Oct 25, 2010

Projection and Reality

ผมไม่แน่ใจว่า นอกจากมนุษย์แล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกหรือไม่ ในโลกนี้ ที่มีความสามารถในการคิด...
สามารถคิดได้อย่างซับซ้อน ที่จริงจะเรียกว่า เล่นกับความคิดก็คงไม่ผิดนัก

ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา คำห้ามหนึ่งที่ผมมักได้ยินอยู่บ่อยๆ คือ อย่าให้เราเล่นกับความคิด
เพราะเราจะถูกหลอกความคิด
(ในบางเวลา ผู้พูดถึงกับกล่าวอ้างเพิ่มเติมว่า หากเขายังถูกหลอกความคิดได้
ตาดำๆอย่างเรา ย่อมต้องถูกหลอกความคิดแน่นอน... ครับ เขาพูดถูก)

นอกจากคำห้ามดังกล่าวแล้ว คำห่วงใยคำโตอีกคำหนึ่ง คือ ผมมีปัญหาทางความคิด
ไม่รู้สินะ ผมอาจจะมีปัญหาจริงๆ ก็ได้ หรือเพียงเพราะผมคิดต่างจากกลุ่มคนที่ผมอยู่ด้วยในเวลานั้น
วิธีคิดที่ผมใช้จึงกลายเป็นปัญหาไป
แต่ในตอนนี้เมื่อผมมองย้อนกลับไป ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
วิธีคิดแบบไหนกันแน่ที่เป็น อุปสรรค ต่อการใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ปกติ

เพราะมนุษย์มีความสามารถในการคิด เราจึงสามารถแยกแยะได้ว่า
อะไร คือ ความจริง ข้อเท็จจริง หรือ ความคิดเห็น
เราจึงสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่รู้เยอะ สามารถใช้เหตุผล จินตนาการ ร่วมกับความรู้สึกได้
และสามารถเลือกได้ ว่าเราต้องการเห็นโลกแบบไหน
หรือจะพูดให้ง่ายขึ้น ก็คือ เรามองเห็นโลกนี้และ ยอมรับความจริงได้ เท่าที่เราเป็น

มนุษย์เรามีศักยภาพทางความคิดมากพอที่จะควบคุมจิตใต้สำนึก
แต่บ่อยครั้ง หลายคนกลับถูกควบคุมจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง
มันมีผลต่อทัศนคติ โลกทัศน์ ความรู้สึก และพฤติกรรมถาวร (สันดาน) ของเรา
ซึ่งนั่นก็จะมีผลต่อการตัดสินใจและวิถีชีวิตของเรา รวมถึงการใช้เหตุผลและการแสดงออกของเราด้วย
คนพวกนี้ส่วนมากเป็นคนจริงใจ ที่มักทำผิดโดยสุจริตใจ

ณ ที่ลึกแห่งจิตใจภายใน ทุกสิ่งอย่างของชีวิตแต่ละคนเริ่มต้นที่นี่ ทั้งที่เรารู้ตัว และเราไม่รู้ตัว
อะไรก็ตามที่ถูกปลูกขึ้นที่นี่ จะเจริญและออกดอกผลอยู่ภายนอกให้ตัวเราเองและคนอื่นเห็นได้

ในน้ำคนเห็นหน้าคนฉันใด ความคิดจิตใจของคนก็ส่อคนฉันนั้น

บางคนกลัวบางอย่างโดยไม่มีเหตุผล บางคนเกลียดบางอย่างโดยไร้สาเหตุ
หรือบางคนไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงชื่นชอบบางสิ่ง
มีบางสิ่งถูกปลูกเอาไว้ในเราแต่ละคนแน่ บางคนก็รู้ตัวและตั้งใจปลูก บางคนก็ไม่ใส่ใจว่าตัวเองปลูกอะไร
และหลายคนถูกยัดเยียดโดยไม่รู้ตัว

อะไรก็ตามที่อยู่ที่นี่ จะกลายเป็น เรื่องจริง ของคนๆนั้นไป
และเขาจะเห็นโลกนี้ ผ่านแว่นสายตาที่เขาไม่รู้ตัวว่าสวมอยู่
ทำให้เขาเห็นสิ่งต่างๆ ที่บิดเบือน
บางคนเรียกคนพวกนี้ว่า คนบ้า หรือคนไม่ยอมรับความจริง
แต่จากมุมมองของเขา เขามองไม่เห็น ความจริงอื่นอีกแล้ว นอกจากความจริงที่เขาเชื่อและยึดถืออยู่

ผมคิดว่า คนยุคนี้ หลายคนคุยกันไม่รู้เรื่อง
ก็เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่า ฉันถูก ฉันอยู่ฝ่ายความจริง และเธอ (คุณ เอ็ง มึง) อยู่คนละฝั่งกับฉัน
จนมีบางคนหวังดีประนีประนอมให้ว่า ก็จริงทั้งคู่นั่นแหล่ะ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองอย่างไร!!

ความจริงแท้ นั้นมีอยู่แล้ว และมีเพียงหนึ่งเดียว แต่เราจะยอมรับหรือเปล่า
หนทางเดียวในการอยู่ในความจริง คือ การยอมรับความจริง ไม่ใช่สร้างความจริง
สิ่งที่น่าเจ็บปวด คือ หลายคนถูกหลอกว่าอะไรคือ ความจริง
ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเขาเอง ด้วยประสบการณ์ ด้วยความรู้สึก ด้วยความรู้

เราจำเป็นต้องรักความจริง

จิตใจของคนเรานั้นซับซ้อน ยิ่งสิ่งรอบตัวเราสับสนอลม่านมากเท่าไหร่
หัวใจเราก็มีโอกาสยุ่งเหยิงได้มากเท่านั้น หากเราไม่ดูแลวนอุทยานแห่จิตใจของเราให้ดี

และยิ่งหัวใจเราสับสน เราก็จะยิ่งถูกหลอกได้ง่าย
และยิ่งเราถูกหลอกง่ายเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งหันหลังให้ความจริงมากเท่านั้น
แม้ความจริงจะอยู่ใกล้เราแค่คืบก็ตาม

ความประสงค์ในใจของคนเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะสามารถโพงมันออกมาได้ พระธรรมสุภาษิต 20:5

Sep 7, 2010

มันเป็น ปัญหา แต่มันไม่ใช่ อุปสรรค

วันนี้ แม่กับพ่อมาหาหมอที่โรงพยาบาลตำรวจ
ครั้งที่แล้ว หมอให้แม่ตรวจเลือด กับมวลกระดูกมาจากตราด
ปรากฎว่า แม่ไม่ได้ตรวจมวลกระดูกมา
ทำยังไงล่ะทีนี้...

ตอนแรกผมทำใจรับสภาพ แล้วคิดว่ากลับตราดแล้ว ค่อยให้แม่ไปตรวจ
ผมมาซื้อยาครั้งหน้า ค่อยเอามาให้หมอดูละกัน
แต่
อีกใจนึง ไหนๆก็มาแล้ว ก็อยากให้หมอดูให้เสร็จๆไป

ระหว่างที่แม่นั่งรอหมออยู่ ส่วนพ่อนั่งรอพยาบาลเรียกตรวจเบื้องต้น
ผมเดินไปถามพยาบาลว่า เขาตรวจมวลกระดูกกันที่ไหน
ผมเดินข้ามตึกไปถามเรื่องการวัดมวลกระดูก
"เราตรวจเฉพาะตอนบ่ายค่ะ"
"ขอโทษนะครับ พอจะช่วยอะไรได้บ้างไหมครับ คือแม่ผม..." ผมก็เล่าให้พยาบาลที่แผนกนั้นฟังอย่างคร่าวๆ
"น้อง ช่วยทำเคสให้คุณแม่หมอได้ไหม (แม่หมอ หมอไหน?)" พยาบาลเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วไปตามสายโทรศัพท์
"ขอเบอร์ติดต่อหมอด้วยนะคะ คุณหมออยู่แผนกไหนคะเนี่ย" สรุปว่า เธอคิดว่าผมเป็นหมอครับ
ผมช่วยแม่เปลี่ยนกางเกงมาใส่ผ้าถุง (นึกภาพผู้หญิงขี้กลัว ที่ขาข้างนึงเป็นอัมพฤกษ์ ใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ที่แถบกาวใช้ไม่ได้ คุณเอ้ย มันทุลักทุเลเกินจะกล่าว) พยาบาลเรียกอยู่นานกว่าจะเปลี่ยนกันเสร็จ
ในที่สุด แม่ก็ได้ตรวจมวลกระดูก แต่ต้องรอผลซักครู่ใหญ่ และที่สำคัญ "ผมปวดขี้"

ผมตัดสินใจพาแม่มาถึงหน้าห้องตรวจ พ่อยังนั่งจุ้มปุ้กอยู่ พยาบาลยังไม่ได้เรียกพ่อ
มันนานเกินไปแล้ว
ผมเดินไปถามพยาบาล
"รบกวนรอเรียกก่อนนะคะ (พยาบาลเหลือบตาไปเห็นใบนัดของพ่อผมในตะกร้า) อ่ะ 7โมง15... รอสักครู่นะคะ จะตามให้ค่ะ"
ปรากฎว่า แฟ้มประวัติของพ่อถูกส่งไปอีกแผนกหนึ่ง
ผมเดินกลับไปเอาผลตรวจของแม่... ผลตรวจยังไม่เสร็จ
แต่ผมกำลังจะเสร็จ ถ้าไม่รีบวิ่งเข้าห้องน้ำให้ทัน

ผมเดินออกจากห้องน้ำด้วยความสุข พร้อมๆกับยิ้มหวานของพยาบาล ที่ถือผลการตรวจของแม่อยู่ในมือ
เดินข้ามตึกกลับไปถึงห้องตรวจแรก แฟ้มพ่อเพิ่งจะมาพอดี พร้อมๆกับที่คุณหมอเดินเข้าห้องตรวจ
ระหว่างที่รอคุณหมอ นั่นคือโอกาสให้ผมได้พูดคุยกับพ่อในหลายๆเรื่อง
จนถึงคิวตรวจของแม่

ผมนึกในใจว่าอยากให้ตรวจพ่อไปต่อจากแม่เลย แต่จากกองแฟ้มกองใหญ่นั่น จะเอาแฟ้มพ่อออกมาอย่างไร
จะให้หมอหยิบก็เกรงว่า เวลาที่หมอใช้ จะเป็นค่าเสียโอกาสที่สูงเกินไป ครั้นผมจะรื้อหาเองก็ดูแปลกๆ
ผมต้องการตัวช่วย...
"ขอโทษนะคะ" พยาบาลเอาแฟ้มของคนไข้มาเพิ่มความสุขให้คุณหมอ
มุขเดิมครับ ด้วยคำอธิบายสั้น 2-3 ประโยค ตัวช่วยที่ถูกส่งมาให้ผม ก็หยิบแฟ้มของพ่อมาวางไว้ให้อย่างง่ายดาย

ตอนที่หมอตรวจแม่ สีหน้าหมอยิ้มแย้มมีความสุขมาก
แต่ทันทีที่คุณหมอดูฟิล์มและซักถามอาการของพ่อแล้ว สีหน้าหมอเปลี่ยนไปชัดเจนมาก
หมอให้พ่อไปทำการ x-ray เพิ่มเติม และทำ MRI รวมทั้งไปทำปลอกคอใส่ "ทันที"

งานเข้าละครับ เพราะตอนแรก ตามแผน คือ พ่อกับแม่ จะกลับประมาณเที่ยง เพื่อให้ถึงบ้านไม่ดึกเกินไป ที่สำคัญ วันนี้คุณลุงที่ขับรถมาส่ง จะมีประชุมตอน 1 ทุ่ม

ผมไปทำการนัดครั้งต่อไป ส่งใบสั่งยา ตามปกติ
พ่อกับแม่ไปไหนหว่า... ไม่เป็นไร ก็เลยเดินไปตึกที่เมื่อเช้าเพิ่งจะพาแม่ไป
เจอกับป้ายพักเที่ยงตั้งหราเด่นอยู่ พร้อมกับคำพยักเพยิดของคนที่ยืนอยู่ก่อน "เขาพักเที่ยงน้อง ต้องรอบ่ายโมง"
ไม่มีซะล่ะ "ขอโทษนะครับ..." ทำให้ผมรู้ว่า ผมต้องใช้เอกสารใบหนึ่งที่ติดอยู่กับใบสั่งยา ในการติดต่อกับอีก 3 ตึกที่เหลือ
ทำไงล่ะทีนี้

หลังจากพาพ่อกับแม่ไปกินข้าว ผมไปติดต่อห้องยา เพื่อขอเอกสารใบนั้น
หลังจากคุยกันเข้าใจ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้เอกสารผม
แต่
ลัดคิวจ่ายยาให้ผมประมาณ 20 คิวทันที แจ๋วครับ

พาพ่อไปตึก x-ray ที่แรก ยังไม่ทันจะบ่ายโมงดี มีคนนั่งรอคิวอยู่ประมาณ 10 คน
"เอาใบใส่ตะกร้า แล้วนั่งรอเลยค่ะ" เจ้าหน้าที่บอก
ผมลองอธิบายสถานการณ์ให้เธอฟัง เธอหยิบป้ายพักเที่ยงลง แล้วบอกว่า "ให้คุณพ่อนั่งรอหน้าห้องเบอร์ 3 เลยค่ะ"

หลังจากนั้น ผมก็ไปติดต่ออีกสองที่ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง พอดีว่าหมอว่าง ไม่มีคิวนัด ผมก็เลยจองได้เรียบร้อย
ทุกอย่างผ่านไปได้เรียบร้อยดี แต่กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไป 4 โมงครึ่ง

เป็นอีกหนึ่งวันที่เหนื่อยมากๆ จริงๆ
ดูเหมือนเรื่องบังเอิญหลายๆเรื่องเกิดขึ้นนอกเหนือการคาดการณ์ของเรา
แต่มันก็ทำให้ชีวิตของเราเคลื่อนไปข้างหน้ามากขึ้น ทำให้เรากล้าหาญมากขึ้น คิดมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รอบคอบมากขึ้น เชื่อในความกรุณาของเพื่อนมนุษย์มากขึ้น มีศรัทธามากขึ้น มีความรักมากขึ้น... ภาษาอังกฤษ เรียกสิ่งที่ช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าว่า "Problem"
ซึ่งต่างจาก "Obstruction" ที่คอยหยุดยั้งชีวิตของเราไม่ให้ก้าวต่อไปข้างหน้า ซึ่งส่วนมาก มักทำให้เราสบายกาย สบายใจ เห็นความจริงของโลกบิดเบือนไป และผูกมัดเราไว้ในเขตแดนสุขารมณ์ (Comfort Zone)


ถึงแม้ "ห้องส้วม" จะเป็นสถานที่ที่ช่วยให้เราปลดปล่อยความทุกข์ เดินออกมาทีไร หน้าตาสบายใจทุกที
แต่
คงไม่มีใครหรอกมั้ง ที่จะขังตัวเองอยู่ใน "สุขา" ตลอดเวลา

Jul 30, 2010

นักลงทุน

(บทความนี้ เขียนเมื่อ 28 พ.ค. 2010)

หลังจากเหตุการณ์ไม่สงบผ่านพ้นไป เรื่องราวต่างๆ ที่เลวร้ายก็ (น่าจะ) ผ่านพ้นไป
ตั้งแต่ตลาดหุ้นเปิดทำการจนถึงวันนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงเทขายไม่หยุด
แม้จะมีแรงซื้อคืนมาบ้างจากนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อยภายในประเทศ
แต่ภาพรวมของตลาดก็ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

นักวิเคราะห์ โดยเฉพาะทีมข่าวของหนังสือพิมพ์หลายแห่ง
ต่างจรดปากกาไปในทิศทางเดียวกันว่า
เป็นเพราะต่างชาติขาดความมั่นใจในการเมืองไทย เป็นเพราะรัฐบาลยังคงมาตรการเคอร์ฟิวส์
เสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยเพียงตัวเดียว ที่ส่งผลอย่างมีน้ำหนักต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเมืองไทย

ในมุมมองของคนไทยคนหนึ่ง
ถ้าเชื่อตามข่าวข้างต้น ผมคิดว่าเป็นการกระทำของต่างชาติที่เห็นแก่ตัวมาก
โดยเฉพาะถ้าดูหุ้นรายตัวที่โดนเทขายทิ้งอย่างมาก
ก็คือ บริษัทที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ความไม่สงบในครั้งนี้
เช่น เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) และ ไทยทีวีสีช่อง 3 (TV3)

ทั้งที่จริง เวลาเช่นนี้ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งต้องเร่งระดมทุนเพื่อฟื้นฟูกิจการ
เป็นเวลาที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เป็นเวลาที่ต้องการทั้งกำลังเงินและกำลังใจ
แต่ปรากฎว่า คนที่เคยร่วมเป็นหุ้นส่วน กลับทิ้งสภาพความเป็นเจ้าของไปเสียนี่

แต่หากมองมุมกลับในมุมของนักลงทุน ไม่ว่าจะรายใหญ่ รายย่อย หรือสถาบัน
เป้าหมายเบื้องต้น คือ การสร้างกำไรต่อหน่วยลงทุนให้สูงที่สุด
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่เราเห็นพฤติกรรมการเทขายหุ้นของกลุ่มทุนต่างๆ
พวกเขาเล่นตามกติกาของตลาด กติกาของโลกเสรีประชาธิปไตยนิยมทุน
กติตกาสากลของโลกยุคปัจจุบันที่เขา คุณ และผม (ถูกยัดเยียดให้เล่นตาม) กำลังอาศัยอยู่
ซึ่งถ้าว่ากันตามกรอบกติกานี้ ก็คงเข้าใจได้ไม่ยากกับพฤติกรรมของกองทุนต่างชาติเหล่านั้น

(ถ้ายังจำกันได้ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนศาลฯ ประกาศคำพิพากษาคดียึดทรัพย์นักการเมืองคนหนึ่ง
ADVANCE ได้ประกาศปันผลงวดพิเศษให้ผู้ถือหุ้นเพิ่มเติมจากปันผลปกติ (พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ นะ)
ทำให้ กลุ่มทุนต่างชาติที่เพิ่งถือหุ้นมาได้ประมาณ 2 ปีกว่า คืนทุนเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่กำไรสะสม ลดลงเหลือประมาณ 10% กว่า (ถ้าจำตัวเลขไม่ผิดนะ)
ซึ่งโดยปกติ เวลาบริษัทจะลงทุนเพิ่ม เขาก็จะใช้กำไรสะสม หรือ กู้ธนาคาร หรือ ออกหุ้นกู้
ตามแต่สถานะทางการเงินของตัวเอง และการคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต)

ในความเห็นส่วนตัวผม ผมไม่ค่อยเชื่อหนังสือพิมพ์เท่าไหร่นะ
ว่าปัจจัยที่ส่งผลจะมีแค่เรื่องเสถียรภาพทางการเมืองของไทยเท่านั้น
โลกทุกวันนี้มันแบนลงมาก
ผมยังคงมองว่า สภาพทางเศรษฐกิจที่อ่อนไหว
สามารถสร้างผลกระทบต่อเนื่อง ให้เกิดวิกฤตเลวร้ายทั่วทั้งโลกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
หากเกิดวิกฤติจากจุดใดจุดหนึ่งของระบบการเงินโลก
อย่าลืมว่าเรามีเชื้อประทุอยู่ทั้งที่อเมริกา ยุโรป
และจีน (ซึ่งมีเงินสำรอง 80%อยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ)

การใช้ชีวิตบนโลกนับจากนี้ไป จะอาศัยข้อมูลจากอดีตและปัจจุบัน
รวมทั้งประสบการณ์ เอามาร่วมวิเคราะห์ เท่านั้นคงไม่พอ
โลกเปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าจะใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ
เพื่อแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่กำลังและจะเกิดขึ้น
(คงจำเรื่อง Black swan theory ที่ผมเคยเขียนได้นะครับ)

มีคำขวัญหนึ่งกล่าวว่า “ชีวิตคือการลงทุน”
ผมไม่รู้ว่ามันจริงมากน้อยเพียงใด
แต่ก็เชื่อว่า “ส่วนหนึ่ง” ของชีวิต คือ การลงทุนจริงๆ

พอเริ่มนั่งคิดว่า ชีวิตคือการลงทุนขึ้นมาจริงๆ
ฟังดูเหมือนชีวิตนี้มีแต่เรื่องผลประโยชน์
จะคบใคร จะทำอะไร ดูมันเป็นเรื่องที่ต้องคิดคำนวณ ดูความคุ้มค่า ดูผลประโยชน์ที่จะได้รับ
ว่ามันมากที่สุด สูงที่สุดหรือเปล่า

ซึ่งผมคิดว่า คำพูดทำนองนี้
มาจากแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เรื่อง อรรถประโยชน์สูงสุด (Maximize utility)
ก็คงไม่แปลกถ้าจะใช้คิดกับเรื่องการลงทุน แต่คงแปลกๆ ถ้าใช้คิดกับเรื่องการใช้ชีวิต

เคยคุยเล่นๆ กับเพื่อนสนิทว่า มีเมียเป็นการลงทุน มีลูกเป็นค่าใช้จ่าย...
แม้จะมองว่าเป็นการลงทุนเหมือนกัน ในแง่ลักษณะการเลือกลงทุน
ที่เราเลือกลงทุนแบบเน้นคุณค่า(Value investment)
เน้นลงทุนในหุ้นที่เรารู้จักดี มีพื้นฐานดี อยู่ในธุรกิจที่ดี ผู้บริหารดี
และเราเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนให้เราได้ชั่วลูกหลาน (555 อันนี้เว่อร์ไปละ)
ไม่ได้มองแค่ผิวเผิน เพียงเก็งกำไรระยะสั้น หรือเล่นตามตลาดเหมือนหลายคนทำกัน

แต่ก็ยังมีมุมมองที่ต่างกันบ้าง
ตรงที่การลงทุนทางธุรกิจ หรือเป็นหุ้นส่วนธุรกิจนั้น
มี “กำไรสูงสุด” เป็นเป้าหมาย ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ไม่ตอบโจทย์ ก็ต้องเปลี่ยน
ต้องยอมขายขาดทุนในบางครั้ง
ในขณะที่อีกอย่างนั้น มันเป็นคำตอบในตัวของมันเอง
มันเป็นความผูกพันของชีวิต เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

เคยฝันอยากเป็นนักกลยุทธ์ธุรกิจและที่ปรึกษาทางการลงทุน
(ตอนนี้ก็ยังอยากอยู่นะ)
แต่คงต้องฝึกฝนสมองและหัวใจอีกมากๆ
ตอนนี้ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ
ก่อนจะเริ่มต้นก้าวสู่การเป็น “นักลงทุน” ตัวจริงต่อไป

Jul 13, 2010

Heart Disk

เรื่องหนึ่งที่สำคัญในชีวิตมนุษย์ ก็คือ ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง (จริงๆ แล้ว ผมคิดว่า สำคัญที่สุดเลยนะ)
สิ่งหนึ่งที่สำคัญในการทำงานของ Computer ก็คือ ข้อมูล

Windows ที่ลงเสร็จใหม่ๆ ข้อมูลน้อย ข้อมูลแทบทั้งหมด เป็นข้อมูลที่จำเป็นกับชีวิต ส่วนใหญ่เราเห็นและใช้อย่างทั่วถึง
แต่ยิ่งนานวัน ข้อมูลยิ่งมากขึ้น ยิ่งดูแลได้ยากขึ้น ข้อมูลหลายอย่างเริ่มห่างหายจากสายตา (แม้จะไม่ห่างจากสายใจก็เถอะ)
บางคนที่เคยสนิทก็ห่างหายกันนานนับปีก็มี ยิ่งมีการ upgrade ข้อมูลก็ยิ่งเยอะ
ที่สำคัญ บ่อยครั้ง การ upgrade ทำให้ ความคิด รสนิยม และการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไป

ข้อมูลเยอะแยะเหล่านี้ หลายครั้งเราไม่กล้าลบ เพราะเสียดาย คิดว่า หากลบไป แล้ววันหนึ่งเราต้องใช้ จะทำอย่างไร
ซึ่งแทบทุกครั้ง เราคิดผิด ^^
แต่สำหรับคนฉลาดๆ บางคน เขาก็ Archive ข้อมูลที่ไม่ได้ใช้บ่อยเหล่านี้เอาไว้นะ

บางทีไปแอบเห็นข้อมูลเจ๋งๆ ของคนอื่น ก็เอามาง่ายๆ ด้วยการ Ctrl+ C จากเครื่องของเขา และมา Ctrl+ V ลงเครื่องของเราอย่างว่องไว บางคนกลัวคนอื่นจับได้ ก็ Rename ซะหน่อย... ชื่อใหม่ หน้าตาใหม่ แต่เนื้อหาจิตใจข้างใน “เดิมๆ”

ข้อมูลที่ (คิดว่า) หมดประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็ Del ลงไปนอนอยู่ใน Recycle Bin เผื่อว่าจะ Restore กลับมาใช้ใหม่ หรือแค่รอวันสร้างปัญหา เนื้อที่เต็มโดยไม่ทราบสาเหตุให้กับ User ตัวจริง (ฉันใช้งานเป็นอย่างเดียว!)

บางคนรู้มากหน่อยก็ Shift+ Del เพื่อ Permanently Delete แต่หารู้ไม่ว่า จริงๆแล้ว เพราะความซับซ้อนของหัวใจมนุษย์ ข้อมูลเหล่านั้นยังไม่ได้ถูกลบไปไหน แค่ถูกหมายหัวเอาไว้ว่า เป็นความสัมพันธ์ที่ว่างแล้ว จนกว่าจะโดน save ทับเมื่อไหร่นั่นแหล่ะ ถึงจะเป็นการโดนลบอย่างถาวรจริงๆ จนไม่สามารถ Recovery กลับคืนมาใหม่ได้อีกต่อไป

เคยคุยกับช่างซ่อมคอมพิวเตอร์บางคน เขาบอกว่า จริงๆแล้ว แม้จะมีข้อมูลใหม่แทนที่ข้อมูลเก่าไปแล้ว ก็ยังสามารถกู้ข้อมูลเหล่านั้นกลับมาได้ ต่อให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการ Format หรือแม้แต่ย้ายบ้าน ด้วยการจัด Partition ใหม่ ก็ยังสามารถรื้อฟื้นความสัมพันธ์เหล่านั้นกลับมาได้ ยกเว้น กรณีเดียวที่เกินเยียวยา คือ ย้ายบ้านหนีแบบไม่ให้ใครตามตัวได้ หรือที่เรียกว่า Secured Delete Partition อันนั้น ทำยังไงก็กู้ข้อมูลกลับมาไม่ได้

ผมก็ไม่รู้ว่า ช่างคนนี้เขาพูดจริงหรือเปล่านะ ตัวผมเองก็ไม่เก่งขนาดนั้น ทำไม่เป็น และไม่เคยลองทำเสียด้วยสิ

แต่อย่างไรก็เหอะนะ คนเรา ไม่ใช่ Computer ความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกันก็ไม่ใช่ข้อมูล

มนุษย์ มี หัวใจ

มนุษย์ มี สมอง

มนุษย์ อาจใช้สมองคิด
แต่
มนุษย์ใช้หัวใจจดจำเรื่องราว

ที่สำคัญ เราใช้ “หัวใจ” เป็นสื่อเชื่อมถึงกันและกัน


ดูแลรักษา Heart Disk ของเราให้ดีนะครับ เพราะชีวิตเริ่มต้นจากตรงนั้น...
ชีวิต เริ่มต้นมาจาก “หัวใจ”

May 15, 2010

เผชิญหน้า (1)

แม่เคยบอกว่า ผมเหมือน แมงป่อง ใครเข้ามายุ่งไม่ได้ โดยต่อยทันที...
เวลาที่เถียงแม่ แม่มักพูดว่า เอ็งไม่รู้หรอก วันนึงมีลูก เอ็งจะเข้าใจ
เวลาเถียงพ่อ พ่อมักพูดว่า ถ้าเป็นคนอื่น กรูไม่พูดแล้ว กรูเหนื่อย แต่เมิงเป็นลูก กรูเห็นอะไรไม่ถูกไม่ดี ก็ต้องว่า ต้องเตือน ฟังกันบ้าง ถ้าเป็นคนอื่น เขาไม่พูดไม่เตือนเมิงแล้ว...

อวดดีมาตลอดว่าเข้าใจสิ่งที่พ่อกับแม่พูด
แต่เพิ่งจะเข้าใจคำว่า รัก มากขึ้นก็วันนี้เอง
เข้าใจว่าทำไม รัก ถึงอดทนนาน ทำสิ่งดีๆให้ ไม่ยินดีในการประพฤติผิด และยอมรับทุกอย่าง

เมื่อไม่กี่วันนี้ เพิ่งได้รับรู้มุมมองของคนอื่นที่มีต่อตัวผมเอง ความคิดเห็นเรื่องตัวผมที่เขาพูดคุยกัน เรื่องที่เขาคิดว่าจะบอกผมซักวันหนึ่ง ที่ไม่ใช่วันนี้...
หลายความรู้สึก ทั้งบวกและลบ หลายความคิดที่ตามมา
แต่ให้คิดทั้งหมดคงไม่ไหว หนังสือก็วางอยู่ตรงหน้า อีก 3-4 วันก็จะสอบแล้ว

เอาเป็นว่า ตอนนี้ ขอดู fact ว่าที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่าก่อนก็พอ ซึ่งจริง!!!

ยังไงก็ขอบคุณพระเจ้าที่ได้รู้ พระเจ้าคงรู้ว่า ตอนนี้ผมเริ่มยอมรับตัวเองได้มากขึ้นละมั้ง

ขอบคุณพระเจ้า ที่เขียนพระคัมภีร์ไว้เตือนเรา
ขอบคุณพ่อ แม่ พี่ เพื่อน น้อง และอีกหลายคน ที่รักผม
ขอบคุณที่เคยเตือนผม แม้ผมจะ "ไม่ได้ยิน" ก็ตาม...

สู้ต่อไป อาร์ทธ !!

May 5, 2010

Replay

ตอนนี้นั่งอยู่ห้องสมุดมารวยฯ
สถานที่เดิมๆ บรรยากาศที่คุ้นเคย ทำนองเพลง รักไม่ช่วยอะไร บรรเลงลอยแว่วมาตามลม

ย้ายกลับมาอยู่แถวคลองเตยได้เดือนนึงละ เร็วจริงๆ

กี่ปีแล้วนะที่ย้ายจากที่นี่ไป เป็นการเดินทางของชีวิตช่วงหนึ่ง ที่เหมือนกับหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้นมาบนที่นอนเดิม
มีทั้งฝันดีกระฉูดสุดยอด และฝันร้ายชนิดผวาตื่นมาเพื่อพบว่าตัวเองยังคงกำลังฝันอยู่
หลายความคิด หลายความรู้สึก ประเดประดังกันเข้ามา ยังกับพวกมันได้กลับบ้านเก่า

บางที... บางทีนะ ชีวิตมันก็อาจจะไม่ได้สำคัญเท่ากับที่เรานึกคิดไว้ก็ได้มั้ง

ทุกอย่างมันก็เป็นเหตุเป็นผลของมันเอง และบางครั้ง เรื่องดีๆก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยเป็นเหตุเป็นผลมาจากเรื่องอื่น
คนที่เพ้อเจ้อ มีความฝันแต่ไม่ลงมือทำ ปล่อยชีวิตล่องลอยหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ความต้องการของตัวเอง
คนอย่างงี้ มันจะมีชีวิตสูงขึ้น ดีขึ้นทางเดียวได้อย่างไร หรือมันอาจจะจริงสำหรับคนอื่นก็ได้ แต่คงไม่จริงสำหรับผมตอนนี้ซะแล้ว

สุดท้าย มันก็ต้องกลับมาที่อะไรที่สามารถจับต้องได้ ไม่ใช่เพ้อฝัน ลมๆแล้งๆไปวันๆ

ไม่ได้โทษใคร นอกจากโทษตัวเอง ที่อ่อนด้อยเอง หลงเพ้อพบคิดและตีความเข้าข้างตัวเอง ต้องการความสนใจและการยอมรับจากคนอื่นรอบข้างเอง กลัวจะถูกปฏิเสธเอง เป็นห่วงคนอื่นไปเอง ทั้งหมดมันก็เป็นผลจากตัวเราเอง มันไม่ได้เกี่ยวว่าจะเชื่อพระเยซูหรือนับถือพระพุทธเจ้า ที่ชีวิตเรามันย่ำวนเวียนเป็นเด็กไม่รู้จักโต ก็เพราะเราไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจคนอื่น ไม่เข้าใจโลกนี้ ก็แค่นั้น รู้สึกว่าการใช้ชีวิตมันยาก อยู่กับคนอื่นมันยาก อยู่ในโลกนี้มันยาก... มันก็เป็นเรื่องธรรมดาป่ะ
มันไม่เกี่ยวกับใครหรืออะไรเลย ทั้งหมดมันเป็นเรื่องของตัว (มึง) เอง ไอ้ควายเอ้ย
...

เมื่อวานไปซื้อยาให้แม่เป็นคนไข้รายสุดท้าย มีคนไข้ไม่เยอะนัก ก็เลยนั่งคุยกับหมอสักพัก
หมอเล่าถึงพวกกลุ่มเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ราชประสงค์ หมอจะมาทำงานก็ถูกรื้อค้นกระเป๋า
มีการกล่าวปราศรัยและร้องรำทำเพลงเสียงดังเป็นที่สนุกสนานของพวกเขา แต่เป็นที่รบกวนคนไข้อย่างที่สุด
วันดีคืนดี พวกมันก็โซโล่กลองชุดตอนตี 4 ไม่ใช่แค่เสียง แต่แรงขับกลองทำให้ผนังสั่น ห้องพักคนไข้สะเทือน
บางคนเอาน้ำสาดลงไป (สาดไม่โดนนะ แต่มันเห็น) พวกมันก็เดินขึ้นมาถึงห้องพัก จะมาเอาเรื่องให้ได้

หมอยังเล่าอีกว่า ที่ต่างจังหวัดเด็กนักเรียนตีกัน แล้วมาโรงพยาบาล เพื่อนหมออยากให้นอนดูอาการ แต่ครูไม่อยากเฝ้า ให้เด็กกลับหอ รุ่งเช้าเด็กตาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น โดนกระทืบซ้ำ หรือเลือดคั่งในสมอง ไม่มีใครรู้ แต่ชาวบ้านพากันมาล้อมโรงพยาบาล บอกว่าหมอต้องรับผิดชอบ หมอก็อยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าหมอผิด แต่หมอเป็น แพะ ที่หาตัวง่ายที่สุด

ยังไม่รวมเรื่องการของบประมาณซื้อเครื่องมือแพทย์ รัฐบาลบอกไม่มีงบฯ แต่เอามาจ่าย 30 บาทรักษาทุกโรคให้คนไข้ใส่เครื่องเพชรขับเบนซ์ S class มารับยา ผ่านไป 4-5 ปี บอกมีงบแล้ว อนุมัติซื้อเครื่องได้ ซึ่งตกรุ่นไปแล้ว ตัวใหม่มันออกมาแล้ว ก็ต้องทนใช้กันไป เวลารักษาก็ทำได้ไม่เต็มที่ พอมีปัญหาขึ้นมา ก็ฟ้องหมอ ถ้าจะฟ้องหมอ น่าจะฟ้อง ผอ.โรงพยาบาล รมต.สาธารณสุข และนายกรัฐมนตรีด้วย (เฮ้อ...) หมอถอนใจหลังจากเล่ามายาว

หมอบอกอีกว่า เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครเรียนหมอกันแล้ว หรืออาจจะเรียนแต่ก็ออกไปทำงานอย่างอื่นกันเยอะ โดยเฉพาะหมอทางสมอง กับหมอสูตินารี เพราะเกิดอะไรขึ้นมา ซวยตลอด ญาติไม่เคยดูเลยว่า คนไข้ทำตามที่หมอแนะนำไหม อาการคนไข้ร่อแร่ขนาดไหน โดยเฉพาะคนไข้ทางสมอง ผ่ายังไงก็ไม่มีทางหาย มีแต่ทรงกับตาย ต่อให้ตั้งใจทำอย่างดีที่สุด สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของฟ้าลิขิต แค่นี้หมอก็รู้สึกแย่พอแล้วที่ช่วยคนไข้ไม่ได้ แต่นี่ยังมีญาติคนไข้อีก เขาไม่คิดอะไรอื่นเลย นอกจาก “เป็นเพราะหมอ” หมอผิด

คุณแม่คุณน่ะดีแล้ว เส้นเลือดในสมองแตก เนื่องจากเส้นเลือดโป่งพองน่ะ 10คน ตาย6 ที่เหลือพิการตลอดชีวิต ขอบคุณสวรรค์เถอะ ทำบุญเยอะๆนะ หมอทิ้งท้าย (แต่ถ้าไปถามแม่ แม่จะบอกว่า ทำไมถึงไม่ดีขึ้นสักทีนะ...)

มันก็จริงนะ ใครๆ ก็คิดเห็นมองโลกจากมุมมองตัวเองกันทั้งนั้น ใครๆก็ใช้ตัวเองเป็นมาตรฐาน ทุกคนต่างก็มีความต้องการของตัวเองกันทั้งนั้น คนเราต่างเอาประโยชน์และความพอใจของเราเป็นที่ตั้งกันทั้งนั้น.. ใครๆ ก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น

จริงๆหลังจากคุยกับหมอแล้ว ผมอยากจะถามหมอว่า แล้วทำไมหมอยังคงทำงานอยู่ตรงนี้ แต่คิดดูแล้ว ผมก็บอกหมอไปว่า “สู้ๆนะครับหมอ” หมอยิ้มให้ผมอย่างอารมณ์ดี...

เสียดาย ชีวิตไม่ใช่เกมส์ที่จะย้อนไปเล่นใหม่ได้ มีแต่ต้องเล่นต่อไปจนกว่าเวลาจะหมด แค่ต้องเปลี่ยนวิธีเล่น ก็แค่นั้น

Apr 18, 2010

สิทธิส่วนบุคคล และการอยู่ร่วมกันในสังคม

เมื่อเช้านี้ รถโดยสารประจำทางเกิดมีอาการไม่ประจำทาง
มีป้ายแปะไว้ข้างรถว่า รถวิ่งไม่ถึงสนามหลวงจนกว่าเหตุการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ
ผมถามตัวเองในใจ เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย แล้วพรุ่งนี้จะไปทำงานอย่างไร
(อ่ะ คันที่กำลังนั่งอยู่ ก็เปลี่ยนเส้นทางด้วยเหมือนกัน)

นั่งรถไปได้ครู่หนึ่ง ก็เห็นขบวนแห่นาคอยู่อีกฝั่งของถนน
พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปวัด หลายคนร่ายรำ สีหน้าท่าทางบอกว่าอิ่มบุญมาก
แต่ที่ผมประหลาดใจ ก็คือ ขบวนนาคนั้นเดินสวนทางกับทิศทางที่รถวิ่ง
โดยมีรถขับนำขบวน 2 คัน กับคนโบก (ไล่) รถซึ่งขับถูกทิศทางอีก 1 คน
ผมมองไม่เห็นเจ้าหน้าที่จราจรนะ
เห็นแต่สีหน้าเซ็งๆ ของคนที่ต้องเปลี่ยนช่องทาง เพราะถูกขบวนนาคแย่งไปครึ่งถนน

เมื่อวันศุกร์ บริษัทประกาศให้พนักงาน รีบ กลับบ้านตั้งแต่เที่ยง
เมื่อวานเย็น ตลาดนัดแถวบ้านซึ่งปกติจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คนแทบร้าง
ไม่ใช่ไม่มีคนซื้อ แต่คนขายไม่ว่าง ส่วนใหญ่เพราะมีนัดกันที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี
นึกถึงข่าวที่ผู้ชายคนหนึ่งตะโกนด่ากลุ่มคนที่ขวางถนนด้วยความไม่พอใจ
เพราะทำให้เขาไปธุระไม่ทัน จนถูกตบหน้าคมำ

...ตัวอย่างเรื่องราวข้างต้น ผมเขียนค้างไว้ร่วมอาทิตย์แล้ว

ผมตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัยปนกับประหลาดใจว่า
บ่อยครั้งที่เราเรียกร้องสิทธิของเรา เราไม่ต้องการให้ใครมาเอาเปรียบ
เรายืนหยัดในสิทธิอันเกิดจาก ความเชื่อ ของเรา
แล้วเมื่อเรารู้สึกว่าเราถูกเอาเปรียบ เราก็เรียกร้องสิทธิของเราจากสังคม ซึ่งอาจจะกำลังมีความเชื่อแตกต่างจากเรา
คิดอย่างนี้ มันถูกต้องแล้วจริงหรือ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากสังคมนั้น บ้านเมืองนั้นมีกฎกติกาในการอยู่ร่วมกัน
เราก็ออกมาป่าวร้องว่า ไม่ได้นะ กติกานั้นมันไม่ใช่กติกาที่ทุกคนควรยอมรับ
เป็นกติกาที่คนแค่บางส่วนเห็นด้วย เราไม่เห็นด้วยกับกติกานั้น หรือ วิธีการได้มาของกติกานั้น เพราะ... บลา บลา บลา...
(แต่ฉันก็ใช้สิทธิในการแสดงความไม่เห็นด้วยตามกติกานั้นนะ)

คนแต่ละคนมีความคิด มีความเชื่อแตกต่างกัน
มันยากมากที่กฏิกาในการอยู่ร่วมกันทุกเรื่อง จะเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ “และปฏิบัติตาม”
การปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยจะแบบไหนก็แล้วแต่ ก็ใช้เสียงส่วนใหญ่ในการหาข้อสรุป
ไม่ได้แปลว่าทุกคนต้องเห็นด้วย และ/หรือเชื่ออย่างนั้น
เพียงแต่เสียงส่วนน้อยเคารพและให้เกียรติตามเสียงส่วนใหญ่
ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้แปลว่า เสียงส่วนใหญ่จะถูกทุกครั้งเสมอไป
(เพราะบ่อยครั้ง การได้มาของเสียงส่วนใหญ่ ก็ถูกชักนำ โน้มน้าว จูงใจ และจ้างวานในบางกรณี
จาก เสียง ของคนส่วนน้อย หรือ จากใครบางคน)

หากเราเป็นเสียงส่วนน้อย ที่เชื่อว่าเราเชื่อถูก
เรามีสิทธิแสดงความคิดเห็นโต้แย้งอย่างเป็นเหตุเป็นผล
อธิบายให้คนอื่นเห็นด้วย เชื่อร่วมกับเรา คล้อยตามเรา หรือที่สุดแล้ว คือ
เรามีสิทธิที่จะย้ายหรือเปลี่ยนไปอยู่สังคมอื่น กลุ่มอื่น ที่เราคิดคล้ายๆเขา
แต่อย่าไปคิดจะหา/สร้างชุมชนหรือสังคมที่เชื่อเหมือนเราเป๊ะเลยนะ มันเป็นไปได้ยากมาก

ในความคิดของผม ผมคิดว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่อ่อนแอ

เราอ่อนแอในการมีจุดยืนและความเชื่อของเรา
เราจึงมักต้องรอดูคนอื่นก่อน หรือขอใช้ของคนอื่นเป็นต้นแบบ
เราตอบตัวเองไม่ได้ว่าจริงๆ แล้ว เราเป็นใคร เราเชื่ออะไร และเพราะอะไร

เราอ่อนแอในการคิดและสื่อสาร
เราอธิบายไม่ได้จริงๆ ว่าเราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเพราะอะไรและเพื่ออะไร
ถ้าอธิบายได้ คำอธิบายนั้นจะฟังขึ้น (Make sense) แม้จะมีบางคนไม่เห็นด้วยก็ตามที

เราอ่อนแอทางจริยธรรม
เรานับถือคนจากอะไร เรายกมือไหว้คนดี หรือยกมือไหว้คนใหญ่คนโต มีอำนาจ รวย แต่งตัวดี
ถ้ามีโอกาสให้เลือกเราคงอยากทำดีกันทั้งนั้น แต่ศีลธรรมกินไม่ได้...
เราคิดอย่างนั้นหรือเปล่า
ความสร้างสรรค์ที่เรามี ความฉลาดที่เรามี จึงยิ่งทำให้เรามีความสามารถสูงขึ้นในการทำผิดบริสุทธิ์
(แปลว่า ทำผิดโดยที่คนอื่นไม่รู้/ไม่เข้าใจ/ไม่เห็นว่าเป็นความผิด)

เราอ่อนแอในการอยู่ร่วมกัน
เราไม่อยากจะ เชื่อมต่อ กับคนที่แตกต่างจากเรา
เราต้องหาเหตุผลเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเราและเขาเป็นพวกเดียวกัน
จนรู้สึกไม่ลำบากใจที่จะอยู่ร่วมกันด้วยความรักและความ (พยายามจะ) เข้าใจอย่างสันติ

ภาพของคน 2 กลุ่มยังชัดเจนในหัวผม
คนกลุ่มหนึ่งใส่เสื้อสีแดงสด ร้องรำทำเพลงสีหน้าแสดงความสุขสนุกสนานอยู่เต็มถนน
เขาอาจจะดีใจที่วันนี้ความคิดเห็น ความเชื่อของพวกเขา ได้รับการแห่แหนบอกกล่าวแก่คนกทม.ทั้งเมือง
แต่ห่างไปอีก 2-3 เมตร คนอีกกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน
ทำหน้าเซ็งๆ เอือมระอา บางคนมีสีหน้าเหยียดหยามคนกลุ่มแรกอย่างเห็นได้ชัด
ผมไม่รู้นะว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่คงไม่เชิงดีซักเท่าไหร่แน่ๆ

ผ่านมาร่วมเดือน วันนี้ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ให้เสร็จ (เป็นเรื่องที่ใช้เวลาเขียนนานมาก)

กว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ผมได้รับข้อมูลข่าวสารหลายอย่าง
จากทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับการชุมนุม จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย จากฝ่ายที่บอกว่าตัวเองเป็นกลาง และจากที่พบเห็นเจอด้วยตัวเอง
ซึ่งข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น ไม่ค่อยมีผลกับผมเท่าไหร่นัก
เพราะส่วนใหญ่สอดคล้องกับข้อมูลที่ผมมีอยู่ในมือมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
เป็นข้อมูลเชิงลึกเสียจนกลายเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
เพราะไม่สามารถหาหลักฐานเชิงประจักษ์มาแสดงได้

โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมหรือการร่วมกันกระทำบางสิ่ง จนไปละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นในทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นการปิดล้อมสถานที่สำคัญๆ ของหน่วยงานต่างๆ ทั้งด้านการเมือง การสื่อสาร และเศรษฐกิจ
ซึ่งเป็นที่มาของข้อเขียนนี้
ผมทราบดีว่า การร่วมชุมนุมเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยทางการเมือง
มักมีรูปแบบที่ต้องสร้าง “ความระคายเคือง” ต่อการดำเนินชีวิตตามปกติของคนหมู่มาก
เพื่อให้ข้อเรียกร้องเหล่านั้นได้รับความสนใจ และ/หรือการพิจารณาจากผู้ปกครอง และคนหมู่มากในสังคม
ซึ่งในทางหนึ่งก็เป็นการหาสมัครพรรคพวกเพิ่มเติม

แต่ผมเชื่อว่า เราสามารถมีหนทางอื่นหลีกเลี่ยงจากวิธีการข้างต้นได้
หากผู้ริเริ่มชุมนุม (หรืออาจจะเรียกว่า แกนนำ) ไม่ได้มีอคติในใจตั้งแต่ต้นเสียแล้วว่า
ข้อเสนอ/ข้อเรียกร้องของเขาจะไม่ได้รับการพิจารณา
(เป็นไปได้ว่า เขาอาจรู้อยู่แล้วว่า ข้อเรียกร้องของเขานั้น “ฟังไม่ขึ้น”
หรือ แท้จริงแล้ว เขามีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง
ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เราแต่ละคนต้องพิจารณาจากสิ่งที่เขา พูด และ ทำ กันเอง)

สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ชอบมากๆ และไม่เห็นด้วยมากๆ ในการชุมนุม (ไม่ว่าจะของ สี ไหนก็ตามที)
คือการใช้ถ้อยคำรุนแรงด่าทอผู้อื่น พูดปลุกเร้าความรู้สึกของมวลชนให้คล้อยตามไปในสิ่งเดียวกัน
การกล่าวหาผู้อื่น ที่ไม่มีโอกาสได้กล่าวแก้ ณ ที่นั้น รวมทั้งการให้ข้อมูลด้านเดียวต่อผู้ฟัง
ซึ่งเรื่องราวต่างๆนั้น มักหนีไม่พ้น เหตุผล ที่เป็นความชอบธรรมของการออกมาชุมนุมเรียกร้อง

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการแสดงออกที่ไม่เคารพบุคคลอื่น
ดูถูกเหยียดหยาม ประนาม สร้างความร้าวฉาน แบ่งแยก แตกก๊กแตกเหล่า
พวกฉันพวกเธอให้เกิดขึ้นแก่คนในสังคม
ไม่รวมถึง “การแสดงออก” ที่ชวนให้เชื่อได้ว่า
มีเบื้องหลังของการพยายาม เปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
มาเป็นระบอบพลังมวลชน
หรือการสร้าง สถานะของ “รัฐ” ขึ้นมาซ้อน สภาพรัฐตามกฎหมายที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบัน

อย่างที่ผมกล่าวไว้ตั้งแต่แรกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนในสังคมจะเชื่อเหมือนกัน
คำถามสุดท้ายที่ผมอยากจะถามคนที่เห็นชอบในการชุมนุม (ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม)
ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพของท่านที่สามารถทำได้นั้น คือ
สิ่งต่างๆที่ท่านทำลงไปแล้ว กำลังทำอยู่ และคิดจะทำนั้น (ซึ่งผมเชื่อว่า เกิดจากเจตนาที่ดี)
มันได้ไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของเพื่อนร่วมสังคมคนอื่นๆ ที่เห็นต่างจากท่านหรือไม่
คิดให้ดีว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้น มันจะช่วยให้ พวกเรา รวมทั้งลูกหลานของพวกเรา
อยู่ร่วมกันได้ในสังคมได้ดีขึ้นจริงๆ มีสันติสุขร่วมกันจริงๆ...

ใช่ไหม

คุ้นเคย...

หลังจากตื่นนอน คุณทำอะไรเป็นสิ่งแรก
เวลาบีบหลอดยาสีฟัน คุณบีบตรงส่วนไหน หัว กลาง หรือท้าย
คุณใส่เสื้อ หรือ กางเกง (กระโปรง) ก่อนกัน
เวลาไปซื้อของที่ตลาดนัด คุณต่อราคากับคนขายหรือเปล่า
คิดอะไรไม่ออก เหงา เศร้า ซึม ต้องการความช่วยเหลือ คุณนึกถึงคือใครเป็นคนแรกๆ
จะชวนเพื่อนไปเที่ยวซักคน คุณนึกถึงใคร
คุณมีพฤติกรรมอะไรบ้างที่คนรอบข้างฟังแล้วบอกได้ว่า นั่นมัน ... (ใส่ชื่อตัวคุณเองนะ) นี่หว่า
และอื่นๆ อีกมากมาย...

สาระของคำถามข้างต้นนั้น ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณทำอะไร
แต่อยู่ที่คุณได้คิดหรือเปล่าว่า คุณทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพราะอะไร
คุณได้คิดหรือเปล่า หรือ คุณแค่ทำไปตามความคุ้นเคย...

เมื่อไม่กี่วันก่อนผมทะเลาะกับน้องคนหนึ่ง
เนื่องจาก เราต่างคุ้นเคยกับการทำบางอย่างไม่เหมือนกัน
ผมตอบคำถามไม่ได้ว่า ผมทำอย่างนั้นเพราะอะไร
เท่าที่นึกออก ก็อาจจะเพราะ เราเรียนมาว่า เงินรับต้องเร็วที่สุด เงินจ่ายต้องช้าที่สุด
ขณะที่น้องเขาต้องการให้เสร็จๆไปทันทีไม่ต้องมายุ่งยากภายหลัง
แต่เอาเข้าจริงๆ เหตุผลที่ผมนึกออก มันก็ไม่ใช่เหตุผลอยู่ดี
วันนั้น ผมเครียดมาก

กลับมาบ้านเทศกาลสงกรานต์คราวนี้ เป็นการกลับบ้านที่ผมไม่ค่อยอยากกลับซักเท่าไหร่
มีเรื่องเครียดๆ สะสมอยู่หลายเรื่อง มีงานค้างอยู่ในหัวหลายงาน มีเรื่องกังวลใจอีกหลายสิ่ง
เป็นภาวะที่ผมไม่คุ้นเคยเลยกับการต้องอยู่กับคนอื่น
โดยเฉพาะพ่อแม่ ญาติพี่น้องซึ่งเป็นผู้คนที่เรารู้ว่าเราควรรักเขา และควรดูแลเอาใจใส่เขาให้มากๆ
ใจจริงผมอยากจะอยู่กทม. นั่งทำงาน นั่งจัดแจงสิ่งต่างๆให้ลงตัวมากขึ้นมากกว่า
แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ อยากกลับบ้านไปเยี่ยมท่านบ้าง แม้ว่าพอจะเดาได้ว่า จะเกิดสภาพอย่างไร

พ่อชี้ให้ดูต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนเพียงลำพัง
เนื่องจากกำลังมีการขยายถนน ต้นไม้เล็กๆ ชนิดอื่นๆ จึงถูกขุดถอนไปจนหมด
“ไม่รู้มันจะอยู่ได้นานอีกเท่าไหร่ เหลืออยู่ต้นเดียวโด่เด่อย่างนี้ อยู่ลำบาก” พ่อบอก
พ่อกำลังคิดว่าจะโค่นมันลงเพื่อเอามาทำวงกบประตูดี หรือจะขายทั้งต้นดี

ป้าถามว่า ตั้งแต่กลับมา เดินไปหาญาติคนอื่นบ้างหรือยัง... พ่อแซวต่อว่า สงสัยผมคงจะไปหาตอนที่จะกลับกทม.

... ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ มีความคิดและชอบทำอะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก (สมัยนี้ ก็ต้องเรียกว่า เป็นพวกไม่แคร์สื่อมาตั้งแต่เด็ก)
บ่อยครั้งเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้าง แต่บ่อยครั้งก็เพราะไม่สนใจคนอื่น
สนใจเพียงความต้องการของตัวเอง
ตอนเด็กๆ ผมเล่นคนเดียวเป็นประจำ อ่านหนังสือ วิ่ง ว่ายน้ำ เตะฟุตบอล เล่นปิงปอง เล่นหมากฮอส เล่นตุ๊กตา ดูดาว อื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน จะดึกเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แทบทุกครั้งก็ไปคนเดียว

แต่ในใจของผมก็อยากมีเพื่อนซักคนไปด้วยกัน
ผมคิดว่ามันคงดี เวลาที่เราสนุกและได้หัวเราะได้ยิ้มด้วยกัน
เวลาหลงทางก็ยังมีคนอยู่ด้วยให้อุ่นใจ เวลาโซ่จักรยานหลุดก็ยังมีคนช่วยใส่ เวลาว่ายน้ำแล้วเป็นตะคริวก็ยังมีคนคอยช่วยลากเข้าตลิ่ง ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
คงมีทะเลาะบ้าง เถียงกันบ้าง คิดไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เพียงลำพัง
บางครั้งผมก็อิจฉาพี่ชายของผมนะ (ลูกของลุง) เขาเป็นฝาแฝดกันไปไหนก็ไปด้วยกัน

จนได้รู้จักกับพระเยซู ผมรู้สึกว่าพระองค์เป็นเพื่อนที่ไปกับผมทุกที่จริงๆ

ชีวิตผมก็เหมือนกับคนทั่วๆไป ในแง่ที่เรามีเพื่อน มีคนรู้จัก ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย โบสถ์ (วัด)
เราชอบเพศตรงข้าม บางเวลาเราสมหวัง บางเวลาเราผิดหวัง
สำหรับตัวผม หลายปีก่อน ผมเคยคิดว่า อยู่คนเดียวก็ได้
จนเมื่อปีที่แล้ว ที่ผมเลือกจะคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง และตั้งใจจะแต่งงานอยู่กินด้วยกันจนแก่เฒ่า

ผมและเธอต้องปรับตัวจากสิ่งที่แต่ละคนคุ้นเคย จากการใช้ชีวิตเพียงลำพังมาเป็นการใช้ชีวิตร่วมกัน
ต้องปรับหาคลื่นให้เข้ากันทั้งเรื่องความคิด และวิถีการดำเนินชีวิต
ผมเชื่อว่า การที่ทั้งสองคนต้องก้าวออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง
คงทำให้ทั้งคู่อยู่ในภาวะ ไม่สบายตัวไม่สบายใจ บ้าง ไม่มากก็น้อย
จนเมื่อสามเดือนก่อน ความรู้สึก ของแต่ละฝ่าย ก็เดินทางมาถึง แนวต้าน และหยุดลง ณ ตรงนั้น...

กลับบ้านคราวนี้
ช่วยให้ผมยอมรับความจริงของตัวเองอย่างหนึ่งว่า ผมคุ้นเคยกับการอยู่ตัวคนเดียว
แม้ผมจะไม่ชอบและไม่อยากอยู่คนเดียวก็ตาม
ผมมองตัวเองว่าเกิดมาเป็นดั่งไม้ยืนต้น ที่วันหนึ่งคงเป็นร่มเงาให้ไม้เลื้อยและสัตว์อื่นได้พักพิงบ้าง
แต่ถึงวันนี้ ความจริงที่ว่า ไม้ใหญ่ไม่อาจยืนต้นได้เพียงลำพัง
ยิ่งตอกย้ำให้ผมไม่มั่นใจมากขึ้นว่า ผมจะเติบโตจนเป็นอย่างนั้นได้หรือเปล่า

เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา
ผมได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนมากขึ้น
การลึกลงในความสัมพันธ์กับบางคน ก็ช่วยให้ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ดีขึ้นไปด้วย
เป็นการเรียนรู้ที่ตลอด 30 ปี บนโลกนี้ ผมแทบจะไม่รู้จักเลย

ขณะที่ 3 เดือนที่ผ่านมา
กลับเป็นชีวิตที่ลักหลั่นยอกย้อนย่อนแย่นระหว่าง ชีวิตเดิมที่คุ้นเคยมาตลอดในการอยู่คนเดียว
กับชีวิตใหม่ที่คุ้นเคยกับการอยู่กับผู้คน
บ่อยครั้งที่ทำให้ผมหวนคิดถึงและโหยหาคนที่เปิดโลกใหม่ให้กับผม
แต่ก็ต้องย้ำบอกกับตัวเองไว้เสมอว่า วันเวลาเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้ว

ยังไม่รู้เหมือนกันว่า วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
เพียงแต่ไม่อยากให้ตัวเองใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ
ตามความ คุ้นเคย กับวิถีชีวิตเดิมๆ ในอดีตของตัวเองก็แค่นั้น

Mar 28, 2010

บ้านของเรา ภาค2

วันนี้ นั่งเก็บของเตรียมย้ายที่พักอีกครั้ง... (เศร้าจัง) ^^
ไปเจอไดอารี่ที่เคยเขียนไว้เมื่อปี 2007
เปิดไปอ่านหน้าแรกแล้วชวนให้นึกถึง เพลง บ้านของเรา
เหมือนเป็นบันทึกคำพยากรณ์ ที่เพิ่งจะสำเร็จเป็นจริงเมื่อไม่นานมานี้

ก็เลยคัดลอกไว้เป็นอนุสรณ์ให้ตัวเองได้จดจำ
ก่อนที่ต้นฉบับจะถูกเผาทิ้งในอีกไม่ช้านี้...

----------------------------------------------

สวัสดีปีใหม่ 2007

a little story เรื่องราวเล็กๆ เริ่มขึ้นที่ตรงไหนกัน
"บ้าน" คนคงมักนึกถึงอาคารซักหลังหนึ่ง มีผนัง มีหลังคา มีเนื้อที่
หลายคนคงนึกอย่างนั้น
แต่ถ้ามีแค่นั้น มันคงไม่ใช้มั้ง
"ความเป็นบ้าน" สำหรับผม ก็คือ ครอบครัว

ผมเคยคิดว่า ผมเจอที่ของผมแล้ว ที่ๆผมจะสร้างบ้าน ปลูกรักและความสัมพันธ์
ที่ๆผมจะลงหลักปักฐาน ไม่ว่าจะเจอลมแรง พายุโหมเพียงใด
ผมตั้งใจที่จะประคับประคองให้บ้านของเราฝ่าฟันไปได้

แต่วันนึง ผมก็พบว่า ทั้งหมดมันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อของผมคนเดียว
บ้านหลังนั้น หายวับไปในพริบตา
ดูๆแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่สำหรับผม ผมเหมือนเป็นคนหลงทางยังงัยก็ไม่รู้
ผมไม่รู้ว่าจะไปไหน ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ไม่รู้จะก้าวต่อไปอย่างไร
มีแต่ความกลัวและความเจ็บปวด
เหงาและเศร้า
ผมอยากกลับบ้าน แต่เหมือนไม่มีบ้านให้กลับ

อยากจะมีซักมุมหนึ่งของเมืองใหญ่ ให้ผมได้แอบตัวลงขดนอนบ้าง
อยากจะมีใครซักคนที่มองเห็นผมบ้าง
คนที่รักและแคร์กันจริง
พระเจ้าครับ ผมอยากมีบ้านให้กลับ
อยากมีที่ให้พัก อยากมีคนให้รัก
พระเจ้าถ้าไม่ลำบากพระองค์เกินไป ช่วยหันใจของผมให้รักเขาด้วยนะครับ
ผมรักไม่ไหวแล้ว
หัวใจผมมันล้าเต็มทีแล้วพระองค์ ช่วยรักผมด้วยนะครับ
เผื่อว่าซักวัน ผมอาจรักใครซักคนได้อีก
เผื่อสักวัน ผมจะกลับถึงบ้านของผมซักที

Jan.10,07

Mar 20, 2010

บ้านของเรา

นึกถึงคำว่า "บ้าน" ทีไร ก็นึกถึงเพลงนี้ทุกที
ใครมีบ้าง อยากฟังอ่ะ


...ความคิดล่องลอยกลับไป
ใจคิดถึงบ้านของเรา
นานเพียงไหน ยังจำบ้านเก่า
ภาพความหลังทุกวันสุขใจ

...จำร่มไม้วันแดดสดใส
โยงยอดใบลู่รับลม
บนต้นไม้มีรังนกกลมๆ
สร้างด้วยรักและความเข้าใจ

..บ้านของเราเป็นเพียงบ้านเก่าเรือนไม้
เป็นที่พักพิงสุขใจ
บ้านของเราเป็นเพียงบ้านเก่าเรือนไม้
ฉันยังจำ บ้านเก่า ไม่คลาย

...ดวงอาทิตย์ยามบ่ายส่องมา
ดูลำแสงเป็นสีทอง
บนท้องฟ้า เมฆปุยขาวเรืองรอง
แต้มด้วยรุ้งดูงามจับตา

...แมวตัวน้อยนอนขดหลับไหล
อิงอุ่นไอ แม่ของมัน
ตาหลับพริ้ม แล้วเอนหัวไปมา
สุขใดหนาจะมาทดแทน

..บ้านของเราเป็นเพียงบ้านเก่าเรือนไม้
เป็นที่พักพิงสุขใจ
บ้านของเราเป็นเพียงบ้านเก่าเรือนไม้
ทุกข์ยามใดหวนกลับบ้านเรา

...ความคิด ล่องลอยผ่านไป
เหมือนเวลาล่วงไป เพียงเมื่อวาน
มาวันนี้ ฉันคืนบ้านเก่า
อยู่ที่ไหนไม่เหมือนบ้านเรา..
บ้านของเรา...

เพลง"บ้านของเรา" ของ อ้อมกับอาร์ม หรือ คนคู่

Mar 15, 2010

ฮือฮือ ฮาฮา

ตั้งแต่จำความได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้ และหัวเราะไปพร้อมๆกัน

ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงนาที
เกิดจากได้เห็นชีวิตของหลายๆต่อหลายคน
แล้วมาขมวดเกลียวจบลงที่คุณตากับคุณยายคู่หนึ่ง

คุณยายก็เร่งให้ตา (แก่) เร็วๆหน่อย
คุณตาก็โต้กลับว่า อยากเร็วนักก็หย่าไปแต่งกับคนหนุ่มๆสิ...

ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมา 30 กว่าปี...
ยังทะเลาะกันเหมือนเดิม
ยังงอนกันเหมือนเดิม
ยังประชดประชันกันเหมือนเดิม

ความรู้สึกผมมาขึ้นเอาสูงสุด
ก็ตอนที่ทั้งสองคนเดินฝ่าอันตรายของเมืองกรุงมาจนถึงริมทะเล

คลื่นที่ยังคงซัดเข้าฝั่งเสมอ
คุณยายเอนหัวลงพิงคุณตา
คุณยายชวนคุณตาไปกินข้าว
แล้วคุณยายก็เร่งเร้าคุณตาเหมือนเดิม...
ทะเลาะกัน งอนกัน กระแหนะกระแหนใส่กัน...

ดูแล้วยังไงๆ ผมก็เห็นว่า 2 คนนี้ ยัง “รักกันเหมือนเดิม”

ขอบคุณหนังดีๆอีกเรื่องหนึ่งในชีวิต
New York, I love you.

Mar 2, 2010

ดูหนังดูละครย้อนดูตัว... The Book of Eli

ผมชอบหนังเรื่องนี้มาก ด้วยเหตุผลที่หลากหลายแง่มุม มันดิบ มันเถื่อน มันจริง
แม้มันจะเป็นเพียงการจินตนาการถึงอนาคตที่กำลังจะมาถึงก็ตาม

Eli เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่รอดจากสงครามครั้งใหญ่ สงครามที่ทำให้โลกถูกเผาและสว่างจ้านานนับปี
นับจากนั้น โลกก็ตกอยู่ในสภาพของความขาดแคลนที่เลวร้าย
หนังสือที่ทรงอิทธิพลเล่มหนึ่ง (ซึ่งปัจจุบันพิมพ์เผยแพร่เป็นภาษาต่างๆมากที่สุดในโลก) ถูกเผาไฟทิ้ง
บ้างก็ว่ามันจะช่วยกอบกู้โลกนี้ได้ บ้างก็ว่ามันคือต้นเหตุของสงครามใหญ่ครั้งนั้น

Eli ได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในหัวเขา เขาได้ยินชัดเจนเหมือนเสียงคนคุยกัน
นำเขาไปยังสถานที่ยังมีสำเนาหนังสือเล่มนั้น และให้เขาออกเดินทางไปทางทิศตะวันตก
จะพบสถานที่ที่หนังสือเล่มนั้นจะได้รับการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย

เขาออกเดินทางโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ไปอย่างไร จะอยู่อย่างไร จะเจออะไรบ้าง
สิ่งที่เขารู้คือ มุ่งตะวันตก และ เสียงนั้นจะปกป้องรักษาเขาให้ปลอดภัย...

ระหว่างทาง Eli ไม่ยอมให้ใครได้แตะต้องหนังสือเล่มนั้น
จนได้พบกับชายคนหนึ่ง ที่ต้องการหนังสือเล่มนี้เช่นกัน
เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครอง แม้แต่ใช้ลูกสาวตัวเอง
ฉากนี้ผมประทับใจกับคำพูดของ Eli มาก
เขาพูดว่า ถึงเวลาที่จะต้องทำตามสิ่งที่หนังสือสอนซะที
คือ การทำเพื่อคนอื่นมากกว่าเพื่อตัวเอง...

ตอนใกล้จบ หนังได้เฉลยอะไรบางอย่างที่ทำให้เรายิ่งต้องทึ่งกับการเดินทางของ Eli มากขึ้นไปอีก
ทึ่งมากจนอยากจะดูอีกรอบ


บางครั้งคนเราก็มีสิ่งสำคัญของชีวิต สิ่งที่เรายินดีจะปกป้องด้วยชีวิตของเราเอง
สิ่งที่เรายินดีจะสละทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาในครอบครอง
และบางครั้ง สิ่งที่คนหนึ่งปกป้อง กลับกลายเป็นสิ่งเดียวกับที่อีกคนหนึ่งต้องการครอบครอง

วิธีการไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าผลลัพธ์
การจดจ่ออยู่กับการบรรลุเป้าหมาย อาจทำให้เราถูกครอบงำ
ไม่คำนึงถึงวิธีการที่ถูกต้อง และมักนำมาซึ่งความพินาศในที่สุด

ทุกๆ ขั้นตอนของกระบวนการสู่ความสำเร็จล้วนมีคุณค่า
ผู้ที่เดินผ่านจนถึงปลายทางเท่านั้น จึงควรค่าแก่ความสำเร็จที่ได้รับ
บางครั้งเราอาจจะคิดว่า ความสำคัญ มันอยู่ที่เบื้องปลาย
แต่บ่อยครั้ง ที่ความสำคัญนั้น อยู่ระหว่างทาง

จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราทำงานหาเงินมากๆ เพื่อหวังว่าจะสร้างครอบครัวที่มีความสุข
แต่เมื่อถึงวันนั้นที่เรามีเงินมากๆ อาจไม่เหลือครอบครัวให้เราสร้างแล้วก็ได้

ชีวิตคนเรา ไม่ช้าก็เร็วคงต้องจากโลกนี้ไป
แต่ก่อนไปคงจะดีหากเราได้ทำภารกิจของเราให้เรียบร้อย
บางสิ่งที่จะได้รับการถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไป
บางสิ่งที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
มันอาจจะเป็นสิ่งใหญ่โตยากเย็นแสนเข็ญชนิดเลือดตาแทบกระเด็น
หรืออาจเป็นสิ่งเล็กๆ เช่นการให้น้ำดื่มกับชายแปลกหน้าซักคน

ชีวิต เป็นเรื่องของการเดินทางในแต่ละวัน เป้าหมายที่สำเร็จลงได้ก็เป็นเช่นเดียวกัน

ระหว่างที่ดูหนัง ผมรู้สึกว่าคนที่จะได้รับโอกาสในการทำภารกิจ ยิ่งสำคัญ ยิ่งต้องเป็นคนมีฝีมือ
แต่ตอนที่หนังจบ ผมกลับมองว่า คนที่ยิ่งมีพลังใจมากต่างหาก ที่จะได้รับโอกาสนั้น

ทักษะเรียนรู้กันได้... ง่ายกว่าฝึกฝนให้มีจิตใจที่แข็งแกร่ง

เพราะคงมีแต่คนจิตใจเข้มแข็งเท่านั้น ที่ถูกยิงแล้วยังเดินทางต่อไปยังไม่ยอมตาย
จนสามารถถ่ายทอด หนังสือ นั้นได้ครบทุกตัวอักษร


ขอทรงโปรดนำทางผม สร้างผมให้มีจิตใจที่แข็งแกร่ง ประทานกำลังให้ผมในการเดินทางแต่ละวัน...เอเมน

“I have fought a good fight, I have finished my course, I have kept the faith.” 2Timothy 4:7

Feb 27, 2010

S-M-I-L-E

วันนี้ไปร่วมฝึกอบรมของบริษัท ในหัวข้อเกี่ยวกับ EQ workshop
มีหลักหนึ่งน่าสนใจ จำง่ายๆ ว่า SMILE หรือ ยิ้ม นั่นเอง สรุปได้ดังนี้ครับ

Self awareness คือ การรู้เท่าทันตัวเอง การมีสติ
การที่เราสามารถ “ทัน” การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง

Manage emotion คือ ความสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ (ไม่ใช่เก็บอารมณ์นะ)
ผ่านการใช้ภาษากาย (สายตา สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง)
และสามารถผ่อนคลายอารมณ์ด้านลบของตัวเองออกได้โดยไม่ค้างไว้

Innovative inspiration คือ การมีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต เพราะจะช่วยเราทำออกมาจากข้างใน
ไม่ใช่แค่มีเพียงแรงจูงใจ (motivation) ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ทำจากภายนอก
สำคัญที่ตัวเองต้องรู้ตัวเองว่าต้องการทำอะไร และใช้ชีวิตตามนั้นได้อย่างสนุกสนาน

Listen with head and heart คือ การฟังคนอื่นด้วย “หัว” และ “ใจ”
ให้ความสำคัญทั้งกับเหตุผลและความรู้สึก

Enhance social skills คือ การพัฒนาทักษะทางสังคม
ลองคิดดูว่า ถ้าใครสักคน รู้จักตัวเอง ตามตัวเองทัน
สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองจากสิ่งเร้าภายนอก สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสนุกจากตัวตนภายใน
สามารถได้ยินสิ่งที่คนอื่นสื่อสาร และสามารถสื่อสารความเข้าอกเข้าใจนั้นกลับไปให้อีกฝ่ายได้
คนนี้ น่าจะเป็นคนที่ทำงานและอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างดี

นอกจากนั้น วิทยากร (อ. จิตตรา ดุธทวีเมทา) ยังได้แนะนำเทคนิคง่ายๆในการติดต่อสื่อสารงานให้รู้เรื่องด้วยการ “ทวนซ้ำ” ก่อนจบบทสทนา
ในฝั่งผู้พูด การทวนซ้ำงานที่ต้องทำ เป็นการเน้นย้ำใจความสำคัญที่เราต้องการสื่อสาร
ในฝั่งผู้ฟัง เป็นการตรวจสอบว่าตนเองเข้าใจถูกต้อง
วิธีการง่ายๆใช้เวลาไม่กี่วินาที แต่ช่วยลดการคิดไปเอง ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าใจไม่ตรงกัน
ที่สำคัญ ช่วยให้ทั้งสองฝ่าย (ทำงาน) มีความสุขด้วยกันทั้งคู่

ยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่วิทยากรได้ให้ผู้เข้ารับการฝึอบรมทำ
ทั้งในการฝึกการใช้สมองสองซีก และฝึก EQ ของเราทำไม่ยากและเห็นผลได้ชัดเจน (ถ้าสนใจ หลังไมล์ได้ครับ)
แต่สิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้ในวันนี้ คือ สิ่งสำคัญของความสุข เริ่มต้นที่รอยยิ้มของเราเอง
ถ้าเราโอเคแล้ว ใครจะโอเคหรือไม่โอเค อย่างน้อยก็ยังมีคนนึงล่ะที่โอเค

นั่นคือตัวเราเอง

Feb 26, 2010

ชื่อของเขาคือ...

ลองหลับตานึกถึงใครซักคนที่มีลักษณะดังนี้
+ สอบที่ไร ได้ ศูนย์ คะแนน เป็นเรื่องปกติ
+ ชอบนอนกลางวัน
+ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้
+ ถูกเพื่อนๆ แกล้งเป็นประจำ
+ ร่างกายไม่แข็งแรง เล่นกีฬาไม่เก่ง
+ รักธรรมชาติ รักเพื่อนพ้อง
+ เป็นคนมีเมตตา จิตใจอ่อนโยน มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
+ เป็นคนอดทน ไม่จดจำความผิด รักสันติ
+ มีจินตนาการ มีความคิดสร้างสรรค์
+ ปกติเป็นคนอ่อนแอ ขี้กลัว แต่ก็กล้าหาญได้ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาคับขัน
+ ...
นึกถึงใครบ้างไหมครับ...

เมื่อเช้านี้ปวดหัวหนักมาก ไม่ได้ไปทำงาน ก็เลยได้มีโอกาสเจอกับเพื่อนเก่าคนนึง ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว
เขามักจะเข้ามาหนุนใจผมหลายๆครั้งที่ผมรู้สึกท้อถอย หมดกำลังใจ

วันนี้ เขาเล่าเรื่องการเดินทางครั้งใหม่ของเขาให้ผมฟัง ดูแล้วก็ทันสมัยไม่น้อย
เป็นเรื่องของภาวะการลดลงของป่าไม้เนื่องจากการดำรงชีวิตของมนุษย์
เรื่องครั้งนี้เริ่มต้นจากความอ่อนโยนของเขา ซึ่งก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีด้วยความพยายามของเขา
และแน่นอนว่า ช่วงท้ายของเรื่อง เขาก็ร้องไห้อีกแล้ว

เขาเล่าต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง ชนิดแผ่นเดียวจบ
ผมยังคงนั่งคิดถึงสิ่งที่เขาพูด
เรื่องจิตใจที่ห่วงหากันและกัน เป็นสิ่งเชื่อมต่อชีวิดหนึ่งเข้ากับอีกชีวิตหนึ่ง
และเมื่อมีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมา ก็จะได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่
ทุกชีวิตต่างคอยเกื้อหนุนกันและกัน ทั่วทั้งจักรวาลจึงอบอวลไปด้วยความรัก

ช่วงท้ายที่เขาต้องจากลาเพื่อน ทุกคนต่างร้องไห้ออกมา
ผมถามตัวเองว่า ทำไมผมถึงไม่ค่อยร้องไห้เมื่อต้องจากลาคนอื่น

หลังจากนั่งตรึกตรองถึงเรื่องราวของเพื่อนผมคนนี้
ผมพบว่า ทุกครั้งที่เขาต้องจากลาคนอื่นเขาร้องไห้พร้อมรอยยิ้มทุกครั้ง
ผมนึกถึงการผจญภัยธรรมดาๆของเขาในชีวิตประจำวัน
จนกระทั่งโลดโผนทั้งใต้สมุทร กลางป่าดงดิบลึก อวกาศอันไกลโพ้น
หรือแม้แต่กระทั่งดินแดนแห่งเวทย์มนต์ หรือ ดินแดนสมัยไดโนเสาร์ก็ตามที

ทุกๆ การเดินทาง ไม่ใช่มีเพียงเขากับกลุ่มเพื่อนๆ
แต่มักจะมีใครบางคนที่ได้ร่วมในการผจญภัยนั้นๆเสมอ
ซึ่งสุดท้าย ต่างฝ่ายต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของตัวเอง

ผมอาจจะยังเข้าใจเพียงบางส่วน
แต่ผมตอบคำถามตัวเองว่า คุณค่าของการลาจาก อยู่ที่เรื่องราวระหว่างทางที่มีต่อกัน

คงต้องใช้ความกล้าหาญไม่ใช่น้อย ที่จะรักและใช้ชีวิตกับคนอื่นอย่างสนุกสนาน
ทั้งที่รู้ว่าวันหนึ่งการจากลาก็จะมาถึง

แต่ดูเพื่อนผมคงนี้ เขาคงเห็นเป็นเรื่องปกติเสียแล้วละมั้ง
ดูเหมือนหัวใจอันอ่อนโยนของเขาไม่เคยคิดมาก และวุ่นวายอยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ผมรู้ว่าแม้ตอนจบเขาอาจดูเศร้าๆ แต่ครั้งหน้า เขาก็จะสนุกกับชีวิตได้อีก

ในเมื่อวันหนึ่งการจากลาย่อมมาถึงอย่างแน่นอน
อย่างช้าก็ด้วยความตาย

ทำไมเราถึงไม่ใช้ชีวิตในวันนี้กับคนรอบข้างอย่างมีความหมาย
สิ่งละอันพันกันทีละน้อยเป็นเรื่องราวระหว่างทางที่มีต่อกันและกัน
ถักทอเป็นคุณค่าที่มีให้ต่อกัน ซึ่งมันจะคงอยู่ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่

ต้องขอบคุณเพื่อนผมคนนี้มาก
ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
ไม่ได้แค่เพียงมีชีวิตอยู่เท่านั้น

อีกทั้งช่วยให้ผมเข้าใจมากขึ้นด้วยว่า
เพราะอะไรความรักจึงเข้มแข็งดั่งความตาย

นึกออกไหมครับ เพื่อนผมคนนี้คือใคร...

ชื่อของเขา คือ โนบิ โนบิตะ ครับ

Feb 23, 2010

ย้ำเตือนให้จดจำ

เมื่อกี้ได้นั่งฟังเพลง อย่างน้อย
จำได้ว่าเคยเขียนบันทึกไว้ครั้งหนึ่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ที่มีเพลงนี้เป็นเพลงประกอบ
กลับไปย้อนอ่านแล้วหวนคิดถึงใครบางคนที่นึกถึงอยู่ตอนที่กำลังเขียนในขณะนั้น
ช่วยเตือนใจให้นึกถึงอะไรบางอย่างที่ลางเลือนไป

“ ...อาจจะเหนื่อยบางครั้ง อาจจะเจ็บบางที แต่ก็ยิ้มได้เรื่อยมา
อาจจะต้องผิดหวังก็ไม่เป็นไร
อย่างน้อยฉันได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ
ทุกนาทีที่ฉันมีเธอ รักคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายมากมายจริงๆ
อย่างน้อยฉันเคยได้รักเธอ รักด้วยการไม่หวังอะไร
ความพยายามที่ทำเพื่อเธอ จะขอทำต่อไป แค่มีรอยยิ้มของเธอส่งมา ก็ชื่นใจ
หากในวันพรุ่งนี้ เธอจะตอบตกลง คงจะคุ้มค่ามากมาย
แม้จะต้องผิดหวังก็ไม่เสียใจ...”

ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงไม่ถึงปีดี คนเราจะเผลอไผลหลงลืมเรื่องสำคัญไปได้อย่างง่ายดาย
มันอาจจะจริงว่า การไม่มองย้อนหลังกลับไปอีกเมื่อตัดสินใจเลือกแล้ว เป็นวิธีที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

ชีวิตเป็นเรื่องที่ผ่านแล้วผ่านเลย ย้อนกลับเอาคืนมาไม่ได้

การที่เราเผลอลืมบางเรื่องที่สำคัญในชีวิต ก็อาจทำให้เราเปลี่ยนไป
แม้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็อาจนานพอที่จะทำให้ใครบางคนที่เคยตัดสินใจอย่างหนึ่ง เปลี่ยนการตัดสินใจได้

แม้เมื่อเรานึกขึ้นได้และกลับมา ใครคนนั้นก็อาจเดินจากเราไปแล้วชั่วชีวิต

จากความแตกต่าง ก็กลายเป็นความแปลกแยก
จากปรับตัวเข้าหากัน ก็กลายเป็นตัวใครตัวมัน

ไม่ใช่ความผิดของใคร นอกจากตัวเองจะเตือนตัวเองเอาไว้ หากครั้งหน้าจะมีจริงเป็นโอกาสให้แก้ตัวใหม่
“จงจดจำ” เรื่องสำคัญไว้ให้ดี

... คำว่ารักยังพอให้ต่อชีวิต ยังทำให้คิดถึงวันเก่าๆเหล่านั้น
ได้แต่หวังลึกๆในใจ จะมีบ้างไหมสักวัน สิ่งที่ดีๆเหล่านั้น จะกลับมา...

แม้มันจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ แต่ก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เพลงมันมาได้ถูกจังหวะจริงๆ
(... อ้าว เคยเขียนบันทึกจากเพลง ฝุ่น เหมือนกันนี่นา ย้อนกลับไปอ่านซักหน่อยคงดี...)

Feb 19, 2010

เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง

เมื่อวันก่อนได้อ่านชีวิตของนักมวยไทยคนหนึ่งแล้วให้นึกถึงชีวิตของตัวเองช่วงนี้
รู้สึกเหมือนเป็นการชกที่โดนไล่ถลุงจนลงไปนอนนับแปดตั้งแต่ยกแรก
แม้จะพยายามลุกขึ้นมาสู้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ยกที่สามก็โดนปลายคางให้ลงไปนอนนับอีกครั้ง
รู้สึกเหมือนอยากลุกแต่ก็ไม่อยากลุก
มองไปที่มุมของตัวเอง ภาพของพี่เลี้ยงและคนที่คุ้นตาไม่มีอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว...

นึกย้อนชีวิตของตัวเองเปรียบเทียบกับนักมวย
สมัยที่เรายังกระดูกอ่อนมีพี่เลี้ยงคอยสั่งสอน คอยแนะนำ
ไม่ว่าจะไม่ชอบหน้ากันขนาดไหน แต่ก่อนชกเขาก็สอนเรา ขณะชกเขาก็ตะโกนบอกเรา ชกเสร็จก็ยังให้เราซ้อมต่อ
บางครั้งเห็นไม่ไหวจริงๆ แกก็โยนผ้ายอมแพ้ให้ เทคนิคใหม่ๆแกก็สอนให้
มีปัญหาคับค้องใจอะไรก็ปรึกษาแกได้ คัมภีร์มวยที่ว่ายากๆ แกก็หาวิธีอธิบายให้เราเข้าใจได้อย่างง่ายๆ

นอกจากพี่เลี้ยง อีกคนหนึ่งก็ลูกสาวเจ้าของค่ายมวย
ทุกครั้งที่ขึ้นชก เธอก็ยืนตะโกนอยู่ตรงนั้น
หมดยกทีไรเธอก็คอยให้น้ำ คอยเช็ดหน้าเช็ดตาให้
บางทีหมดแรงกายจะลุกก็ได้เสียงเธอเป็นแรงใจให้ลุกได้อีกครั้ง ชนะก็กอดกันกลม แพ้ก็ปลอบใจกัน

จนวันที่เราเริ่มมีประสบการณ์ เริ่มมีทางมวยไม่ตรงกันกับพี่เลี้ยง เริ่มไม่อยากเป็นนักมวยสังกัดค่าย
เราอยากหาชั้นเชิงมวยของตัวเราเอง อยากลองต่อยมวยในแบบของเราเอง...

เสียงเชียร์จากคนดูยังคงดังกึกก้องอยู่รอบเวที
แต่ผมรู้ว่า ไม่ว่าผมจะชนะหรือแพ้
คนเหล่านี้ก็จะกลับบ้านไปพร้อมกับเพื่อนของเขา กลับไปอยู่กับครอบครัวของเขา
สุดท้าย ก็จะเหลือผมอยู่เพียงลำพัง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมอาจจะยังลุกขึ้นมาต่อยอีกสักครั้ง
อย่างน้อยแม้จะแพ้ ก็ยังมีเรื่องไว้เล่าให้ใครบางคนฟังว่าผมพยายามแล้วนะ

นึกแล้วบางทีก็อยากย้อนเวลากลับไปได้
ถ้าวันนั้นเราไม่ทะนงและลำพองในตัวเองมากไป
วันนี้เราอาจคงยังมีพี่เลี้ยงอยู่ที่มุมเวที แต่ที่แน่ๆ จะยังคงมีใครบางคนที่ยืนอยู่เพื่อผมตรงนั้น...

ระฆังยังไม่ดัง เวลายังไม่หมด กรรมการยังไม่นับสิบ ผมยังมีโอกาสชนะ

ถ้าผมไม่ลุกขึ้นมา หนทางของผมคงจบลงที่ความพ่ายแพ้แน่นอน
แต่ถ้าลุกขึ้นมา แม้จะยังไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาเพื่อใครหรือเพื่ออะไร
อย่างน้อยประตูสำหรับชัยชนะของผมก็ยังไม่ปิดตายเสียทีเดียว

ดูเหมือนว่า ณ ตอนที่เขียนเรื่องนี้อยู่ ผมจะลุกขึ้นมาได้สำเร็จและยืนอยู่ได้จนครบยก

ผมรู้ว่า ยกหน้า แรงที่เหลือเพียงน้อยนิดคงทนโดนต่อยหนักๆ ได้อีกไม่กี่ครั้ง
หนีไปคงไม่มีประโยชน์ คงมีแต่ต้องใส่ไม่ยั้ง แลกกันไปให้เห็นดำเห็นแดง

อย่างน้อย ชกครั้งนี้ ผมก็ได้เรียนรู้จะเป็นพี่เลี้ยงของตัวเองในขณะชก
ไม่มีคนให้ฟูมฟายด้วย ไม่มีคนคอยช่วย ไม่มีกำลังใจจากคนอื่น
ไม่มีคนปรึกษา ไม่มีคนอยู่เคียงข้าง
คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่า มันเป็นการต่อสู้เพียงลำพังเต็มรูปแบบครั้งแรกของผม

จะชนะหรือแพ้ ตอนนี้คงไม่สำคัญสำหรับผมเท่าไหร่
เพราะการชกบนเวทีนี้ สอนให้ผมได้รู้ว่า หนทางของนักสู้อยู่ที่หัวใจของตัวเอง
มันเป็นความรับผิดชอบของตัวเราเองล้วนๆ
แม้จะเหลือเพียงลำพัง แต่หากระฆังยังไม่ดังหมดยก ลมหายใจยังไม่หยุด
จะล้มอีกเจ็ดครั้ง ก็ให้ลุกขึ้นมาอีกเจ็ดครั้ง และหาหนทางที่จะชนะให้ได้

ไม่ต้องรอจนชกครบ 12 ยก หรือต้องคว่ำคู่ต่อสู้ให้ได้ก่อน ถึงจะเรียกว่า ชนะ
ชัยชนะที่แท้จริง เริ่มต้นที่หัวใจของคนที่ยืนอยู่บนสังเวียน

ขอบคุณที่เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง ผมจึงได้หัวใจของนักสู้มาแทน...


ปล. ไม่มีพี่เลี้ยงไม่เป็นไร แต่อย่างไรก็ตาม ขอมีลูกสาวเจ้าของค่ายมวยไว้สักคนก็ยังดี เห็นด้วยไหมครับ

Feb 6, 2010

สองคน

เมื่อวานนี้ไปกินข้าวกับน้องคนหนึ่งมา เขาเล่าให้ฟังถึงเรื่องเพื่อนของเขา...

วันก่อนเดินผ่านตึกที่กำลังก่อสร้าง เพิ่งรู้ว่าเขากำลังสร้างสนามแบต...

เมื่อสัปดาห์ น้องคนหนึ่งขึ้นหัวข้อความในแชตว่า “Two are better than one; because they have a good reward for their labour. For if they fall, the one will lift up his fellow: but woe to him that is alone when he falleth; for He hath not another to help him up.”


สองสามวันมานี้ป่วยหนักแบบไม่มีสาเหตุ ในบางช่วงบางจังหวะชวนให้คิดย้อนไปข้างหลังและคิดล่วงไปข้างหน้าถึงเรื่องราวหลายอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว และยังไม่เกิดขึ้น บางอย่างก็อยากให้เกิดขึ้น บางอย่างก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น...

นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่ผมเคยถามเขาว่าคิดอย่างไรถึงแต่งงาน และหลังจากนั้นอีกสามปีก็ถามเขาอีกครั้งว่า แต่งงานแล้วเป็นอย่างไร...

นึกถึงงานแต่งงานของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่มีข้อขัดแย้งกับแม่เจ้าสาว เรื่องการจัดงานแต่งงาน ในคืนก่อนวันแต่งงาน...

นึกถึงพ่อกับแม่ เวลาที่แม่ยิ้มเมื่อพูดถึงพ่อ เวลาที่พ่อร้องไห้เมื่อพูดถึงแม่...

นึกถึงความรู้สึกของปู่ ที่เป็นอัมพฤกษ์ก่อนย่า แล้วต้องเห็นย่าเส้นเลือดในสมองแตกและเสียชีวิตก่อนตัวเอง...

นึกถึงชีวิตของตัวเอง...


นึกแล้วก็ชวนให้เกิดคำถาม คำถามที่นำไปสู่คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ “ความรักคืออะไร” แม้จะมีนิยามความหมายดีๆมากมายของคนที่พยายามให้นิยามไว้ แต่ในส่วนตัวผม คำนิยามที่ว่า “ผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็ไม่รู้จักความรัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก” ดูจะเป็นนิยามที่กินใจที่สุด

ใครจะบอกได้ว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร ความรักก็เหมือนกัน...

สิบกว่าปีก่อน ผมเคยสงสัยว่า ทำไมการจะรักใครสักคนถึงยากจัง มาถึงวันนี้ จึงเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า การจะรักใครสักคนนั้นไม่ยาก แต่มันยากที่จะต้องยอมรับว่า เราอาจจะไม่ใช่คนที่ถูกรักของคนที่เรารัก มันยากตรงที่วันหนึ่งคนที่เรารัก เขาอาจจะไม่อยู่ให้เรารักอีกแล้ว มันยากตรงที่บางครั้ง เราก็ต้องแสดงออกความรักของเราด้วยอาการของการไม่รัก

พูดง่ายๆ เรากลัวและไม่อยากเจ็บปวด เราไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากกลับมาอยู่กับความเปล่าเปลี่ยวอีกครั้ง

แม้ในความเป็นจริง เราอาจจะมาถึงจุดตระหนักที่ว่า มนุษย์ทุกคน แต่ละคนถูกสร้างมาเพื่อเป็นที่รัก ทุกสถานการณ์ ทุกสิ่งอย่างได้รับการจัดเตรียมมาอย่างเจาะจงเพื่อเรา เพื่อบอกว่า เหตุผลที่มีเราอยู่บนโลกนี้ เพราะพระเจ้าทรงรักเรามากๆ แต่สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า มันก็ทำให้เรารู้สึกแย่และเจ็บปวด จนยากที่จะเชื่อได้อย่างนั้นว่า เราเป็นที่รักจริงๆ

ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวเหล่านี้หรือเปล่า บางคนถึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง

ผมเคยคิดว่า ถ้าเลือกได้ ผมขอตายทีหลังภรรยาผม ผมคิดว่าคนที่ยังอยู่ คงต้องเผชิญกับอะไรหลายๆอย่างมากกว่าที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก จริงๆ ถึงวันนี้ ผมก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่ เพียงแต่ตระหนักมากขึ้นว่า นั่นเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้คือพยายามสร้างความทรงจำที่ดีให้แต่ละคนเก็บเอาไว้

คอยเช็ดตัวเวลาที่ไม่สบาย ทำกับข้าวให้กิน ไปออกกำลังกายด้วยกัน ช่วยใส่รองเท้า นั่งร้องไห้ด้วยกัน ไปงานปาร์ตี้ด้วยกัน มีความสุขด้วยกัน

ผมคิดว่าความทรงจำดีๆเหล่านี้ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ คงช่วยเป็นกำลังใจให้กับเราได้มากเท่านั้น ในวันที่เราคนใดคนหนึ่งต้องอยู่เผชิญโลกนี้เพียงลำพัง

ช่วยให้เราจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง เราเคยรักใครคนหนึ่ง และเป็นที่รักของใครคนนั้น

"The supreme happiness of life is the conviction that we are loved." - Victor Hugo

Jan 20, 2010

ชีวิตคู่

คนเราอยู่ด้วยกัน จะคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ก็ไม่แปลก

คน 2 คน เติบโตมาจากคนละพื้นฐานครอบครัว ได้รับการเลี้ยงดูต่างกัน สังคมเพื่อนฝูงต่างกัน จะให้คิด ให้รู้สึกเหมือนกันทั้งหมด มันก็แปลก สำคัญตรงที่ว่า ให้มีความรักต่อกัน เพราะความรักจะทำให้ฝ่ายหนึ่งสมบูรณ์ครบถ้วนสำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง

คนรักกัน มันคุยกันรู้เรื่องอยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่เมื่อมีคนหนึ่ง ปรี้ดแตกขึ้นมา พอแตกปุ้บก็คุยกันไม่รู้เรื่องละ ยิ่งต่างฝ่ายต่างขึ้น ฉันขึ้น เธอขึ้น จากทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา คราวนี้จะกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาขึ้นมา

“ทำไมเขาเปลี่ยนไป”

“เขาไม่รักเราเหมือนเมื่อก่อนแล้วเหรอ”

“เรื่องแค่นี้ ทำไมไม่เข้าใจ”

“เขาต้องง้อเราก่อนสิ”

และอื่นๆ อีกมากมาย...

คนโบราณเคยบอกไว้ว่า ชีวิตคู่ ก็เหมือน ลิ้นกับฟัน มีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดาตามประสาคนเคียงคู่อยู่ใกล้ชิดกัน (คนที่มักกัดลิ้นตัวเองบ่อยๆ คงเข้าใจดี)

แต่ผมว่า มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะ เพราะลิ้นกับฟัน ถูกสร้างไว้ให้อยู่ด้วยกัน จะกัดกัน ขบกันบ้าง แต่ยังไงก็ยังอยู่คู่กัน ไม่เหมือนคน ที่มีชีวิต มีความคิด มีอิสระ

กัดกันแล้ว เจ็บกันแล้ว จะไปไหนมาไหนก็ได้ตามใจชอบ

สามารถเลือกได้ ว่าจะอยู่ด้วยกันต่อไป หรือ พอแล้วสำหรับ “ชีวิตคู่”

Jan 18, 2010

เมื่อต้องรับรู้เรื่องใหม่ๆ

“เมื่อฉันเห็นใบโพธิ์ ฉันเรียกมันว่า ใบโพธิ์” ออสการ์ ไวด์

เคยสงสัยไหมว่า คนเรารับรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างไร

เมื่อปี 1962 ณ มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด
นาย เฟสติงเจอร์ ลีออง ได้เสนอทฤษฎีหนึ่งชื่อว่า ทฤษฎีการไม่สอดคล้องกันของการรับรู้ (A theory of Cognitive Dissonance) เพื่อศึกษาว่า เราเชื่อสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร และความเชื่อนั้นมีผลกระทบต่อพฤติกรรมของเราอย่างไร

โดยสรุป ทฤษฎีนี้กล่าวว่า เราพยายามรักษาความรู้สึกว่า มีความสอดคล้องกันระหว่างสิ่งต่างๆที่เรารู้จัก เราจะต่อต้านข้อมูลใหม่ๆ ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความไม่สอดคล้องกับความเชื่อของเรา หรือ เราจะพยายามหาทางลดการไม่สอดคล้องนั้น

เขาทำการทดลองหลายครั้งหลายรูปแบบ มีครั้งหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเขาทำการสอบถามกลุ่มตัวอย่าง 585 คนว่า “คุณคิดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่กับโรคมะเร็งปอด เป็นสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว หรือ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์” ปรากฏผลว่า

กลุ่มคนไม่สูบบุหรี่ 29% เชื่อว่าพิสูจน์แล้ว อีก 55% คิดว่ายัง
ในขณะที่ กลุ่มคนที่สูบบุหรี่ 7% เชื่อว่าพิสูจน์แล้ว อีก 86% คิดว่ายังไม่ได้พิสูจน์

ปัญหาไม่ใช่เรื่องของคำถาม-คำตอบ แต่คือ ทำไมคนที่สูบบุหรี่กับคนไม่สูบบุหรี่ จึงมีความคิดต่างกันขนาดนั้น

เฟสติงเจอร์กล่าวว่า การที่คนสูบบุหรี่คิดอย่างนั้น เพราะเขากำลังพยายามลดระดับของการไม่สอดคล้องกันของการรับรู้ โดยการปฏิเสธความสัมพันธ์ดังกล่าวซึ่งเป็นสาเหตุของการไม่สอดคล้อง แม้จะมีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันมากมาย แต่การยอมรับหลักฐานเหล่านั้นทั้งที่ยังสูบบุหรี่อยู่ จะก่อให้เกิดการไม่สอดคล้องกัน ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวดและความสับสนทางความเชื่อให้เขา การปฏิเสธข้อมูลใหม่ซึ่งไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมเดิม จึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะลดความเจ็บปวดนั้น

ด้วยทฤษฎีนี้ เขาสามารถนำมาอธิบายพฤติกรรมของคนเราว่ามีแนวโน้มที่จะลดความไม่สอดคล้องกันของการรับรู้ ซึ่งเกิดจากการไม่ลงรอยกันในสังคมได้อย่างไร โดยยิ่งมีขนาดของการไม่สอดคล้องกว้างเพียงใด ความพยายามที่จะลดมันก็ยิ่งมากเท่านั้น

เขาระบุถึงกลไก 3 อย่าง ซึ่งคนเราใช้ในการพยายามลดความไม่สอดคล้องกันอันเกิดจากการเห็นไม่ตรงกัน

1. การเปลี่ยนความคิดของเราให้สอดคล้องใกล้เคียงกับความรู้ใหม่ (ว่าคนอื่นเขาเชื่ออย่างไร) กลไกนี้ มักพบได้บ่อยในกลุ่มอภิปรายเพื่อแสวงหาฉันทามติร่วมกัน
2. การพยายามกดดันผู้อื่นที่เห็นไม่สอดคล้องกับเราด้วยวิธีการต่างๆนานา เพื่อเปลี่ยนความคิดของเขาให้เหมือนที่ตัวเองคิด นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พบเห็นได้ไม่ยากนัก
3. การทำให้คนอื่นที่มีความคิดเห็นต่างออกไปกลายเป็นอะไรสักอย่างที่อยู่คนละระดับ คนละมาตรฐานกับเรา จนไม่สามารถใช้ความรู้หรือความเชื่อนั้นร่วมกับเราได้ เช่น การบอกว่า เขามีประสบการณ์เฉพาะตัว มีแรงจูงใจต่างกับเรา มีเป้าหมายต่างกับเรา รวมถึงการทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือแม้แต่การบอกว่า เขาตาบอดสี

นอกจากนั้น เฟสติงเจอร์ยังมีข้อสรุปเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อเดิมว่า สำหรับบางคน การไม่สอดคล้องกันของความรู้ใหม่กับความเชื่อเดิมเป็นสิ่งที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเหลือจะทน ในขณะที่บางคนกลับมีความสามารถที่จะยอมรับการไม่สอดคล้องกันได้สูงกว่า

เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่มีความอดกลั้นต่ำที่จะพัฒนาไปสู่ บุคลิกภาพแบบเผด็จการ และพร้อมจะใช้วิธีการที่ทำให้คนอื่นเสื่อมเสียได้อย่างง่ายๆ เพื่อลดความไม่สบายหรือความเจ็บปวด อันเกิดจากการไม่สอดคล้องกันของการรับรู้ของตน


นี่เป็นสรุปความจากส่วนหนึ่งที่น่าสนใจของหนังสือที่ชื่อว่า ฉีกหน้าวิทยาศาสตร์ (Alternative science) ซึ่งเดิมที ผู้แต่งให้ชื่อว่า วิทยาศาสตร์ลับแล (Science forbidden) จริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้พูดถึงการปฏิเสธการค้นพบความจริงๆใหม่ในโลกของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นงานที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าต้องใช้เหตุและผลมากที่สุดงานหนึ่ง โดยเฉพาะเป็นการปฏิเสธโดยสภาวิทยาศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญ เราไม่อาจรู้ได้ว่าโลกของเราล้าหลังกว่าที่ควรจะเป็นไปกี่ปี แต่อย่างน้อยที่รู้แน่ๆ ก็คือ พวกเขาปฏิเสธอยู่กว่า 5 ปี ที่จะยอมให้ “พิสูจน์” ว่า วัตถุที่หนักกว่าอากาศนั้นจะสามารถบินได้

ส่วนตัวผมเอง ผมคิดว่าทฤษฎีนี้สามารถนำมาใช้อธิบาย กระบวนการเปลี่ยนโลกทัศน์ หรือ การเปลี่ยนกรอบความคิด (Paradigm shift) ของคนเราได้ มันสามารถนำมาอธิบายได้ว่า ทำไมคน 2 คน ที่มีพื้นฐานความเชื่อไม่ต่างกัน เมื่อได้รับความรู้ หรือ เผชิญเหตุการณ์เดียวกัน ถึงมีพฤติกรรมตอบสนองแตกต่างกัน

ทำไม ขอบเขตของคนบางคนถึงไม่เคยขยายออกเลย ขณะที่คนบางคนกลับเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างมากมาย (คำว่า เรียนรู้ แตกต่างจากคำว่า รู้เกี่ยวกับ อย่างมาก อย่าเข้าใจไขว้เขว)

ทำไม บางกลุ่มคนจึงมีเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย เติบโต และขยายออก ขณะที่ บางกลุ่มไม่สามารถมีพื้นที่ให้กับความแตกต่าง เกิดเป็นลักษณะสังคมเชิงเดี่ยว หรือกลุ่มคนคล้ายที่หลายคนเรียก เพราะคนที่ไม่ยอมรับการกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization) ก็จะถูกกดดันให้ออกจากกลุ่มไปเองโดยปริยาย

ทำไม คนแต่ละคนในบางชุมชน จึงมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิต ขณะที่ บางชุมชนต้องจัดระเบียบ “สมาชิก” ของกลุ่ม ด้วย กฎเกณฑ์ นโยบาย และธรรมเนียมปฏิบัติ

นอกจากนี้ ทฤษฎีนี้ยังใช้อธิบายได้อีกว่า ทำไมในบางกลุ่มคนที่มักเน้นความสำคัญของผู้นำ (มากเกินจริง) จึงมักมีผู้นำที่มี บุคลิกภาพแบบเผด็จการ และที่สำคัญ ทำไม คนที่ย้ายออกไปจากกลุ่มคนเหล่านี้ จึงมักมีแต่คนชื่อเสียงไม่ดีเสียทุกครั้งไป

Jan 16, 2010

เพลงเก่าๆ

เดินผ่าน มองคนไม่รู้จัก วนเวียนและเป็นอยู่
ดูไปก็รู้สึก อย่างเคย เหมือนเคย
ลองมองผ่าน ความทรงจำที่มีอยู่ คงมีเพียงฉันคนหนึ่ง
คนเดียวที่รู้จัก อย่างเดิม เหมือนเดิม

วันเดือนปีเคยเป็นแค่เพียงสายลมผ่าน
(แต่)ใครคนนึงทำเวลาฉันให้รู้สึกมีความหมาย

คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน

ในวันหนึ่งแค่มองเธอนั้นเดินผ่าน เพียงคนไม่รู้จัก
ทำวันที่เป็นอยู่เปลี่ยนไป จากเดิม

วันเดือนปีเคยเป็นแค่เพียงสายลมผ่าน
(แต่)ใครคนนึงทำเวลาฉันให้รู้สึกมีความหมาย

คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน
.
.
.

หากเราต้องจากกัน จากกันด้วยเหตุใด
เก็บความคิดที่คล้ายกัน กับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้นไว้

หากวันไหนที่เธอ เกิดเจอะเจอทุกข์ภัย
หากเธอนั้นเดือดร้อนใจ จะเป็นเรื่องใดที่ทำให้เธอท้อแท้

ขอเพียงแต่เขียนมา ขอเพียงส่งเสียงมา จะไปหา

จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ
ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ
จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล
หากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ

โปรดจงรู้ว่ามี อยู่ตรงนี้อีกคน
กับชีวิตที่วกวน จะมีผู้คนกี่คนที่เป็นมิตรแท้

ขอเพียงแต่เขียนมา ขอเพียงส่งเสียงมา จะไปหา

จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ
ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ
จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล
หากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ

จิตใจยังพร้อมจะยินดี กับรอยยิ้มที่เธอมี
อยากเห็นยิ้มที่ชื่นบาน อยากเห็นจากเธอ

อยากให้เธอได้มี สิ่งที่ดีเรื่อยไป
หากวันไหนเกิดทุกข์ภัย โปรดจงมั่นใจ

จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ
ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ
จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล
หากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ

จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ
ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ
จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล
หากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ
.
.
.

ลมพัดมาแค่เพียงเบาๆ ดาวทุกดวงก็ดูสวยดี ทุกอย่างดูดีกว่าทุกวัน
เพลงที่เคยหลงลืมมันไป กลับไปหามาฟังทั้งวัน
ปลอดปลดอารมณ์ ปล่อยให้มันลอยหายไป

ฟ้าเดิม ๆ แต่คืนนี้กลับดูสวยจัง ได้แต่นั่งอยู่ตรงนี้ กับใจที่มันอ้างว้างเหลือเกิน

อยู่ดีๆ ก็อยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เกิดเหงาอะไรขึ้นมา
อยู่ดีๆ ก็อยากร้องไห้ น้ำใสๆ ก็รินจากตา มันเหงา ไม่รู้ทำไม

มันเหมือนใจรอใครบางคน แต่ว่าเขาไม่มีตัวตน
ก็อยากมีคน นั่งมองดาวกับฉันบ้าง
.
.
.

ดึกแล้ว ข่มตานอนแต่หัวใจรุมเร้า
ออกมายืนหาดาวช่วยปลอบใจ
ดึกแล้ววุ่นใหญ่ใจร้อนรน

อยู่ไหน อยากจะรู้ตอนนี้เธอ อยู่ไหน
หลับสบายหรือไร ช่วยบอกกัน
เอ่ยถามพระจันทร์ บอกฉันที

* เขาคงนอนหลับอยู่ ไม่รู้ ไม่สนใจ
ฉันเดียวดาย ก็ใครคิดถึงเธอ
แค่เพียงเอ่ยความในใจ
บอกเธอให้รู้ไป เริ่มยังไง ไม่กล้าพอ

** อยากขอ ฝากดวงดาวทำให้ใจเธอรู้ ว่ามีใครเฝ้าดู ได้แต่คอย
ได้ไหม วานหน่อย ช่วยฉันที ช่วยบอกเธอ
.
.
.

ตัวฉันคนอย่างตัวฉันใครจะมาสนใจ
คนสวยคนที่ดีพร้อมเขาก็มองข้ามไป
เพราะฉันมันเป็นคนแบบปอนปอนทั่วไป
ไม่เห็นจะมีดีที่ใดปล่อยชีวิตไปวันวัน
ได้แต่ฝันจะมีใครอยู่ข้างเคียง

ยามเหงาได้แต่ทนเอาเราเกิดเป็นผู้ชาย
เจียมไว้ได้แต่เจียมหัวใจได้แต่คอยซักวัน
และแล้วมาเจอคนแบบปอนปอนเหมือนกัน
ตัวฉันจึงมีคนรู้ใจไปไหนก็ไปกันต่างก็รู้ในใจกัน
เรามั่นใจ..

เราจะฝ่าฟันเรารู้เรา
มีกันและกัน
เราจะแบ่งปันจะบวกใจ
ให้เป็นหนึ่งเดียว..

บางครั้งถ้าหากเจอฝนเราจะทนด้วยกัน
เราหนาวเราเปียกปอนเท่าใด
เดินต่อไปไม่หวั่น
เพราะรู้ว่าเราเป็น
แบบปอนปอนเหมือนกันมีร่มเพียงคันเดียวก็พอ
เท่านั้นก็พอใจหากลมฝนจะแรงไปเราไม่กลัว

และแล้วมาเจอคนแบบปอนปอนเหมือนกัน
ตัวฉันจึงมีคนรู้ใจไปไหนก็ไปกัน
ต่างก็รู้ในใจกันเรามั่นใจไปไหนก็ไปกัน
ต่างก็รู้ในใจกันอย่างนี้
.
.
.

กว่าจะรวมจิตใจ เก็บทรายสวยๆ มากอง ก่อปราสาทสักหลัง
ก่อกำแพงประตู ก่อสะพานสร้างเป็นทาง ทำให้เป็นดังฝัน
ก่อนที่ฉันจะได้เห็นทุกอย่าง อย่างที่ฝันที่ฉันทุ่มเท
น้ำทะเลก็สาดเข้ามา ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา
เหลือเพียงทรายที่ว่างเปล่า กับน้ำทะเลเท่านั้น
ไม่เหลืออะไรเลย จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน
ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม
ทีละเล็กละน้อย ที่คอยสะสมความดี มีให้เธอเท่านั้น
ก่อเป็นความเข้าใจ แต่งเติมความหมายด้วยกัน
คอยถึงวันที่หวัง ก่อนที่ฉันจะได้พบความสุข อย่างที่ฉันฝันไว้ทุกวัน
เธอก็พลันมาจากฉันไป ไม่เหลืออะไรเลย

(ไม่เหลืออะไรเลย) แหลกสลายลงไปกับตา
เหลือเพียงใจที่ว่างเปล่า กับฉันคนเดียวเท่านั้น

จะเอาแรงพลังจากไหนไว้เติมแต่งฝัน
จะเอาวันและคืนจากไหนให้พอทำใจ ไม่เหลืออะไรเลย
จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม
จะเอาแรงพลังจากไหน ไว้เติมแต่งฝัน
จะเอาวันและคืนจากไหน ให้พอทำใจ ไม่เหลืออะไรเลย
.
.
.

เธอเคยบอกว่าเธอไม่มีแม้ใครสักคนหนึ่ง
คงลืมว่าอย่างน้อยยังมีฉันไง
วันใดที่เธอมีเพื่อนรุมล้อมเธอหรือยังมีใคร
เธอก็จะไม่เห็นฉันเลยคนดี
แม้วันใดหัวใจเธอพ่าย จะมาแพ้ไปกับเธอ
และถ้ามีวันใด น้ำตาเธอเอ่อ จะร้องไห้เป็นเพื่อนกัน
* หากเธอสมหวัง...ในวันหนึ่ง
ให้รู้ว่าฉันยังแอบเห็นและชื่นชม
หากเธอท้อแท้...ฉันยังอยู่
หากแม้นไม่เห็นฉัน
จงโปรดรู้ไว้ว่าเธอใช่อยู่คนเดียว
.
.
.

ในบางช่วงของอารมณ์...

แล้วก็
คิดถึงเพลงใหม่ๆ เพลงหนึ่ง...


ฉันบินได้ และสามารถได้ยินความคิดใครๆ
และยังเคลื่อนไหวภายในพริบตา
หายตัวได้ และสามารถเยียวยาแผลได้เร็วไว
ข้ามเวลาไปไหน ดั่งใจต้องการ

แต่ใจฉันทรมาน ทุกวันยังนอนไม่หลับ
ไม่รู้ว่าอะไรที่ฉันขาด ที่ฉันยังต้องการอีกไหม
ปีกมีไว้ทำไม ถ้าไม่เคยมีใครให้โอบ
รู้ความในใจคงไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครให้เข้าใจ

หัวเราะได้ และสามารถจะมองฟ้าที่กว้างใหญ่
เจ็บปวดเมื่อไร ก็มีน้ำตา
ร้องเพลงได้ และสามารถจูงมือคนรักเรื่อยไป
เท่านี้ใช่ไหมที่คนต้องการ

แต่ใจฉันทรมาน ทุกวันยังนอนไม่หลับ
รู้ว่าอะไรที่ฉันขาด แต่ฉันคงไม่อาจมีไว้
ไม่ต้องหายตัวได้ ถ้าไม่เคยมีใครเฝ้าดู
ข้ามเวลาไปฉันก็คงจะรู้ ว่าฉันจะต้องอยู่อย่างไร

ปีกมีไว้ทำไม ถ้าไม่เคยมีใครให้โอบ
รู้ความในใจคงไม่ประโยชน์ ไม่มีใครให้เข้าใจ
ไม่มีใครให้เข้าใจ

ฉันบินได้
.
.
.

Jan 12, 2010

จากนี้ไปไม่เหมือนเดิม

ผมเคยชื่นชอบ "มัน" มาก
ผมยกให้ "มัน" อยู่ระดับพิเศษ เรียกได้ว่า ปฏิเสธสิ่งอื่นๆได้เพื่อ "มัน"
เพื่อ “มัน” แล้วไม่ว่าจะเยอะ จะหนัก จะยาก ลำบาก ไกลแค่ไหน ดึกเท่าไหร่ ต้องจ่ายเท่าไหร่ไม่มีเกี่ยง
ผมรู้ว่า แม้ผมจะไม่ได้สนิทกับ “มัน” ที่สุด แต่ถ้าพูดถึงผม ไม่มากก็น้อยหลายคนมักนึกถึง “มัน”

จนวันหนึ่ง ผมรู้สึกว่า “มัน” เยอะเกินไปแล้ว เกินกว่าผมจะรับได้
หลายสิ่งเกิดขึ้นกับชีวิต ทำให้ผมแย่ลง สุขภาพไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ ผมเริ่มปลีกตัวออกจาก “มัน”
แต่ก็ยังอดคิดถึง “มัน” ไม่ได้
“มัน” ช่างมีอิทธิพลกับชีวิตของผมเหลือเกิน

จนเมื่อเร็วๆนี้ ที่ผมได้พบความจริง ว่าแท้จริงแล้ว ความรู้สึกดีๆที่ผมได้จาก “มัน” นั้น เทียบไม่ได้กับ “อันตราย” มากมายที่ผมได้รับอย่างไม่ตระหนักถึง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
“มัน” ทำลายผม มากกว่าที่ผมคิดไว้

ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะตัดขาด “มัน” ชนิดไม่ต้องเจอกันเลยนะ
บางครั้ง บางโอกาส อาจได้เจอกันบ้าง
แต่ก็คงไม่เป็นเหมือนเดิม จากนี้ไป เราไม่มีทางสนิทกันเหมือนเดิมแน่

หากเรารู้ว่า อะไรไม่ดีแล้วยังทำ หรือรู้ว่าอะไรดีแล้วไม่ทำ พระคัมภีร์ของคริสเตียนบอกว่าเป็น “บาป”
ถ้ารู้ว่าใช้ชีวิตกับอะไรแล้วทำให้ชีวิตแย่ลง หรือรู้ว่าใช้ชีวิตอย่างไรแล้ว ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ไม่ทำ นั่นคือ เราทำบาปแหงๆ

กินอาหารบุฟเฟต์เยอะๆ เนื้อๆมันๆ โดยเฉพาะมื้อเย็น อันตรายต่อชีวิตมากกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ
ลด ละ เลิก ทุขโภชนาการทุกประการ หันมาใส่ใจสุขภาพ กินอาหารที่ดี มีประโยชน์อย่างถูกสุขโภชนากันดีกว่าครับ

(ปล. อุทิศให้ “มัน” พฤศจิกายน 2009)

Jan 8, 2010

สงครามของมนุษย์?

หากถามว่าสงคราม “บน” โลกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ผมคิดว่า คำอธิบายในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์น่าจะเป็นคำตอบที่ฟังดูเรียบง่ายและเป็นจริงมากที่สุด

"อะไรเป็นสาเหตุของสงคราม และอะไรเป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน มิใช่กิเลสตัณหาของท่านหรือที่ทำให้ท่านต่อสู้กัน ท่านทั้งหลายอยากได้ แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน..." ยากอบ 4:1-2

เป็นสงครามระหว่าง คนไม่มี(ที่จะเอา) กับ คนมี(ที่ไม่ให้)

นอกจากนี้แล้วผมคิดว่า สงคราม “ใน” โลกนี้ อาจจะยังมีอีก 1 สงคราม ระหว่าง 2 กลุ่ม ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน... สงครามระหว่างความดีงามกับความชั่วร้าย
.
.
.

เมื่อวานนี้ไปดูหนังเรื่อง Avatar มา อาจจะด้วยเพราะสิ่งที่กำลังสนใจอยู่ในขณะนี้ จึงได้อรรถรสในการชมที่แตกต่างไปอีกแบบ ซึ่งอาจจะเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้นหรืออาจจะเป็น เนื้อหาจริงๆ ที่ซ่อนไว้ก็ได้

ชาวพื้นเมือง มีลักษณะเป็นคนยักษ์ เป็นชาวเนวี (หรือที่พระคัมภีร์ไทยเรียกว่า ชาวเนฟิล นั่นแหล่ะครับ)
ชาวเนวีรู้จักภูมิปัญญาที่ทรงพลัง รู้จักการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างสิ่งมีชีวิต ขณะที่มนุษย์ต้องเสียเงินลงทุนวิจัยทางด้านเทคโนโลยีนับพันล้านเหรียญ
เนวีรู้จักการอยู่ร่วมกับธรรมชาติรอบตัว พวกเขามีภาษาของเขาเอง โดยมีพระแม่บริสุทธิ์ที่ชื่อว่า เอวา เป็นดั่งเทพเจ้า (พระแม่นี้ ตามความเป็นจริง ควรจะชื่อ “มาเรีย” แต่หนังเขาคงบิดเบือนนิดหน่อยเพื่อความสนุกครับ) ถ้าดูจากหนังแล้ว วิทยาการของเนวีถือว่าเหนือชั้นมาก แต่อาจจะอยู่ในรูปแบบของธรรมชาติซึ่งมนุษย์มองอย่างคุ้นเคยว่าเป็นสิ่งล้าสมัย เช่น รูปแบบของต้นไม้

มนุษย์ คือ ฝ่ายที่รุกราน สนใจแต่สิ่งที่ตัวเองอุปโลกน์ขึ้นมาว่ามีคุณค่ามีราคา จนใจบอดตาปิดมองไม่เห็นสิ่งที่มีคุณค่าแท้จริง
หนังสะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์ผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้นั้น ได้ทำลายดาวโลกไปแล้ว อีกทั้งมีจิตใจโหดร้าย คับแคบ โง่ ทะนงตน พยายามใช้กำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ ที่สำคัญ มนุษย์พวกนี้ได้ทำลาย “ความกรุณา” ไปหมดสิ้นแล้ว

ชาวเนฟิล เอ้ย ชาวเนวีหลายเผ่าพันธุ์ซึ่งมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน ได้รวมตัวกันภายใต้ผู้นำที่สามารถควบคุมพลังอำนาจอันทรงพลังเพื่อต่อสู้กับมนุษย์ แม้ว่ามนุษย์อาจจะมีขีดความสามารถท้าทายพรมแดนของพระผู้เป็นเจ้าได้แล้ว แต่สุดท้าย สงครามก็จบลงที่ชัยชนะของคนยักษ์ ด้วยความช่วยเหลือของพระแม่และมนุษย์บางคนที่แทรกซึมอยู่และเป็นพวกของชาวเนวี

หลังความปราชัยมนุษย์ถูกส่งตัวกลับสู่โลกที่เสื่อมโทรมทั้งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้อย่างดีตั้งแต่แรก ส่วนชาวเนวีก็อาศัยอยู่อย่างมีความสุขที่ดาวดวงใหม่ มนุษย์คนไหนที่ได้รับเลือกก็ทำการโอนถ่ายข้อมูลเข้าสู่กายใหม่ซะ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกับเนวีได้บนดาวของเขาซึ่งไม่เหมือนกับโลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้
.
.
.

หลังดูหนังเรื่องนี้จบผมนึกถึงหนังอีก 2-3 เรื่องที่เคยดู ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามของ 2 ฝ่ายเหมือนกัน

เรื่องแรก คือ Lord of the ring เรื่องราวการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์ที่เล็กน้อยและอ่อนแอ กับดวงตารู้แจ้งที่ทรงอำนาจ ด้วยมิตรภาพ การเสียสละ การร่วมมือกันของมนุษย์และการช่วยเหลือของกองทัพฝ่ายผู้ทรงคุณธรรม ในที่สุดพวกเราก็สามารถมีชัยชนะเหนือ จอมมารผู้ชั่วร้ายและกองทัพของมันได้

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ Matrix มนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ในโลกที่ถูกหลองลวงและไม่จริง โดยที่เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันไม่จริง เว้นแต่เราจะกล้าสงสัย กล้าค้นหา และเลือกที่จะตื่นขึ้นมา เรื่องนี้จะออกเป็นแนวๆ สงครามปลดแอกซักหน่อย ระหว่างฝ่ายที่ต้องการจัดระเบียบให้มนุษย์โลก กับมนุษย์ผู้ที่พระเจ้าสร้างเขามาให้มีเสรีภาพ มีเจตนา มีความกล้าหาญและความเชื่อในการดำรงชีวิต

เรื่องสุดท้าย คือ Transformer สงครามระหว่าง ผู้พิทักษ์ และ ผู้ทำลาย (จริงๆ ตามชื่อ น่าจะเรียกว่า ผู้หลอกลวงดีกว่านะ) ภาคแรกเป็นเรื่องของการแย่งชิงพลังอำนาจที่สามารถใช้สร้างโลกนี้ได้ ซึ่งฝ่ายผู้หลอกลวงต้องการพลังนี้ พวกมันได้ปะปนเข้ามาอยู่กับมนุษย์ในรูปแบบต่างๆโดยที่เราไม่รู้ตัวจนกว่าพวกมันจะแสดงตัวออกมา แต่สุดท้าย ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งยึดมั่นในคุณธรรมของมนุษย์ผู้ถือครองอำนาจนั้น ฝ่ายผู้หลอกลวงก็ถูกทำลายด้วยพลังที่ตัวเองต้องการ แล้วถูกนำไปทิ้งลงในทะเลลึก

ส่วนภาค 2 การแก้แค้นของผู้ล่วงหล่น ก็แสดงให้เห็นถึงว่าแต่เดิมทั้ง ผู้พิทักษ์และผู้ทำลายต่างก็เคยเป็นพวกเดียวกัน พวกผู้ล่วงหล่นได้สอนวิทยาการต่างๆให้แก่มนุษย์ มนุษย์ที่ได้เรียนความรู้เหล่านี้ จึงมีความสามารถเชี่ยวชาญหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องการก่อสร้าง ปีระมิดก็เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างของพวกนี้ (ยิ่งสิ่งก่อสร้างสูงมากเท่าไหร่ ก็ต้องใช้ความสามารถมากเท่านั้น ซึ่งมนุษย์พวกนี้อาจจะเป็นพวกเดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างหอสูงเทียมฟ้าถึงสวรรค์ได้) ตัวหัวโจกฝ่ายชั่วร้ายที่ถูกทิ้งลงทะเลเมื่อภาคที่แล้วก็กลับขึ้นมาสู้ใหม่ได้อีกครั้ง ส่วนผู้เดียวที่สามารถทำลายผู้ล่วงหล่นซึ่งเป็นต้นตอของความชั่วร้ายทั้งมวลได้ ก็ถูกฆ่าตาย แต่ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาของมนุษย์ ผู้นั้นก็ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา และแน่นอน ธรรมมะย่อมชนะอธรรมในที่สุด 555

จะว่าไป ดูเหมือนสงครามเหล่านี้ เป็นสงครามที่มีมนุษย์อยู่ตรงกลาง เป็นผู้ได้รับผลกระทบและต้องเลือกเข้าข้างใดข้างหนึ่ง บ่อยครั้งที่ความไม่รู้ของเรา (แต่เราคิดว่าเรารู้) หรืออาจจะเป็นเหตุผลของเราก็ได้ ที่หลอกลวงตัวเราเองให้มองไม่เห็นความจริงแท้ว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรู เห็นมีรูปร่างต่างจากเราก็อัดไว้ก่อน เห็นหน้าตาคุ้นๆก็เชื่อไว้ก่อน เห็นว่าธุระไม่ใช่ก็ไม่อยากยุ่ง เห็นว่าตัวเองได้ประโยชน์ก็จะเอาด้วย ผมหวังว่าเราจะไม่ถูกหลอกด้วย “ความฉลาด” ของเราเอง

เพราะวันหนึ่ง การต่อสู้ของ 2 เผ่าพันธุ์ที่แสนยาวนานนี้จะจบลงแน่ ฝ่ายหนึ่งจะชนะอย่างหมดจด และอีกฝ่ายหนึ่งจะพ่ายแพ้อย่างถาวรนิรันดร

นี่อาจจะเป็นเพียงนิทานที่ผมจินตนาการขึ้นมาเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นเรื่องเล่า และจากเรื่องเล่าก็อาจกลายเป็นเพียงนิทานปรัมปราเท่านั้น

ว่าแต่ว่า หนังเรื่องแรกซึ่งเข้าฉายล่าสุด บอกเป็นนัยว่ามนุษย์จะแพ้ให้แก่คนยักษ์ แต่อีก 3 เรื่อง ซึ่งฉายนานแล้ว บอกว่า มนุษย์จะชนะได้
อืม... หรือว่าในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด ก็กำลังมีสงครามอยู่เหมือนกันนะ

Jan 4, 2010

ยัด "สั่น" แน่น พูน ล้น

เวลามีคนมา ยัดเยียด อะไรสักอย่างให้เรา
เราคงรู้สึกไม่ชอบใจ ไม่สบายใจ อึดอัด ไม่อยากจะรับไว้
ส่วนใหญ่ก็เพราะเราไม่อยากได้
จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เรา "คิด" และ "มอง" ว่ามันไม่เหมาะกับเรา เราไม่ควรจะได้รับสิ่งนั้น

เวลามีคนมา เขย่า เรา
เราก็มักจะรู้สึก ไม่ชอบใจ ไม่สบายใจ เจ็บ
รู้สึกถูกละเมิด ถูกรบกวน ความมั่นคงในจิตใจถูกสั่นคลอน
ไม่มากก็น้อย เรารู้สึก กลัว (จนตัว "สั่น")

แล้วเรารู้สึก แน่น เวลาไหนบ้าง
ใช่เวลาที่เราได้อะไรสักอย่างมากกว่าความสามารถของเราที่จะรับไว้ได้หรือเปล่า
หรือไม่ก็เป็นเวลาที่ตัวเราเองมีขนาดใหญ่กว่า ภาชนะ / สิ่งรอบตัวภายนอก ซึ่งไม่สามารถรองรับเราได้
แต่ที่แน่ๆ เราจะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ ไม่สบายตัว
เกิดภาวะไม่เข้ากันได้อย่างดี (ภาษาเศรษฐศาสตร์ เรียกว่า เสียดุลยภาพ)

ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากกรณีไหน ก็จะมีการปรับตัวเกิดขึ้น
ถ้าเราไม่ขยายตัวเราเองออก
เราก็ต้องลดขนาด (ตัว, ใจ, ฝัน, ความคิด) ของเราลง

หรือต้องไปเปลี่ยนสิ่งรอบตัวภายนอกให้เข้ากับเรา
หลายคนชอบแบบนี้ ชอบคิดเอาเอง (โดยไม่รู้ตัว) ว่า โลกหมุนรอบตัวฉันเอง
ชอบเปลี่ยนคนอื่นให้เข้ากับตัวเอง เนื่องจากเข้าใจว่าตัวเองสูงส่งกว่า
บางคนเป็นหนักถึงขั้นหลอกลวงคนอื่น ด้วยความฝันลมๆแล้งๆ ด้วยความหวังดีที่โอบอุ้มคนอื่นให้รู้สึกมั่นคง
เป็นการยัดเยียด ความกลัว อย่างเนียนๆให้กับผู้อื่น ซึ่งมักถูกห่อหุ้มไว้ในรูปแบบของ ความรัก การยินยอม การเชื่อฟัง และความปรารถนาดี
.
.
.

ผมรู้จักกับ ยัดสั่นแน่นพูนล้น ครั้งแรกจากพระคริสต์ธรรมคัมภีร์
เป็น 1 ใน คำสัญญาที่พระเยซูบอกว่า เราจะได้รับการอวยพรอย่างนี้ด้วย เมื่อเราให้ผู้อื่นด้วยท่าทีอย่างนี้

เมื่อก่อนผมเคย (อยู่ในชุมชนที่) เชื่อว่า การอวยพร หมายถึง เรื่องดีๆที่เราได้รับ ทำให้ผมมักจะนึกถึงคำสัญญานี้ในมุมมองของเรื่องดีๆเท่านั้น แต่หลังจากเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเองอยู่พักใหญ่ ลองกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ผมเลือกเดินบนเส้นทางของพระเจ้าที่ผมรู้จัก

ผ่านไป 5 เดือน นับตั้งแต่ที่ย้ายออกมาจากรากฐานความเชื่อเดิม
เมื่อมองย้อนกลับไป ผมได้เรียนรู้เรื่องเดิมๆ ในมุมมองใหม่ๆที่กว้างขวางขึ้น

ผมเห็น สิ่งดี จาก สิ่งร้าย ที่พระเจ้า "ยัด" ใส่ให้
ผมเห็น ความแข็งแรง ได้รับการสร้างขึ้น หลังจากพระเจ้า "เขย่า" ผม จนสั่น
ผมเห็นการขยายออกของชีวิตตัวเอง หลังจากที่ผมรู้สึก "แน่น" หลังจากผมเลือกแก้ไขปัจจัยที่ผมสามารถควบคุมได้ คือ เปลี่ยนแปลงตัวเอง

ผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
ผมมีโอกาสทำในสิ่งที่สนใจ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่สนใจ (อย่างปราศจาก แรงกดดัน (จากสังคม))
ความฝันได้รับการเติมเต็ม และเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น เห็นการสนับสนุนจากพระเจ้ามากขึ้น
ความคิดเป็นเหตุเป็นผล สมจริงสมจังมากขึ้น
ยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองได้ง่ายและเร็วขึ้น
ผมรู้สึกว่า ผมเป็นมนุษย์มากขึ้นนะ

เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า
ทำไม เมื่อก่อน เราถึงมีปัญหากับ "การเจริญเติบโต" นัก
มันแทบจะเป็นวาระแห่งชาติของชุมชนที่ผมเคยอยู่เลยทีเดียว
ทั้งที่เราให้ความสำคัญขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าจะ "ไกลเท่าเดิม"

คำตอบง่ายๆ ก็คือ เราหลีกเลี่ยง / ไม่ยอมรับ ความเจ็บปวด
ไม่ยอมถูก ยัดๆๆ เขย่าๆๆ สั่นๆๆ ตบ บีบ ทุบ อัด กระทืบ ให้ แน่นๆ

เราอาจเจ็บปวดโดยไม่เติบโตได้ แต่ชีวิตเราจะเติบโตขึ้น โดยไม่เจ็บปวดไม่ได้

ผมรู้สึกว่าตอนนี้ ชีวิตของผมกำลังได้รับการเติมจากพระเจ้า
สุขภาพอนามัยเริ่มดีขึ้น
ผมทำงานมีเงินเก็บ มีเงินให้พ่อกับแม่ (เป็นครั้งแรกในชีวิต)
พูดคุยกับพ่อแม่พี่และญาติได้อย่างสนิทสนมกัน กล้าแสดงจุดยืนความเชื่อของตัวเองด้วยความเคารพ
อ่านหนังสือจบเล่มและนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย
เข้าใจหลักเหตุผลในตำราเรียน
เข้าอกเข้าใจความรู้สึกและความคิดของคนอื่น โดยไม่ต้องคิดเอาเองก่อนว่าเขาจะคิด/รู้สึกอย่างไร
เอื้ออาทรคนอื่นมากขึ้น คิดเห็นแก่คนอื่นมากขึ้น
ไม่เพียงรู้จักว่ารักคืออะไร แต่ผมรักคนอื่นได้จริงๆ
ที่สำคัญ ผมรู้สึกว่า
ผมสนิทกับพระเจ้า และกลับมาเป็นกันเองกับพระเจ้า
เหมือนเมื่อรู้จักกันใหม่ๆอีกครั้ง

มีคนเคยสอนว่า
เราต้องการอะไร ต้องจ่ายราคา ต้องรู้จัก ให้และเอา (give & take)
แต่ผมเชื่อว่าพระเจ้าสอนมนุษย์ให้รู้จัก ให้แล้วได้รับ (give, then be given)
ถึงแม้ว่าบ่อยครั้ง สิ่งที่ได้รับนั้น จะไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่า ความสุข

ในขณะที่ผมกำลังเรียนรู้การให้ชีวิตของตัวเองจากคนที่ให้ชีวิตของตัวเองแก่ผู้อื่นมาแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับชีวิตจากเขาด้วยนั้น ผมเองก็ได้รับด้วย

ยิ่งเราได้รับมาก ยิ่งสำนึกว่าเราได้รับมาเปล่าๆ โดยปกติ เราก็น่าจะยิ่งให้ได้ง่ายๆนะ (ว่าไหม?)
และยิ่งเราให้พระเจ้า เราก็ยิ่งได้รับจากพระองค์ (จริงๆ น๊า)

ยังเหลือคำกริยาอีก 2 คำ ที่ผมจะได้รับการอวยพรจากพระเจ้าตามพระสัญญาของพระองค์

เชื่อกันต่อไป เพราะวันนี้ สิ่งที่ได้รับมาแล้วนั้น ยังมองไม่เห็น

แต่ที่แน่ๆ... อะแฮ่ม "พูน" "ล้น" แน่นอนครับ