Dec 8, 2009

กี่ปี ?

เมื่อคืนคุยกับพ่อตามกระแสวันพ่อที่เพิ่งผ่านไป
คุยกันเรื่องเดิมๆ เมื่อไหร่จะเรียนจบ เสียเวลามาเยอะแล้ว ทำงานเลี้ยงตัวให้ได้ ไม่จำเป็นต้องรวย เรื่องเมียไม่ต้องรีบ คราวนี้มีเพิ่มมานิดหน่อย เรื่องการใช้และสะสมบุญบารมี
แต่แม้จะเรื่องเดิมๆ เมื่อคืนคุยกันสนุกมาก

พ่อเล่าให้ฟังถึงเพื่อนผมสมัยประถมแถวบ้านหลายคน เขาต่างทำงาน แต่งงาน มีลูกกันหมดแล้ว พ่อว่าสมัยก่อน จะมีลูกซักคน เขาว่าต้องมีเงินซัก 3 ล้าน เพื่อนผมแถวบ้านคนหนึ่ง มีลูก 2 คน รวมเงินใช้เองผัว-เมียด้วย ก็ไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน พ่อถามว่า “มึงทำงานได้ปีละเท่าไหร่” กะด้วยสายตาคร่าวๆ ราวๆ แสนต้นๆ “มึงตามหลังเขาอยู่ 10 กว่าปี” พ่อพูดต่อ “ถ้าเป็นคน 10 ปีนี่ 1 ศตวรรษ มันคนละยุค คนละสมัย คุยกันคนละภาษาแล้วนะ” “แล้วยังงี้ มึงยังจะบอกว่ามึงไม่ล้าหลังอีกเหรอ”...

ผมนึกถึงข่าวในหนังสือพิมพ์ที่เคยอ่านตั้งแต่ยังเด็กๆ ถ้าจำไม่ผิด เขาว่าเมื่อก่อน ในแถบเอเซียน ใครๆก็ตามประเทศไทยกันหลักสิบปีทั้งนั้น เราทิ้งห่างสิงคโปร์ มาเลเซีย อยู่หลายสิบปี จนสูสี จนตอนนี้ เขาทิ้งเราไปไหนต่อไหนแล้ว เวียดนาม ที่เคยอยู่คนละชั้นกับเรา ดูเหมือนว่าก็กำลังหายใจรดต้นคอเราเข้ามาเรื่อยๆ และถ้าเข้าใจไม่ผิด พม่า กับ เขมร ก็กำลังเตรียมตัวเทียบชั้นเราอยู่ โดยเฉพาะรายหลังนั้น ถึงขั้นเชิญนักโทษชายของไทยไปเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเลยทีเดียว

ผมไม่ได้บอกว่าประเทศไทยไม่ได้พัฒนา เพียงแต่ผมคิดว่าเราพัฒนาขึ้นน้อยมาก โดยเฉพาะหากเทียบกับความทันสมัยที่มากขึ้นของบ้านเมืองในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา

ผมคิดว่า อาจเป็นเพราะเราเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มค่าไม่ได้มากกว่าสินทรัพย์ที่เพิ่มค่าได้

ในวิชาเศรษฐศาสตร์ มีเรื่องหนึ่ง ชื่อว่า กฎทองของการสะสมทุน (Golden rule Level of Capital) ใจความโดยสรุปง่ายๆ ก็คือ เมื่อคนรุ่นเรา (เสียสละ) ใช้เงินน้อยลง ทำให้ความพอใจของเราจากการบริโภคลดลง แต่เราจะลงทุนได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้คนรุ่นลูกได้ผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้เขามีเงินใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งจะสร้างความพอใจให้เขามากขึ้น และถ้ารุ่นลูกทำเหมือนเรา รุ่นหลานทำเหมือนเรา... สินทรัพย์ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกรุ่น รุ่นต่อรุ่น

“จงรักลูกหลานเหมือนรักตัวเอง”

โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า คน เป็นมากกว่าทรัพยากรทางเศรษฐกิจ แต่ผมยอมรับว่า คน เป็นสินทรัพย์ที่คุ้มค่าที่สุดในการลงทุนระยะยาว

ถ้าหากดูจาก สิงคโปร์ ประเทศเพื่อนบ้านที่หลายคนมักหยิบยกมากล่าวถึงชื่นชมในความทันสมัย เขาใช้เวลาในการพัฒนาประเทศ ประมาณ 50 ปี โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความสามารถ และความคิดของคน...

ต้นไม้แต่ละชนิด ย่อมมีระยะเวลาและวิธีในการเพาะเมล็ดแตกต่างกันฉันใด ชีวิตคนเราก็มีช่วงระยะเวลาและวิธีการในการบ่มเพาะชีวิตแตกต่างกันฉันนั้น

หากเมล็ดนั้นถูกเพาะลงดินแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลใจ แต่หากวางไว้บนทิชชูชุ่มน้ำ รอเป็น 100 ปี ก็คงไม่งอกขึ้นมา เว้นแต่จะเป็นเมล็ดถั่วงอก !!

วันนี้ ผมได้เจอที่ของผมแล้ว ชีวิตของผมได้รับการปลูกลงแล้ว วันหนึ่งมันจะออกดอกออกผลให้เก็บเกี่ยวแน่ ไม่รู้ว่าจะทันในช่วงรุ่นอายุผมหรือเปล่านะ หรือต้องรอถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน

แต่หวังว่า อย่างน้อยมันจะได้ทันแตกยอดอ่อนในรุ่นอายุพ่อของผม
ทันให้ท่านได้เห็น ทันให้ท่านได้ภูมิใจ

Nov 24, 2009

ใครว่าโลกกลม

The world is flat เป็นหนังสือเล่มล่าสุดที่ผมอ่านจบลง หนังสือเล่มนี้พูดถึง สภาวะ ที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่

ผมเห็นด้วยว่าโลกของเราแบนลงเรื่อยๆ ไม่ใช่ในทางกายภาพ แบนลงในความหมายว่า ทุกคนมีศักยภาพในการเป็นคนสำคัญต่อโลกนี้เท่าเทียมกันมากขึ้นเรื่อยๆ โลกทั้งใบกำลังเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน

วิทยาการ ความรู้ และวิธีการใช้ชีวิตของคนในโลกนี้กำลังจะเปลี่ยนไป จริงๆมันก็เริ่มเปลี่ยนมาได้ซักพักแล้วล่ะนะ

คนรุ่นอายุผมอาจจะเป็นคนรุ่นที่ต้องปรับตัวตลอดชีวิตก็เป็นได้ ลองคิดถึงสมัยเด็กๆ สิ
ผมจำได้ว่า ผมตื่นเต้นกับโทรทัศน์สีเครื่องแรก และ เครื่องเล่นม้วนวิดีโอเทป เครื่องแรกของบ้าน (เป็นเครื่องแรกๆของหมู่บ้านเลยทีเดียว)
ผมใช้คอมพิวเตอร์ครั้งแรก จอเขียวๆ ต้องพิมพ์คำสั่ง DOS ยาวๆ ช้ามากอีกต่างหาก (ความจุฮาร์ดดิสเท่าไหร่นะ 4 หรือ 8 GB นี่แหล่ะ)
Pen friend เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นในการได้มีโอกาสรู้จักพูดคุย และเป็นเพื่อนกับคนต่างชาติ
สมัยเรียน ม.ปลาย ใครมี Pager ใช้ นายเท่ห์มาก ส่วนโทรศัพท์มือถือไม่มีครับ มีแต่โทรศัพท์กระเป๋าหิ้วที่ทั้งหนักทั้งแพง(มากกกกก)
และอีกหลากหลาย "ความใหม่" ที่หายไปในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งชีวิตของผม

โลกทั้งแบนราบและเล็กลง มันเล็กลงจนคนเล็กๆคนไหนก็ได้ สามารถเป็นที่รู้จักข้ามโลกได้เพียงข้ามคืน (Susan Boyle จำได้ไหม)

การดำเนินธุรกิจ หรือ การกำหนดนโยบาย ทั้งในระดับขององค์กรหรือประเทศจากส่วนกลาง กำลังจะตาย ไม่เว้นแม้แต่ วงการสื่ออย่างวิทยุและโทรทัศน์ หากยังใช้ Business model เดิมๆ

ผู้ชม ผู้บริโภค ประชาชน ในยุคปัจจุบัน มีพลังในการคัดเลือก สูงกว่าเมื่อ 30 ปี ที่ผ่านมาอย่างมาก (ไม่เชื่อ คุณลองถาม ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐ หรือ อดีตนายกฯสมัย รสช. ก็ได้ ว่าอะไรเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อชัยชนะและความพ่ายแพ้ของพวกเขา)

พลังแห่งการแบ่งปันและประสานผลประโยชน์ ก่อให้เกิดการเปิดเผยและเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว เท่าเทียมกัน อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันเป็นยุคสมัยที่ต้องคิดให้หนัก หากคุณคิดจะทำสิ่งผิด เพราะไม่ช้าก็เร็ว (ส่วนมากมักเร็วครับ) คุณจะถูกเปิดโปงแน่นอน หรือแค่ "การมั่ว" ก็อาจจะเพียงพอให้คุณโดนเบรกในขณะที่ยังอ้าปากพูดเรื่องนั้นไม่จบ จากใครสักคนที่กำลังเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเข้ากับแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง

ผมนึกถึง The village หนังเก่าเมื่อหลายปีก่อน เป็นเรื่องของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ เจ็บปวดจากสังคม พวกเขาต้องการปกป้องลูกหลานของเขาจากความชั่วร้ายเหล่านั้น จึงเข้าไปอยู่ในป่า สร้างชุมชนขึ้นที่นั่น สร้างนิยายปรัมปราและธรรมเนียมประเพณีเพื่อกักขังเด็กรุ่นใหม่ๆไว้ในความกลัว ไม่ให้กล้าที่จะก้าวข้ามชายป่าออกมาสู่โลกที่แท้จริง แต่ท้ายที่สุด ความปรารถนาดีของพวกเขาก็จบลงด้วยสถานการณ์บังคับให้ต้องออกจากป่า หากพวกเขาต้องการมีชีวิตอยู่รอดต่อไป

การอยู่รอดในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้ จึงไม่สามารถเพียงแค่การพยายามปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ เช่น การลดต้นทุนลง 5%, การเปลี่ยนรูปแบบรายการ หรือ การเปลี่ยนวิธีการนำเสนอใหม่ แต่ต้องเปลี่ยนกระบวนความคิดใหม่ทั้งหมด

ฟังดูเป็นเรื่องที่ยากไหม ผมคิดว่า จริงๆแล้วความคิดใหม่ๆที่ว่าเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก ก็คือ การรู้จักและยอมรับจุดแข็ง-จุดอ่อนของตัวเอง การมีความไว้วางใจต่อกัน การทำงานประสานร่วมกัน และการสร้างผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นโดยไม่มีความเคลือบแฝง ผมเชื่อว่า วิถีแห่งการให้ จะเป็นแนวทางเดียวที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชีวิตของเราทุกคนอย่างเป็นปัจเจกชน

เมื่อสัปดาห์ก่อน รุ่นน้องผมคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย ต้องเดินทางกลับกรุงเทพเพื่อผ่าตัดด่วนอย่างกะทันหัน เธอโทรศัพท์หาสายการบินที่นั่น และได้รับความช่วยเหลืออย่างดีมากจากพนักงานสาวชาวอินเดีย ซึ่งนั่งรับสายอยู่ที่อินเดีย!!

อาจจะเป็นไปได้ว่า ไม่เกินชั่วชีวิตของผม โลกนี้อาจมีการจัดระเบียบใหม่ ทุกคนจะมีอุปกรณ์พื้นฐานส่วนตัวที่เป็นยิ่งกว่าบัตรประชาชน, หนังสือเดินทาง, i-phone, Blackberry, Cannon, credit card หรืออะไรก็ตามแต่ ที่สำคัญมัน ล้ำ มาก เพราะไม่ต้องพกพา เนื่องจากมันถูกฝังอยู่ในร่างกายเรา... ก็เป็นแค่จินตนาการ ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่

แต่อย่างไรก็ตาม หากวันนี้คุณยังไม่ออกวิ่ง โปรดรู้เถิดครับว่าโลกวิ่งไปไกลแล้วและกำลังวิ่งเร็วขึ้น ก่อนที่จะฝันไปไกลถึงขั้นเดินนำโลก ช่วยชะโงกหัวออกไปดูโลกภายนอกบ้างได้ไหม ว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว ออกไปดูซะให้เห็นด้วยตาของตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่าโลกนี้ แม้จะกลมเหมือนผลส้มแต่มันแบนจริงๆ

Nov 22, 2009

no fear in LOVE

เมื่อวานนี้ ที่นิวซอง พี่ Peter เล่าให้ฟังว่า มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพี่น้องของเราคนหนึ่ง ผมไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าพี่น้องของเราคนนี้ กล้าที่จะเดินมาเล่าให้พี่ Peter ฟังว่า เขาไปทำอะไรมา

ตอนที่ผมได้ยินเรื่องนี้ ผมอดใจหายไม่ได้ จำได้ว่า เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผมยังรู้สึกดีใจอยู่เลย ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับเขามากขึ้น ตื่นเต้นที่จะได้สนิทกันมากขึ้น จริงๆผมอยากให้เขาอยู่ที่นี่กับพวกเรามากกว่า แต่มันก็คงไม่ง่ายนักในความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมได้แต่หวังว่า เขาจะได้รับการรื้อฟื้น และกลับมาที่นิวซองอีกครั้งหนึ่ง เร็วๆนี้

... เรื่องราวของใครบางคน และอีกหลายคน โผล่เข้ามาในความคิดของผม...

ผมรู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนชีวิตสมรส จริงๆแล้วเขากำลังเตรียมตัวจะเดินทางไปเป็นผู้นำที่โบสถ์ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ไม่กี่เดือนต่อมา ผู้นำโบสถ์ที่กรุงเทพก็ส่งเขาทั้ง 2 คนไปต่างจังหวัด ผู้ชายเดินทางไปเป็นผู้นำ ผู้หญิงไปอีกจังหวัดหนึ่ง เพราะเธอท้อง

ผู้ชายคนนี้ได้รับเกียรติในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า ส่วนผู้หญิงคนนั้นตกระกำลำบากในฐานะคนทำผิด

หลายปีผ่านไป ผู้ชายคนนั้นจัดงานแต่งงานใหญ่โต คณะผู้ปกครองและผู้นำหลายคนไปร่วมอวยพรแสดงความยินดี และประกอบพิธี "สมรสศักดิ์สิทธิ์" ให้ ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น ทั้งที่เจ้าสาวในงาน เป็นคนละคนกับผู้หญิงคนแรกที่ตั้งท้อง

14 ปีที่ผ่านมา ผมพูดเสมอว่า ผู้นำก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ทำผิดได้ ทำพลาดได้ สิ่งที่เราต้องทำ คือ ยอมรับว่าเราอ่อนแอ กลับใจใหม่ และพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ไม่ใช่การปกปิด รักษาหน้า ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำตัวราวดั่งกับเป็นเทพ บริสุทธิ์ ผิดไม่เป็น แตะต้องไม่ได้ โดยเฉพาะเหตุผลที่บอกว่า "จะบอกทำไม บอกแล้วไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องบอก ยิ่งบอกยิ่งทำให้งานพระเจ้าเคลื่อนช้าลง" (ผมคิดว่ามันเป็นเหตุผลที่ไร้สาระและเลวระยำตำบอนมาก) (เถียงมากๆเข้า ก็จะเจอประโยคเด็ด "ไม่ฉลาดเท่าผม ก็เชื่อฟังผมเถอะ" หรือ "เชื่อผมเถอะ ผมรับผิดชอบเอง" เฮ้อ... เก่งๆกันทั้งน้านนน...) แม้จะเชื่อว่าคนพูดมีความตั้งใจดีเพื่องานพระเจ้าจริงๆ (ซึ่งเชื่อได้ยากเต็มที) แต่มันเป็นการใช้เหตุผลที่ไม่ต่างจากการใช้เหตุผลของหญิงชั่วในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ สุภาษิต7:14-20 เลย

ผู้นำทำผิดปกปิดเพื่อพระเจ้า แต่สมาชิกต้องเปิดเผยทุกเรื่องต่อผู้นำ การกระทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากการบีบบังคับ และวางแอกลงบนคอผู้เชื่อ เป็นการไม่ให้เกียรติกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ และยังเป็นการใช้มาตรฐานซ้อนในชุมชนอีกด้วย อาจจะเพราะมันเป็นรากเหง้าของสังคมไทยก็ได้ (ก็เราอยู่ในสังคมไทยนี่นา... ช่วยไม่ได้ !!)

ผมเคยตั้งประเด็นสงสัยความผิดทางจริยธรรมคริสเตียนส่งให้ผู้นำโบสถ์หลายครั้ง มีครั้งหนึ่งที่ตั้งประเด็นสงสัยว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการฉ้อโกงพระเจ้าหรือไม่ กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตว่าผมมีท่าทีผิด คิดร้ายต่อคณะผู้ปกครอง และสุดท้ายเรื่องราวที่ผมสงสัยก็เงียบหายไปไม่มีการพูดถึงอีกเลย

มีคนหนึ่งบอกเพื่อนผมว่า นิวซองเป็นโบสถ์แปลกๆ ไม่พูดภาษาแปลกๆ (จริงๆเราพูดนะครับ) นมัสการแปลกๆ (ไม่เหมือนที่โบสถ์ของคนพูด) เทศนาก็ "แบบ" แปลกๆ มีแต่คนแปลกๆ ทั้งที่คนที่พูดก็ฟังเขามาอีกทีจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเหยียบเข้ามาที่นิวซอง เพียงแต่เขาน่าเชื่อถือ เป็นคนมีภาพพจน์ดีและได้รับการยอมรับจากคนในชุมชนที่เขาอยู่

เมื่อวานนี้ ผมไม่เพียงรู้สึกว่าคนที่นิวซองแมนมาก เท่ห์ จริงใจ และให้เกียรติพี่น้องร่วมชุมชน แต่ผมยังรู้สึกว่า ถ้าเป็นที่นี่ ผมกล้าที่จะเล่าเรื่องราวของชีวิตผมทุกเรื่องให้ฟัง บางเรื่องอาจมีบางคนไม่เห็นด้วยและยากที่จะยอมรับมัน แต่ผมรู้ว่า นิวซองยังมีความรัก ความกรุณาให้ผมเหมือนเดิม

ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมมีประสบการณ์เรียนรู้ในเรื่องความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้ามากขึ้นผ่านชุมชนที่นี่ ทำให้ผมตระหนักถ้อยคำหนึ่งในพระคัมภีร์มากขึ้น "ในความรักนั้นไม่มีความกลัว" (1ยน.4:18)

Nov 20, 2009

ไปด้วยกัน

ปกติ สี่แยกแถวบ้านผม ตอนเช้าๆ จะปล่อยรถนานมาก รถเมล์ส่วนใหญ่ก็มักจะเลี้ยวซ้ายไปลอดใต้สะพาน แล้วเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกอีกที เพื่อกลับสู่เส้นทางเดิม

เช้านี้ รถเมล์คันที่ผมนั่ง ทำท่าเหมือนจะตรงไป ผมเดาว่าคนขับคงคิดเหมือนผม เพราะถ้ารถที่กำลังวิ่งอยู่หยุด เราจะได้ไฟเขียว แต่จู่ๆ รถก็ฉีกออกซ้าย จังหวะที่รถเลี้ยวซ้าย ไฟก็เขียวพอดี

คนเก็บตั๋ว พูดออกมาอย่างหัวเสีย "อะไรกันนี่ รออยู่ตั้งนาน พอเลี้ยวปุ้บ ไฟเขียวปั้บ" (ผมปรับคำพูดเล็กน้อยให้เหมาะกับการอ่านของเยาวชน) ความคิดของผมในเวลานั้น คือ เขาวิ่งรถในเส้นทางนี้ เขาน่าจะรู้ว่า ไฟกำลังจะเขียวแล้ว...

การตัดสินใจของคนขับรถ ทำให้ผมเสียเวลาไปมากกว่า 5 นาที... นั่น หมายถึง ผมพลาดเรือ 1 ลำ แปลว่า ผมจะไปทำงานช้าอีกเกือบ 15-25 นาที

แต่ เรื่องยังไม่จบ
วันนี้ ผมนั่งรถเมล์จากเทเวศน์ไปที่ทำงานแถวประตูน้ำ ด้วยเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้งที่รถแทบไม่ติดเลย เมื่อเทียบกับทุกๆวัน คนขับเขาขับรถแบบเซ็งโลกมากอ่ะ ขับไปเรื่อยๆ รถสายเดียวกันแซงไปแล้ว 3 คัน ผมลงที่ป้ายพร้อมกับ คันที่ 4 เข้ามาจอด...

วันนี้ ผมมาทำงานสาย 28 นาที


.... เป็นเรื่องจริงที่ว่า ในโลกของวันนี้ การทำงานใหญ่ให้ได้ผลงานระดับสุดยอดนั้น คือ การประกอบด้วยการทำงานย่อยๆอย่างยอดเยี่ยมของคนหลายๆคน เป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องเลือกว่าเราจะอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ลำพังเพียงเราคนเดียวแม้จะเก่งกาจสามารถเพียงใด ก็อาจดำเนินชีวิตได้ไม่ง่ายนัก หากปราศจากการพึ่งพาอาศัยกัน เพราะเราต่างกัน มันจะมีบางอย่างแน่ๆ ที่เราไม่ชำนาญ เรื่องที่สำคัญก็คือ ต้องพึ่งพาให้ถูกคนด้วย

ไม่ว่าจะเป็นคนร่วมชีวิต คนร่วมสังคม คนร่วมงาน คนร่วมเดินทาง และอีกหลายๆ การไปด้วยกัน แม้ในโลกที่แบนลงเรื่อยๆ เช่นทุกวันนี้ ดูเหมือนว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว แต่เรื่องความสัมพันธ์ ความผูกพัน ก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา

ผมคิดว่า หากเราเชิญชวน/ร่วมไปกับใคร บนพื้นฐาน ว่าเขา/เราทำอะไรได้ มันเสี่ยงต่อการคบกันบนพื้นฐานของผลประโยชน์ แต่ในบางความสัมพันธ์มันก็เริ่มต้นด้วยผลประโยชน์จริงๆ เช่น การทำงาน หรือ การทำธุรกิจ ซึ่งจะมีข้อตกลง ทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร แต่อาจจะไม่เหนียวแน่นและใช้เวลาเหมือนสัญญาใจ

"เพื่อนก็เพื่อน ธุรกิจก็ธุรกิจ" คำพูดที่ผู้ใหญ่สอนมาตั้งนาน แต่ผมเพิ่งจะซึ้งกับคำนี้ ก็ปีนี้นี่เอง

บางครั้ง เราก็ยังไม่รู้ว่าจะไปกับใคร ก็เดินกันไปเรื่อยๆ เพื่อเรียนรู้ว่า ใครบ้างที่เหมาะจะไปกับเรา/เราเหมาะจะไปกับใครบ้าง บ่อยครั้ง ขณะที่เรายังไม่รู้จักกันดี เราก็เชื่อสิ่งที่เขาบอก แล้วก็ตัดสินใจบนพื้นฐานสิ่งที่เขาพูด แต่บางครั้งก็บนพื้นฐาน ความเอื้ออารีย์ของเขา

แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรารู้จักเขาว่าเขาเป็นอย่างไร วันหนึ่งที่เราพบคนที่สนใจในสิ่งต่างๆคล้ายๆเรา เรากำลังจะตัดสินใจไปด้วยกันกับคนใหม่ กับกลุ่มใหม่... มันเป็นเรื่องที่ลำบากใจในการ ต้อง พูดกับคนที่เขาเข้าใจไปแล้วว่า เราจะไปกับเขาตลอดไป

ถ้ายืมศัพท์ของนักกฎหมายมาใช้ ก็ต้องเรียกว่า เป็น โมฆียะทางใจ... สัญญาใจที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานความเข้าใจผิดที่มีต่อกัน ถ้าไม่รีบบอกเลิกซะโดยเร็ว สัญญาใจฉบับนี้ก็จะมีผลบังคับใช้ตลอดไป

จะคบใคร จะไปกับใคร ก็เลือกกันดีๆ มองให้เห็น สันหลัง ของเขา จะได้เลือกไม่พลาด
ถ้าหากคิดว่า ตัวเองมี โมฆียะทางใจ ก็รีบบอกล้างสัญญานั้นซะ
ขณะเดียวกัน ก็อย่าลืมให้เกียรติคนอื่น เคารพในการเลือกและการตัดสินใจของเขา แต่อย่างไร ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นแล้วก็เป็นสิ่งดีที่มีคุณค่าควรแก่การรักษาไว้ และปฏิบัติต่อกันเช่นดังเดิม (แม้อาจมีระยะห่างระหว่างใจเพิ่มขึ้นบ้างตามระยะทางที่มากขึ้น)


แม้เมื่อเช้านี้ผมจะไม่เห็นสันหลังของคนขับรถคนนั้น แต่ก็จำหน้าเขาได้ละ... อย่าหวังเลย ว่าผมจะขึ้นรถคันที่เขาขับอีก
ลาที ลาขาด
ไปด้วยกัน...เหรอ? ไม่มีทาง...(จนกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ) ^^

Nov 11, 2009

เชรี่ยเอ้ย แม่งไม่ใช่ในหนังนะโว้ย !!

เช้านี้ ตื่นมาแล้วรู้สึกมันวิ้งๆ ไงก็ไม่รุ ดูบรรยากาศมันเงียบๆ วังเวงๆ พาลให้ไม่อยากไปทำงานซะงั้น แต่สุดท้ายก็ไปนะ ด้วยความรู้สึกเป็นหน้าที่และด้วยความรับผิดชอบ

ขึ้นรถ ลงเรือ นั่งมอไซค์ และรถเมล์อีกที

เรื่องมันเกิดตรงนี้แหล่ะ ระหว่างนั่งชืดๆอยู่ในรถเมล์ ก็เหลือบไปเห็น ผู้หญิงคนหนึ่งที่อีกฝั่งฟากถนนหนึ่ง จากชุดและกระเป๋าที่ใส่ เข้าใจว่าคงเป็นพนักงานบริษัททั่วๆไป สวยหรือเปล่าไม่รุ ไกลเกินมองไม่ชัด ดูเธอรีบๆเขย่ง คงจะรีบเดินทางไปทำงาน...

ไม่รู้จะเรียกว่าเขย่งดีไหม เพราะเธอเดินด้วย 1 ขา กับ 1 ไม้ค้ำ

มันเหมือนนั่งดูหนังมากครับ ท่านผู้ชม เหมือนเขาใช้ effect พิเศษ ลบขาข้างหนึ่งทิ้งไป

ยังครับ ยังไม่พอ ทิศทางที่เธอเดินไป เธอเดินไปทางสะพานลอย... หวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่คิด

พระเจ้าช่วย !!! เห็นอีกที เธอกำลังขึ้นสะพานลอยครับ เขย่งๆขึ้นสะพานลอย... Oh My God !!!

ผมหันมองซ้ายมองขวาอีกทีให้แน่ใจว่าไม่มีกล้องตั้งอยู่
เชรี่ยเอ้ย แม่งไม่ใช่หนังนะโว้ย !! นี่มันเรื่องจริง

ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวสวย มีขาข้างเดียว เธอกำลังสู้ชีวิต เธอกำลังไปทำงาน ...
กรูมีอวัยวะครบ แต่ถ้าทางจะพิการทางจิตใจมากกว่าเธอซะละมั้งเนี่ย

เธอต้องใช้ กำลังใจ มากขนาดไหนกัน ในแต่ละเช้าที่ลุกขึ้น ในแต่ละวันที่ดำเนินชีวิต เธอคงทำอะไรไม่สะดวกเหมือนอย่างเราๆ

การที่เธอพิการทางกาย ไม่ได้แปลว่าเธอจะพิการทางจิตใจ หรือพิการความสามารถทางด้านอื่นไปด้วย

ผมไม่รู้เหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งผมตื่นมาแล้วเหลือขาอยู่ข้างเดียว ผมจะรู้สึกอย่างไร
แต่สำหรับเหตุการณ์เช้านี้ ทำให้ผมตั้งใจกับตัวเอง 2 อย่าง

1. ผมจะเข้มแข็งในด้านจิตใจมากขึ้น ไม่ย่อท้อ หรือยอมแพ้ง่ายๆ กับความโหดร้ายของโลกนี้
2. ผมจะให้เกียรติ และปฏิบัติต่อผู้พิการอย่างคนปกติมากขึ้น ให้ความเข้าใจในความแตกต่าง และพยายามจะไม่เผลอดูถูกเขาจากความพิการทางร่างกายของเขา

นึกถึงเมื่อเช้าแล้ว ภาพ 1 ขา 1 ไม้ค้ำยันยังติดตาอยู่เลย... เนี่ยแหล่ะ แม่งชีวิตจริง

Nov 10, 2009

7 นิสัยของคนใช้ชีวิต...เติบโตจากภายใน

นิสัยสุดท้าย นิสัยที่ 7 คือ การเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็น "กระบวนการ" การขยายความสามารถในการผลิตส่วนบุคคล ผ่านการเรียนรู้ ความตั้งใจจริงของตัวเอง และการเปลี่ยนแปลง

มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในส่วนสุดท้ายนี้ ซึ่งผมเข้าใจมาก่อนหน้านี้เกือบ 10 ปีแล้ว จากการศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัว (น่าแปลกใจว่า ที่ผ่านมา เมื่อผมแบ่งปันแนวคิดเหล่านี้ คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนในโบสถ์มักมีอาการของความสงสัยว่าแนวคิดเหล่านี้เชื่อถือได้หรือไม่ ทำเหมือนได้ยินเป็นครั้งแรก ทั้งที่หลายคนก็อ้างตัวเองว่า อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วด้วย)

คนเราจะเติบโตขึ้นใน 4 ด้าน ได้แก่ ร่างกาย สติปัญญา จิตวิญญาณ และ สังคม/อารมณ์ (ผมเข้าใจแนวคิดนี้จาก พระธรรม ลูกา 2:52)
มนุษย์มีร่างกายเพื่อใช้ในการดำเนินบนโลกใบนี้ ไม่ว่ามันจะถูกใจเราหรือไม่ การออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์อย่างพอเพียง พักผ่อนอย่างเพียงพอ เป็นเรื่องพื้นฐานในการรักและดูแลตัวเอง
สติปัญญา เป็นเรื่องของการพัฒนาความคิด ความเข้าใจ ความสามารถในการจัดการและแก้ไขปัญหา การอ่านหนังสือดีมีประโยชน์ รักที่จะเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต รวมทั้งการเขียน ก็เป็นประโยชน์เช่นกัน
จิตวิญญาณ การค้นพบ "เรื่องสำคัญ" ของชีวิต สิ่งที่ทำแล้ว ชีวิตรู้สึกได้รับการเติมให้เต็ม ความเชื่อและค่านิยมของชีวิต การมีเวลาพักและสงบนิ่งส่วนตัวในแต่ละวัน จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับความแข็งแรงของจิตวิญญาณ
สังคมและอารมณ์ เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของมนุษย์ การมีสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นหลัก การดำเนินชีวิตด้วยเหตุและผลเพียงอย่างเดียว จึงอาจนำมาซึ่งความพินาศต่อทั้งการรู้จักตัวเองและผู้อื่นในที่สุด

ทั้ง 4 ด้านนี้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน เมื่อด้านใดด้านหนึ่งของเราเติบโตขึ้น ก็จะช่วยส่งผลให้ด้านอื่นๆแข็งแรงขึ้นด้วย

ทั้ง 7 นิสัยนี้ ทำไม่ยาก แต่จะกลายเป็นนิสัยของเราจริงๆ ต้องใช้เวลา

ในระหว่างอ่านหนังสือเล่มนี้ หลายครั้งที่ได้ลองฝึกใช้ลักษณะนิสัยเหล่านี้ในชีวิตจริง และเห็นผลที่เกิดขึ้นในทางดีอย่างน่าประหลาดใจ
ทำให้ผมรู้ว่า มันใช้ได้จริง ไม่ใช่ คิด ว่ามันใช้ได้จริง เหมือนหลายครั้งหลายเรื่องที่ผ่านมา

ชวนให้ผมนึกถึง คำพูดของ Albert Einstein

"You can never solve a problem on the level on which it was created."
และ "The only source of knowledge is experience."

สุดท้าย ขอนำส่วนหนึ่งในบทส่งท้ายของหนังสือมาลงให้อ่านกันครับ

Ezra Taft Benson said it this way,
“The Lord works from the inside-out. The world works from the outside in. The world would take the people out of the slums. Christ takes the slums out of people and then they take themselves out of the slums…The world would shape human behavior, but Christ can change human behavior.”

Nov 3, 2009

7 นิสัยของคนใช้ชีวิต...อยู่กับคนอื่นให้เป็น

3 นิสัยในการอยู่ร่วมกับคนอื่นนี้ เป็นลักษณะนิสัยที่จำเป็นต้องมี 3 นิสัยก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน

3 นิสัยแรก ส่งผลให้เราแข็งแรง รักตัวเองเป็น ดูแลตัวเองได้ มีจุดยืนบนหลักการที่ถูกต้อง ดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นอิสระจากอิทธิพลของสิ่งอื่นหรือคนรอบข้าง เราจะเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากโลกนี้ได้รับการออกแบบเอาไว้ให้ทั้งหมดเชื่อมโยงกัน การมีอิทธิพลเหนือตัวเอง จึงเป็นการส่งผ่านอิทธิพลไปสู่ผู้อื่นด้วย ผมไม่ได้หมายถึงการมีอิทธิพลเหนือผู้อื่นในลักษณะการบงการ/ควบคุม ไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างความแตกต่างของแต่ละบุคคล ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ จำเป็นต้องอาศัย ความจริงใจ เป็นพื้นฐาน และยังต้องมีการ "สะสม" ความเชื่อใจ ความไว้วางใจที่มีต่อกัน

ไม่ว่าจะเป็นการใส่ใจสิ่งเล็กๆน้อยๆ การรักษาสัญญา การเข้าใจในความแตกต่างของคน การปฏิบัติอย่างให้เกียรติผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง การขอโทษคนอย่างจริงใจ ที่สำคัญ คือ การใช้ชีวิตด้วยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข

พฤติกรรมเหล่านี้ จะเป็นเสมือน สะพาน เชื่อมระหว่างหัวใจของเรากับเขา แต่อย่างที่บอกว่า พฤติกรรมเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ความจริงใจ และ 3 นิสัยในส่วนแรก เพราะหากเราไม่ได้ทำจากสิ่งที่เราเป็นจริงๆ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งข้ามสะพานมาถึงเราแล้ว เขาก็จะเดินจากไปด้วยความรู้สึกว่า เขาถูกหลอก (และอาจเผาสะพานทิ้ง ไม่หวนคืนมาอีกด้วย)

การควบคุมตัวเองและการรักษาสัญญากับตัวเอง บนพื้นฐานของการมีจุดศูนย์กลางอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง จะสร้างความรู้สึกชื่นชมตัวเองให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นและมีอิทธิพลต่อกันและกัน

การอยู่ร่วมกับผู้อื่น จึงไม่ได้หมายถึงแค่การอยู่ด้วยกันเพียงเท่านั้น แต่เป็นความสัมพันธ์จากภายในที่สามารถรับรู้และมีผลที่จับต้องได้

นิสัยที่ 4 เป็นนิสัยของการชนะร่วมกัน

โดยปกติ การตกลงเรื่องใดๆในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จะมีอยู่ 6 รูปแบบ พวกเราส่วนใหญ่จะถูกหล่อหลอมให้เติบโตมาด้วย รูปแบบ ชนะ-แพ้ หรือ แพ้-ชนะ คนกลุ่มนี้มักมีความมั่นคงในจิตใจไม่สูงนัก เพราะความมั่นคงของเขามักเกี่ยวพันกับคนอื่น โดยปกติ ถ้าไม่เป็นพวก นิยม(บ้า)อำนาจ ก็จะเป็นพวก ประนีประนอมยอมไปทุกสิ่ง พวกที่ใช้อำนาจมากๆจนโดดเดี่ยวไม่เหลือใคร ก็มักเปลี่ยนไปเป็นคนที่ยอม เพื่อให้มีเพื่อน ตรงกันข้ามกับพวกที่ยอมมากๆ จนเจ็บปวด รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ถูกกระทำและเป็นเหยื่อ พวกนี้ก็จะไม่สนใจใคร คิดแต่จะเอาชนะคนอื่น เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า ชดเชยกับความรู้สึก "ขาด" ที่อยู่ลึกๆภายใน คนที่มีลักษณะ 2 รูปแบบนี้ จึงมักเป็นพวกขาดเสถียรภาพทางอารมณ์ และในระยะยาว รูปแบบความสัมพันธ์ก็มักจะจบลงที่แบบที่ 3 คือ แพ้-แพ้ ในที่สุด

รูปแบบที่ 4 ชนะ รูปแบบนี้สนใจแต่ตัวเองว่าต้องชนะ โดยไม่เกี่ยงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร ในขณะที่รูปแบบ ชนะ-ชนะ มีนิสัยที่ 5 คือ เข้าใจคนอื่นก่อน เป็นพื้นฐานสำคัญ เราจำเป็นต้องเข้าอกเข้าใจคนอื่นในระดับเดียวกันกับเขาก่อน จึงจะเริ่มต้นคุยกับเขาต่อได้อย่างรู้เรื่อง

เมื่อเรารู้สึกและสัมผัสว่า มีคนเข้าใจเรา เราก็คุยกับเขา ฟังเขา ได้ง่ายขึ้น ในทำนองเดียวกัน หากมีคนอื่นรู้สึกและสัมผัสเช่นนั้นจากเรา เขาก็จะเปิดใจคุยกับเราได้ง่ายขึ้น การที่เราบอกว่า ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจเรา จึงเป็นคำอ้าง เพราะจริงๆ เราไม่จำเป็นต้อง "รอ" ให้เขาเข้าใจเราก่อน เราสามารถช่วยให้เขาเข้าใจเราได้ ด้วยการทำสิ่งที่เราสามารถทำได้ นั่นคือ เริ่มต้นเข้าใจเขาก่อน

การฟังคนอื่นอย่างเข้าอกเข้าใจอีกฝ่าย อาจมีผลให้เราอ่อนไหวไปตามอารมณ์และความรู้สึกได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการมีทั้ง 3 นิสัยแรกก่อน จะช่วยให้เรามีความแข็งแรงในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตตามหลักการที่ถูกต้อง

ความสัมพันธ์แบบชนะ-ชนะ จึงเป็นมากกว่าแค่วิธีคิด แต่เป็นเรื่องของแนวทางการดำเนินชีวิต ที่ต้องใช้ทั้งความจริงใจ ความกล้าหาญ ความเข้าใจ ร่วมกันสร้างทางเลือกที่ 3 ซึ่งมักไม่ตรงกับที่แต่ละฝ่ายคิดไว้แต่แรก แต่เป็นทางที่สามารถตอบสนองความต้องการแท้จริงของทั้ง 2 ฝ่ายได้

ในท้ายที่สุด วิถีชนะ-ชนะ อาจจบลงด้วยรูปแบบของการไม่มีข้อตกลงใดๆ โดยที่ความสัมพันธ์ยังดีต่อกัน เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่างยอมรับว่าไม่มีวิธีใดสามารถตอบสนองความปรารถนาของทั้งคู่ได้จริง

สำหรับนิสัยการประสานพลัง (synergy) ซึ่งเป็นนิสัยที่ 6 โดยส่วนตัวผมค่อนข้างเชื่อว่า แทบจะเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ หากเรามีนิสัยทั้ง 5 ข้างต้น

การประสานพลัง คือ การที่เราทำงานร่วมกันแล้วได้ผลลัพธ์มากกว่าผลรวมของผลลัพธ์ที่แต่ละคนแยกกันทำงาน เช่น ผมคนเดียวยกไม้ได้หนัก 5 กก. คุณคนเดียวยกได้ 5 กก. เรา 2 คน ยกด้วยกันได้ 25 กก. (25 > 15+5)

ทั้งหมดทั้งสิ้นของการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี เริ่มต้นจากการอยู่คนเดียวได้ดี ชวนให้ผมนึกถึง ประโยคหนึ่งในพระคัมภีร์ของคริสเตียน "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง"...เราจะรักคนอื่นได้อย่างไร หากยังรักตัวเองไม่เป็น...


หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ ผมพบกรอบความคิดของผมบางส่วนที่ถูกซ่อนไว้เกือบตลอด 15 ปีที่ผ่านมา กรอบความคิดที่เชื่อว่าเรารู้จักความจริงแท้ เราจึงเห็นโลกนี้ในสิ่งที่มันเป็นจริงๆ มันทำให้ผมไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของคนอื่น เพราะความคิดเหล่านั้นมันอยู่นอกกรอบหลักการความคิดที่ถูกต้อง มันสร้างท่าทีของความยโส และการเหยียดหยามผู้อื่น ที่สำคัญ มันทำให้ผมไม่สามารถเรียนรู้อะไรจริงๆได้เลย

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมตระหนักว่า เราเห็นโลกนี้จากสิ่งที่เราเป็นต่างหาก รวมกับครั้งนี้ ผมจึงตระหนักว่า เพราะคนเราแตกต่างกัน เราจึงมีมุมมองต่อเรื่องต่างๆไม่เหมือนกัน เราจึงเข้าใจเรื่องต่างๆได้ไม่เท่ากัน ซึ่งหากเรายอมรับความจริงข้อนี้ เราจะสามารถแลกเปลี่ยนและประสานมุมมองของกันและกันได้ นั่นจะช่วยให้เราเข้าใจความจริงได้ชัดเจนขึ้น (เมื่อก่อนผมอาจจะเรียกมันว่า ความจำกัด แต่ผมคิดว่า มันคือ ความแตกต่าง มากกว่านะ)

แม้จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ที่เมื่อก่อนเรามีเหตุผล(ที่ฟังดูดี)เสมอ เพื่อใช้ในการปกป้องตัวเอง เสียใจที่ทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น เสียใจที่เราเป็นอย่างนั้น แต่ก็อดตื่นเต้นและดีใจไม่ได้นะ ที่ 2-3 เดือนมานี้ ชีวิตเข้าที่เข้าทางมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นครับ...

KEEP GROWING !!!

Oct 28, 2009

7 นิสัยของคนใช้ชีวิต...เริ่มต้นด้วยการดูแลตัวเองให้ดี

เราจะสามารถอยู่หรือทำงานร่วมกับคนอื่นได้อย่างไร ถ้าเราไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้ก่อน หากเราไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ เราก็พึงพากันและกันกับคนอื่นไม่ได้ ได้เพียงแค่พึ่งพิงคนอื่นเท่านั้น

ความสามารถในการดูแลตัวเองได้ สัมพันธ์โดยตรงกับการเคารพนับถือตัวเอง ความรับผิดชอบต่อตัวเอง และความสัตย์ซื่อ

3 นิสัยแรกจาก 7 นิสัย เป็นเรื่องของตัวเราเอง - การเริ่มต้นทำก่อน, การสร้างเป้าหมาย และ การทำสิ่งที่สำคัญก่อน

เราต่างมีเรื่องที่เป็นกังวล และเรื่องที่เราสามารถจัดการหรือทำอะไรได้ การให้ความสนใจเรื่องที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ (เช่น เรื่องในอดีต) เป็นการเสียทรัพยากรอย่างสูญเปล่า เช่น หากเราเป็นห่วงความรู้สึกของแฟนเรา สิ่งที่เราทำได้ คือ รัก ใส่ใจดูแล ซื่อสัตย์ แต่เขาจะรู้สึกดีหรือไม่ นั่นเป็นส่วนของเขาซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา

สิ่งนี้ทำให้ความหมายของคำว่า "รับผิดชอบ" ของผมเปลี่ยนไป จากการทำตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างดี กลายเป็น ในความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกัน ผมสามารถทำอะไรได้บ้าง และได้ทำเต็มที่อย่างสมดุลย์กับเรื่องอื่นๆในชีวิตของผมหรือยัง จากการเล่นเชิงรับ เปลี่ยนเป็นการเล่นเชิงรุก แม้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่มันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงล่ะนะ

นิสัยการเริ่มต้นทำก่อน มีพื้นฐานมาจากการมองเห็นภาพในความคิด เราจำเป็นต้องใช้สมองซีกขวาจินตนาการทางเลือกว่าเราสามารถตอบสนองหรือทำอะไรได้บ้างในแต่ละเหตุการณ์นั้นๆ

ส่วนนิสัยการสร้างเป้าหมาย ตั้งอยู่บนหลักการการนำตัวเอง

ผู้นำต่างจากผู้จัดการ

ผู้นำคือคนที่ชี้ให้ทำในสิ่งที่ใช่ สิ่งที่ถูกต้อง ขณะที่ผู้จัดการทำสิ่งนั้นๆ อย่างถูกต้อง
การเร่งรีบเดินทางให้ถึงจุดหมาย อาจกลายเป็นเพียงการช่วยให้เราพบว่า เรามาถึงผิดที่เร็วขึ้นเท่านั้น

ผู้นำจึงไม่เพียงใช้สมองซีกขวาจินตนาการทางเลือก แต่ใช้สมองซีกซ้ายคิดและเลือกจุดหมายปลายทางอย่างมีเหตุผล แล้วกลับมาใช้สมองซีกขวาอีกครั้ง เพื่อทำให้เป้าหมายนั้นสำเร็จเป็นครั้งแรกในความคิดของเรา

การเริ่มต้นด้วยภาพสุดท้ายในความคิดยิ่งชัดเจนเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้เราเห็นเส้นทางและวิธีการในการทำให้ภาพนั้นสำเร็จได้มากเท่านั้น คนส่วนใหญ่มักทำงาน / ใช้ชีวิต ด้วยกรอบความคิดของผู้จัดการ ซึ่งเน้นที่ "วิธีการ" และ "ความเร็ว" ในการแก้ไขปัญหาหรือสร้างความสำเร็จ แต่กรอบความคิดของผู้นำ สนใจ "เป้าหมาย" เรากำลังทำในสิ่งที่ใช่ ใช่หรือไม่

ภาพความสำเร็จครั้งแรกในความคิดของเรา จะสำเร็จเป็นครั้งที่2 ในทางกายภาพด้วยทักษะในการจัดการ ด้วยนิสัยการทำสิ่งที่สำคัญก่อน (put the first things first) ซึ่งเป็นเรื่องของการจัดการตัวเอง นั่นรวมถึงการตอบปฏิเสธบางสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ไม่สอดคล้องกับค่านิยมและจุดมุ่งหมายในใจของชีวิตเราด้วย

สิ่งสำคัญคืออะไร เราจะทำสิ่งสำคัญก่อนได้อย่างไร เป็นคำถามที่ตอบได้ด้วยการใช้กรอบความคิดเชิงรุก การเริ่มต้นทำก่อน ซึ่งจะส่งเสริมให้เราเป็นนายของตัวเอง แน่นอนว่าเป็นเรื่องไม่ง่าย ต้องอาศัยการการฝึกฝน ความมุ่งมั่น การรักษาพันธสัญญากับตัวเอง แต่ยิ่งเราใช้ชีวิตตามหลักการที่ถูกต้องมากเท่าไหร่ ชีวิตเราก็จะยิ่งมีเสรีภาพจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ รอบตัวมากขึ้นเท่านั้น

30 ปีที่ผ่านมาของผม...ไม่รู้สิ ไม่รู้จะอธิบายด้วยคำว่าอะไรดี หลายคนอาจจะมองว่ามันเสียเปล่า และพยายามช่วยจัดการปัญหา ผมซาบซึ้งในความรัก ความห่วงใย ความหวัง...

เอาเป็นว่า มันผ่านไปแล้ว ผมตั้งใจจะไม่เก็บมันไว้เป็นข้ออ้างเหตุผลหลอกๆให้กับตัวเองในปัจจุบันอีก เพียงแค่เรียนรู้ไว้เป็นประสบการณ์

บางคนอาจไม่เข้าใจ หรืออาจมองเป็นเรื่องเล็กๆที่ไม่สำคัญ แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับผม เพราะสิ่งที่สำคัญและผมทำได้นับตั้งแต่นี้ คือ เริ่มต้นดูแลตัวเองให้ได้อย่างดี

Oct 23, 2009

7 นิสัยของคนใช้ชีวิต...อารัมภบท: ห่านกับไข่ทองคำ

หยิบ 7 Habits of highly Effective people / Stephen R. Covey มาปัดฝุ่นอ่านอีกครั้ง อ่านรอบนี้ ความคิดและชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปอีกหลายเรื่องทีเดียว

หลายคนคงคุ้นเคยกับนิทานอีสปเรื่องห่านออกไข่เป็นทองคำกันดี ห่านออกไข่เป็นทองคำทุกวัน วันละ 1 ฟอง เจ้าของเอาไปขายได้เงินมากมาย แล้วเจ้าของก็ฆ่าผ่าท้องห่าน หวังจะเอาทองทั้งหมดไปขายในคราวเดียว แต่ท้องห่านว่างเปล่า สุดท้ายไม่เหลือทั้งห่านไม่ได้ทั้งทอง...
เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง โลภมากลาภหาย... เพียงแค่นั้นเองหรือ

... เราเร่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ แล้วก็เจ็บป่วยในท้ายที่สุด...
... เราสั่งลูก(น้อง)ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อให้ได้ผล(งาน)ตามคุณภาพที่ต้องการ แต่ทำให้ลูก(น้อง)กลัวเรา และทำงานไม่เป็น...
... ผู้จัดการฝ่ายผลิตเปิดเครื่องจักรผลิตสินค้าทั้งวันทั้งคืน ไม่หยุดพัก บริษัททำยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่หลังจากผู้จัดการคนนี้ย้ายออกไปแล้ว งบซ่อมบำรุงก็สูงขึ้นมาก จนการเปลี่ยนเครื่องจักรอาจคุ้มกว่า...
... GDP ของประเทศสูงขึ้นทันทีภายในไม่กี่ปี แต่หลังจากเปลี่ยนรัฐบาล จึงพบว่าหนี้ประชาชาติสูงขึ้นเกียบ 10 เท่า ภายในระยะเวลาไม่ถึง 8 ปี ของรัฐบาลชุดก่อน...
คุ้นๆ กับเรื่องพวกนี้บ้างไหม

ผลิตผลหรือผลงานเป็นเรื่องสำคัญ แต่ประสิทธิผลของการทำงานไม่ได้หมายถึงผลงานตามเป้าหมายในระยะสั้นๆ เท่านั้น เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราต้องผลิตผลงาน โดยพิจารณาเรื่อง "ความสามารถในการผลิต" ไปพร้อมๆกัน เพราะสิ่งนี้จะเพิ่มผลผลิตของเราในระยะยาว

ลองหยุดคิดสักนิด... ว่าจริงไหม

เรารู้ว่า ถ้าเราเก่งภาษามากกว่านี้ เราจะได้งานดีขึ้น มีรายได้มากขึ้น แต่เราก็วุ่นกับงานในตอนนี้ จนไม่มีเวลาไปเรียนหรือแม้แต่ฝึกภาษาเพิ่มเติม...
เรารู้ว่า น้ำหนักตัวเรามากเกินไป เรามีไขมันสะสมที่หน้าท้อง เราจำเป็นต้องออกกำลังกาย แต่เราก็มีอะไรเร่งด่วนต้องทำเต็มไปหมด...
เรารู้ว่า การพักผ่อนที่เพียงพอ ทำให้เรามีความสดชื่นในการทำงานวันรุ่งขึ้น แต่บ่อยครั้งเราก็ทำงานติดพันดึกดื่นเกินเที่ยงคืน...
จริงๆแล้ว เราไม่ได้มีงานมากเกินไป ปัีญหาไม่ได้อยู่ที่เราไม่จัดลำดับความสำคัญของงาน ปัญหาอยู่ที่ว่าเรา นิยาม ความหมายของ "งานสำคัญ" ว่าอย่างไร

การละเลยเรื่องสำคัญ จะทำให้เรื่องสำคัญกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน ยิ่งเรามีงาน "เร่งด่วน" มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสะท้อนว่าที่ผ่านมา เราละเลย "เรื่องสำคัญ" มากเพียงไร
นั่นยิ่งหมายถึง ความจำเป็นในการควบคุมตัวเองให้สนใจกับเรื่องสำคัญมากขึ้น ต้องรู้จักปฏิเสธงานเร่งด่วน ซึ่งเรียกร้องทรัพยากรอย่างมากในการทุ่มเทจัดการ เพื่อทำงานสำคัญ หรือ อาจรวมถึง การลดเรื่องสนุกสนานที่บ่อยครั้งมักไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (แต่เราชอบทำ) เพื่อจัดการทั้งงานสำคัญและงานเร่งด่วนได้มากขึ้น

งานที่สำคัญ จะทำให้เราเติบโตขึ้น แข็งแรงขึ้น มีความสามารถในการทำงานมากขึ้น หากเราสนใจและลงมือทำอย่างถูกต้องในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็จะได้รับผลที่ดีตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ

ที่ผ่านมา ผมเองก็ละเลย ปล่อยให้คนอื่นบงการชีวิต จนสูญเสียศักยภาพและความสามารถหลายๆอย่างไป แ่ต่วันนี้ผมแข็งแรงขึ้นและตัดสินใจที่หันกลับมาดูแล "ห่าน" ทุกตัวของผมอย่างดี แม้วันนี้พวกมันยังไม่แข็งแรง อาจออกไข่ไม่ได้ แต่ผมรู้ว่า วันหนึ่ง (เร็วๆนี้) มันจะแข็งแรง และออกไข่ทองคำให้ผมได้อย่างแน่นอน

ไม่จำเป็นที่เราจะต้่องกังวลว่าเราจะได้รับไข่ทองคำจนถึงเมื่อไหร่ หากเราดูแลรักษา ให้อาหาร "ห่าน" ด้วยความใส่ใจ เราจะได้รับ "ไข่ทองคำ" จากห่านอย่างแน่นอน

คำถามสำคัญและเร่งด่วนก็คือว่า วันนี้ อะไรคือ "ห่าน" ของเรา และเราดูแลห่านของเราดีแค่ไหนกัน

Oct 6, 2009

บันไดหินสู่ความสำเร็จ

เพิ่งอ่านหนังสือ failing Forward (ล้มไปข้างหน้า) / John C. Maxwell จบเมื่อวาน

เป็นประสบการณ์การเดินทางผ่านหนังสือที่เป็นประโยชน์มากๆ อีกครั้งหนึ่งกับชีวิต
โดยเฉพาะทัศนคติเรื่อง ความล้มเหลว เปลี่ยนไปเยอะมากๆ

เมื่อก่อนชอบมองตัวเองว่าเป็น คนขี้แพ้ จะพยายามบอกตัวเองอย่างไร จะพยายามเชื่อขนาดไหน ในใจลึกๆ ก็ยังมีคำว่า คนขี้แพ้ ตีตราอยู่ ไม่ค่อยกล้าจะทำอะไร เพราะกลัวล้มเหลว ชอบโทษคนอื่น ไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองทำผิด หาเหตุผลมาสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองทำได้เสมอ สร้างความถูกต้องชอบธรรมให้กับตัวเองได้ตลอด เป็นข้อยกเว้นจากกฎเกณฑ์ทั่วไป ที่อดทำให้ตัวเองรู้สึกเป็นคนพิเศษไม่ได้ ทั้งที่ความจริง ผมก็เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง

ดูเหมือนสวรรค์จะเป็นใจ ระหว่างอ่านหนังสือเล่มนี้ เหตุการณ์รอบๆตัวกลายเป็นบททดสอบในชีวิตจริงชั้นเยี่ยม ผมต้องเลือกว่าจะให้สิ่งที่อ่านมานำมาซึ่งความรู้ที่เพิ่มขึ้น หรือจะเรียนรู้และลงมือทำมันจริงๆ

มันไม่ง่ายเลย แต่ผมก็เริ่มจากเล็กๆ น้อยๆ พอเห็นผลดีมากขึ้น ก็เริ่มกล้าทำสิ่งที่ยากขึ้นเรื่อยๆ

ความผิดพลาด มันก็คือความผิดพลาด มันเกิดขึ้นตรงนั้น แล้วมันก็อยู่ตรงนั้น เเต่ชีวิตคนเราจะก้าวหน้าต่อไป หรือจะจมติดอยู่กับมัน เราเลือกได้
ความผิดพลาดมันอาจจะเกิดขึ้น ต่อเนื่อง บ่อยๆ แต่ไม่ได้แปลว่า ชีวิตที่เหลืออยู่ของเราทั้งหมดจะัต้องอยู่กับมันไปตลอด คนเราเปลี่ยนแปลงได้ การเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ก็เปลี่ยนผลปลายทางไปได้มาก

ณ ตอนนี้ ดูเหมือนสถานการณ์จะยากลำบากขึ้น แต่ผมกลับรู้สึกมีสันติสุขมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้ว่า ผมกลับใจใหม่มาเลือกทางที่ถูกต้อง ผมยินดีรับผลจากความผิดพลาดของผม ขณะเดียวกัน ผมก็คาดหวังพระคุณและการช่วยเหลือ ที่สำคัญผมรู้ว่า ตอนนี้ผมหันหน้าอยู่ในทางที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่พากเพียรเดินหน้าต่อไป ไม่ล้มเลิก ผมจะได้รับบำเหน็จรางวัลที่มีคุณค่า คุ้มค่ากับเดินทาง ทีละก้าวย่างบนบันไดหินที่ชื่อว่า "ความผิดพลาด"

ป.ล. ตอนที่อ่านหนังสือจบ
สรุปคำออกมาได้ 5 คำ แล้วก็ถามตัวเองว่า มันพอไหมสำหรับการเดินทางสู่ความสำเร็จ
ตลกดี คำเหล่านี้ยืนยันด้วยตัวมันเองว่า พอดิ!!

Positive attitude: ทุกสรรพสิ่ง ชีวิตนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ทัศนคติ ล้วนๆ
Obvious goal: มีเป้าหมายที่ชัดเจน ยอมรับรู้ ความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง
Realistic planning: วางแผนที่เป็นไปได้จริง
Do it now: ลงมือทันที
Improve continually: ปรับปรุงต่อเนื่อง ไม่ล้มเลิกง่ายๆ

POR-DI !!

Sep 29, 2009

โลภมาก... ลาภหาย

เมื่อกี้ได้นั่งคุย (โทรศัพท์) กับพ่อ
เป็นบทสนทนาที่อยากจะจดจำไว้อีกครั้งหนึ่ง

คุยกันเรื่องเงินๆ ทองๆ และการทำมาหากิน

บอกพ่อไปว่า โครงการลงทุนที่ทำกับเพื่อนไป เจ๊งแล้ว
พอหัวเราะชอบใจ "กูบอกมึงแล้ว"
พ่อบอกว่า...
ทำอะไรอย่าโลภ อะไรที่มันได้น้อยๆ มันอาจจะไม่ทันใจ แต่มันคงทน เช่น ทำการเกษตร ราคาขายมันอาจจะไม่ดี แต่มันมีกิน
คนสมัยนี้ ใจร้อน อยากได้เงินเร็ว แต่ไม่ขยันทำงาน อยากได้เิงินเป็นก้อนใหญ่ๆ
ยิ่งโลภมาก ก็เสี่ยงมาก ยิ่งเสี่ยงมาก ก็มีโอกาสเจ๊งมาก ยิ่งไปเสี่ยงโง่ๆ แบบยืมจมูกคนอื่นหายใจ ยิ่งเจ๊งแทบจะแน่นอน
ถ้าอยากจะเสี่ยง ยังมีอะไรให้ทำด้วยตัวเองอีกเยอะ
อย่าคิดว่าอะไรๆมันจะง่ายไปซะหมด
คนที่ทำได้มันก็มีจริง แต่มันจะมีซักกี่คนที่ทำได้อย่างนั้น
เจ็บแล้วก็จำไว้ ครั้งหน้าจะได้ไม่พลาดอีก เพื่อนดีๆ มีให้คบ เพื่อนไม่ดี จะคบอย่างไร ก็คิดเอาเอง...

นั่งฟังพ่อพูดแล้วก็นึกถึง คนที่รวยชั่วข้ามคืนเพราะถูกรางวัลลอตเตอรี่
จำได้ว่า หลายคน รวยไม่นานก็จนเหมือนเดิม มีบางคนกลับไปถีบสามล้อรับจ้างเหมือนเดิม
คนที่ไม่รู้วิธีการให้ได้มา ก็คงไม่รู้วิธีการที่จะรักษามันไว้
นึกในใจขำๆ คนซื้อลอตเตอรี่ ไม่รู้กี่คน นานๆจะถูกซักที ก็ออกข่าวใหญ่โต สร้างความหวังลมๆ แล้งๆ ให้คนซื้อยังฝันว่าจะรวยเพียงชั่วข้ามคืนต่อไป
อย่างว่าละนะ หลายคนเข้านอนพร้อมกับความฝันว่าตื่นเช้ามาเขาจะรวยเป็นเศรษฐี ซึ่งก็จริง เพราะเช้ารุ่งขึ้นเขาก็ต้องตื่นอยู่ดี

หวังว่าครั้งนี้จะเป็นบทเรียนที่ดี สำหรับ การไม่เอาความเป็นเพื่อนเข้ามาปนกับการทำธุรกิจ
ที่สำคัญ หวังว่าจะเป็นบทเรียนที่ดี ไม่ให้ความโลภมาบังตาใ้ห้มืดมัวอีก

คุยกับพ่อเสร็จ ผมนั่งหัวเราะในความสะเพร่าของตัวเอง พลางนึกถึงบางคนด้วยความดีใจ...
ดีใจที่ตอนนั้นเอาตังค์พ่อมาให้เพื่อนไม่สำเร็จ เลยลาภหายเงินหดเครดิตหมดแค่ของตัวเอง ไม่งั้นถ้าทำสำเร็จ คงได้ SHIP หายด้วยแน่ๆ

Sep 27, 2009

โลกมายา

ในบทละครเรื่อง As you like it ของ วิลเลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare) แต่งเอาไว้ว่า
All the world's a stage,
And all the man and women merely players;
They have their exits and their entrances;
And one man in his time plays many parts,

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปลบทละครของวิลเลียม เช็คสเปียร์ ไว้เป็นภาคภาษาไทยชื่อ ตามใจท่าน ลครเริงรมย์ ความว่า
“ทั้งโลกเปรียบเหมือนโรงละครใหญ่
ชายหญิงไซร้เปรียบตัวละครนั่น
ต่างมียามเข้าออกอยู่เหมือนกัน
คนหนึ่งนั้นย่อมเล่นตัวนานา”

เมื่อสัก 10 ปีที่ผ่านมา ก็มีหนังเรื่อง true man shows ที่ถ่ายทำชีวิตจริงของคนๆหนึ่งตั้งแต่เด็กยันโต ไม่รู้ว่า เป็นที่มาของรายการแบบ reality shows ยอดฮิต ในปัจจุบันหรือเปล่า

เกริ่นมาตั้งนาน แค่กำลังคิดว่า มายาคติ นี่สงผลร้ายต่อชีวิตคนเราเยอะนะ โดยเฉพาะกับเรื่อง การรู้จักตนเอง
แล้ว การรู้จักตัวเอง อย่างผิดๆนี่แหล่ะ ที่นำมาซึ่งความฉิบหายทั้งต่อตัวเอง คนรอบข้าง จนถึงขั้นเสียบ้านเสียเมือง ก็เคยมีตัวอย่างให้เห็นกันมาแล้ว (และอาจจะมีให้เห็นอีก ในไม่ช้า)

เมื่อวันก่อนนั่งดูหนังเรื่อง Bolt แล้วก็คิดถึงชีวิตของตัวเอง คิดถึงเพื่อนๆ บางคน พวกเราหลายคนเติบโตมาในโลกเสมือนจริง มันจริงแต่มันก็ไม่จริง มันจริงเพราะโลกนี้มันจริงอยู่แล้ว แต่มันไม่จริง เพราะเราเองต่างหาก ที่ไม่ยอมรับความจริงบางเรื่อง ของตัวเราเอง

หนักๆเข้า หลายคน รวมถึงตัวผมเองด้วยในสมัยก่อน ก็สร้างขอบเขตโลกของตัวเองขึ้นมา ในโลกจริงใบนี้ แน่นอนว่าในโลกของเรานี้ เหตุผลของตัวเราคือสัจธรรม มันถูกต้องเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น หากเราทำให้มีคนศรัทธาในสัจธรรมของเราได้ โลกใบเล็กของเราก็จะมีคนมาร่วมใช้ชีวิตอยู่ด้วยมากขึ้น

แต่เมื่อวันหนึ่งที่เราก้าวออกมาจากโลกใบเล็กของเรา ความจริงที่เรายึดถือมาตลอดจะถูกทดสอบทันที สิ่งที่เราเคยทำได้ อยู่ๆก็ทำไม่ได้ ราวกับว่าความพินาศจะมาเยือนเราเร็วเกินไป ความมั่นอกมั่นใจของเราไม่ได้นำพาสิ่งใดมาให้เลย นอกจากการประเมินเกินความจริงและความหายนะซึ่งไม่เพียงต่อตัวเอง แต่กับคนรอบข้างด้วย ที่คิดว่าเราเป็นตัวจริงอย่างที่เราบอกใครต่อใครด้วยความจริงใจ (เพราะเราเข้าใจตัวเองอย่างนั้นจริงๆ)

เป็นเรื่องปกติที่เราจะยืนกรานในสิ่งที่เชื่อ ซึ่งหากไม่มาถึงจุดวิกฤตของชีวิต และไม่มีเพื่อนหรือคนคอยชี้แนะ คงไม่ง่ายที่เราจะมาถึงจุดแห่งการยอมรับความจริงว่าเป็นอย่างไร

ความจริงก็คือ เราเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติ เราทำผิดพลาดหลายเรื่อง อีกเยอะที่ยังไม่รู้ อีกมากที่ยังไม่เข้าใจ อีกไม่รู้เท่าไหร่ที่ทำไม่เป็น เรื่องดีๆก็มีมาก แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะถูกไปทั้งหมด

ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วผมดีใจ ผมขอบคุณพระเจ้ามากที่วันนี้ พระเจ้านำผมมาถึงจุดที่ ผมเลือดออกเป็น มาถึงจุดที่ผมรู้ว่าผมหิว ที่สำคัญ ผมมีคนคอยสอนผมว่า การใช้ชีวิตปกติของมนุษย์ นั้นเป็นอย่างไร... มนุษย์เราจะมีชีวิตที่ปกติไม่ได้เลย หากเราไม่รู้จักกับพระเยซู

...มิตรภาพจะตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงใจได้อย่างไร หากความจริงใจนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความไม่จริง

ความกล้าหาญ หรือการเป็น Hero ไม่ได้เกิดจากการคิดว่าเราเป็นอย่างไร ไม่ได้เกิดจากการมองว่าตัวเราเองสำคัญ แต่เกิดจากการยอมรับว่าเราเป็นอย่างไร ในสถานการณ์นั้นๆ เราทำอะไรได้ และเราเลือกจะทำอย่างไร เพื่อคนอื่น

สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ความเชื่อของแต่ละคนต่อมุมมองเรื่องความจริงเป็นเรื่องอัตวิสัย ที่เราต้องเคารพและให้เกียรติ ความจริงที่เขาเผชิญ หลายครั้งหลายเรื่อง มันเจ็บปวดเสียจนต้องสร้างเกราะขึ้นมาห่อหุ้มปกป้องตัวเอง

แต่กับคนที่รู้จักพระเจ้า คนที่ยืดอกบอกใครต่อใครว่ารู้จักพระเจ้า บ่อยครั้งกลับหลบซ่อนอยู่ในเปลือกหนาๆ ที่เขียนป้ายติดไว้ให้ตัวเองและคนอื่นอ่านทุกค่ำเช้าว่า "ตัดสินใจ" "ตามความจริง" "เพื่อพระเจ้า" (ผมไม่ได้บอกว่า ทุกคนจะเป็นอย่างนี้นะครับ) ถ้าไปอ่านพระคัมภีร์ ก็จะเห็นว่า พระเยซูก็ตำหนิคนที่ทำอย่างนี้

ผมเชื่อว่า การยอมรับข้อจำกัดของผมในวันนี้ จะส่งผลให้ผมสามารถ ทำ หรือ ใช้ ความสามารถที่ผมมีได้อย่างดีในโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่แค่พอถูไถไปที หรือเพ้อฝันเก่งอยู่แต่ในโลกมายาเหมือนที่ผ่านๆมา...

ที่สำคัญ แม้เราจะมีปัญหาชีวิตเหมือนๆกัน ลำบากบ้างอะไรบ้าง แต่เป็น a man ในโลกของความจริง มีความสุขกว่าเป็น Super man ในโลกมายาเยอะครับ

it's my real super bark "Bow-wow!"

http://www.youtube.com/watch?v=8xDgw5ROfeM

Sep 16, 2009

think different !!

ถ้าให้ใครซักคนวาดภาพของ "บ้าน" ผมคิดว่าทุกคนต้องวาดส่วนหนึ่งของบ้านที่เรียกว่า "หลังคา" เป็นแน่ (บางคนจึงชอบพูดติดปากว่า มีบ้านไว้คุ้มกะลาหัว)

หลังคา จึงเป็นส่วนที่ช่วยปกป้องคนในบ้านไม่ให้ถูกรบกวนจากภาวะภายนอก เช่น ฝนตก แดดออก (ขี้) นกกระจอก หรือแม้แต่พวกชอบทำตัวแทนแดด (ชอบส่อง)

แต่มีใครเคยคิดไหมว่า ในทางตรงข้าม หลังคา ก็เป็นอุปสรรคปิดกั้นเราจากความงามของท้องฟ้า โดยเฉพาะในยามค่ำคืนเดือนมืดที่ดวงดาวทั้งฟ้าส่งแสงระยิบระยับตา (เว้นแต่บ้านเราจะทำหลังคากระจกใส เพื่อการศึกษาของเด็กๆ ควรมีใครซักคนลงทุนรื้อหลังคาบ้านตัวเองนะครับ ^^)

ชวนให้นึกถึง วัฒนธรรมและประเพณีของสังคม โดยเฉพาะในสังคมชุมชนคริสเตียน ซึ่งยึดถือพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นมาตรฐานในการดำเนินชีวิต โดยคริสเตียนมองว่า บทบัญญัติของพระเจ้านี้มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่ากฎหมายบ้านเมือง ซึ่งเป็นบัญญัติของมนุษย์เสียอีก (มั่นใจได้ว่า อะไรก็ตามที่คุณทำถูกต้องตรงไปตรงมาตามพระคัมภีร์ มันจะถูกกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ในขณะที่หลายอย่างทำแล้วไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดพระคัมภีร์แบบเต็มๆ)

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีหลายคน หลายคณะนิกาย ที่พยายามให้นโยบาย หรือ วัฒนธรรมของตัว มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าหลักการในพระคัมภีร์ ซึ่งครั้งหนึ่งพระเยซูเองก็ได้ตำหนิบรรดานักการศาสนาในสมัยนั้น ที่ชอบตู่เอาบทบัญญัติของมนุษย์มาเป็นพระบัญญัติของพระเจ้า พระองค์เรียกคนพวกนี้ว่าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก

หลายครั้ง เมื่อเราเริ่มลงมือทำอะไรซักอย่าง โดยเฉพาะยิ่งเป็นสิ่งที่เราทำตามความจริงหรือความฝันในใจเรา แล้วเราเจอกับอุปสรรค เรายอมแพ้ง่ายเกินไปหรือเปล่า

หากว่าภรรยาที่คุณรักสุดหัวใจ เป็นโรคร้ายที่หมอบอกว่าหมดหนทางรักษา และเธอนอนไม่ได้สติมานานนับปี คุณจะหมดความหวังใจและทำใจยอมรับสภาพ หรือคุณยังมีความหวัง และพยายามหาหนทางเพื่อช่วยเธอให้กลับมามีชีวิตปกติอีกครั้ง

หากคุณได้ยินว่า มีชายคนหนึ่งสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยทุกชนิดให้เป็นปกติดีได้ คุณจะเพิกเฉยและคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรือคุณจะคิดว่ามันเป็นไปได้ และพาภรรยาของคุณไปหาเขา

ถ้าคุณพาภรรยาของคุณไปหาเขาแล้ว ปรากฎว่า วันนั้นเขานั่งอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งคุณเห็นผู้คนเบียดเสียดออกันแน่นขนัดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ใครๆต่างก็มาหาชายผู้นี้ และต่างพยายามจะเข้าไปให้ถึงตัวของเขา คนตาบอดบางคนคลำหาทางไม่เจอ ก็ตะโกนส่งเสียงเรียกชื่อชายคนนั้นดังๆ ด้วยหวังว่าชายคนนั้นจะได้ยินและเดินมารักษาดวงตาให้เขา แม่บางคนก็พยายามพาลูกของนางเข้าไปใกล้ เพื่อหวังว่าลูกของตนจะได้รับการอวยพร

แทบจะไม่มีใครใส่ใจใคร ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ชายคนนั้น คุณจะทำอย่างไร คุณจะกลับบ้านไหม คุณคิดว่า ไม่มีทาง "ฝ่า" ฝูงชนเข้าไป เพื่อพาภรรยาคุณไปรับการรักษาหรือเปล่า บางทีคุณอาจจะคิดว่า ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้ (กี่ครั้งแล้วที่คุณคิดอย่างนี้)

มีใครบางคนอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆข้างต้น พวกเขา "หาม" เพื่อนมา เพื่อช่วยให้เพื่อนกลับคืนสู่สภาพปกติของชีวิตมนุษย์ แต่ฝูงชนที่คราคร่ำดูจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง ในการขัดขวางไม่ให้พวกเขาให้เข้าไปถึงตัวชายผู้นั้นได้

คนพวกนี้ไม่ปล่อยให้ไฟแห่งความหวังของพวกเขาหวั่นไหวไป เพียงเพราะคนหรือสถานการณ์ไม่เป็นใจ

เขาไม่นั่งรอ "โชค" หรือ "โอกาส" ให้มาเยี่ยมเยียนก่อนจะไขว่คว้่าไว้ แต่พวกเขาเลือก "เสี่ยง" ที่จะสร้างมันขึ้นมาเอง

พวกเขาทั้ง 4 คน ลงมือรื้อทำลายสิ่งที่ปกป้องพวกเขา (และคนอื่นๆ) จากอันตราย เลือกสูญเสียพื้นที่ปลอดภัย ก้าวข้ามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดกั้นไม่ให้พวกเขาพาเพื่อนมาพบชายผู้นั้นได้ แล้วพวกเขาก็หย่อนเพื่อนลงมาทางหลังคา ด้วยความเชื่อและมุ่งมั่นว่าเพื่อนเขาจะหายดี

เรื่องราวที่บันทึกไว้ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้ นอกจากบอกว่า เพื่อนที่ถูกหามมาได้รับการรักษาให้หายดี แต่คุณลองจินตนาการเรื่องนี้ไปกับผมต่ออีกซักหน่อยไหม

... ตอนที่เขาหามมา เขาคงไม่ได้เตรียมการ / อุปกรณ์มาด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องหย่อนเพื่อนลงทางหลังคา เขาคงคิดกันหัวแทบแตกว่าทำอย่างไรจะเข้าไปให้ได้
... รื้อหลังคาบ้าน... บ้าไปแล้วแน่ๆ เอาจริงๆนะ เป็นคุณ คุณจะทำไหม
... รู้ทั้งรู้ ตำรวจต้องตั้งข้อหา ทำลายทรัพย์สินผู้อื่น ให้คุณแน่ๆ ถ้าไม่จ่ายค่าปรับก็ต้องติดคุก (คุณคิดว่า ราคา หลังคา มันถูกๆหรือ) และอื่นๆอีกมากมาย ตามแต่จะจินตนาการเพิ่มเติม

ผมเชื่อว่า ณ เวลานั้น สิ่งที่ขับเคลื่อนอยู่ในใจของคนทั้ง 4 นั้น มีเพียงสายตาและความคิดที่จดจ่ออยู่ว่า ทำอย่างไรจะนำชีวิตกลับคืนมาให้เพื่อนได้ และชายผู้นั้นเป็นคำตอบ ผมเชื่อว่า พวกเขายินดีจ่ายทุกราคาที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแลกกับชีวิตของคน 1 คน

และด้วยความเชื่อเช่นนี้ พระเยซูไม่เพียงรักษาให้คนที่ถูกหามมาหายโรค แล้วบอกให้เขาลุกขึ้นแบกที่นอนเดินกลับบ้านไป แต่พระองค์ยังทรงบอกด้วยว่า "บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว"

จับจ้องที่เป้าหมาย, เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้, Think different แล้วมุ่งมั่นลงมือทำ

Trust in the Lord with all your heart. Never rely on what you think you know.
Remember the Lord in everything you do, and He will show you the right way.
Proverbs 3:5-6


Credits:

inspired by Pat's preaching @ Newsong on Sep.12, 2009 (Mark 2:1-12)

inspired by คุณบีและคุณดำ (คนไม่มีเวลา / ว่าน AF)

inspired by Einstein's word (Insanity: doing the same thing over and over again and expecting different results)

inspired by พ่อกับแม่ของผมเอง ^^

Sep 14, 2009

พักครึ่ง

หลายครั้งที่เราดูการแข่งขันฟุตบอล แล้วทีมที่ถูกนำไปก่อนในครึ่งแรก พลิกกลับมาชนะได้ในที่สุดเมื่อจบเกมส์ ผมคิดว่า มีหลายปัจจัยสำคัญที่เป็นเหตุให้เกิดผลการแข่งขันดังกล่าว เช่น ความสามารถและกำลังใจของผู้เล่น นอกจากนั้น การแก้เกมส์ของโค้ชก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีส่วนสำคัญอย่างมาก

ช่วงพักครึ่งเวลา จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการประเมินการเล่นในครึ่งแรก ประเมินทั้งสภาพผู้เล่นทีมของเรา สภาพและวิธีการเล่นของทีมคู่แข่ง และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ไม่เพียงประเมินแต่ต้องทบทวนและปรับปรุงด้วย สิ่งสำคัญสุดท้าย ต้องไม่ลืมที่จะจูงใจ
ดังนั้น หากประเมินไม่ตรง หรือ ทบทวนไม่เป็น หรือ แก้ไขไม่ได้ หรือจูงใจไม่ถึง การเล่นในครึ่งหลังคงไม่ต่างจากครึ่งแรกเท่าไหร่

กีฬาทุกชนิดมีกติกาของมัน เมื่อเราเริ่มต้นตุกติก เราก็เริ่มต้นความพ่ายแพ้
วิธีเดียวที่จะไม่ต้องเคารพกติกา คือ สร้างกีฬาใหม่ของเราขึ้นมาเอง หากเราเป็นผู้กำหนดกติกาเสียเองแล้ว เล่นอย่างไรก็ชนะ
แต่ทว่า กีฬานี้จะได้รับการยอมรับโดยทั่วไปหรือ หากเอาแน่เอานอนกับกติกาไม่ได้...

เพิ่งจะอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบไป half time / Bob Buford แปลไทยว่า พักครึ่งชีวิต
อ่านแล้วมีงงๆกับภาษาที่ใช้ในการแปลบ้าง แต่ก็พอเดาเนื้อหาของต้นฉบับได้
สรุปความกันง่ายๆ ชีวิตคนเราเปรียบคล้ายเกมส์กีฬา ในแง่ที่ว่า ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าจะจบเกมส์ ช่วงหนึ่งในชีวิตของคนเราที่คล้ายกับช่วงพักครึ่ง เป็นช่วงเวลาที่เราได้กลับมาประเมินตัวเอง ทบทวนคุณค่าของความสำเร็จในสิ่งที่ผ่านๆมา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อให้พร้อมสำหรับครึ่งเวลาหลังที่เหลือ เปลี่ยนวิธีเล่น แต่ยังคงอยู่ในเกมส์เดิม

ยิ่งเราพบคุณค่าที่แท้จริงของตัวเราเองได้เร็วเท่าไหร่ เราก็จะมีเวลาเล่นในครึ่งหลังมากขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับบางคน (เช่นผม) หลายๆคำถามที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ (และอาจไม่พบเลยชั่วชีวิตนี้) แต่ไม่ว่าอย่างไร เกมส์ชีวิตจริงยังคงดำเนินต่อไป และผมจะเล่นให้ดีที่สุด

บางทีสำหรับตัวผมเอง จุดยากที่สุดสำหรับการเล่นในครึ่งหลังของเกมส์ชีวิต อาจไม่ใช่เพียงการยอมรับความจริงตามกติกาสากลของโลกนี้ (ซึ่งตอนนี้ดีขึ้นมาก) หรือการหา แท็คติก ที่เหมาะสม แต่คือการก้าวออกจากความคุ้นเคยเดิมๆ กล้าที่จะเสี่ยงก้าวไปข้างหน้า กล้าที่จะวางพระเยซูคริสต์ไว้ในกล่องชีวิต กล้าที่จะยอมรับค่านิยมของพระคัมภีร์จริงๆ... (ซึ่งตอนนี้ ผมคิดว่ามันไม่ง่ายเลย)

สิบกว่าปีที่ผ่านมา ปากดีมาตลอด ถึงเวลาที่ต้องเลิกปากดี แล้วเปลี่ยนมาใช้ชีวิตให้ดีแทน...
ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ

Aug 23, 2009

ความสุขของผม

เมื่อวานกับวันนี้ ไปเป็น facilitator ที่ค่ายพัฒนา ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีม ให้กับน้องๆจุฬา คณะวิทยาศาสตร์
เหนื่อยมากจริงๆ ดูๆ เหมือนเราก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร กินๆ เดินๆ ถ่ายรูป หยอดความคิด ตั้งคำถาม... เออ เยอะเหมือนกันแฮะ ที่ใช้พลังจริงๆ คงเป็นเรื่องของการสังเกต ที่ต้องสังเกตน้องทั้งหมด 17 คน ไปพร้อมๆกัน

หลังจากจบค่ายครั้งนี้ ยอมรับว่าเหนื่อยจริงจัง แต่... แต่มีความสุขอย่างมาก ผมรู้สึกมีความสุขจริงๆ ที่ได้เห็นน้องๆเขามีพัฒนาการ มีการเติบโต เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ นะ ที่ได้เห็นคนอื่นเติบโตขึ้น ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้ใช้ชีวิตในสังคมนี้ได้ดีขึ้น มีความสุขบนโลกนี้ได้มากขึ้น แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่ผมมีความสุขจริงๆ

นอกจากการได้ใช้ชีวิตกับคนรักแล้ว นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่ง, เป็นงานที่ช่วยให้ผม รู้จักกับคำว่า ความสุขของชีวิต ได้มากขึ้น ผมอยากทำงานอย่างนี้ไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต มีความสุขจวบจนวินาทีสุดท้ายที่ลาจากโลกนี้ไป

Aug 9, 2009

กว่างตัวหนึ่ง

เมื่อคืนวาน หลังจากถกอภิปรัชญากันอย่างยาวนานร่วม 4 ชั่วโมง
ระหว่างเดินกลับบ้านในซอยเปลี่ยวๆ ตอนตี 2

พลันหมา 4-5 ตัวแถวนั้น ก็ลุกขึ้นเห่าหอนกันเสียงระงม !!!
ล้อเล่น... (ไม่ได้จะมาเล่าเรื่องหลอน)

จริงๆ แล้วผมเห็นกว่างตัวหนึ่งนอนแอ่งแม้งอยู่ริมทาง ขาทั้ง 6 ของมันตะกายชี้ฟ้าอย่างช้าๆ คล้ายๆ จะหมดแรง
สงสัยว่ามันคงจะตะกายมานาน
ด้วยความสงสาร ก็เลยเอาเท้าเขี่ยๆ นึกว่ามันจะพลิกตัวได้ ท่าทางมันจะอุ้ยอ้ายกว่าที่ผมคิดไว้ ก็เลยก้มลงหยิบตัวมันคว่ำลง
มันอยู่กับที่นิ่งๆซักพักนึง สงสัยว่าคงจะกำลังมึนอยู่ ไม่รู้มันจะเป็นเหมือนคนหรือเปล่าเนาะ

เห็นมันอยู่นิ่งๆ ผมก็กลัวรถจะวิ่งมาเหยียบมัน ก็เลยยืนดูอยู่ซักพัก หันซ้ายหันขวา กำลังคิดอยู่ว่าจะหยิบมันไปวางตรงไหนดี
ทันใดนั้น มันก็ขยับปีกแข็งของมันขึ้น แป้บเดียวที่ผมเห็นปีกมันขยับ มันก็ทะยานตัวขึ้นไปตามแสงของหลอดไฟข้างทางอย่างรวดเร็ว ไปโดยไม่ลา ไม่มีแม้คำขอบคุณซักคำ... ^^

ผมเดินกลับบ้านต่อ หางตาผมเห็นแค่เงาของกว่างตัวนั้นกำลังบินไปที่ไหนซักแห่ง... อาจจะเป็นบ้านของมัน

.......

คนเราคงมีกันบ้าง บางช่วงบางจังหวะของชีวิตที่ทำผิดพลาด พลาดชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวของเราเอง แม้เราจะพยายามแล้ว บางทีอาจจะพยายามมาทั้งชีวิต แต่ความผิดพลาดนั้นก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ขณะที่เรี่ยวแรงของเรากลับหมดลงทุกทีๆ

บางคนคงรีบเกินกว่าจะมองเห็นคนอย่างเรา บางคนอาจจะไม่เคยก้มลงมาต่ำพอจะมองเห็นได้ บางคนอาจจะสะกิดให้เราสู้หรือหนุนใจให้เราลุกขึ้น เพราะเชื่อในศักยภาพของเรา แต่การที่ยังเห็นเรานอนแอ้งแม้งอยู่ บางคนคงไม่พอใจ อีกทั้งอาจมองว่าเราใจไม่สู้เอาเสียเลย

ผมเชื่อว่า คนเราทุกคนมีความฝันที่ตั้งใจจะทำกันทั้งนั้น สิ่งที่คนเรา้ต้องการคือ ใครสักคนที่จะสนับสนุนเขา ช่วยจนเขากลับตัวมาตั้งต้นเองได้ กลับมาอยู่ในท่าปกติ ที่ตัวเขาเป็น

ถึงเวลานั้น เพียงไม่กี่อึดใจ ไม่นานเกินรอ เขาจะบินทะยานขึ้นไปตามฝันของเขาเหมือนเจ้ากว่างตัวนั้น

บางครั้งเราก็อยู่ในสถานะ ที่สามารถช่วยคนอื่นได้ เหมือนผมช่วยกว่างตัวนั้น
บางครั้งเราก็เป็นเหมือนกว่างตัวนั้น ที่นอนอย่างหมดแรง หมดหนทางจะพลิกกลับมาได้ด้วยกำลังของตัวเอง
แต่ถึงจะยังไม่มีใครมาช่วยก็อย่าเพิ่งรีบหมดหวัง อย่าถอดใจยอมแพ้นอนตายอยู่ข้างทาง
จงมีความเชื่อ จงมีความหวังอยู่้เสมอจวบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
มีการช่วยกู้ให้กับผู้ที่ร้องขอเสมอ

สู้ต่อไป กว่างน้อย !!!

Jul 31, 2009

ลิง 4 ตัวในห้องๆหนึ่ง...

ได้อ่านบทความสรุปหนังสือ Competing for the Future ของ Gary Hamel และ C.K.Prahalad ตีพิมพ์โดย Harvard business School

อ่านบทความไปถึงหน้า 7 มีเรื่องของลิง ที่เป็นการทดลองจริงของผู้เขียน อ่านแล้วขำดี เอามาเล่าให้ฟัง...

เขาเอาลิง 4 ตัว มาไว้รวมกันในห้อง ในห้องมีเสาสูงต้นหนึ่งแขวนกล้วยเอาไว้
ลิงตัวหนึ่งปีนขึ้นเสาไป ก่อนที่จะได้คว้ากล้วย ก็โดนรดด้วยน้ำเย็นจากฝักบัว ลิงตัวนั้นก็วิ่งร้องเสียงหลงลงไป หลังจากนั้นอีก 3 ตัวที่เหลือ ก็พยายามปีนขึ้นไปเอากล้วย แต่ก็โดนน้ำเย็นรดจากฝักบัวเหมือนๆกัน สุดท้าย มันทุกตัวก็ยอมแพ้ และเลิกล้มความคิดที่จะกินกล้วยหวีนั้น

เขาเอาลิงออกไปตัวหนึ่ง แล้วเอาตัวใหม่เข้ามา...

พอมันเห็นกล้วยมันก็วิ่งไปที่เสา เริ่มต้นจะปีนขึ้นไปเอากล้วยที่แขวนอยู่ เจ้าลิงสามตัวที่เหลืออยู่ ก็ไปฉุดกระชากเพื่อนหน้าใหม่ลงมาไม่ยอมให้ปีนขึ้นไป ทำอยู่ซักพัก ลิงหน้าใหม่เริ่มเข้าใจว่ามีบางอย่างผิดปกติแน่ บางอย่างที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับกล้วยหวีนั้น

แล้วเขาก็เปลี่ยนลิงเข้าไปอีกตัวหนึ่ง แล้วก็เกิดเหตุการณ์ในทำนองเดียวกัน... จนกระทั่งเปลี่ยนลิงครบ 4 ตัว

สุดท้าย ลิงทั้ง 4 ตัว ในห้องนั้น ต่างไม่เคยโดนน้ำเย็นจากฝักบัวรด จากการพยายามปีนเสาขึ้นไปเอากล้วยที่แขวนอยู่ แต่ลิงทั้ง 4 ตัว ต่างรู้ว่า อย่าปีนเสาต้นนั้น ทั้งที่ไม่มีพวกมันตัวไหนซักตัว จะรู้อย่างแน่ชัดว่าเพราะอะไร และแม้แต่ฝักบัวนั้น จะถูกเอาออกไปแล้วก็ตาม
..........

เคยคิดไหมว่า ทั้งๆที่เราเป็นคน แต่บางครั้งเราก็ทำตัวเหมือนลิง ในขณะที่ตัวเราเองหรือใครบางคน กำลังพยายามปีนไปให้ถึงฝัน ใครคนอื่นหรือตัวเราเองกลับไปดึงเขากลับลงมา เพียงเพราะต้องการช่วย เพียงเพราะความหวังดี เพียงเพราะเชื่อว่า การปีนขึ้นไป จะนำเรื่องไม่ดีมาถึงตัว

บ่อยๆ ครั้งที่อันตรายเหล่านั้น มันแค่ "เคย" มีจริง

คนเราถ้าเชื่อเสียแล้วว่าทำไม่ได้ ก็คงไม่มีอะไรที่เราจะทำได้
..........

ผมจินตนาการเรื่องต่อ...
หากการทดลองนี้ ทำหลายสิบห้อง แต่มีห้องหนึ่งที่เขาลืมให้อาหาร ลิงถูกทิ้งไว้ในห้อง จนในที่สุด ความหิว มีชัยชนะเหนือความกลัว ตัวหนึ่งในนั้น ตัดสินใจวิ่งปีนขึ้นเสาคว้ากล้วยมาได้ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกมันแบ่งกันกินอย่างอร่้อย และรู้ว่า เสาต้นนั้นไม่ได้อันตรายอีกต่อไป

เมื่อเขาเอาลิงทั้งฝูง ทุกห้อง มาปล่อยรวมกันในห้องเดียว......


กำลังใจ คงเป็นเรื่องสำคัญที่ลิง 4 ตัวนี้ ต้องมีให้กัน เพื่อร่วมกันยืนหยัดปีนขึ้นไปให้ถึงฝัน...

วันใดที่ลิง 4 ตัวนี้ร่วมกันคว้ากล้วยมากินได้ ไม่ใช่แค่พวกมันจะได้กินกล้วยเท่านั้น
แต่ลิงทั้งฝูงก็จะรู้ในทันทีว่า "เสาต้นนั้น ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มันสามารถปีนได้"


ปล. คิดแล้วก็อยากรู้เหมือนกันว่า ลิงมันจะมี learning curve ไหม?
จนสามารถเอาเรื่องที่เรียนรู้จากประสบการณ์นี้ ไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่นๆในชีวิตได้ด้วย
ไม่ใช่ลิงซะด้วยสิเรา ^^

Jul 27, 2009

be real

เมื่อวานมีประชุม...
เป็นการประชุมที่...อยากใช้คำว่าตลกดี แม้บรรยากาศการประชุมจะจริงจังมาก
ฝ่ายหนึ่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่ (กำลังจะ) เกิดขึ้น ใส่ใจเป็นห่วงกับเรื่องท่าทีและแรงจูงใจในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ในเอกสาร เพราะเชื่อว่า (เกือบ) ทั้งหมดของ "สาระ" อยู่ในนั้น อย่างน้อยมันก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่เป็นที่มาของการตัดสินใจเลือกว่าจะทำอย่างไรต่อไป ฝ่ายนี้ไม่ได้คิดว่าจะ ทำอย่างไร / ไม่ทำอย่างไร เป็นเรื่องสำคัญมากเท่ากับสนใจว่าอีกฝ่ายเห็นตรงกันไหม เห็นต่างอย่างไร คิดอย่างไรกับสิ่งต่างๆ ที่ผสมกันจนกลายร่างมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้เช่นเอกสารฉบับนั้น

ตลกเพราะว่า แท้ที่จริง ทุกคนอยู่ฝ่ายเดียวกัน เชื่อในธรรมนูญเดียวกัน ปรารถนาดีต่อชุมชนเหมือนกัน เพียงแต่คงจะมีอะไรบางอย่างแตกต่างกัน จึงดูเหมือนอยู่คนละฝ่าย และกลายเป็นการพูดคนละเรื่องเดียวกัน

ให้นึกย้อนไป 10 กว่าปีที่ผ่านมา ที่ถูกสอนให้ใช้ "หัว" คิดมากๆ ให้เยอะๆ กว่าใช้ "ใจ" รู้สึก พยายามใช้หัวฝืนใจ แต่ดูเหมือนมันไม่ใช่ชีวิตผมเลย ไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เริ่มเป็นคนแปลกหน้ากับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้ชีวิตด้วยความไม่มั่นใจ มีเหตุผลหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองไปได้เรื่อยๆ ใช้ชีวิตจริงๆไม่เป็นขึ้นเรื่อยๆ หวาดกลัวกับความคิด ความเข้าใจ ความอยากและความรู้สึกของตัวเอง ต้องพยายามเป็นคนดีตามมาตรฐานของชุมชนอย่างที่คนรอบข้างคาดหวัง หดหู่จนแทบบ้า หมดแรงจะทำสิ่งดีๆเพื่อคนอื่น (แค่ตัวเองยังแทบไม่มีแรงจะใช้ชีวิต)

จนหลายปีก่อนที่เริ่มคิดได้ว่า หากยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ชีวิตก็คงไม่พ้นเป็นเหมือนเดิมๆ ไม่ช้าก็เร็ว คงต้องรับผลเดิมๆ ใช้ชีวิตทรมานคนเดียวอย่างนั้นอีกแน่ จึงเริ่มเดินออกมานอกกรอบที่ถูกสอนมา เรียนรู้และหาหนทางของตัวเอง โดยใช้ หัว และ ใจ ตามเสียงของพระเจ้าที่ตัวผมเองรู้จัก

แน่นอนว่าชีวิตมันก็ขึ้นบ้างลงบ้าง ลำบากบ้าง สบายบ้าง (ซึ่งจริงๆแล้ว ผมก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์นะ) แต่ที่สำคัญคือมันเป็นชีวิตจริงๆที่เราได้ใช้ เรียนรู้ รู้สึก และสัมผัสได้ ผ่านความเชื่อของตัวเราเอง
-----------------------------------------

เมื่อคืนมีน้องคนนึงโทรมาหา...
เขาเองบอกว่า ตอนนี้ก็เพิ่งจะเรียนจบ ยังไม่ได้ออกปากว่าจะอยู่ที่ไหนเป็นหลักแหล่ง แต่มีพี่ที่สนิทกันชวนให้มาอยู่ที่เดียวกันกับผม ตัวเขาเองก็อยากจะไปดูให้ทั่วๆก่อน เขาบอกว่า จริงๆอยากจะอยู่ในสังกัดเดิม เพราะเขารู้สึกรักผูกพันกับที่นี่ ไม่มีเหตุผลอื่น ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกรักและผูกพัน...
ช่วงแรกก็กลับไปที่หน่วยงานเดิม แต่คิดว่าบรรยากาศไม่ไหวจริงๆ ก็เลยจะลองหาที่อื่นดู
เขาเชื่อว่าที่นี่ดีที่สุดแล้ว ถึงจะมีการแยกย้ายกัน แต่ก็ยังอยากจะอยู่ภายในหน่วยงานที่แยกออกมาจากสังกัดเดิม...
เท่านี้เพียงพอไหมนะ ที่เขาจะเลือกใช้ชีวิตของเขาเองที่ไหนซักที่นึง

ผมคิดว่าพอ
-----------------------------------------

เมื่อวานวันก่อนมีคนพูดให้ฟัง...
เขาถามว่า อะไรเป็นอุปสรรคปิดกั้นไม่ให้เราเป็นตัวของตัวเองจริงๆในการดำเนินชีวิตประจำวัน
เขาบอกว่า เราสามารถเป็นตัวเองได้ และพัฒนาเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ โดยยอมอณุญาตให้พระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเราจากภายใน ทั้งการเป็นตัวเองและการ (กำลัง) เป็นเหมือนพระคริสต์ไม่ขัดแย้งกัน

ผมตอบตัวเองว่า สำหรับผมแล้ว ความกลัว และ การทำตามความคาดหวังของคนรอบข้าง ทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวเองได้ง่ายที่สุด

ผมคิดต่อได้ว่า หากเราไม่เริ่มต้น ยอมรับ ว่าจริงๆแล้วเราเป็นอย่างไร อ่อนแออย่างไร ไม่สมบูรณ์อย่างไร หรือแม้แต่เราไม่รู้ว่าเราป่วยเป็นอะไร เราจะยอมให้พระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนเราได้อย่างไร หากเราไม่ยอมรับว่าเราเจ็บป่วย เราจะต้องการหมอหรือ

ผมเชื่อว่า หนทางสู่การดำเนินชีวิตในความจริง เริ่มต้นด้วย "การยอมรับ" ในความไม่สมบูรณ์ของเรา ในความอ่อนแอ ในความกลัว ในความไม่รู้... และ "การร้องขอ" ความช่วยเหลือ ซึ่งระหว่างการรอรับการช่วยเหลือ เราจะต้องใช้ หัวและใจ ของเราอย่างทุ่มเทและอย่างสมดุล
-----------------------------------------

ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า... ตั้งแต่เด็กมา ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาเป็นว่าเริ่มจำความได้ สิ่งที่ถูกสอนมาตลอด คือ เวลาจะทำอะไรบางอย่างเนี่ย คนอื่นเขาคิดอย่างไร เขามองอย่างไร ซึ่งมันสร้างนิสัยให้ผมเป็นคนที่สนใจความคาดหวังของคนอื่นโดนไม่รู้ตัว เพียงแต่มันนานมากไป จนเอียงข้าง กระบวนการที่ซับซ้อนของ สมองและจิตใจ พัฒนาให้ผมเป็นคนที่ต้องการ การยอมรับจากคนอื่น แสวงหาความมั่นใจจากเสียงส่วนใหญ่ เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อว่าดีที่สุดกับตัวเองก่อน และอื่นๆอีกมากมายที่ผิดจากวิถีปกติของมนุษย์ทั่วๆไป

จากเด็กร่าเริง มองโลกแง่ดี มีความฝัน กลายเป็น คนหดหู่ ซึมเศร้า หมดไฟ ไม่กล้าฝัน แง่ลบ ขี้แพ้... ความไม่จริงฆ่าคนๆหนึ่งให้ตายอย่างช้าๆได้อย่างเลือดเย็น

การใช้เหตุและผล เป็นสิ่งดี แต่หากปราศจากความรู้สึก เราคงเป็นคนที่มีหลักความคิดดี แต่อาจจะไม่ได้มีชีวิตดีก็ได้
การใช้เหตุและผลล้วนๆ อาจทำให้เราสามารถเอาชนะคนอื่นได้เสมอๆ บังคับให้คนต้องจำนนด้วยเหตุผล แต่จริงๆชีวิตคนมีมากกว่าเรื่องเหตุและผล
แม้คงจะมีหลายคนให้ความนิยมชมชอบและพอใจอยู่เสมอๆ แต่คนอีกไม่น้อยที่คงไม่ชอบใจนัก และอาจมีบ้างที่ถึงขั้นเกลียดชัง โดยเฉพาะหากเหตุผลนั้นมันไม่ได้เกิดจากความเข้าใจในชีวิตจริงๆ แต่เป็นเพียงความเข้าใจในความคิด

อย่างน้อย ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่ชอบตัวเองมาตลอด เพราะตัวเองกลายเป็นคนที่ชอบเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลเสียเอง
ขอบคุณพระเจ้าที่ยังทรงเมตตา...

มองย้อนกลับไป 30 ปีที่ผ่านมา วันนี้ถึงได้เข้าใจวิถีของความจริง การดำเนินชีวิตในความจริง... วิถีของคนจริง

ยอห์น 7:18 ผู้ใดที่พูดตามใจชอบของตนเอง ผู้นั้นย่อมแสวงเกียรติสำหรับตนเอง แต่ผู้ที่แสวงเกียรติให้พระองค์ผู้ทรงใช้ตนมา ผู้นั้นแหละเป็นคนจริงไม่มีอธรรมเลย

Jul 23, 2009

(ไม่) หนี... (แต่ขอทำ)ตามกาลิเลโอ

เมื่อวาน ไปดูหนัง "หนีตามกาลิเลโอ" รอบพิเศษกับทางคณะนิเทศ จุฬาฯ...
ไม่ได้จะมา review หนัง ไม่ได้จะมาเชียร์ แต่อยากให้ดู หนังไทยดีๆ ไม่มีฉากหวือหวาให้สยิวกิ้วอารมณ์ หรือทำได้เพียงเรียกเสียงหัวเราะแต่ไม่เพิ่มรอยหยักให้สมอง เหมือนหนังบางเรื่องที่เพิ่งจะจัดงานฉลองไปไม่กี่วันนี้

เป็นหนังที่โคตรจริง มีความเป็นคนอยู่เต็มเปี่ยมในหนังเรื่องนี้...

เป็นเรื่องปกติ ที่ใครๆก็อยากฟังความจริง แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเช่นกัน ที่เราจะไม่อยากยอมรับมันหากว่ามันไม่ตรงกับสิ่งที่เราอยากได้ยิน บ่อยครั้ง เราเลือกปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง ด้วยการมีเหตุผล ด้วยข้ออ้าง ด้วยการหลอกลวง ด้วยการบอกว่าคนพูดไม่น่าเชื่อถือ ด้วยประสบการณ์ของเราเอง หรือแม้แต่ด้วยการหนี

หนีไปจากคำจริงเหล่านั้น หนีไปจากคนพูด หนีไปจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย หนีไปจากโลกด้วยการฆ่าัตัวตาย หรือแม้แต่หนีไปจากตัวเองด้วยการมีโลกส่วนตัว แต่ความจริงก็คือความจริง ไม่มีใครหนีพ้น มันเป็นกฎสากลเหมือนกฎแรงโน้มถ่วงของโลกนี้

ณ หอเอนแห่งเมืองปิซ่า บ้านเกิดของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ตัวพ่อชื่อ กาลิเลโอ เขาทดลองทิ้งวัตถุชนิดเดียวกัน 2 ชิ้น ซึ่งมีขนาด (น้ำหนัก) ไม่เท่ากัน จากความสูงเดียวกัน พร้อมๆกัน เพื่อพิสูจน์ว่า ทฤษฎีของเขาถูกต้อง หากวัตถุทั้งสองชิ้นตกถึงพื้นพร้อมกัน... แน่นอนว่า ทฤษฎีของเขาถูกต้อง แต่ขัดแย้งกับแนวคิดของศาสนจักร ซึ่งทำให้เขา ถูกหมายหัวว่าเป็นพวก "ขบถ" ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดนับแต่นั้นมา

และอีกครั้งที่เขาสร้างความขัดแย้งกับศาสนจักร เมื่อประกาศสนับสนุนแนวคิดว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นดวงอาทิตย์ต่างหาก คำประกาศของเขาหักล้างความเชื่อที่ ศาสนจักร เพียรพยายามส่งเสริมชนทั้งหลายให้เชื่อว่า จักรวาลนี้มีโลกเป็นศูนย์กลาง ลงอย่างสิ้นเชิง

และนั่นจึงนำภัยมาสู่ตัวเขา ศาสนจักรเห็นเขาเป็นตัวอันตรายที่ต้องจัดการในทันที เขาถูกสั่งขัง สูญเสียอิสรภาพทางกาย และต้องมีชีวิตลำบากเป็นอย่างมากตลอดชั่วชีวิตของเขา

บางคนเลือกที่จะหนีความจริงว่าตัวเองผิด ด้วยการโทษความห่วยแตกของสังคมคนรอบข้าง โยนขี้ให้คนอื่น และ (หนี) ไปจากสังคมนั้น
บางคนเลือกจะหนีความบกพร่อง/ความอ่อนแอของตัวเอง ด้วยการ เปลี่ยน สภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่เสียใหม่

แต่โลกนี้มักเต็มไปด้วยเรื่องตลกร้ายกาจที่คาดไม่ถึง บทเรียนแห่งชีวิตที่เราสอบไม่ผ่าน จะวนกลับมาหาเราเสมอ ไม่ว่าเราจะ หนี ไปที่ไหน หรือ ด้วยรูปแบบใด เพื่อช่วยเราให้ไปถึงยังปลายทางแห่งการเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆได้ แม้จะด้วยราคาและรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป

ไม่ว่าเราจะเลือกยืนหยัดต่อความจริงเหมือนกาลิเลโอ หรือโอนอ่่อนนั่งทำใจอยู่ไปวันๆ เป็นดั่งคนตายที่รอเพียงเวลาหมดลมหายใจ ความจริง ก็คือ เราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลกใบนี้ ทุกความล้มเหลว ทุกความผิดพลาด เรามีส่วนร่วมรับผิดชอบไม่มากก็น้อย เราไม่สามารถปัดความรับผิดชอบของผลที่เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครทำอะไรเราได้ ถ้าเราไม่ทำตั้งแต่แรก

หากเราไม่กล้ายอมรับความจริง สิ่งที่เรารู้สึกจริงๆ สิ่งที่เราเชื่อจริงๆ หรือแม้แต่ความผิดที่เราทำไว้จริงๆ เราก็จะไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆสักที ต่อให้เปลี่ยนสิ่งนอกตัวไปเท่าไหร่ เราก็จะยังไม่เข้าใจ บางทีอาจต้องใช้เวลานานนับร้อยปีเหมือนที่กว่าคนจะยอมรับว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล เราจึงจะเข้าใจว่า เราเองเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลกกว้างๆใบนี้ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้นอกจากเปลี่ยนตัวเองก่อน และเราจะไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งมนุษยโลกได้เลย หากไม่กล้ายืนหยัดต่อความจริงที่เราพบ เชื่อ และรับไว้

ใครจะหนีตามกาลิเลโอ ยกมือขึ้น !!!

Jul 3, 2009

ทฤษฎีเกม

ทฤษฎีเกม หรือ Game Theory เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักเ๋ศรษฐศาสตร์และนักวางแผนกลยุทธ์ทั่วไป
หลายคนที่เคยชมภาพยนตร์เรื่อง a beautiful mind ซึ่งสร้างจากเค้าโครงชีวิตจริงของ จอห์น แนช (John Nash) นักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ คงอาจพอทราบบ้างว่า ทฤษฎีนี้ใช้เ็ป็นเครื่องมือในการตัดสินใจเลือกได้เป็นอย่างดี

ทุกเวลาที่ผ่านไปของชีวิตเรา เราต้องเลือกอยู่ตลอดเวลาว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร การเลือกจึงเป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะเลือกด้วยความรู้สึก เลือกด้วยเหตุและผล หรือแม้แต่เลือกตามๆเขาไป จะใช้ข้อมูลหรือไม่ใช่ อย่างไรเราก็ต้องเลือกอยู่ดี

ทฤษฎีเกมเป็นการแสดงความเป็นไปได้ของผลลัพธ์จากทางเลือกต่างๆ โดยสมมติว่า มีผู้เล่น 2 คน ในเกม และผู้เล่นทั้งคู่ต่างมีเหตุมีผล ดังนั้น ผู้เล่นจะเลือกทางเลือกที่ตนได้ผลประโยชน์มากที่สุดเสมอ โดยปกติมักไม่ใช้กฎเกณฑ์ทางศีลธรรม/มนุษยธรรม มาพิจารณาด้วย (เพราะมันวัดได้ลำบากในการจะบอกว่าใครเป็นคนดี) คงไม่ผิดนัก ถ้าจะบอกว่า ทฤษฎีนี้ตั้งสมมติฐานเบื้องต้นว่า มนุษย์นั้นล้วนเห็นแก่ตัว

ลักษณะรูปแบบของเกมส์ที่เล่นมีหลากหลายรูปแบบ แต่ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบไหน หลักคิดสำคัญ คือ เราจะเลือกใช้กลยุทธ์ใดเมื่อผู้เล่นอีกฝ่ายเลือกกลยุทธ์ต่างๆ

บางเกมเราเลือกก่อน บางเกมเขาเลือกก่อน บางเกมเลือกพร้อมกัน บางเกมเล่นครั้งเดียว บางเกมเล่นระยะยาว ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือก ถ้าหากไม่ว่าอีกผ่ายจะเลือกอย่างไร เรายังคงควรเลือกกลยุทธ์เดิม เรียกกลยุทธ์นั้นสำหรับเราว่าเป็น "กลยุทธ์เด่น" ในขณะเดียวกัน อาจมีบางกลยุทธ์ให้ผลตอบแทนแก่เราต่ำกว่าทางเลือกอื่นๆเสมอ นั่นคือ "กลยุทธ์หมอบ" สำหรับเรา

หากทั้งสองฝ่ายสามารถเลือกกลยุทธ์ที่ทำให้ต่างก็ได้รับความพอใจมากที่สุด เพราะไม่สามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าได้ด้วยการเปลี่ยนไปเลือกทางเลือกอื่นๆ เราเรียกกลยุทธ์นั้นว่า "จุดสมดุลย์ของแนช" (Nash's equilibrium)

สมมติว่า ในสถานการณ์หนึ่ง เรากับอีกฝ่ายต่างมีทางเลือก A และทางเลือก B
หากเขาเลือก A แล้วเราเลือก A เกิดประโยชน์ เราได้ 5 เขาได้ 10
หากเขาเลือก A แล้วเราเลือก B เกิดประโยชน์ เราได้ 4 เขาได้ 3
หากเขาเลือก B แล้วเราเลือก A เกิดประโยชน์ เราได้ 3 เขาได้ 8
หากเขาเลือก B แล้วเราเลือก B เกิดประโยชน์ เราได้ 2 เขาได้ 1

คุณคิดว่า เรา ควรเลือกกลยุทธ์ใด เกมนี้มีกลยุทธ์เด่นของเราหรือไม่ ถ้ามีคืออะไร.....
ลองคิดก่อนจะอ่านต่อไปนะครับ
.
.
.

ดูเหมือนว่า ทางเลือก B น่าจะเป็นกลยุทธ์เด่นของเรา เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะเลือกอะไร เราก็ได้ "มากกว่าเขา" เสมอ ดังนั้น ทางเลือก A จึงเป็นกลยุทธ์หมอบที่น่าหลบเลี่ยงของเราเสมอ ด้วยวิธีการให้เหตุผลอย่างเดียวกัน

แท้ที่จริงแล้ว แก่นแท้ของการใช้ทฤษฎีเกม หรือ การคิดเชิงกลยุทธ์ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม แต่เป้าหมายของเราคือ การมุ่งเลือกทางเลือกที่จะสามารถรักษา/ได้รับผลประโยชน์ของตัวเราเองให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น จากตัวอย่างสถานการณ์ข้างต้น ทางเลือก A จึงเป็นกลยุทธ์เด่นของเรา เพราะไม่ว่าเขาจะเลือกอะไร เราจะได้ผลตอบแทนมากที่สุดเสมอในความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้น

หากเราไม่พยายามจะเอาชนะกันและกันมากจนเกินไปนัก มากจนบ่อยครั้งถึงขั้นทำร้ายตัวเอง เพื่อให้อีกฝ่ายได้ผลตอบแทนที่น้อยลง หากเราหันกลับมามุ่งพิจารณาทางเลือก เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ต่อตัวเองมากที่สุด บางทีโลกอาจจะเกิดความผาสุขท่ามกลางมนุษย์ผู้กำลังแย่งชิงกัน มากกว่า ณ ปัจจุบันนี้ก็เป็นได้

Jul 2, 2009

ทฤษฎีหงส์ดำ

ครั้งที่แล้วพูดถึงแกะดำไปแล้ว ครั้งนี้มาพูดถึงหงส์ดำกันบ้างนะครับ หงส์ดำนี่ไม่ได้เป็นอะไรกับหงส์แดงนะครับ (ผมเชียร์ลิเวอร์พูลมา 20 ปีแล้วครับ) แล้วก็ไม่เกี่ยวกับ สิงห์ดำ-สิงห์แดง ของสองฟากเด็กคณะรัฐศาสตร์ด้วย

แต่ทฤษฎีนี้ เป็นชื่อทฤษฎีทางอนาคตศึกษาซึ่งดังระเบิดเถิดเทิงของนาย "นัชชิม ตาลีบ" (Nassim Nicholas Taleb) โดยเฉพาะในวงการตลาดทุนตลาดเงิน ที่กำลังนำทฤษฎีนี้มาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง

เคยคิดจะเขียนเรื่อง หงส์ดำ มาครั้งหนึ่งแล้ว
ตอนนั้น ไปอ่านเจอในนิตยสารฉบับหนึ่งว่า โลกเมื่อก่อน ไม่เคยมีใครพบเห็นหงส์สีอื่นนอกจากสีขาว จึงเชื่อกันอย่างสุดใจว่า หงส์มีแต่สีขาวเท่านั้น จนมีการค้นพบ หงส์สีดำตัวเป็นๆ ที่ออสเตรเลียเป็นครั้งแรก ความคิดของ(คนใน)โลกนี้ ก็เปลี่ยนไป

เนื้อหาใจความหลักของ ทฤษฎีหงส์ดำ (Black Swan Theory) นั้น พูดกันง่ายๆ ทฤษฎีนี้บอกว่า ความรู้เก่าๆ รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้วนั้น อย่าเพิ่งด่วนสรุปหรือรีบร้อนเชื่อเร็วเกินไป เพราะอาจไม่เป็นประโยชน์ที่จะนำมาใช้สามารถพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
สิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีจริง สิ่งที่มองเห็น อาจเป็นผลที่เกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นที่เราคิดไม่ถึง มองไม่เห็น บ่อยครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่จริงๆ

ส่วนรายละเอียดอื่นๆ หาอ่านได้จากหนังสือของเขาครับ

ผ่านๆตาดูแล้ว ท่าทางว่านายตาลีบเนี่ย จะค่อนข้างโน้มเอียงมาทางนักปรัชญายุคใหม่ทางสาย เฮเกล, มาร์กซ พอสมควร
แต่ก็มีบางมุมที่ช่วยทำให้ผมเข้าใจตัวเองและวิธีคิดของตัวเองมากขึ้นด้วย

โดยส่วนตัว ผมชอบ Part 2 ของหนังสือเล่มนี้มากครับ We just can't predict
กระบวนการในการหาคำตอบ สำคัญกว่าคำตอบที่กำลังหา (อ่านย้อนหลัง เรื่อง นักปรัชญา ได้ครับ)

ผมคิดว่า คนเรานั้นหากไม่รู้จักตรึกตรองเผชิญหน้ากับตัวเองในที่สงบ อาจทำให้เรารู้ไม่เท่าทันตัวเราเอง
บางสิ่งที่เราเชื่อ ที่เรายึดถือไว้เป็น ต้นแบบ ในเรื่องต่างๆของชีวิตเรา อาจกลายเป็น กรอบ ให้เราคิดอย่างมีอคติ โดยไม่รู้ตัว
ถ้ามีคนอื่นเห็น ช่วยเตือน ช่วยบอกเราได้ก็ดีไป สิ่งนั้น ก็เป็นแค่ blind-self ของตัวเราเอง (แต่ก็ขึ้นอยู่กับเราอีกนั่นแหล่ะนะ ว่าจะเชื่อสิ่งที่เขาบอกหรือเปล่า)

ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่า ไม่มีใครเห็นเลย ตัวเราเองก็ไม่เห็นตัวเอง คนรอบข้างก็มองไม่เห็น เป็น hidden-self ที่รอวัน shock ตกตะลึงตึงตังพร้อมกันว่า "โลกนี้มีหงส์สีดำจริงๆนะ จะบอกให้..."


------------------------------------------------------------------------

ลองค้นดู มีคนreviewไว้ให้อ่านด้วย
http://www.gotomanager.com/books/details.aspx?menu=books,new&id=845

Jun 30, 2009

(ฅ.) คน

ตั้งแต่เด็กๆมาแล้วผมมักถูกเพื่อนๆรวมทั้งญาติๆในครอบครัว เรียกว่า “แกะดำ”
เนื่องด้วย การทำตัวที่แปลกประหลาด ผ่าเหล่าแยกต่างจากคนรอบข้างทั่วๆไป
ตอนนั้น ด้วยความเป็นเด็กน้อย ไม่ได้เข้าใจตัวเอง เห็นว่ามันเท่ห์ดี
การทำตัว “แปลกๆ” ทำให้คนสนใจเรา (ไม่รู้เล้ยว่า พ่อแม่ผู้ปกครองเขาเป็นห่วงแค่ไหน)
บ่อยๆครั้งนานวันเข้า ก็ติดใจกลายเป็นนิสัยใหม่ ที่ต้องสรรหาความแตกต่างจากชาวบ้าน โดยไม่จำเป็น
หารู้ไม่ว่า “ราคา” ของมัน แพงระยับ เพราะ พฤติกรรมเหล่านั้นส่งผลต่อวิธีคิดของผมในเวลาต่อมาอีกนาน

คน มีความแตกต่างกันจากหลากหลายสาเหตุ
ไม่ว่าด้วยเพราะคนเราเกิดมาต่างกัน ต่างพันธุกรรม ต่างสภาพแวดล้อมช่วงเยาว์วัย และอื่นๆอีกมากมาย
แต่ทั้งสิ้น คนเราก็อยู่ในโลกนี้ร่วมกันเป็นชุมชนใหญ่ ไม่ว่าเราจะอยากหรือไม่อยากก็ตาม

การเป็น แกะดำ ในฝูงแกะขาว จึงอาจดูเป็นเรื่องประหลาด
แต่หากมีแกะสีเหลืองโผล่ออกมาอีกซักตัว แกะดำกับแกะเหลืองอาจกลายเป็นเพื่อนกันได้ไม่ยาก

ผมก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของคำว่า “แกะดำ” (Black sheep) เหมือนกันว่าเริ่มต้นมาจากไหนอย่างไร
เคยได้ยินมาเพียงว่า แกะมีนิสัยเห็นแก่กิน สายตาสั้น กลัวง่าย ตกใจง่าย เท่านั้น

ผมคิดว่า การที่ คน มาอยู่รวมตัวกันนั้น คงเพราะไม่ใช่เพียงเพราะเห็นแก่กิน
มองเห็นข้างหน้าไกลได้แค่ก้นของคนอื่น หรือ พอใจจะเบียดกันอยู่ในความรู้สึกอบอุ่น(ท่ามกลางขนนุ่มๆ)ของคนข้างๆ

การอยู่ร่วมกันเป็นโขลงๆก็ดูใหญ่โตดี ดูน่าปลอดภัย ดูน่าอบอุ่นใจ
แต่หากทุกๆคนต่างคนต่างคิดว่า เมื่อมีภัยเข้ามากร้ำกราย ก็จะมีคนอื่นกระโดดออกหน้ามาปกป้อง มาเผชิญหน้าแทนเรา แล้วเราก็จะปลอดภัย สามารถอยู่ต่อไปได้อย่างสบายๆไม่เดือดร้อนอะไร

หากฝูงแกะกระจายได้เพราะหมาป่า ฝูงคนเหล่านี้ก็คงกระเจิงได้เพราะปัญหาเหมือนกัน

คนเราแม้คิดต่างกัน เชื่อต่างกัน ใช่ว่าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้เสียเลยทีเดียว
แต่เพราะแค่เพียงมีเป้าหมายร่วมกัน หรือมีความรักผูกพันต่อกัน ในโลกยุควันนี้และวันหน้า ผมไม่คิดว่าจะเพียงพอ

ประเภทของคน จะก่อให้เกิดเอกลักษณ์ของชุมชนที่ชัดเจน
ซึ่งผมมองว่าเป็นเงื่อนไขจำเป็นต่อความอยู่รอดขององค์กรนับจากวันนี้ไป

องค์กร หรือชุมชน ก็คือ “คน” ที่มาอยู่ร่วมกัน
ความเป็นองค์กร หรือ ความเป็นชุมชน หรือเรียกหรูๆว่า วัฒนธรรมองค์กรนั้น
จึงเกิดจาก ปรัชญา ความเชื่อ ค่านิยม เป้าหมาย ของคนแต่ละคนในองค์กร
ซึ่งในขณะเดียวกัน
สิ่งที่สะท้อนออกมาจากชุมชนเป็นค่านิยมร่วม (Shared value)
ก็จะมีผลย้อนกลับมาทำให้เกิดการกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) ต่อ “คน” แต่ละคนในชุมชนด้วย

การจะเปลี่ยน วิถีขององค์กร ผมคิดว่าจึงต้องเริ่มเปลี่ยนที่ “คน”
ใครบางคนที่มีผลกระทบต่อชีวิตของ “คน” อื่นๆในชุมชน เขาคนนั้นสมควรเป็นผู้เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน
(แน่นอนว่า เราทุกคนต่างมีอิทธิพลชีวิตต่อกันและกันอยู่แล้ว)

มองย้อนกลับไปในอดีต เห็นวิธีคิด ทัศนคติและจิตใจของตัวเองในวัยเด็ก ทำให้เข้าใจตัวเองในวันนี้และคนอื่นทั้งในวันนั้นและในวันนี้มากขึ้น
คนอื่นเขาเรียกเราว่า แกะดำ เพราะเขาเห็นว่าเรา “ทำ” แปลกๆ เขามองว่าเพราะเรา “คิด” แปลกๆ
ในขณะที่เรากลับไม่ได้มองว่า เรา “ดำ” หรือเขา “ขาว” แต่มองว่า เราทุกคนล้วนเป็น “คน” เหมือนกัน

หากชุมชนใด ยังปล่อยให้เรื่องบางเรื่องไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
ก่อตัวกลายเป็น “กำแพงแห่งความไม่เข้าใจ” ให้คนส่วนใหญ่ใช้เป็นเหตุผลในการเรียกคนบางคนว่า “แกะดำ”
เกิดความคิดแยกพวก แยกฝ่าย ไม่เห็นด้วย รับไม่ได้กับการคิดต่างจากประชากรหมู่มาก
คนประเภทนี้ คงอยู่ร่วมกับคนประเภทแกะหลากสีได้ลำบาก...

หากยังจะฝืนให้อยู่ด้วยกันต่อไป คำว่า “คน” คงไม่พ้น เป็นได้เพียงแค่ “คำกิริยา”

Jun 19, 2009

พรสวรรค์...เหรอ?

ได้ยินชื่อของ SUSAN BOYLE มาเดือนกว่าๆแล้วจากน้องคนหนึ่ง "เข้า ยูตูบ ไปดูให้ได้นะพี่ สุดยอด" น้องคนนั้นย้ำมาด้วยหน้าตาชวนสงสัยมากว่า เธอเป็นใคร แล้วทำไมต้องดู

วันนี้ โอกาสดี เข้าไปดูแล้วตะลึงตึงตัง ไม่ใช่ที่เรื่องเสียงของเธอเท่านั้นนะครับ แต่ความหมายของเพลง i dreamed a dream ที่เธอร้องกับความรู้สึกของเธอที่สื่อออกมา สำหรับผม นี่เป็นคำเตือนจากเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง ที่มีอายุ 47 ปี...

อย่าเป็นเหมือนอย่างฉัน ที่ปล่อยให้ชีวิตของฉันฆ่าความฝันของฉันเอง...
แม้วันนี้ ฉันจะมีชีวิตอยู่กับมันได้ แต่มันไม่ใช่ชีวิตที่ฉันต้องการเลย

ถึงอย่างไร วันนี้ฉันได้เริ่มทำความฝันของฉันให้เป็นจริงอีกครั้ง... นั่นคือสิ่งที่เธอบอก

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชนะการประกวดครั้งนี้ แต่ผมก็เชื่อว่า เธอคงจะมุ่งมั่นเดินทางสู่อเมริกา สู่ก้าวต่อไปตามความฝันของเธอ
ซูซาน แพ้ในรอบชิงชนะเลิศ ให้กับ Diversity ทีมที่เต้นในลักษณะ Dance Act พวกเขามีอายุ 12-25 ปี เท่านั้น
การแสดงของพวกเขาทำให้ผมนั่งอยู่กับ ยูตูบ เพื่อดูรายการ Britain got Talent 2009 อีกหลายตัว

หลังจากดูคลิปการประกวดอีกหลายตัว ผมคิดว่า Diversity สมควรเป็นผู้ชนะเลิศจริงๆ
แม้งานนี้จะบอกว่า คนบริติชมีพรสวรรค์ แต่ผมคิดว่าพวกเขาไม่ได้ชนะด้วยพรสววรค์

นอกจาก diversity ยังมี flawless ที่เป็น dance group เช่นกัน และเต้นได้สวยมาก
ผมคิดว่าในรอบแรก flawless เต้นได้ดีกว่า diversity ด้วยซ้ำ

ผมอาจจะคิดไปเองนะ แต่ผมคิดว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้ diversity ชนะในที่สุด คือ ความฉลาด และ ความหลากหลาย ของคนในทีม
พวกเขาใช้ความหลากหลายของเขาได้อย่างลงตัว สะท้อนถึงความฉลาดของคนออกแบบท่าเต้นประกอบเรื่อง

ทีม diversity ประกอบด้วยคนหลายช่วงวัย ตั้งแต่นักเรียนมัธยม จนถึงเด็กมหาวิทยาลัย
การแสดงทุกชุดของเขา มี concept พวกเขามีความสุข และสนุกที่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาฝัน
ไม่เพียงแต่ท่าเต้น แต่เรื่องราวและดนตรีประกอบ ทุกอย่างถูกคิด และมีการซ้อมมาอย่างดี

แม้แต่ในการแสดงหลังจากประกาศรางวัล ที่หัวหน้าทีมตื่นเต้นดีใจจนพูดผิดพูดถูก พวกเขายังเต้นไม่มีหลุดคิว
สะท้อนว่า พวกเขาซ้อมกันมาอย่างหนักจริงๆ

จนถึงบรรทัดนี้ ผมยังคงนั่งคิดอยู่ว่า พวกเขาชนะการแข่งขันครั้งนี้เพราะอะไร
คงไม่ใช่เรื่องพรสวรรค์ คงไม่ใช่แค่เรื่องการซ้อม หรือว่า ความฉลาดของพวกเขา หรือเป็นเพราะเขาร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว...

หรือเพราะประโยคหนึ่ง ที่พวกเขาชอบพูดและชอบใช้บ่อยๆ... "i have a dream"

Jun 17, 2009

นักปรัชญา#4: สัจจชน (People of Truth)

Philosophy ( φιλοσοφία, philosophía ) แปลว่า รักในความรู้ (love of wisdom)
phileo แปลว่า รัก
sophia แปลว่า ความรู้

ปรัชญา อาจเป็นเรื่องที่ใครหลายคนร้องยี้เมื่อได้ยิน และจินตนาการไปไกลถึงใครบางคนในมโนทัศน์ที่ใกล้เคียงกับคำว่า คนบ้า

หลายคนเมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางของการแสวงหาความจริง หลงติดอยู่ในเส้นทางวังวนที่ไปไม่ถึง และหาทางกลับไม่เจอ

โดยสรุป เส้นทางของนักปรัชญา คือ การแสวงหาเส้นทางแห่งความจริง สัจจะนิรันดร์ หรือความจริงสากล (Truth) ตามแต่ใครจะเรียกกัน
ทุกเรื่อง ทุกสิ่งมีความจริงแท้เสมอ มิใช่เพียงสิ่งที่เห็นว่าจริง (Fact)
แต่พึงตระหนักระลึกตัวเองไว้เสมอว่า เราเป็นมนุษย์ บางเรื่องบางอย่าง เพียง fact ก็เพียงพอแล้วกับการ "เริ่มต้น" ดำเนินชีวิตอย่างมีความหมายบนโลกนี้

จงเรียนรู้ที่จะถาม ถามในสิ่งที่ตัวไม่รู้ แม้คำถามนั้นดูโง่
จงเรียนรู้ที่จะหาคำตอบ การเร่งรีบสรุปความ อาจปิดบังคำตอบที่ซ่อนอยู่ใต้จมูกของเรา
จงเรียนรู้ที่จะกล้าหาญ กล้าหาญที่จะชี้ให้คนเห็นถึง "ความน่าสะพรึงกลัว" หากเราเชื่อว่าจริง
จงเรียนรู้ที่จะซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์กับการใช้เหตุผลด้วย"หัว" และใช้ความรู้สึกด้วย"ใจ"ของตัวเราเอง

การรู้ความจริงจริงๆแม้เพียงเรื่องเล็กๆเรื่องเดียวและทำตามนั้น จะเปิดประตูนำพาจิตวิญญาณของเราก้าวสู่พรมแดนแห่งความจริง
อย่าไปกลัวที่จะแสวงหาความจริงครับ คนไม่ได้ บ้า เพราะ การแสวงหาความจริง
แต่คนเสียตัวตนของเขาไป เพราะไม่สามารถยอมรับกับความจริงนั้นได้
การทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าจริง จึงเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับนักปรัชญาหน้าใหม่

ที่ต้องบอกว่า ค่อนข้างปลอดภัย เพราะบางคนไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้ เมื่อพบว่า สิ่งที่ตนเชื่อมาตั้งนานนั้นไม่จริง

ผมเชื่อว่า ความรู้ เป็นเส้นทางที่ดีในการเปิดเผยสำแดง สัจธรรม ให้แก่มนุษย์
แต่อย่าเพียง "รักที่จะรู้" เท่านั้น จง "รักที่จะรัก" ด้วย
เพราะความรู้มักทำให้คนผยองขึ้น แต่ความรักต่างหากที่ทำให้มนุษย์อย่างเราๆและทุกสิ่งอย่าง "ครบถ้วน" ครับ

นักปรัชญา#3: ตอนที่3 เรือบรรทุกสารพันธุกรรมของดาร์วิน

ทั้ง มาร์กซ ดาร์วิน และฟรอยด์
ล้วนเป็นผู้ที่อยู่และมีอิทธิพลในช่วงกระแสธรรมชาติวิทยานับตั้งแต่ศตวรรษที่19 จนถึงปัจจุบัน
ลักษณะสำคัญของกลุ่มนี้ คือ การรับรู้ความเป็นจริงเฉพาะที่อยู่ในธรรมชาติและโลกของประสาทสัมผัสเท่านั้น
ไม่ใช้วิธีตั้งสมมติฐานแบบนักเหตุผลนิยม หรือ การเปิดเผยสำแดงของพระเจ้า

ดาร์วิน เชื่อว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นผลของวิวัฒนาการทางชีววิทยาที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ
หลักฐานที่เขาใช้สนับสนุนทฤษฎีนี้ ส่วนใหญ่ได้จากการหมู่เกาะกัลป์ปากอส ในการเดินทางสำรวจโลก 5 ปี กับเรือบีเกิล
ครั้งนั้นเขานำหนังสือ หลักธรณีวิทยา ของชาร์ลส ลีเอล ติดไปด้วย
หลักใหญ่ใจความของหนังสือนี้ คือ
การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็อาจก่อให้เกิดความผันผวนทางธรณีวิทยาขนาดใหญ่ได้
หากเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากพอ

ต่อมา ดาร์วิน คำนวณอายุโลกได้ประมาณ 300 ล้านปี
ทั้งที่คนในยุคนั้นเชื่อว่าโลกมีอายุราวหกพันปี
อาจเป็นเพราะทฤษฎีค่อยเป็นค่อยไปของลีเอล และทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา
จะไม่มีทางสมเหตุสมผลได้เลย หากไม่มีเวลานานขนาดนั้น

เขาอธิบายข้อเสนอเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีววิทยา
ด้วยเรื่องการทับถมของฟอสซิลเป็นชั้นๆในชั้นหินระดับต่างๆ และการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตตามสภาพภูมิศาสตร์
เขาพบความแตกต่างเล็กๆน้อยๆของสิ่งมีชีวิตบนเกาะ
เช่น จงอยของปากนกจาบแต่ละชนิดมีความเหมาะสมกับประเภทอาหารของมันอย่างสมบูรณ์แบบ
คำถามคือ นกเหล่านี้มีบรรพบุรุษเดียวกันหรือเปล่า
ด้วยเวลาที่นานพอ มันจึงค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับแหล่งอาหาร จนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา

เขาสนับสนุนความคิดนี้ ด้วยทฤษฎีเรื่อง การคัดเลือกโดยธรรมชาติ
ว่าผู้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุด จะมีชีวิตรอดและมีลูกหลานสืบต่อไป
ซึ่งการคัดเลือกอย่างต่อเนื่องนี้ จะนำไปสู่การปรับตัวให้เข้ากับสภาพทางภูมิศาสตร์แบบหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจงในที่สุด
เขาได้อธิบายเพิ่มเติมว่าที่มนุษย์ยังคงมีเพียงประเภทเดียว
เพราะมนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ต่างกันได้ดีเป็นพิเศษ

ข้อเสนอของดาร์วิน ส่งผลให้โลกวิทยาศาสตร์ในขณะนั้นแตกออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน
และสร้างความขุ่นเคืองใจต่อศาสนจักรเป็นอย่างมาก
ทฤษฏีของดาร์วิน ไม่เพียงส่งผลให้คนยุคสมัยนั้น
ต้องกลับมาทบทวนหนังสือปฐมกาลของพระคริสต์ธรรมคัมภีร์อีกครั้งด้วยความสงสัยในการสร้างโลกของพระเจ้า
ความเชื่อของเขายังได้ชักจูงให้คนเห็นว่า
มนุษย์ไม่ใช่อะไรเลย นอกจากความแตกต่างของสสาร ที่ บังเอิญ ผ่าเหล่าออกมาอย่างชนิด ไม่มีใครกะเกณฑ์อะไรได้
เป็นเพียงการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น

มนุษย์...จึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาความหมายของชีวิตหรือสิ่งใด
เพราะมนุษย์เป็นเพียงผลผลิตของสิ่งที่ไร้ความรู้สึกเท่านั้น... ในสายตาของ ดาร์วิน

นักปรัชญา#3: ตอนที่2 การเปลี่ยนโลกของมาร์กซ

เรามักพูดกันว่ายุคของระบบปรัชญาที่ยิ่งใหญ่จบลงที่เฮเกล
ปรัชญาเปลี่ยนทิศทางจากระบบคิดที่ยิ่งใหญ่ กลายเป็นปรัชญาอัตถิภาวนิยม
หรือปรัชญาแห่งการกระทำตามความหมายของ มาร์กซ เมื่อเขาพบว่า
“ที่ผ่านๆมานักปรัชญาได้แต่ตีความโลกไปในวิถีต่างๆกัน ประเด็นคือเราต้องเปลี่ยนโลกต่างหาก”

มาร์กซ คิดว่า ปัจจัยทางวัตถุในสังคมมีบทบาทอย่างมากในการกำหนดวิธีคิดของเรา
ซึ่งจะมีผลต่อพัฒนาการของประวัติศาสตร์ในที่สุด
ในขณะที่เฮเกลเรียกพลังที่ขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ว่าเหตุผลสากล
ซึ่ง มาร์กซ มองว่าเฮเกลคิดสลับกลับเหตุและผล

มาร์กซ ชี้ให้เห็นว่า “ความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ” ไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวัตถุ
แต่การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุต่างหากที่สร้างความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณรูปแบบใหม่ขึ้นมา
โดยที่พลังทางเศรษฐกิจในสังคมคือตัวการสร้างความเปลี่ยนแปลงนี้
ดังนั้น พลังทางเศรษฐกิจจึงเป็นตัวขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ให้ก้าวไปข้างหน้า

มาร์กซ เรียกความสัมพันธ์ทางวัตถุ เศรษฐกิจ และสังคมว่า พื้นฐานของสังคม
และเรียกวิธีคิดของสังคม รูปแบบการเมือง กฎหมายที่สังคมใช้
ศาสนา ศีลธรรม ศิลปะ ปรัชญาและวิทยาศาสตร์ว่า โครงสร้างส่วนบน ของสังคม

พื้นฐานของสังคมมีสามขั้น ขั้นแรก คือ เงื่อนไขในการผลิต ทรัพยากรธรรมชาติอะไรที่สังคมมี
สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของสังคม ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินรูปแบบการผลิตและวัฒนธรรมของสังคมนั้น
ขั้นต่อมา คือ ปัจจัยการผลิต พวกอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องจักรต่างๆของสังคม
สุดท้าย คือ ขั้นความสัมพันธ์ในการผลิต เป็นการแบ่งกระจายงานกันทำของคนที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต
เรียกได้ว่า พื้นฐานของสังคม หรือ วิถีการผลิต ในสังคมนั่นแหล่ะ คือ สิ่งที่กำหนดเงื่อนไขและอุดมการณ์ของสังคมนั้นๆ

มาร์กซ มองว่าการบอกว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกศีลธรรมนั้นเป็นผลผลิตของ พื้นฐานของสังคม
เขาเน้นว่า ส่วนใหญ่แล้ว ชนชั้นปกครองในสังคมคือผู้ที่กำหนดบรรทัดฐานว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
ประวัติศาสตร์จึงเป็นของผู้ที่ครอบครองปัจจัยการผลิตของสังคม

แม้ว่าทั้งเฮเกลและมาร์กซ ต่างมองว่างานคือสิ่งที่ดีและส่งผลอย่างมากต่อแก่นสารของความเป็นมนุษย์
โดยวิธีการทำงานของเรามีผลกระทบต่อจิตสำนึกของเรา และจิตสำนึกของเราก็มีผลต่อการทำงานของเราด้วย
แต่ในระบบทุนนิยม
มาร์กซมองว่าคนงานจะใช้แรงงานเพื่อคนอื่น บ่อยครั้งที่คนงานไม่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ
คนงานจะเริ่มรู้สึกแปลกแยกกับงาน และแปลกแยกกับตัวเองด้วย
จนไม่สามารถสัมผัสกับความเป็นจริงของตนเองได้ในที่สุด
ยิ่งในยุคสมัยของเขา
งานซึ่งควรจะเป็นความภูมิใจของมนุษย์ ได้ทำให้คนงานกลายเป็นสัตว์งานไป

นายทุนร่ำรวยขึ้นด้วยการขูดรีดแรงงานจำนวนมากมาย
และผลกำไรมหาศาลนี้ก็นำมาซึ่งความแตกต่างทางฐานะความเป็นอยู่ในการดำเนินชีพในสังคม และการปรับปรุงการผลิต
ซึ่งจะนำไปสู่การลดจำนวนคนงานและ/หรือค่าจ้างในที่สุดของทั้งระบบทุนนิยม

มาร์กซเชื่อว่าจะต้องเกิดการปฏิวัติ เกิดการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมในที่สุด
เขาเชื่อว่า สังคมทุนนิยม ไม่ใช่สังคมที่ยุติธรรม

ถึงทุกวันนี้ นักเศรษฐศาสตร์สามารถกล่าวได้มาร์กซวิเคราะห์ผิดพลาดในหลายประเด็นสำคัญ รวมถึงเรื่องวิกฤตของระบบทุนนิยมด้วย แต่ถึงกระนั้น ทฤษฎีของเขาก็เป็นต้นแบบที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆหลายๆครั้งบนโลกใบนี้

นักปรัชญา#3: ตอนที่1 เฮเกลเชื่อว่า...

คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า
สิ่งหนึ่งที่ระบบปรัชญาของโลกก่อนหน้ายุคสมัยของ “เฮเกล” มีร่วมกัน คือ
ความพยายามที่จะสร้างมาตรฐานที่เที่ยงแท้ว่า มนุษย์สามารถรับรู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตและโลกนี้ได้บ้าง
พวกเขาพยายามตรวจสอบพื้นฐานการรับรู้ของมนุษย์
แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นร่วมกันคือ องค์ประกอบแห่งความรู้ของมนุษย์นั้นไร้กาลเวลาและเป็นสากล
มนุษย์ผู้อยู่ภายใต้กาลเวลาจึงไม่สามารถสร้างมาตรฐานนี้ได้

แต่เฮเกลเชื่อว่า สิ่งที่เป็นพื้นฐานของการรับรู้ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปในคนแต่ละยุค
การไตร่ตรองทางปรัชญาก็เช่นเดียวกัน
เขาเชื่อว่าเหตุผลเป็นสิ่งที่เป็นพลวัตรและเป็นกระบวนการ มันจะไหลไปตามกระแสของขนบธรรมเนียมในอดีต
และเงื่อนไขทางสังคมที่ปรากฏในเวลานั้น
เราไม่สามารถแยกแนวคิดทางปรัชญาใดออกจากบริบททางประวัติศาสตร์ที่เกิดแนวคิดนั้นได้
เราจึงไม่สามารถบอกว่า แนวคิดของยุคสมัยอื่นผิด เพียงเพราะเราอยู่ในยุคสมัยนี้

เฮเกล เชื่อว่า เหตุผล หรือ ความรู้ ของมนุษย์นั้น ขยาย และ “ก้าวหน้า” ตลอดเวลา
หรือ อีกนัยหนึ่ง “สัจธรรม” จึงเป็นสิ่งที่เป็นพลวัตร ไม่มีสัจธรรมที่เที่ยงแท้
เพราะมนุษย์ไม่มีเครื่องมือที่อยู่เหนือกระบวนการทางประวัติศาสตร์ของเหตุผล
ซึ่งจะสามารถนำมาใช้ตัดสินได้ว่าอะไรถูกต้องที่สุดและมีเหตุผลที่สุด

เฮเกล อ้างว่า ใครก็ตามที่ศึกษาประวัติศาสตร์
จะพบว่า มนุษยชาติ ก้าวหน้าสู่ “การรู้จักตนเอง” และ “การพัฒนาตนเอง” มากขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์กำลังเคลื่อนสู่ความมีเหตุผลและการมีเสรีภาพมากขึ้นเรื่อยๆ

เฮเกล ชี้ให้เห็นจากประวัติศาสตร์ว่า
ความคิดหนึ่งมักได้รับการเสนอขึ้นมา บนฐานของอีกความคิดหนึ่งที่มีการเสนอมาแล้วก่อนหน้านั้น
แต่ทันทีที่มีความคิดใดเสนอขึ้นมาเป็น “ภาวะพื้นฐาน” (Thesis)
ก็จะมีการแย้งโดยอีกความคิดหนึ่งเป็น “ภาวะแย้ง” (antithesis)
ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างสองความคิด เกิดภาวะที่ขัดแย้งกัน
ซึ่งจะแก้ไขได้ด้วย การเสนอข้อแย้งของข้อแย้ง เป็นภาวะสังเคราะห์ (synthesis)
เกิดความคิดร่วมซึ่งรวมเอาจุดดีของสองความคิดแรกไว้ด้วยกัน
เฮเกลเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “กระบวนการ วิภาษวิธี”
หรือหากใช้กับความคิด วิธีคิดแบบนี้เรียกว่า “การคิดเชิงวิพากษ์”

แต่บ่อยครั้ง ท่ามกลางความขัดแย้งที่ตึงเครียด เป็นการยากที่จะตัดสินว่า ความคิดใดมีเหตุผลกว่า
“ประวัติศาสตร์” จึงทำหน้าที่เป็นตัวชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่สมเหตุสมผล คือ สิ่งที่จะอยู่รอดได้

แน่นอนว่า “เหตุผล” ของเฮเกล เป็น “ตรรกะที่มีพลวัต” ซึ่งจะก่อให้เกิด กระบวนการวิภาษวิธีชุดใหม่ๆต่อไปไม่สิ้นสุด

นอกจากนั้น เฮเกล ยังเน้นความสำคัญของครอบครัว ชุมชน และรัฐ
สำหรับเขา รัฐ “มีความหมายมากกว่า” ปัจเจกชนที่เป็นพลเมืองของรัฐ
ไม่มีใครที่สามารถเกิดมาโดย “เป็นอิสระ” จากภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของรัฐ
ไม่มีใครสามารถ “ลาออกจากสังคม” ได้
ใครก็ตามที่ไม่สามารถหาที่ทางของเขาได้ในสังคม จึงเป็นคนไม่มีประวัติศาสตร์
ใครก็ตามที่ยักไหล่ไม่ใยดีกับสังคมที่เขามีชีวิตอยู่
และต้องการจะ “แสวงหาวิญญาณของตนเอง” ย่อมเป็นที่เย้ยหยันของผู้อื่น

เฮเกล คิดว่าไม่ใช่ปัจเจกชนที่ค้นหาตัวเอง
แต่เป็นจิตสากลในบุคคลที่แสวงหาการกลับสู่ตัวตนของมันเอง
ขั้นแรก จิตจะตระหนักถึงตัวเองในปัจเจกชน เรียกว่า จิตอัตวิสัย
ต่อมาเมื่อจิตตระหนักรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในรัฐ เรียกว่า จิตปรนัย
สุดท้าย จิตตระหนักในตัวตนขั้นสูงสุด เรียกว่าจิตสัมบูรณ์ ด้วยศิลปะ ศาสนา และปรัชญา
โดยสูงสุด คือ ปรัชญา เพราะในปรัชญาจิตจะไตร่ตรองผลกระทบของตัวมันที่มีต่อประวัติศาสตร์

นั่นคือ จิตจะนำพามนุษย์ให้สามารถค้นพบตัวเองได้เป็นครั้งแรกในปรัชญา
หรืออีกนัยหนึ่ง ปรัชญาก็คือกระจกเงาของจิตสากล(ในมนุษย์แต่ละคน) นั่นเอง

นักปรัชญา#3: เฮเกล ปะทะ มาร์กซและดาร์วิน

ตอนนี้ยาวจริงๆ เพื่อความสบายตาของผู้อ่าน ขอแบ่งเป็น 3 ตอนย่อยๆนะครับ

ก่อนหน้านี้ตั้งใจว่า จะค่อยๆทยอยเขียนให้อ่านกัน
ช่วงนี้ได้อ่านหนังสือเชิงปรัชญาแล้วเกิดความคิดว่า หากเราเป็นนักปรัชญา(จริงๆ) กันมากขึ้น น่าจะส่งผลต่อความคิด วิธีคิดและชีวิตเราแต่ละคนให้ดีขึ้น

น่าเสียดาย "งานเข้า" คงจะรีบเขียนบทสรุปโดยเร็ว เพื่อเตรียมพื้นที่ไว้ให้กับเหตุการณ์ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วล้วนดี... ผมเชื่ออย่างนั้นครับ

Jun 16, 2009

นักปรัชญา#2: ทางเลือกของคำตอบ

หากว่าเช้าวันหนึ่ง ผมมีนัดกับลูกค้า ซึ่งผมต้องเดินทางด้วยรถประจำทางสาย 18 ผมจ่ายค่าโดยสาร 18 บาท ตอนบ่ายกลับมาถึงบริษัท มีจดหมายด่วนส่งมาถึงผม 18 ฉบับ ตกเย็นไปกินข้าวกับเพื่อนได้บัตรคิวที่ 18 พนักงานพาไปนั่งโต๊ะที่ 18 เดินผ่านร้านขนมหวาน วันนี้ลดราคาพิเศษ ทุกชิ้นราคาเหลือเพียง 18 บาท สุดท้ายแวะซื้อกล้วย 1 หวีหน้าปากซอย กลับมาถึงบ้าน นึกในใจเล่นๆลองนับกล้วยหวีนั้น... ถูกต้องครับ มันมี 18 ผลพอดี

หากลองคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน นึกถึงทุกอย่างที่เราเห็น ที่เราประสบพบเจอ เราอาจจะพบกับความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ต่างๆซึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน เกิดขึ้นเกี่ยวพันกันได้ด้วยบางเรื่องบางสิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ มันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนเราเกิดความสงสัยขึ้นในความคิดว่า นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หรือ เป็นความจงใจของใครบางคน

ผู้คนบางกลุ่มจึงได้ "รวบรวม" และ "เชื่อมโยง" เรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน พัฒนาจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาผ่านไป สู่การมีประสบการณ์ร่วม สู่การเฝ้าสังเกตติดตาม เริ่มมีสมมติฐาน(ในใจ) เริ่มมีการวิเคราะห์(ในความคิด) นำไปสู่การหา "คำตอบ" เพื่อ "สรุปความ" ให้กับสิ่งที่ตนเองจะใช้เป็น "ความเชื่อ" ต่อไป
บางส่วนของคนกลุ่มนี้ เชื่อมั่นคงกับ "บทสรุป" ของตนเสียจนมีเพียงเส้นใสๆบางๆกั้นไว้ระหว่าง "ศรัทธา" กับ "งมงาย" ขณะที่อีกบางส่วนพร้อมยินดี "ปรับเปลี่ยน" ความเชื่อของตนเสมอ หาก "บทสรุป" เปลี่ยนไป

มีคนไม่น้อยที่รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับ "ความเชื่อมโยง" ที่ตนค้นพบ แล้วนำไปแบ่งปันกับผู้อื่นด้วยความมั่นใจใน "องค์ความรู้ใหม่" มีไม่น้อยที่การค้นพบใหม่ๆเหล่านี้ ดู "ขลัง" มากขึ้น ด้วยการเพิ่มเติมเรื่องราวประกอบ ปิดบัง หรือบิดเบือนข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ที่เห็นว่าไม่เป็นสาระสำคัญ รวมทั้งยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ซึ่งทำให้ "ทฤษฎี" ฟังแล้วน่าเชื่อถือ สมเหตุสมผลมากขึ้น

ทฤษฏีที่น่าเชื่อถือนี้ ยังจะนำไปสู่การสมคบคิดใหม่ๆของผู้คน
ด้วยหลักฐานที่ "เพิ่งจะ" ค้นพบมากขึ้น ทั้งหลักฐานประจักษ์แก่ตาในปัจจุบัน หลักฐานจากความทรงจำในอดีต รวมทั้งเหตุผลที่สามารถยอมรับได้ของการ "ยังคงไม่พบ" หลักฐานบางส่วน ที่(เชื่ออย่าง)มั่นใจว่าจะพบในอนาคตอย่างแน่นอน ยิ่งผู้เสนอทฤษฎีดูมีความน่าเชื่อถือ มีอิทธิพลมากเพียงใด กระบวนการสมคบคิดนี้ก็จะใหญ่โตมากเท่านั้น

ทฤษฎีบางเรื่องมีอายุยืนยาวถึง 150 ปี ในขณะที่ทฤษฎีบางเรื่องอาจมีอายุเพียงไม่กี่วัน แต่ล้วนได้ส่งผลต่อการสร้าง "คำตอบ" บางอย่างขึ้นแก่ผู้ได้ฟัง ซึ่งอาจจะกลายเป็น พื้นฐาน ของการสมคบคิด ทฤษฎีใหม่ๆเรื่องอื่นๆในครั้งต่อๆไป

หากเราสามารถมีชีวิตเป็นนิรันดร์ได้ บางทีเราอาจะพบว่า โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ โลกในทุกวันนี้ ยังคงเป็นเหมือนเมื่อวาน และจะเป็นเหมือนเดิมตลอดไป
โลกไม่ได้เป็นอย่างไร เราต่างหากที่เป็นอย่างไร มนุษย์ก็เห็นโลกในสิ่งที่เขาเป็นนั่นแหล่ะ (คุณเชื่อทฤษฎีนี้ไหม)

ทฤษฎีที่ได้รับการพิสูจน์ยาวนานและมากพอ จะได้รับการยอมรับว่าเป็น "กฎ"
กฎที่ได้รับการพิสูจน์ยาวนานและมากพอ จะได้รับการยอมรับว่าเป็น "ความจริงสากล"
แต่ใครจะมีอายุอยู่ยืนยาวนานได้ขนาดนั้น...

โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ไม่มีความลี้ลับที่อธิบายไม่ได้ (แต่คำอธิบายอาจทำใจให้ยอมรับและเข้าใจได้ยากในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง)

ครั้งต่อไป หากคุณกำลังหาเบอร์โทรศัพท์เพื่อนสนิทสมัยมัธยมคนหนึ่งที่ไม่ได้ติดต่อกันนานมาก แล้วจู่ๆเขาก็โทรมาในเวลานั้น ถามเขาให้ดี เขาอาจจะกำลังฟังสถานีวิทยุช่องเดียวกับคุณอยู่ ซึ่งเพิ่งจะเปิดเพลงที่คุณสองคนชอบร้องด้วยกันบ่อยๆสมัยเรียนหนังสือ

คำตอบที่แท้จริงมีแน่ แต่ เราจะ "เชื่อมโยง" "เหตุผล" เพื่อ "ค้นพบ" "คำตอบ" ได้อย่างไร

Jun 15, 2009

นักปรัชญา#1: เริ่มต้นที่คำถาม...

ในนครเมืองแห่งหนึ่ง กำลังมีการร่างกฎหมายทั้งหมดเพื่อใช้เป็นมาตรฐานร่วมกันของสังคมในอนาคต
คณะกรรมการผู้ทรงเกียรติทุกคนจะต้องศึกษารายละเอียดทุกข้ออย่างละเอียดถี่ถ้วน
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า กฎหมายทั้งหมดถูกต้อง เป็นประโยชน์และยุติธรรมต่อคนทุกคนในนครเมือง ไม่ว่าจะเป็นเพศใด กลุ่มไหน ชนชั้นใด
เพราะทันทีที่ร่างกฎหมายฉบับนี้เสร็จ และคณะกรรมการทุกคนลงชื่อรับรองเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะตายลงในทันที
แล้วคณะกรรมการทุกคนจะฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งในนครเมืองแห่งนี้ที่พวกเขาเป็นคนออกกฎหมาย
โดยที่พวกเขาไม่รู้ ไม่สามารถคาดเดา หรือไม่สามารถกำหนดได้เลยว่า พวกเขาจะปรากฏอยู่ตรงไหนของสังคม
สังคมแบบนั้น อาจจะเป็นสังคมที่มีความยุติธรรม และทุกคนเท่าเทียมกันหมด

นี่เป็นทรรศนะของ จอห์น รอลส์ นักปรัชญาศีลธรรม ที่ได้เคยยกเป็นตัวอย่างไว้ เพื่อพยายามอธิบายถึง สังคมที่ยุติธรรมว่าเป็นอย่างไร

....

สังคมหรือชุมชนที่เป็นธรรมแก่ทุกคน... คุณเคยเจอชุมชนแบบนี้ ในโลกทุกวันนี้บ้างไหม?

ทุกวันนี้คุณยืนอยู่ตรงไหนของสังคม? คุณยืนอยู่ตรงไหนของประวัติศาสตร์โลก? คุณมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร?

คุณมั่นใจได้อย่างไรว่า สิ่งที่คุณ “เชื่อ” ว่าจริงนั้นเป็นความจริงแท้ เป็นความจริงสากล (TRUTH) ไม่ใช่สิ่งที่จริง (FACT) ซึ่งคุณหรือใครๆก่อนหน้าคุณ “รับรู้และยอมรับ” ต่อๆกันมาว่าจริง?

คุณรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่คุณเรียกว่า ความจริง นั้นมันไม่ใช่สิ่งซึ่งคุณอุปโลกน์ขึ้นมาเองตามความเชื่อของคุณ บนพื้นฐานของเศษเสี้ยวจากความจริง รวมกับเรื่องจริงที่เกิดจากรับรู้ของคุณเอง?

คุณเป็นใคร?

อะไรคือสิ่งที่คุณมุ่งมั่นปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ได้ในชีวิตนี้จริงๆ?

ทุกวันนี้ คุณมีสันติสุขแท้จริง มีความสุขในชีวิต มีความอิ่มเอมในจิตใจอยู่ดีใช่ไหม?

คุณเคยตอบคำถามเหล่านี้กับตัวเองอย่างจริงใจบ้างหรือเปล่า?

ก่อนจะคิดว่ามันเป็นคำถามที่เสียเวลาและไม่เกิดประโยชน์ คุณคิดว่า คุณต้องใช้เวลาเท่าไหร่กับกระบวนการหาคำตอบ คุณรู้ใช่ไหมว่า สาระของคำถามไม่ได้อยู่ที่คำตอบ แต่มันจะกลายเป็นคำถามที่ไร้สาระ หากมันถูกทิ้งไว้ให้กลายเป็นเพียงแค่ “คำถาม”

Jun 4, 2009

ดูหนังดูละครย้อนดูตัว... Angels and Demons

ศาสนา ความเชื่อ ความดี ความเลว มนุษย์

มนุษย์มีความเชื่อ มนุษย์มีญาณทัศนะ มนุษย์มีวิจารณญาณ มนุษย์รู้จักการแยะแยะความดีและความชั่ว
สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่จริง ความดีของคนอาจเคลืบคลุมความชั่วเอาไว้ รวมทั้งการกระชั่วของคนก็อาจปิดซ่อนความดีของเขาไว้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกคนอาจเพียงตั้งใจ และปรารถนาดี กระทำในสิ่งที่ตนเชื่อว่าถูก

มนุษย์มักตีความและเห็นในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แต่มีมนุษย์อีกไม่น้อย ด้วยเหตุผลร้อยแปดที่ไม่ยอมใช้ชีวิตตามที่ตัวเองเชื่อ ไม่ว่าจะอย่างไร คุณก็จะเจ็บปวดอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว ไม่สั้นก็นาน หากคุณยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

มนุษย์ไม่ได้มีทั้งพลังความดีหรือพลังความชั่ว คอยสู้รบกันเพื่อแย่งชิงครอบครองความคิดและจิตใจของมนุษย์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดเป็น เลือกได้ วิญญาณของเรามีคุณงามความดีบรรจุอยู่ภายใน ขึ้นอยู่กับเจตนาของเราว่าจะปรุงแต่ง ความดีงามนั้น ออกมาอย่างไร

ท้ายที่สุดแล้ว ในโลกที่หลากหลายและแตกต่าง โลกที่วิญญาณของมนุษย์ในโลกต้องการการพักสงบมากกว่ายุคไหนๆ คำถามอาจไม่ได้เริ่มจากถามว่า มนุษย์จะค้นพบความสงบสุขแห่งจิตวิญญาณได้อย่างไร แต่คำถามอาจเริ่มต้นถามว่า มนุษย์ จะเริ่มต้น "หยุด" เพื่อให้จิตวิญญาณของตนพบกับความสุขสงบได้หรือยัง

ศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่ศาสนาก็ไม่เคยดีพร้อม มิใช่เพราะศาสนาไม่ดี แต่เพราะมนุษย์นั้นไม่สมบูรณ์ เราจึงยังคงมีข้อบกพร่องอยู่ เราทั้งหลายต่างไม่มีใครดีพร้อม ดังนั้น การคาดหวังให้มนุษ์ดีเลิศในทุกทาง จึงไม่น่าจะต่างอะไรกับการพยายามฉาบปูนขาวที่รูปปั้นของซาตาน ให้แลดูคล้ายนักบุญผู้ใจดี

May 31, 2009

ดูหนังดูละครย้อนดูตัว...Terminator Salvation

มนุษย์แตกต่างจากเครื่องจักรตรงไหนกัน...
มนุษย์โปรแกรมเครื่องจักร มนุษย์ใส่ข้อมูลให้เครื่องจักร เครื่องจักรประมวลผลตามโปรแกรม เครื่องจักรทำงาน...ให้มนุษย์

เทคโนโลยีของโลกทุกวันนี้ ก้าวล้ำหน้าขึ้นทุกวัน เครื่องจักรได้รับการปรับปรุงให้ดูเหมือนสามารถคิดเหมือนมนุษย์ได้มากขึ้น ผ่านการโปรแกรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้เครื่องจักรสามารถคิดและตอบสนองความรู้สึกของมนุษย์ได้มากขึ้น

เจ๋งกว่านั้น โปรแกรมบางตัวทำให้เครื่องจักรเรียนรู้ที่จะตอบสนองจากพฤติกรรมของมนุษย์ หรือสามารถพัฒนาโปรแกรมของตัวเองได้

แต่ถึงกระนั้น ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ก็เป็นกระบวนการของการใช้เหตุใช้ผลของเครื่องจักรที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบการตัดสินใจของมนุษย์...


มนุษย์มีหัวใจ เหตุผลของมนุษย์มีทั้งส่วนของตรรกะและส่วนของความรู้สึก มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความคิด จิตใจและจิตสำนึก

หากเราสอนเด็กคนหนึ่งว่าเขาควรคิดอย่างไร บอกเขาว่าอะไรผิดอะไรถูก วางขอบเขตของจิตสำนึกให้เขา ให้คุณค่ากับบางเรื่องเพื่อสร้างค่านิยมเป็นบรรทัดฐานให้เขา จำกัดขอบเขตความคิดด้วยสิ่งที่เรียกว่า "มาตรฐานทางศีลธรรม" (บางคนเรียกว่า "ศาสนา")
และใช้ตัวเราเองเป็นเครื่องโน้มนำศรัทธาหรือความเชื่อ ไม่ช้าไม่นาน เราคงจะได้สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่จงรักภักดีกับเรา เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นพวกมีจริยธรรมสูง บริสุทธิ์ผุดผ่อง คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใคร่ยินดีจะเกลือกกลั้วกับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆเท่าใดนัก


มนุษย์มีความเข้มแข็งของจิตใจ ที่ทำให้เราพร้อมที่จะยืนหยัด ยินดีเสียสละประโยชน์ของตัวเองในสิ่งที่เราเชื่อและเห็นคุณค่า
มนุษย์มีความอ่อนโยนของจิตใจ ที่ทำให้เราพร้อมที่จะเห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอของผู้อื่น และช่วยเหลือเขาตามกำลังความสามารถที่เรามี
มนุษย์มีหัวจิต มีหัวใจ


ในโลกยุคที่มนุษย์กำลังพยายามพัฒนาเครื่องจักรให้เข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น
มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย ก่อนที่โลกนี้จะถึงจุดที่มิอาจแยกแยะมนุษย์กับเครื่องจักรได้ด้วยตาเปล่า
ลองหันกลับมาพิจารณาตัวเองสักหน่อยดีไหมว่า ท่านกำลังเปลี่ยนมนุษย์คนอื่นให้เป็นเครื่องจักรมากขึ้นไหม
หรือแม้แต่ตัวท่านเอง กำลังกลายเป็นเหมือนเครื่องจักรมากขึ้นหรือเปล่า... ขอจงตอบมา

YES NO CANCEL !!!

May 27, 2009

only a woman can

คุณคิดว่า ถ้าคุณมีโอกาสได้พบกับใครสักคนที่ไม่เพียงเป็นคนที่คุณไม่เคยคิดว่าจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ไม่เพียงเป็นคนที่ตรงกับคนในฝันของคุณ ไม่เพียงทำในสิ่งที่เพลงข้างล่างนี้ว่าไว้ แต่ เธอ คนนั้นยังรักคุณด้วย แน่นอนว่าคุณรักเธอโดยไม่ต้องสงสัย

คุณจะทำอย่างไรกับเธอ
คุณกล้าพอไหม ที่จะปล่อยให้เธอเดินผ่านเลยไป ด้วยคุณรู้ว่า คุณและเธอ จะได้มาเจอกันอีกครั้งแน่
เพราะทั้งคู่ต่างเป็นของกันและกัน

ถึงตอนนั้น คุณกล้าพอที่จะมั่นใจไหมว่า เธอจะเป็นคนที่คุณจะรักเธอไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ

สำหรับผม เหตุผลและความรู้สึกของคำตอบทั้งสิ้นของคำถามข้างต้น ทั้งหมด คือ เหตุผลข้อที่ 7 ที่ผมคิดว่า ผมควรจะแต่งงาน...


I wasn’t perfect
I’ve done a lot of stupid things
Still no angel
I wasn’t looking for forgiveness
Wasn’t laid out by my pride
Shocked by her attention
And someone signed me up for love
I didn’t want it
And now I can’t live without it

She changed my life
She cleaned me up
She found my heart
Like only a woman can
She pulls me up
When she knows I’m sad
She knows her man
Like only a woman can

She’s kind of perfect
She’s kind of everything I’m not
Yeah, she’s an angel
And it’s amazing how she’s patient
Even more at times I’m not
She’s my conscience
And who decided I’d be hers
I wanna hate them
Cos now I can’t live without her

She changed my life
She cleaned me up
She found my heart
Like only a woman can
She pulls me up
When she knows I’m sad
She knows her man
Like only a woman can

Like only a woman can
And who decided I’d be hers
I wanna hate them
Cos now I can’t live without her

Oh, and she changed my life
She cleaned me up
She found my heart
Like only a woman can
She pulls me up
When she knows I’m sad
She knows her man
Like only a woman can

Like only a woman can
Like only a woman can
Like only a woman
Like only a woman can


Like Only A Woman Can - Brian Mcfadden

May 22, 2009

(วิธี) การแก้ปัญหา

วันนี้ สอบเสร็จแล้วกำลังจะกลับบ้าน ฝนก็ตก (หนักมากๆ)
ระหว่างที่ยืนรอขอให้ฝนหยุดตก พลางคิดอยู่ว่าจะกลับบ้านทางไหน
ก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจ ขอให้ฝนหยุดตกไวๆเพื่ออะไร จะรีบไปไหน ไปทำอะไร...

เกิดสูญญากาศทางความคิดขึ้นมาในหัวแว้ปนึง ก่อนจะคิดได้ว่า เรายังไม่มีจุดหมายเลย เร่งเร้าเอาวิธีการ(ตามที่ใจอยาก)เสียแล้ว

เมื่อไตร่ตรองหาจุดหมายได้ (รู้ตัวแล้วว่า เย็นนี้ต้องการอะไร) ฝนก็เริ่มซา แต่ยังตกอยู่ให้พอเปียก
บางคนยืนรอนิ่งๆ บางคนนั่งรอด้วยกันกับเพื่อน บางคนยืนบ่นอย่างหัวเสีย บางคนลุยฝนออกไปเลย มีคนยอมขึ้นแท็กซี่ด้วย ส่วนคนที่พกร่มมา แน่นอน ไม่กลัวเปียกอยู่แล้ว

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนอยู่เฉยๆระหว่างที่ฝนตกหนัก พอฝนเริ่มซา ก็คิดว่าจะเดินเลียบทางเดินไปตามหลังคากันฝน อาจจะอ้อมหน่อย แต่จะไปโผล่ที่ประตูซึ่งจะสามารถขึ้นสะพานลอยข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้พอดี

เดินเข้าจริงๆ ไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิดแฮะ เพราะทางเดินไม่ได้ถูกออกแบบให้เชื่อมกันจริงๆ บางช่วงหลังคาโหว่ บางช่วงมีคนเอารถมาจอดขวางอย่างไม่คิดถึงคนอื่น
ระหว่างทางเดินจะมีแอ่งน้ำเป็นระยะๆ ผมเห็นบางคนเดินลุยแอ่งน้ำตรงหน้า บางคนเดินอ้อมไปไกล บางคนถอดใจถอยกลับไปนั่งพัก มีบางคนทำกระโดดเหยงๆ เหมือนจะหลอกตัวเองว่าเท้าจะไม่เปีียกอย่างนั้นแหล่ะ

เดินอ้อมไปนาน อีกนิดก่อนจะุถึงประตู ฝนก็หยุดตก...

นึกถึงบางคน คงบอกว่า ผมเสียเวลาเดินฟรีๆ รอเฉยๆก็สบายแล้ว ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย

แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น
จริงอยู่เดินมาตั้งไกล อาจจะเหนื่อยบ้าง แต่คนที่ไม่เดิน เขาก็ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้เห็นโลกกว้างๆมากกว่ามุมมองแคบๆใต้ตัวตึก ไม่ได้สนุกและมีชีวิตชีวาไปกับการผจญภัย ไม่ได้รู้จักหนทางใหม่ๆ ผมว่าเขาต่างหากที่เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาเสียความสุขของการมีชีวิตอยู่ไปตั้งนาน

ชีวิตคนเรา เรื่องเกินคาดคิดอย่างเช่นฝนตกวันนี้ เกิดขึ้นได้เสมอ ประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แต่มันคือ วิธีที่เราใช้ในการจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราต่างหาก
บางครั้ง การรอ ก็เป็นสิ่งดี แต่บ่อยครั้ง การลุกขึ้นทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ก็เป็นสิ่งที่ดีกว่า

มนุษย์เราทุกคน มีความฉลาดและมีสติปัญญา ไม่มีใครโง่กว่าใครจริงๆหรอก แน่นอน ผมหมายถึงว่า ไม่มีใครฉลาดกว่าใครจริงๆด้วย เราต่างมีเรื่องที่เราเชี่ยวชาญชำนาญแน่ๆ ดังนั้น วิธีการในการแก้ปัญหาของคนเราจึงสามารถแตกต่างกันได้ตามความถนัดของแต่ละคน

สำคัญที่ว่า เรามีเป้าหมายที่จะไปหรือยัง เพราะเราแก้ปัญหาเพื่อไปต่อให้ถึงเป้าหมาย ไม่ได้แก้ปัญหาเพื่อแก้ปัญหา
หากไม่มีเป้าหมายชัดเจน อาจไม่เพียงโดนยัดเยียดเป้าหมาย อาจโดนยัดเยียดวิธีการอีกด้วย

เมื่อถึงเวลานั้น อย่าว่าแต่จะเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝนเลย อย่างมากก็คงเป็นได้แค่ เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่กลัวจะเป็นหวัดเพราะละอองฝนตามที่พี่ชายบอกเธอมา

May 14, 2009

รู้สึก...ผิด

มนุษย์เราถูกสร้างมาให้มีจิตสำนึก จิตสำนึกจะทำหน้าที่แสดงความไม่เห็นด้วย เมื่อเราทำ/พูดบางสิ่ง "ผิด" จากมาตรฐานอันดีที่รับการบรรจุไว้อยู่ภายใน (บางคน ขั้นเทพ ไม่เพียงสิ่งที่ทำ/พูด แต่รวมถึงสิ่งที่คิด/รู้สึกด้วย)

จิตสำนึกเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมมาก มันจะทำการปรับมาตรฐานในเรื่องต่างๆอย่างอัตโนมัติ เพื่อให้ความรู้สึกผิดนั้นลดน้อยถอยลง มนุษย์จะรู้สึกสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิดในจิตใจ บางคนเรียกกระบวนการนี้ว่า การปกป้องตัวเอง หรือ การรักษาหน้า

ใครๆก็รู้สึกผิดได้เมื่อทำผิด แต่มีคนอีกไม่น้อย ที่ถูกทำให้รู้สึกผิด จากสีหน้า ท่าทาง คำพูด หรือแม้แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายหนึ่ง
การทำให้คนอื่นรู้สึกผิด หลายครั้ง เพื่อประโยชน์อะไรบางอย่าง บ่อยครั้ง หลายคนชอบทำให้ตัวเองรู้สึกผิด เพื่อซื้อความสบายใจให้ตัวเองหลังจากทำผิด ขณะที่ บางคนมักทำให้คนอื่นรู้สึกผิด แต่ก็เพื่อซื้อความสบายใจให้ตัวเองเช่นกัน
บางคนเรียก การทำให้รู้สึกผิดเช่นนี้ว่า ปรักปรำ

บางคนทำผิดชัดเจนต่อสังคม โกงชาติโกงแผ่นดิน ใครต่อใครปรักปรำว่าทำผิด ยังเดินลอยหน้าลอยตา ไม่รู้สึกรู้สา
บางคน มีแต่ใจตนเท่านั้นที่รู้ว่าตนทำผิดแน่ ร่ำรวยเพราะโกงเขามา แต่เพียงคนที่เอาผิดและลงโทษเขาได้ สำแดงพระคุณต่อเขา เขากลับใจและยินดีชดใช้คืนให้

หากมองการทำผิด เหมือนการสร้างหนี้ ยิ่งทำผิดมาก ก็คงยิ่งมีความรู้สึกผิดมาก แค่นี้ก็ทุกข์ระทมขมขื่นพออยู่แล้ว
การเร่งรัดเอาดอกเบี้ยของหนี้สินจากคนจน คงไม่ได้ช่วยให้เขาหายจนเร็วขึ้น เช่นเดียวกัน การทำให้ผู้อื่นรู้สึกผิดเพื่อให้เขาสำนึกผิดและกลับใจใหม่ จึงแทบไม่เป็นประโยชน์กับตัวผู้กระทำผิดเลย เว้นเสียแต่เพราะเขาไม่ตระหนักถึงความผิดนั้น

แต่ถึงกระนั้น การช่วยให้ผู้กระทำผิดตระหนักถึงความผิด โดยช่วยสอนให้เขามีมาตรฐานจริยธรรมของจิตสำนึกสูงขึ้นด้วยใจถ่อมสุภาพ ผมคิดว่าน่าจะเป็นวิธีการที่ดีกว่าในการช่วยให้คนสำนึกผิดและกลับใจใหม่ มากกว่า การหว่านล้อมด้วยเหตุผล ลีลา สำนวน และกดดันบีบบังคับเค้นให้รู้สึกผิดด้วย อวจนภาษา (non-verbal language) ซึ่งผู้ใช้อาจไม่ตั้งใจ ไม่รู้ตัว หรือจะโดยเจตนาใด มนุษย์ตดเหม็นอย่างผม ก็คงไปปรักปรำเขาไม่ได้

การกระทำเช่นนี้ ไม่เพียงคนจะรู้สึกฟ้องผิด แต่หลายครั้ง ส่งผลทำให้คนขาดความสามารถในการไตร่ตรองความถูกผิดของตัว บางคนถึงกับสูญเสียจุดยืนความเชื่อ และจำยอมละเลยความรู้สึกของตัวเองในการดำเนินชีวิต

ผลปลายทางที่เกินคาดคิด คือ การที่เขากดตัวเองใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความกลัว หวานอมขมกลืนปล่อยชีวิตอยู่ในกรอบแคบๆ ไร้ซึ่งความฝันและความหวังในวัยเยาว์ ด้วยคิดเพียงว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญกับ การปรักปรำ ให้ต้องเหนื่อยกายปวดใจ

สิ่งสำคัญและอันตราย คือ ความเคยชินกับการปรักปรำ มักจะทำให้คนหลงลืมพระคุณและความเมตตา มักทำให้คนนั้นทำการปรักปรำผู้อื่นให้รู้สึกผิดได้โดยง่าย เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง

นึกถึงสมัยเป็นเด็ก เคยเห็นเขาเลี้ยงวัว เลี้ยงควายตัวใหญ่ๆ อยู่ในคอกเชือกเส้นเล็กๆ
เขาบอกว่า ตอนที่วัวควายพวกนี้ยังเล็กๆอยู่ ใช้สายไฟล้อมคอกเอาไว้ พอวัวมันเดินมาถึงสายไฟ ก็โดนไฟดูด มันก็เจ็บและจำ ทำให้มันจะไม่เดินมาเกินเส้นนี้อีก... อนิจจา ฤาจะยอมเป็นดั่งวัวดั่งควายจนตาย

ปล. ขออุทิศบทความนี้ ให้แก่ผู้ที่ล้มเลิกความฝันของตัวเอง เพียงเพราะ ถูกทำให้รู้สึกว่า ความฝันมุ่งหวังตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้น "ผิด"

Apr 29, 2009

คนข้างๆ

วันนี้นึกถึงประโยคหนึ่ง ประมาณว่า "บอกเราสิว่า เพื่อนของท่านคือใคร แล้วเราจะบอกว่าท่านเป็นอย่างไร" ผมเข้าใจว่า เขาคงหมายถึงคนรอบๆตัวมากกว่า

จริงอยู่ว่า การมีทัศนคติที่ดีและแข็งแรง ย่อมทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องรับผลอิทธิพลความคิดจากคนรอบข้างมากนัก
แต่บางที มันก็อดหงุดหงิดรำคาญใจไม่ได้นะ

ตรงกันข้าม กับบางคนหงุดหงิดรำคาญใจมา แม้จะไม่แสดงออกมา แต่เพราะความร่าเริงยินดีของเขา ก็สามารถปัดเป่าเมฆหมอกแห่งความระทมที่อยู่ภายในได้เสียสิ้น

คนข้างกาย มีผลกับความคิด และชีวิตของเราอย่างมาก
คนบางพวก มีไว้ข้างกายแล้วสบายใจ เพราะเขาพูดสิ่งที่เราอยากฟัง
คนบางพวก มีไว้ข้างกายแล้วกดดัน เพราะเขาพูดสิ่งที่เราไม่อยากฟัง
คนบางพวก มีไว้ข้างกายแล้วเป็นประโยชน์ เพราะเขาพูดกับเราด้วยสติปัญญาความรอบรู้
คนบางพวก มีไว้ข้างกายแล้วดี เพราะเขาพูดกับเราด้วยความรัก

จะมีคนแบบไหนข้างกาย ก็เลือกกันเองละกัน สำหรับผมเลือกแล้วครับ

Apr 22, 2009

ความรับผิดชอบต่อตัวเอง

ช่วง 2-3 วันมานี้ เรื่องราวรอบๆตัวชวนให้คิดถึงเรื่องหนึ่ง คือ ความรับผิดชอบต่อตัวเอง
จริงๆเรื่องนี้ เคยเป็นเรื่องเป็นราวในความคิดของผมมาครั้งหนึ่งแล้ว
ไม่ใช่ว่าเพราะผมเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบนะ แต่ การเป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น โดยบ่อยๆครั้งที่เกิดขึ้นจนเกินพอดี กลายเป็นการละเลยความรับผิดชอบส่วนตัวที่พึงมีไป

เคยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เตือนผมด้วยความเป็นห่วง เขาคิดว่า ผมใจดีเกินไป มองโลกในแง่ดี และเชื่อในส่วนดีของผู้อื่นมากเกินไป ในขณะที่คนอื่นเขาไม่ได้เป็นคนดีเหมือน(ที่)ผม(มอง) เขาบอกว่า ผมเป็นคนที่ให้คนอื่น นึกถึงประโยชน์ของผู้อื่น ยินดียอมถูกเอาเปรียบ อยากเห็นคนอื่นๆมีความสุข ซึ่งหากไปเจอคนดีที่เขารู้จักพอก็ดีไป แต่หากไปเจอคนที่้จ้องแต่จะเอาประโยชน์เข้าตัว ผมก็จะปล่อยให้เขาเอาเปรียบไปเรื่อยๆจนตัวตาย ซึ่งเพื่อนผมเห็นว่า มันไม่ได้อะไรขึ้นมา มันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ ไม่ได้เกิดประโยชน์กับงานของพระเจ้าจริงๆตามที่ผมตั้งใจไว้

...

เอาล่ะ ทีนี้สำหรับครั้งนี้ เรื่องมันเริ่มต้นจากตรงไหนล่ะ

ผมถูกสอนมาตลอดว่า เราต้องสร้างคนขึ้นมาทำงานแทนเรา เพื่อที่เราจะไปทำงานอย่างอื่นที่เขาทำไม่ได้ (เนื้อหาที่ถูกสอนมา ไปไกลถึงขนาดการทำซ้ำ (duplicate) ตัวเราขึ้นมา ซึ่งผมไม่เชื่ออย่างนั้น) แต่นานเกือบ 10 ปีแล้ว ที่ผมไม่ได้อยู่ในกระบวนการสร้างชีวิตเพื่อไปทำงานแทนใคร ถึงกระนั้น ในความรับผิดชอบต่อพระเจ้าของผม ผมก็พยายามจะเรียนรู้ พัฒนาชีวิต และทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้คนอื่นๆได้มีเวลามากขึ้นไปทำสิ่งที่ผมทำไม่ได้

ผมเชื่อว่า คนอื่นๆก็คงจะคิดเหมือนผม เพราะเราต่างก็ได้รับการสอนมาเหมือนๆกัน ดังนั้น ในระยะยาว ระบบของคนทำงานจะปรับตัวเข้าสู่จุดดุลยภาพ คือ ทุกคนต่างได้ทำงาน ได้เรียนรู้ ได้ฝึกฝน ในสิ่งที่ตนเองสนใจ มีภาระใจ ชอบและทำได้ดี ในขณะที่คนรุ่นใหม่ๆ ก็จะได้รับการฝึกให้ทำงานขั้นพื้นฐานทั่วๆไป เพื่อเรียนรู้หาตัวตนของตัวเอง

ผมเชื่อว่า การทุ่มเทของหัวใจและแรงกาย การใช้สติปัญญาและความสามารถที่เรามีอย่างเจาะจงเช่นนี้ ย่อมทำงานให้งานในแต่ละส่วนสำเร็จลงได้อย่างไม่ยากนัก และแน่นอนว่าภาพรวมทั้งหมดย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะสำเร็จตามไปด้วย

แต่ถึง ณ วันนี้ ผมคิดว่า ความเชื่อเหล่านี้ซึ่งผมเชื่อมาตลอดเกือบ 15 ปี อาจจะเป็นความเชื่อที่ไม่ใช่เรื่องจริงซักเท่าไหร่นัก (แน่นอนว่า น่าจะยังมีอีกหลายเรื่อง ต้องตรวจสอบกันต่อไป)

อะไรทำให้ผมคิดเช่นนั้น เพราะผมไม่เคยเห็นกระบวนการเคลื่อนอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อที่จะไปถึงจุดดุลยภาพเลย (ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ไม่มีทั้ง move along curve และ shift) เราเหมือนวิ่งวนไปเวียนมา เริ่มต้นนับ 1 ใหม่อยู่เรื่อยๆ ทุรนทุรายอยู่กับภาพหลอนเรื่องเดิมๆอย่างบ้าคลั่ง และเหนื่อยหอบอย่างชนิดที่ผมอยากจะเรียกว่า เปล่าประโยชน์ (ต่อให้ไม่มีการขัดขวาง สุดท้ายเราก็จะหมดแรงดิ้นและตายไปเองในที่สุุด)

เกือบตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แม้หลายเรื่องของชีวิตผมจะดีขึ้น แต่คุณภาพชีวิตพื้นฐานของผมในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งไม่ได้ดีขึ้นเลย แม้ผมจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้มีศักยภาพในการไปถึงได้ แต่ผมก็ไม่เคยไปถึงเลย จนผมเกิดคำถามสงสัยว่า การที่ผมช่วยคนนั้นทีคนนี้ทีแบบนี้ มันดีแล้วจริงเหรอ มันเป็นการใช้ชีวิตที่คุ้มค่ากับทุกลมหายใจเข้าออกของผมแล้วใช่ไหม

ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ผมเคยจนอย่างไรก็จนอย่างนั้น เผลอๆจะจนกว่าเดิมเสียอีก และสุดท้าย ก็ไม่มีใครมาเ้ข้าส่วนในความจนนั้น ผมก็ต้องรับผลแต่เพียงลำพังอยู่ดี

ผมนั่งคิดทบทวน และผมตัดสินใจแล้วว่า ผมพอแล้วกับความเชื่อเดิมๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวผมเองตกเป็นเครื่องมือของมนุษย์ ไม่ใช่อุปกรณ์ของพระเจ้า

มนุษย์ทุกคน พระเจ้าสร้างมาแตกต่างกัน ไม่มีใครสามารถแทนใครได้แน่ เราแต่ละคนต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน มีความรับผิดชอบในโลกนี้ที่แตกต่างกัน มีการวัดผลที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องส่วนตัว ที่เราเองแต่ละคนต้องรับผิดชอบกับพระผู้สร้างของเรา

หากยังทำตัวเหมือนเดิม ต่อไปภายภาคหน้า จะดูเเลคนที่เรารักได้อย่างไร

ที่ผ่านมานั้น น่าจะเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เพียงพอให้เรียนรู้ได้ว่า ความคิดและสิ่งที่เราเห็นในความเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว แต่เราเองต่างหาก ที่ไม่กล้ารับผิดชอบกับความคิดและการมองเห็นของตัวเอง ผมคงยังผลัดผ่อนที่จะเผชิญหน้ากับผลที่จะเกิดขึ้น ด้วยการหลบอยู่ภายใต้หน้าฉาก ที่เรียกว่า การเชื่อฟังผู้มีตำแหน่งผู้นำ เพียงเพราะผมไม่กล้าพอจะรับผิดชอบกับความเข้าใจที่ได้รับมา แต่มันก็ทำให้ผมต้องรับผลของการไม่รับผิดชอบด้วยเช่นกัน

หมดเวลาแล้วกับ จารีตและประเพณีที่สั่งสมเป็นคำสอนตกทอดกันมาจากบรรพชน ซึ่งถูกฝั่งแน่นอยู่ในชีวทัศน์ ติดหนึบอยู่ในก้านสมอง พอกันทีกับความตั้งใจดีในเรื่องหนึ่งๆ (ซึ่งก็สำคัญจริงๆ) แต่ทำให้ไปละเลยเรื่องสำคัญอื่นๆอีกมากมาย

เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร น่าจะหยุดใช้คำว่า "มีภาระใจ" มาเป็นตัวคัดสรร ตัดสิน และเรียกร้องการมีส่วนร่วมอย่างพร่ำเพรื่อได้แล้ว เพราะคงมีแต่คนที่จิตใจมั่นคงพอเท่านั้น ที่จะกล้าแสดงตัวเห็นแตกต่างกับจารีตของชุมชน (เว้นแต่วิถีที่ท่านเป็น สอดคล้องกับจารีตด้วยใจสมัครอยู่แล้ว) การแสดงตัวรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเชื่อ การเคารพในความเชื่อของตนและผู้อื่นในชุมชน น่าจะเป็นสิ่งใหม่ที่ควรใช้เป็นบรรทัดฐานของสังคม

ขอให้ผมได้เริ่มต้นรับผิดชอบต่อตัวเอง รับผิดชอบต่อ"ภาระใจ"ของตัวผมเองก่อนเถอะนะ และจริงๆแล้ว ผมคิดว่า ทุกคนก็ควรเริ่มต้นรับผิดชอบต่อชีวิตและภาระใจของตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปรับผิดชอบหรือเรียกร้องให้ผู้อื่นมาร่วมรับผิดชอบ ชีวิตและภาระใจของตัวเราเอง (แม้จะบอกว่าเป็นงานของพระเจ้าก็ตาม)