คน นานๆจะถูกซักที ก็ออกข่าวใหญ่โต สร้างความหวังลมๆ แล้งๆ ให้คนซื้อยังฝันว่าจะรวยเพียงชั่วข้ามคืนต่อไป
อย่างว่าละนะ หลายคนเข้านอนพร้อมกับความฝันว่าตื่นเช้ามาเขาจะรวยเป็นเศรษฐี ซึ่งก็จริง เพราะเช้ารุ่งขึ้นเขาก็ต้องตื่นอยู่ดี

หวังว่าครั้งนี้จะเป็นบทเรียนที่ดี สำหรับ การไม่เอาความเป็นเพื่อนเข้ามาปนกับการทำธุรกิจ
ที่สำคัญ หวังว่าจะเป็นบทเรียนที่ดี ไม่ให้ความโลภมาบังตาใ้ห้มืดมัวอีก

คุยกับพ่อเสร็จ ผมนั่งหัวเราะในความสะเพร่าของตัวเอง พลางนึกถึงบางคนด้วยความดีใจ...
ดีใจที่ตอนนั้นเอาตังค์พ่อมาให้เพื่อนไม่สำเร็จ เลยลาภหายเงินหดเครดิตหมดแค่ของตัวเอง ไม่งั้นถ้าทำสำเร็จ คงได้ SHIP หายด้วยแน่ๆ

Sep 27, 2009

โลกมายา

ในบทละครเรื่อง As you like it ของ วิลเลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare) แต่งเอาไว้ว่า
All the world's a stage,
And all the man and women merely players;
They have their exits and their entrances;
And one man in his time plays many parts,

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปลบทละครของวิลเลียม เช็คสเปียร์ ไว้เป็นภาคภาษาไทยชื่อ ตามใจท่าน ลครเริงรมย์ ความว่า
“ทั้งโลกเปรียบเหมือนโรงละครใหญ่
ชายหญิงไซร้เปรียบตัวละครนั่น
ต่างมียามเข้าออกอยู่เหมือนกัน
คนหนึ่งนั้นย่อมเล่นตัวนานา”

เมื่อสัก 10 ปีที่ผ่านมา ก็มีหนังเรื่อง true man shows ที่ถ่ายทำชีวิตจริงของคนๆหนึ่งตั้งแต่เด็กยันโต ไม่รู้ว่า เป็นที่มาของรายการแบบ reality shows ยอดฮิต ในปัจจุบันหรือเปล่า

เกริ่นมาตั้งนาน แค่กำลังคิดว่า มายาคติ นี่สงผลร้ายต่อชีวิตคนเราเยอะนะ โดยเฉพาะกับเรื่อง การรู้จักตนเอง
แล้ว การรู้จักตัวเอง อย่างผิดๆนี่แหล่ะ ที่นำมาซึ่งความฉิบหายทั้งต่อตัวเอง คนรอบข้าง จนถึงขั้นเสียบ้านเสียเมือง ก็เคยมีตัวอย่างให้เห็นกันมาแล้ว (และอาจจะมีให้เห็นอีก ในไม่ช้า)

เมื่อวันก่อนนั่งดูหนังเรื่อง Bolt แล้วก็คิดถึงชีวิตของตัวเอง คิดถึงเพื่อนๆ บางคน พวกเราหลายคนเติบโตมาในโลกเสมือนจริง มันจริงแต่มันก็ไม่จริง มันจริงเพราะโลกนี้มันจริงอยู่แล้ว แต่มันไม่จริง เพราะเราเองต่างหาก ที่ไม่ยอมรับความจริงบางเรื่อง ของตัวเราเอง

หนักๆเข้า หลายคน รวมถึงตัวผมเองด้วยในสมัยก่อน ก็สร้างขอบเขตโลกของตัวเองขึ้นมา ในโลกจริงใบนี้ แน่นอนว่าในโลกของเรานี้ เหตุผลของตัวเราคือสัจธรรม มันถูกต้องเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น หากเราทำให้มีคนศรัทธาในสัจธรรมของเราได้ โลกใบเล็กของเราก็จะมีคนมาร่วมใช้ชีวิตอยู่ด้วยมากขึ้น

แต่เมื่อวันหนึ่งที่เราก้าวออกมาจากโลกใบเล็กของเรา ความจริงที่เรายึดถือมาตลอดจะถูกทดสอบทันที สิ่งที่เราเคยทำได้ อยู่ๆก็ทำไม่ได้ ราวกับว่าความพินาศจะมาเยือนเราเร็วเกินไป ความมั่นอกมั่นใจของเราไม่ได้นำพาสิ่งใดมาให้เลย นอกจากการประเมินเกินความจริงและความหายนะซึ่งไม่เพียงต่อตัวเอง แต่กับคนรอบข้างด้วย ที่คิดว่าเราเป็นตัวจริงอย่างที่เราบอกใครต่อใครด้วยความจริงใจ (เพราะเราเข้าใจตัวเองอย่างนั้นจริงๆ)

เป็นเรื่องปกติที่เราจะยืนกรานในสิ่งที่เชื่อ ซึ่งหากไม่มาถึงจุดวิกฤตของชีวิต และไม่มีเพื่อนหรือคนคอยชี้แนะ คงไม่ง่ายที่เราจะมาถึงจุดแห่งการยอมรับความจริงว่าเป็นอย่างไร

ความจริงก็คือ เราเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติ เราทำผิดพลาดหลายเรื่อง อีกเยอะที่ยังไม่รู้ อีกมากที่ยังไม่เข้าใจ อีกไม่รู้เท่าไหร่ที่ทำไม่เป็น เรื่องดีๆก็มีมาก แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะถูกไปทั้งหมด

ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วผมดีใจ ผมขอบคุณพระเจ้ามากที่วันนี้ พระเจ้านำผมมาถึงจุดที่ ผมเลือดออกเป็น มาถึงจุดที่ผมรู้ว่าผมหิว ที่สำคัญ ผมมีคนคอยสอนผมว่า การใช้ชีวิตปกติของมนุษย์ นั้นเป็นอย่างไร... มนุษย์เราจะมีชีวิตที่ปกติไม่ได้เลย หากเราไม่รู้จักกับพระเยซู

...มิตรภาพจะตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงใจได้อย่างไร หากความจริงใจนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความไม่จริง

ความกล้าหาญ หรือการเป็น Hero ไม่ได้เกิดจากการคิดว่าเราเป็นอย่างไร ไม่ได้เกิดจากการมองว่าตัวเราเองสำคัญ แต่เกิดจากการยอมรับว่าเราเป็นอย่างไร ในสถานการณ์นั้นๆ เราทำอะไรได้ และเราเลือกจะทำอย่างไร เพื่อคนอื่น

สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ความเชื่อของแต่ละคนต่อมุมมองเรื่องความจริงเป็นเรื่องอัตวิสัย ที่เราต้องเคารพและให้เกียรติ ความจริงที่เขาเผชิญ หลายครั้งหลายเรื่อง มันเจ็บปวดเสียจนต้องสร้างเกราะขึ้นมาห่อหุ้มปกป้องตัวเอง

แต่กับคนที่รู้จักพระเจ้า คนที่ยืดอกบอกใครต่อใครว่ารู้จักพระเจ้า บ่อยครั้งกลับหลบซ่อนอยู่ในเปลือกหนาๆ ที่เขียนป้ายติดไว้ให้ตัวเองและคนอื่นอ่านทุกค่ำเช้าว่า "ตัดสินใจ" "ตามความจริง" "เพื่อพระเจ้า" (ผมไม่ได้บอกว่า ทุกคนจะเป็นอย่างนี้นะครับ) ถ้าไปอ่านพระคัมภีร์ ก็จะเห็นว่า พระเยซูก็ตำหนิคนที่ทำอย่างนี้

ผมเชื่อว่า การยอมรับข้อจำกัดของผมในวันนี้ จะส่งผลให้ผมสามารถ ทำ หรือ ใช้ ความสามารถที่ผมมีได้อย่างดีในโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่แค่พอถูไถไปที หรือเพ้อฝันเก่งอยู่แต่ในโลกมายาเหมือนที่ผ่านๆมา...

ที่สำคัญ แม้เราจะมีปัญหาชีวิตเหมือนๆกัน ลำบากบ้างอะไรบ้าง แต่เป็น a man ในโลกของความจริง มีความสุขกว่าเป็น Super man ในโลกมายาเยอะครับ

it's my real super bark "Bow-wow!"

http://www.youtube.com/watch?v=8xDgw5ROfeM

Sep 16, 2009

think different !!

ถ้าให้ใครซักคนวาดภาพของ "บ้าน" ผมคิดว่าทุกคนต้องวาดส่วนหนึ่งของบ้านที่เรียกว่า "หลังคา" เป็นแน่ (บางคนจึงชอบพูดติดปากว่า มีบ้านไว้คุ้มกะลาหัว)

หลังคา จึงเป็นส่วนที่ช่วยปกป้องคนในบ้านไม่ให้ถูกรบกวนจากภาวะภายนอก เช่น ฝนตก แดดออก (ขี้) นกกระจอก หรือแม้แต่พวกชอบทำตัวแทนแดด (ชอบส่อง)

แต่มีใครเคยคิดไหมว่า ในทางตรงข้าม หลังคา ก็เป็นอุปสรรคปิดกั้นเราจากความงามของท้องฟ้า โดยเฉพาะในยามค่ำคืนเดือนมืดที่ดวงดาวทั้งฟ้าส่งแสงระยิบระยับตา (เว้นแต่บ้านเราจะทำหลังคากระจกใส เพื่อการศึกษาของเด็กๆ ควรมีใครซักคนลงทุนรื้อหลังคาบ้านตัวเองนะครับ ^^)

ชวนให้นึกถึง วัฒนธรรมและประเพณีของสังคม โดยเฉพาะในสังคมชุมชนคริสเตียน ซึ่งยึดถือพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นมาตรฐานในการดำเนินชีวิต โดยคริสเตียนมองว่า บทบัญญัติของพระเจ้านี้มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่ากฎหมายบ้านเมือง ซึ่งเป็นบัญญัติของมนุษย์เสียอีก (มั่นใจได้ว่า อะไรก็ตามที่คุณทำถูกต้องตรงไปตรงมาตามพระคัมภีร์ มันจะถูกกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ในขณะที่หลายอย่างทำแล้วไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดพระคัมภีร์แบบเต็มๆ)

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีหลายคน หลายคณะนิกาย ที่พยายามให้นโยบาย หรือ วัฒนธรรมของตัว มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าหลักการในพระคัมภีร์ ซึ่งครั้งหนึ่งพระเยซูเองก็ได้ตำหนิบรรดานักการศาสนาในสมัยนั้น ที่ชอบตู่เอาบทบัญญัติของมนุษย์มาเป็นพระบัญญัติของพระเจ้า พระองค์เรียกคนพวกนี้ว่าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก

หลายครั้ง เมื่อเราเริ่มลงมือทำอะไรซักอย่าง โดยเฉพาะยิ่งเป็นสิ่งที่เราทำตามความจริงหรือความฝันในใจเรา แล้วเราเจอกับอุปสรรค เรายอมแพ้ง่ายเกินไปหรือเปล่า

หากว่าภรรยาที่คุณรักสุดหัวใจ เป็นโรคร้ายที่หมอบอกว่าหมดหนทางรักษา และเธอนอนไม่ได้สติมานานนับปี คุณจะหมดความหวังใจและทำใจยอมรับสภาพ หรือคุณยังมีความหวัง และพยายามหาหนทางเพื่อช่วยเธอให้กลับมามีชีวิตปกติอีกครั้ง

หากคุณได้ยินว่า มีชายคนหนึ่งสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยทุกชนิดให้เป็นปกติดีได้ คุณจะเพิกเฉยและคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรือคุณจะคิดว่ามันเป็นไปได้ และพาภรรยาของคุณไปหาเขา

ถ้าคุณพาภรรยาของคุณไปหาเขาแล้ว ปรากฎว่า วันนั้นเขานั่งอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งคุณเห็นผู้คนเบียดเสียดออกันแน่นขนัดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ใครๆต่างก็มาหาชายผู้นี้ และต่างพยายามจะเข้าไปให้ถึงตัวของเขา คนตาบอดบางคนคลำหาทางไม่เจอ ก็ตะโกนส่งเสียงเรียกชื่อชายคนนั้นดังๆ ด้วยหวังว่าชายคนนั้นจะได้ยินและเดินมารักษาดวงตาให้เขา แม่บางคนก็พยายามพาลูกของนางเข้าไปใกล้ เพื่อหวังว่าลูกของตนจะได้รับการอวยพร

แทบจะไม่มีใครใส่ใจใคร ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ชายคนนั้น คุณจะทำอย่างไร คุณจะกลับบ้านไหม คุณคิดว่า ไม่มีทาง "ฝ่า" ฝูงชนเข้าไป เพื่อพาภรรยาคุณไปรับการรักษาหรือเปล่า บางทีคุณอาจจะคิดว่า ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้ (กี่ครั้งแล้วที่คุณคิดอย่างนี้)

มีใครบางคนอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆข้างต้น พวกเขา "หาม" เพื่อนมา เพื่อช่วยให้เพื่อนกลับคืนสู่สภาพปกติของชีวิตมนุษย์ แต่ฝูงชนที่คราคร่ำดูจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง ในการขัดขวางไม่ให้พวกเขาให้เข้าไปถึงตัวชายผู้นั้นได้

คนพวกนี้ไม่ปล่อยให้ไฟแห่งความหวังของพวกเขาหวั่นไหวไป เพียงเพราะคนหรือสถานการณ์ไม่เป็นใจ

เขาไม่นั่งรอ "โชค" หรือ "โอกาส" ให้มาเยี่ยมเยียนก่อนจะไขว่คว้่าไว้ แต่พวกเขาเลือก "เสี่ยง" ที่จะสร้างมันขึ้นมาเอง

พวกเขาทั้ง 4 คน ลงมือรื้อทำลายสิ่งที่ปกป้องพวกเขา (และคนอื่นๆ) จากอันตราย เลือกสูญเสียพื้นที่ปลอดภัย ก้าวข้ามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดกั้นไม่ให้พวกเขาพาเพื่อนมาพบชายผู้นั้นได้ แล้วพวกเขาก็หย่อนเพื่อนลงมาทางหลังคา ด้วยความเชื่อและมุ่งมั่นว่าเพื่อนเขาจะหายดี

เรื่องราวที่บันทึกไว้ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้ นอกจากบอกว่า เพื่อนที่ถูกหามมาได้รับการรักษาให้หายดี แต่คุณลองจินตนาการเรื่องนี้ไปกับผมต่ออีกซักหน่อยไหม

... ตอนที่เขาหามมา เขาคงไม่ได้เตรียมการ / อุปกรณ์มาด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องหย่อนเพื่อนลงทางหลังคา เขาคงคิดกันหัวแทบแตกว่าทำอย่างไรจะเข้าไปให้ได้
... รื้อหลังคาบ้าน... บ้าไปแล้วแน่ๆ เอาจริงๆนะ เป็นคุณ คุณจะทำไหม
... รู้ทั้งรู้ ตำรวจต้องตั้งข้อหา ทำลายทรัพย์สินผู้อื่น ให้คุณแน่ๆ ถ้าไม่จ่ายค่าปรับก็ต้องติดคุก (คุณคิดว่า ราคา หลังคา มันถูกๆหรือ) และอื่นๆอีกมากมาย ตามแต่จะจินตนาการเพิ่มเติม

ผมเชื่อว่า ณ เวลานั้น สิ่งที่ขับเคลื่อนอยู่ในใจของคนทั้ง 4 นั้น มีเพียงสายตาและความคิดที่จดจ่ออยู่ว่า ทำอย่างไรจะนำชีวิตกลับคืนมาให้เพื่อนได้ และชายผู้นั้นเป็นคำตอบ ผมเชื่อว่า พวกเขายินดีจ่ายทุกราคาที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแลกกับชีวิตของคน 1 คน

และด้วยความเชื่อเช่นนี้ พระเยซูไม่เพียงรักษาให้คนที่ถูกหามมาหายโรค แล้วบอกให้เขาลุกขึ้นแบกที่นอนเดินกลับบ้านไป แต่พระองค์ยังทรงบอกด้วยว่า "บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว"

จับจ้องที่เป้าหมาย, เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้, Think different แล้วมุ่งมั่นลงมือทำ

Trust in the Lord with all your heart. Never rely on what you think you know.
Remember the Lord in everything you do, and He will show you the right way.
Proverbs 3:5-6


Credits:

inspired by Pat's preaching @ Newsong on Sep.12, 2009 (Mark 2:1-12)

inspired by คุณบีและคุณดำ (คนไม่มีเวลา / ว่าน AF)

inspired by Einstein's word (Insanity: doing the same thing over and over again and expecting different results)

inspired by พ่อกับแม่ของผมเอง ^^

Sep 14, 2009

พักครึ่ง

หลายครั้งที่เราดูการแข่งขันฟุตบอล แล้วทีมที่ถูกนำไปก่อนในครึ่งแรก พลิกกลับมาชนะได้ในที่สุดเมื่อจบเกมส์ ผมคิดว่า มีหลายปัจจัยสำคัญที่เป็นเหตุให้เกิดผลการแข่งขันดังกล่าว เช่น ความสามารถและกำลังใจของผู้เล่น นอกจากนั้น การแก้เกมส์ของโค้ชก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีส่วนสำคัญอย่างมาก

ช่วงพักครึ่งเวลา จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการประเมินการเล่นในครึ่งแรก ประเมินทั้งสภาพผู้เล่นทีมของเรา สภาพและวิธีการเล่นของทีมคู่แข่ง และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ไม่เพียงประเมินแต่ต้องทบทวนและปรับปรุงด้วย สิ่งสำคัญสุดท้าย ต้องไม่ลืมที่จะจูงใจ
ดังนั้น หากประเมินไม่ตรง หรือ ทบทวนไม่เป็น หรือ แก้ไขไม่ได้ หรือจูงใจไม่ถึง การเล่นในครึ่งหลังคงไม่ต่างจากครึ่งแรกเท่าไหร่

กีฬาทุกชนิดมีกติกาของมัน เมื่อเราเริ่มต้นตุกติก เราก็เริ่มต้นความพ่ายแพ้
วิธีเดียวที่จะไม่ต้องเคารพกติกา คือ สร้างกีฬาใหม่ของเราขึ้นมาเอง หากเราเป็นผู้กำหนดกติกาเสียเองแล้ว เล่นอย่างไรก็ชนะ
แต่ทว่า กีฬานี้จะได้รับการยอมรับโดยทั่วไปหรือ หากเอาแน่เอานอนกับกติกาไม่ได้...

เพิ่งจะอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบไป half time / Bob Buford แปลไทยว่า พักครึ่งชีวิต
อ่านแล้วมีงงๆกับภาษาที่ใช้ในการแปลบ้าง แต่ก็พอเดาเนื้อหาของต้นฉบับได้
สรุปความกันง่ายๆ ชีวิตคนเราเปรียบคล้ายเกมส์กีฬา ในแง่ที่ว่า ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าจะจบเกมส์ ช่วงหนึ่งในชีวิตของคนเราที่คล้ายกับช่วงพักครึ่ง เป็นช่วงเวลาที่เราได้กลับมาประเมินตัวเอง ทบทวนคุณค่าของความสำเร็จในสิ่งที่ผ่านๆมา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อให้พร้อมสำหรับครึ่งเวลาหลังที่เหลือ เปลี่ยนวิธีเล่น แต่ยังคงอยู่ในเกมส์เดิม

ยิ่งเราพบคุณค่าที่แท้จริงของตัวเราเองได้เร็วเท่าไหร่ เราก็จะมีเวลาเล่นในครึ่งหลังมากขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับบางคน (เช่นผม) หลายๆคำถามที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ (และอาจไม่พบเลยชั่วชีวิตนี้) แต่ไม่ว่าอย่างไร เกมส์ชีวิตจริงยังคงดำเนินต่อไป และผมจะเล่นให้ดีที่สุด

บางทีสำหรับตัวผมเอง จุดยากที่สุดสำหรับการเล่นในครึ่งหลังของเกมส์ชีวิต อาจไม่ใช่เพียงการยอมรับความจริงตามกติกาสากลของโลกนี้ (ซึ่งตอนนี้ดีขึ้นมาก) หรือการหา แท็คติก ที่เหมาะสม แต่คือการก้าวออกจากความคุ้นเคยเดิมๆ กล้าที่จะเสี่ยงก้าวไปข้างหน้า กล้าที่จะวางพระเยซูคริสต์ไว้ในกล่องชีวิต กล้าที่จะยอมรับค่านิยมของพระคัมภีร์จริงๆ... (ซึ่งตอนนี้ ผมคิดว่ามันไม่ง่ายเลย)

สิบกว่าปีที่ผ่านมา ปากดีมาตลอด ถึงเวลาที่ต้องเลิกปากดี แล้วเปลี่ยนมาใช้ชีวิตให้ดีแทน...
ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ