Oct 20, 2008

again...

เมื่อเดือน มีนาคม ผมเขียนเรื่อง second chance วันนี้ อยากจะเขียนภาคต่อ (เพื่อเพิ่มอรรถรส ลองย้อนไปอ่านอีกทีก็ได้)

สิ่งที่สงสัยอยู่เสมอ ก็คือ ในโลกแห่งความเป็นจริง คนเราจะมีโอกาสครั้งที่สองได้อีกสักกี่ครั้งกัน
จริงอยู่ว่าพระเจ้าอาจจะให้โอกาสเราใหม่ แต่โอกาสใหม่ทุกครั้งก็มักจะมี ผล จากความผิดพลาดครั้งก่อนปนมาด้วยเสมอๆ

ช่วงนี้เครียดมาก เครียดจริงๆ เป็นร้อนใน ปวดหลัง ปวดหัว ท้องเสีย ครบชุดใหญ่เลย
ที่น่าแปลกคือ สถานการณ์ เหมือนจะกลับมาคล้ายๆ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆ บางเรื่องคล้ายปีที่แล้ว บางเรื่อง 2ปีก่อนหน้า และบางเรื่อง ก็3-4ปีก่อนหน้านี้ รู้สึกเหมือนสอบใหญ่ final project ก่อนจบ อะไรแบบนั้น

พูดตามตรงว่าตื่นเต้น ไม่ได้เครียด จริงจัง เหนื่อย สนุก สุข แฮปปี้ และเปี่ยมด้วยความหวังแบบนี้มานานแล้ว เมื่อเช้ายังนั่งเปรยๆกับพระเจ้าอยู่ว่า รู้สึกชีวิตมันเนือยๆมานาน มันติดๆขัดๆไปหมด แต่ไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย

แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พระองค์ทรงจัดให้ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ผมขอมอบทุกความเป็นไปได้ไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้านะครับ ขอพระองค์ทรงโปรดอวยพระพรแก่ผมด้วยครับ ช่วยให้ผมตอบสนองทุกเรื่องอย่างถูกต้อง ให้ผมได้กลับมาอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า อีกครั้งหนึ่ง เหมือนทุกๆครั้งที่เคยผ่านมา

ปวดหลังว่าแย่... แต่ปวดใจแย่กว่า

ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา เจ็บหลังแบบแปลกๆ ไม่รู้ว่าไปยกของผิดท่ามาหรือเพราะอะไร แต่ปวดมากๆจริงๆ จนเมื่อวานคืนวันเสาร์ มันเปลี่ยนมาปวดแน่นๆแถวๆหัวใจแทน หายใจเข้าลึกๆไม่ได้เลย ปวดมาก

วันนี้ตอนนมัสการก็ปวดมาก ปวดจริงๆ นึกขึ้นมาได้ว่า เคยปวดมากๆอย่างนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว สงสัยว่าเราเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า เราจะหัวใจวายตายไหมเนี่ย พอนึกถึงตรงนี้ ความคิดหลายอย่างก็หลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะกับคำถามที่ว่า หากวันนี้ต้องตายจริงๆ อะไรเป็นสิ่งที่เสียใจที่สุดที่ยังไม่ได้ทำเพื่อพระเจ้า

ผมนึกถึงผู้หญิง 2 คน ผู้หญิงทั้งสองคนนี้เป็นคนที่ผมรักและแคร์มากที่สุด บ่อยครั้งที่ผมทำให้ทั้งสองคนนี้เสียใจ คนนึงแม้จะยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่ผมมั่นใจมากกว่าเธอรักผม เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ส่งผ่านความรักของพระองค์มาให้ผม ส่วนอีกคนนั้นแม้จะรู้จักพระเจ้าแล้ว และเป็นคนที่พระเจ้าใช้สอนผมเรื่องความรัก อีกทั้งยังเป็นคนที่ผมตั้งใจจะใช้เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกันกับเธอ แต่ผมไม่มั่นใจนักว่าตัวเธอเองคิดเหมือนผมหรือเปล่า

จากการปวดใจครั้งนี้ ทำให้ผมขอบคุณพระเจ้าอย่างมาก ผมซาบซึ้งที่พระเจ้าทรงรักผมผ่านทางแม่ผมอย่างมาก ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังสอนให้ผมรักคนอื่น"เป็น" ความรักที่อดทนนานต่อความเจ็บปวด ความรักที่มีความปรารถนาดีให้เสมอ ความรักที่ซื่อสัตย์เชื่อใจกัน ความรักที่ร่วมชื่นชมในสิ่งดีงาม ความรักที่รู้จักการเอาใจใส่กันและกัน ความรักที่จะอยู่เคียงข้างกันเสมอไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ความรักที่พร้อมจะเชื่อในส่วนดี ให้โอกาส และมีความหวังใจในอีกฝ่ายเสมอ

ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมรู้จักคุณค่าของชีวิต ทำให้ผมรู้ว่า อะไร หรือ ใคร คือ คนที่มีคุณค่ากับผมมากที่สุดในชีวิต มากเสียจนไม่สามารถปล่อยให้"เธอ"ไม่รู้จักกับพระเจ้าได้ มากเสียจน ผมจะไม่ยอมปล่อยให้เธอเดินจากไปเหมือนที่เคยเป็นมา ผมต้องมุ่งมั่นทำให้เธอมั่นใจ(โดยเฉพาะการอธิษฐาน)ว่า "ผม" คือ คนที่เธอวางใจว่าจะใช้เวลาของชีวิตที่เหลือกับผม

แม้ว่าสถานการณ์ของชีวิตผมช่วงนี้ ดูเหมือนจะเลวร้ายมาก แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ พระเจ้ากำลังเปลี่ยนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ให้เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว เป็นคนจริงของพระเจ้า ผมเห็นอนาคตและการอวยพรของพระเจ้า ในช่วงเวลาแห่งความมืดมิดนี้อย่างชัดเจน

แม้บางครั้ง เราอาจจะไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของเราที่เกิดขึ้น หรือแม้แต่ไม่ได้มีทางให้เลือกเดินมากนัก แต่ผมเชื่อมั่นว่า อย่างไรเสีย หาก"นั่น" เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากเพียงพอที่เราจะสละทั้งชีวิตเพื่อให้ได้มา ผมคิดว่า "นั่น" คือความรัก เป็นความปีติสุขที่ยิ่งใหญ่ เป็นความหมายของชีวิตที่มากมาย อย่างน้อยก็กับคนๆหนึ่ง เช่น "ผม" จริงๆ

Oct 14, 2008

เพื่อนเก่า...

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิทที่สุดสมัยมัธยมคนนึง
เขารู้ว่า แม่ผมไม่สบาย ก็เลยฝากอาหารเสริมไปเยี่ยมแม่...
(มองในแง่ดี คงไม่ค่อยมีใครรู้ว่า แม่ผมไม่สบาย หรือจะบอกว่า ผมรู้จักคนในโบสถ์ไม่เยอะดีนะ ช่างเหอะ พระคัมภีร์ก็เขียนอยู่แล้วชัดเจนว่า ความรักของคนจะเยือกเย็นลง)

ไม่ได้เจอกัน 10 ปี แม้มิตรภาพ ความสนิทใจ เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่บางสิ่งเปลี่ยนไป...

ผมพบอย่างหนึ่งว่า ระดับความจริง ความสมเหตุสมผลในชีวิตของผม มันต่างจากเพื่อนผมเยอะมากๆ... ผมน้อยกว่าเขาเยอะ

เรานั่งคุยกันหลายอย่าง หลายเรื่องที่เขากลับเป็นฝ่ายเเนะนำผม และผมเองก็ยอมรับฟังแต่โดยดี (เข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมคนที่โบสถ์หลายคนบอกว่าผมไม่ค่อยฟังใคร)

ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าฟังและตอบคำอธิษฐานของผม ให้ผมได้เจอเรื่องจริง ชีวิตจริงของคน (นึกแล้วก็ขำ มีบางคนบอกว่า พระเจ้าไม่ช่วยเหลือผม เขาก็คงช่วยไม่ได้.. ไม่เป็นไร ไม่ต้องช่วยก็ได้) ไม่ใช่แค่เพื่อนคนนี้ แต่หลากหลายผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาให้ผมได้เรียนรู้ในช่วงสั้นๆช่วงนี้

ท้ายสุดก่อนแยกย้ายกันไปทำภารกิจของแต่ละคน เราคุยกันเรื่องชีวิตครอบครัว เพื่อนผมก็เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขาประสบอยู่ และสรุปด้วยประโยคที่ว่า "แต่งงานก็ดี จะได้เป็นกำลังใจให้กัน ช่วยกันทำมาหากิน"

ตบท้ายด้วยเมื่อวาน ที่ไปเจอพี่อีกคนนึง "ชีวิตแต่งงานก็ดี เวลาทุกข์ ทุกข์ครึ่งนึง เวลาสุข สุขสองเท่า"

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเพื่อนเก่าเหล่านี้ ที่ไม่เพียงนำความสมจริงของชีวิตมากระแทกชีวิตของผม แต่ให้ผมได้เห็นข้อดีข้อที่ 4 ของการมีชีวิตคู่ คือ การเป็นกำลังใจให้กันและกันในการดำเนินชีวิต ทั้งในเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบาก และเวลาแห่งความสุขใจ... นั่นสินะ อยู่กับพระเจ้าคนเดียว ยังดีขนาดนี้ แล้วถ้าอยู่กับอีกคนนึงด้วย จะยิ่งดีกว่านี้ขนาดไหน ^^

pursuit of happYness

It was right then that i started thinking about Thomas Jefferson...

the declaration of Independence and the part about our right to life, liberty and the persuit of happiness.

and i remember thinking, how did he know to put the "pursuit" part in there?

that maybe happiness is something that we can only pursue.
and maybe we can actually never have it.

no matter what... how did he know that?

- Chris Gardner, "the pursuit of happyness" -

เป็นหนังที่ชอบมากๆที่สุดอีกเรื่องนึง ไม่รู้เหมือนกันว่า เร็วๆนี้ ช่วงหนึ่งของชีวิตจริงของผม จะเป็นเหมือนกับชีวิตจริงของ Gardner หรือไม่
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมรู้ว่า พระเจ้าให้ผมสามารถแสวงหาสันติสุขของพระเจ้าได้
ใจผมยังคงสงบมั่นคง ขอบคุณพระเจ้าที่ฝึกผม ผมผ่านมันไปได้แน่ครับ

Oct 9, 2008

ใครๆก็ชอบพูดว่า...

ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมเป็นคนมีศักยภาพ
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมตั้งใจดี
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมทำงานช้า ทำงานไม่เป็น
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมชอบทำตามใจตัวเอง
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมไม่ยอมโตซะที ไม่มีความรับผิดชอบ
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมเจ้าชู้ ชอบหว่านเสน่ห์ให้สาวๆ
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมเป็นคนไม่มีอนาคต
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมเป็นพวกท่าดีทีเหลว เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
ใครๆก็ชอบพูดว่า มันช้าไปแล้วที่ผมจะเริ่มต้น หรือ ประสบความสำเร็จได้
ใครๆก็ชอบพูดว่า ผมช่างฝัน ไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง

และอื่นๆอีกมากมาย...ที่คนเขาชอบพูดถึงผมกัน

มีไม่กี่คนที่จะเดินมาพูดกับผมตรงๆในประเด็นข้างต้น
ส่วนใหญ่คนที่มาพูด ก็จะมาพร้อมประโยคที่บอกว่า ฉัน/พี่/ผม รู้จักอาร์ทธจริงๆ รักนะเนี่ย เป็นห่วงหรอก ถึงได้บอก

ผมรู้สึกซาบซึ้งใจในความรัก ความห่วงใย (อาจจะมีบ้างที่เขาสมเพชผม) อุตส่าห์มาบอกเล่าสิ่งที่เป็นห่วงให้ผมรู้สึกสำนึกตัวเอง
.
.
.

ผมไม่รู้หรอกนะว่า คนเขาเห็นอะไร เขาถึงบอกว่าผมมีศักยภาพ แล้วไอ้ศํกยภาพนี่หน้าตามันเป็นยังงัย แต่ผมก็ชอบคำนี้นะ ถึงขนาดเอามาตั้งชื่อตัวเอง ก็คงชอบจริงๆ แต่จะดีกว่านี้นะ ถ้าศํกยภาพที่ผมมี ที่ใครๆเขาก็เห็นกัน เขาจะช่วยผมเปลี่ยนมันให้เป็นความสามารถ

แล้ว ไอ้ความตั้งใจดีเนี่ย คืออะไรเหรอ จะรู้ไหมว่า ผมไม่ได้เป็นคนมีความตั้งใจสูงส่งอะไรนัก ชีวิตนี้ที่มีก็อยากใช้ให้ดีที่สุด ผมคงไม่พูดว่า ผมจะมีผลกับคนทั้งโลก แต่ก็คงไม่เห็นแก่ตัวจนไม่คิดจะทำอะไรเพื่อคนอื่นเลย คนเราเกิดมาร่วมโลกใบเดียวกัน จะดีจะชั่วยังงัย เราก็เป็นคนเหมือนๆกัน มีอะไรช่วยได้ก็ช่วยกันไป พระเจ้าก็ยังทรงให้ฝนตกแก่ทุกคน
ถ้าเห็นว่าผมเป็นคนตั้งใจดีจริงๆก็ขอบคุณ แต่จะดีกว่านี้ ถ้าช่วยให้ผมทำสิ่งที่ผมตั้งใจไว้ให้สำเร็จได้ด้วย

จริงๆแล้วผมน่ะ รักสบายจะตาย ในงาน 1 ชิ้น ผมไม่ใช่คนที่จะทุ่มเททำกับมันอย่าง หมด แรงโดยไม่จำเป็น งานทุกอย่าง มันมี จุดวิกฤต มันมีเรื่องสำคัญ มีเรื่องที่ยากจริงๆ ถ้าทำถูกจุด ป้องกันได้ งานเสร็จเร็ว ปัญหาไม่เกิด แต่แน่นอนว่า คงต้องใช้เวลาบ้างในการทำความรู้จักกับงาน นายเก่า เคยสอนเอาไว้ว่า speed and reliable, not slow but sure มันเป็นศิลป์ในการทำงานระหว่างความเร็วและผลงาน ชีวิตคนเรามีหลายเรื่อง หลายอย่าง โลกนี้กว้างนัก มีเรื่องให้เราเลือกทำได้เยอะแยะมากมาย ขอโทษจริงๆ ที่ผมสนใจเฉพาะเรื่องที่ผมสนใจ และประณีตกับงานที่ผมทำ ขอโทษจริงๆที่ความเร็วในการก้าวของผมเป็นพวกม้าตีนปลาย
ขอโทษจริงๆที่ผมไม่มีความสามารถบอกเล่าสิ่งที่ผมคิดให้คนอื่นเข้าใจได้ทั้งหมด ผมคิดแค่ว่าหากผมทำเสร็จ วันหนึ่งหลายๆคนคงเข้าใจ อีกหลายคนคงได้รับการหนุนน้ำใจ และอีกหลายคนคงเห็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต แต่ดูเหมือน ผมจะไม่มี โอกาส ที่จะทำมันให้เสร็จล่ะมั้ง

ที่ผ่านมา ผมพยายามมาก พยายามเป็นคนดี พยายามเชื่อฟัง (ในสิ่งที่ผมไม่เชื่อ เเละผมคิดว่าไร้สาระมาก) แต่ดูเหมือนทั้งหมดทั้งสิ้น ก็คงจะเป็นได้แค่ความตั้งใจดีๆในสายตาของใครๆ และก็เป็นผมเองที่ต้องรับผลที่เกิดขึ้นตามมา เพียงลำพัง
สุดท้าย ไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็โดนมองไม่ดีอยู่แล้ว พระเจ้าก็ไม่เคยได้รับเกียรติผ่านชีวิตผมอยู่แล้ว

หากยังคงคิดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม อนาคตที่มีแน่ๆ ท่าทางจะไม่มีแน่เหมือนที่ใครๆชอบพูดกัน ถ้ามัวแต่จะทำให้ถูก ให้คนอื่นๆพอใจ ท่าทาง พ่อแม่ผมคงไม่ได้รู้จักพระเจ้าแน่ ความรักที่ผมมีให้กับผู้หญิงคนเดียว ก็คงต้องจำใจถูกกระจายให้คนอื่นอย่างเสมอภาค ชีวิตก็คงแวดล้อมแต่คนที่เป็นเด็ก แคระแกรนบิ้วเบี้ยวไม่สมประกอบอย่างนี้อยู่เรื่อยไป

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เป็นตัวของตัวเองในการทรงสร้างของพระเจ้าดีกว่า (อยากเห็น โลกแห่งความจริงใช่ไหม เด่วจัดให้ เหอเหอเหอ)ใครเขาจะพูดอย่างไรก็คงห้ามเขาไม่ได้ แต่จากนี้ ก็คงต้องเจอแรงเสียดทานอีกแยะเยอะแน่ๆ เอาเถอะ ขอแค่วันสุดท้ายแค่คนเดียว พูดกับผมว่า "ดีแล้ว เราพอใจเจ้ามาก" ก็พอละ