Nov 24, 2009

ใครว่าโลกกลม

The world is flat เป็นหนังสือเล่มล่าสุดที่ผมอ่านจบลง หนังสือเล่มนี้พูดถึง สภาวะ ที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่

ผมเห็นด้วยว่าโลกของเราแบนลงเรื่อยๆ ไม่ใช่ในทางกายภาพ แบนลงในความหมายว่า ทุกคนมีศักยภาพในการเป็นคนสำคัญต่อโลกนี้เท่าเทียมกันมากขึ้นเรื่อยๆ โลกทั้งใบกำลังเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน

วิทยาการ ความรู้ และวิธีการใช้ชีวิตของคนในโลกนี้กำลังจะเปลี่ยนไป จริงๆมันก็เริ่มเปลี่ยนมาได้ซักพักแล้วล่ะนะ

คนรุ่นอายุผมอาจจะเป็นคนรุ่นที่ต้องปรับตัวตลอดชีวิตก็เป็นได้ ลองคิดถึงสมัยเด็กๆ สิ
ผมจำได้ว่า ผมตื่นเต้นกับโทรทัศน์สีเครื่องแรก และ เครื่องเล่นม้วนวิดีโอเทป เครื่องแรกของบ้าน (เป็นเครื่องแรกๆของหมู่บ้านเลยทีเดียว)
ผมใช้คอมพิวเตอร์ครั้งแรก จอเขียวๆ ต้องพิมพ์คำสั่ง DOS ยาวๆ ช้ามากอีกต่างหาก (ความจุฮาร์ดดิสเท่าไหร่นะ 4 หรือ 8 GB นี่แหล่ะ)
Pen friend เป็นเรื่องที่ตื่นเต้นในการได้มีโอกาสรู้จักพูดคุย และเป็นเพื่อนกับคนต่างชาติ
สมัยเรียน ม.ปลาย ใครมี Pager ใช้ นายเท่ห์มาก ส่วนโทรศัพท์มือถือไม่มีครับ มีแต่โทรศัพท์กระเป๋าหิ้วที่ทั้งหนักทั้งแพง(มากกกกก)
และอีกหลากหลาย "ความใหม่" ที่หายไปในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งชีวิตของผม

โลกทั้งแบนราบและเล็กลง มันเล็กลงจนคนเล็กๆคนไหนก็ได้ สามารถเป็นที่รู้จักข้ามโลกได้เพียงข้ามคืน (Susan Boyle จำได้ไหม)

การดำเนินธุรกิจ หรือ การกำหนดนโยบาย ทั้งในระดับขององค์กรหรือประเทศจากส่วนกลาง กำลังจะตาย ไม่เว้นแม้แต่ วงการสื่ออย่างวิทยุและโทรทัศน์ หากยังใช้ Business model เดิมๆ

ผู้ชม ผู้บริโภค ประชาชน ในยุคปัจจุบัน มีพลังในการคัดเลือก สูงกว่าเมื่อ 30 ปี ที่ผ่านมาอย่างมาก (ไม่เชื่อ คุณลองถาม ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐ หรือ อดีตนายกฯสมัย รสช. ก็ได้ ว่าอะไรเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อชัยชนะและความพ่ายแพ้ของพวกเขา)

พลังแห่งการแบ่งปันและประสานผลประโยชน์ ก่อให้เกิดการเปิดเผยและเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว เท่าเทียมกัน อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันเป็นยุคสมัยที่ต้องคิดให้หนัก หากคุณคิดจะทำสิ่งผิด เพราะไม่ช้าก็เร็ว (ส่วนมากมักเร็วครับ) คุณจะถูกเปิดโปงแน่นอน หรือแค่ "การมั่ว" ก็อาจจะเพียงพอให้คุณโดนเบรกในขณะที่ยังอ้าปากพูดเรื่องนั้นไม่จบ จากใครสักคนที่กำลังเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเข้ากับแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง

ผมนึกถึง The village หนังเก่าเมื่อหลายปีก่อน เป็นเรื่องของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ เจ็บปวดจากสังคม พวกเขาต้องการปกป้องลูกหลานของเขาจากความชั่วร้ายเหล่านั้น จึงเข้าไปอยู่ในป่า สร้างชุมชนขึ้นที่นั่น สร้างนิยายปรัมปราและธรรมเนียมประเพณีเพื่อกักขังเด็กรุ่นใหม่ๆไว้ในความกลัว ไม่ให้กล้าที่จะก้าวข้ามชายป่าออกมาสู่โลกที่แท้จริง แต่ท้ายที่สุด ความปรารถนาดีของพวกเขาก็จบลงด้วยสถานการณ์บังคับให้ต้องออกจากป่า หากพวกเขาต้องการมีชีวิตอยู่รอดต่อไป

การอยู่รอดในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้ จึงไม่สามารถเพียงแค่การพยายามปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ เช่น การลดต้นทุนลง 5%, การเปลี่ยนรูปแบบรายการ หรือ การเปลี่ยนวิธีการนำเสนอใหม่ แต่ต้องเปลี่ยนกระบวนความคิดใหม่ทั้งหมด

ฟังดูเป็นเรื่องที่ยากไหม ผมคิดว่า จริงๆแล้วความคิดใหม่ๆที่ว่าเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก ก็คือ การรู้จักและยอมรับจุดแข็ง-จุดอ่อนของตัวเอง การมีความไว้วางใจต่อกัน การทำงานประสานร่วมกัน และการสร้างผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นโดยไม่มีความเคลือบแฝง ผมเชื่อว่า วิถีแห่งการให้ จะเป็นแนวทางเดียวที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชีวิตของเราทุกคนอย่างเป็นปัจเจกชน

เมื่อสัปดาห์ก่อน รุ่นน้องผมคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย ต้องเดินทางกลับกรุงเทพเพื่อผ่าตัดด่วนอย่างกะทันหัน เธอโทรศัพท์หาสายการบินที่นั่น และได้รับความช่วยเหลืออย่างดีมากจากพนักงานสาวชาวอินเดีย ซึ่งนั่งรับสายอยู่ที่อินเดีย!!

อาจจะเป็นไปได้ว่า ไม่เกินชั่วชีวิตของผม โลกนี้อาจมีการจัดระเบียบใหม่ ทุกคนจะมีอุปกรณ์พื้นฐานส่วนตัวที่เป็นยิ่งกว่าบัตรประชาชน, หนังสือเดินทาง, i-phone, Blackberry, Cannon, credit card หรืออะไรก็ตามแต่ ที่สำคัญมัน ล้ำ มาก เพราะไม่ต้องพกพา เนื่องจากมันถูกฝังอยู่ในร่างกายเรา... ก็เป็นแค่จินตนาการ ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่

แต่อย่างไรก็ตาม หากวันนี้คุณยังไม่ออกวิ่ง โปรดรู้เถิดครับว่าโลกวิ่งไปไกลแล้วและกำลังวิ่งเร็วขึ้น ก่อนที่จะฝันไปไกลถึงขั้นเดินนำโลก ช่วยชะโงกหัวออกไปดูโลกภายนอกบ้างได้ไหม ว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว ออกไปดูซะให้เห็นด้วยตาของตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่าโลกนี้ แม้จะกลมเหมือนผลส้มแต่มันแบนจริงๆ

Nov 22, 2009

no fear in LOVE

เมื่อวานนี้ ที่นิวซอง พี่ Peter เล่าให้ฟังว่า มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพี่น้องของเราคนหนึ่ง ผมไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าพี่น้องของเราคนนี้ กล้าที่จะเดินมาเล่าให้พี่ Peter ฟังว่า เขาไปทำอะไรมา

ตอนที่ผมได้ยินเรื่องนี้ ผมอดใจหายไม่ได้ จำได้ว่า เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผมยังรู้สึกดีใจอยู่เลย ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับเขามากขึ้น ตื่นเต้นที่จะได้สนิทกันมากขึ้น จริงๆผมอยากให้เขาอยู่ที่นี่กับพวกเรามากกว่า แต่มันก็คงไม่ง่ายนักในความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมได้แต่หวังว่า เขาจะได้รับการรื้อฟื้น และกลับมาที่นิวซองอีกครั้งหนึ่ง เร็วๆนี้

... เรื่องราวของใครบางคน และอีกหลายคน โผล่เข้ามาในความคิดของผม...

ผมรู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนชีวิตสมรส จริงๆแล้วเขากำลังเตรียมตัวจะเดินทางไปเป็นผู้นำที่โบสถ์ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ไม่กี่เดือนต่อมา ผู้นำโบสถ์ที่กรุงเทพก็ส่งเขาทั้ง 2 คนไปต่างจังหวัด ผู้ชายเดินทางไปเป็นผู้นำ ผู้หญิงไปอีกจังหวัดหนึ่ง เพราะเธอท้อง

ผู้ชายคนนี้ได้รับเกียรติในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า ส่วนผู้หญิงคนนั้นตกระกำลำบากในฐานะคนทำผิด

หลายปีผ่านไป ผู้ชายคนนั้นจัดงานแต่งงานใหญ่โต คณะผู้ปกครองและผู้นำหลายคนไปร่วมอวยพรแสดงความยินดี และประกอบพิธี "สมรสศักดิ์สิทธิ์" ให้ ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น ทั้งที่เจ้าสาวในงาน เป็นคนละคนกับผู้หญิงคนแรกที่ตั้งท้อง

14 ปีที่ผ่านมา ผมพูดเสมอว่า ผู้นำก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ทำผิดได้ ทำพลาดได้ สิ่งที่เราต้องทำ คือ ยอมรับว่าเราอ่อนแอ กลับใจใหม่ และพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ไม่ใช่การปกปิด รักษาหน้า ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำตัวราวดั่งกับเป็นเทพ บริสุทธิ์ ผิดไม่เป็น แตะต้องไม่ได้ โดยเฉพาะเหตุผลที่บอกว่า "จะบอกทำไม บอกแล้วไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องบอก ยิ่งบอกยิ่งทำให้งานพระเจ้าเคลื่อนช้าลง" (ผมคิดว่ามันเป็นเหตุผลที่ไร้สาระและเลวระยำตำบอนมาก) (เถียงมากๆเข้า ก็จะเจอประโยคเด็ด "ไม่ฉลาดเท่าผม ก็เชื่อฟังผมเถอะ" หรือ "เชื่อผมเถอะ ผมรับผิดชอบเอง" เฮ้อ... เก่งๆกันทั้งน้านนน...) แม้จะเชื่อว่าคนพูดมีความตั้งใจดีเพื่องานพระเจ้าจริงๆ (ซึ่งเชื่อได้ยากเต็มที) แต่มันเป็นการใช้เหตุผลที่ไม่ต่างจากการใช้เหตุผลของหญิงชั่วในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ สุภาษิต7:14-20 เลย

ผู้นำทำผิดปกปิดเพื่อพระเจ้า แต่สมาชิกต้องเปิดเผยทุกเรื่องต่อผู้นำ การกระทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากการบีบบังคับ และวางแอกลงบนคอผู้เชื่อ เป็นการไม่ให้เกียรติกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ และยังเป็นการใช้มาตรฐานซ้อนในชุมชนอีกด้วย อาจจะเพราะมันเป็นรากเหง้าของสังคมไทยก็ได้ (ก็เราอยู่ในสังคมไทยนี่นา... ช่วยไม่ได้ !!)

ผมเคยตั้งประเด็นสงสัยความผิดทางจริยธรรมคริสเตียนส่งให้ผู้นำโบสถ์หลายครั้ง มีครั้งหนึ่งที่ตั้งประเด็นสงสัยว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการฉ้อโกงพระเจ้าหรือไม่ กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตว่าผมมีท่าทีผิด คิดร้ายต่อคณะผู้ปกครอง และสุดท้ายเรื่องราวที่ผมสงสัยก็เงียบหายไปไม่มีการพูดถึงอีกเลย

มีคนหนึ่งบอกเพื่อนผมว่า นิวซองเป็นโบสถ์แปลกๆ ไม่พูดภาษาแปลกๆ (จริงๆเราพูดนะครับ) นมัสการแปลกๆ (ไม่เหมือนที่โบสถ์ของคนพูด) เทศนาก็ "แบบ" แปลกๆ มีแต่คนแปลกๆ ทั้งที่คนที่พูดก็ฟังเขามาอีกทีจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเหยียบเข้ามาที่นิวซอง เพียงแต่เขาน่าเชื่อถือ เป็นคนมีภาพพจน์ดีและได้รับการยอมรับจากคนในชุมชนที่เขาอยู่

เมื่อวานนี้ ผมไม่เพียงรู้สึกว่าคนที่นิวซองแมนมาก เท่ห์ จริงใจ และให้เกียรติพี่น้องร่วมชุมชน แต่ผมยังรู้สึกว่า ถ้าเป็นที่นี่ ผมกล้าที่จะเล่าเรื่องราวของชีวิตผมทุกเรื่องให้ฟัง บางเรื่องอาจมีบางคนไม่เห็นด้วยและยากที่จะยอมรับมัน แต่ผมรู้ว่า นิวซองยังมีความรัก ความกรุณาให้ผมเหมือนเดิม

ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมมีประสบการณ์เรียนรู้ในเรื่องความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้ามากขึ้นผ่านชุมชนที่นี่ ทำให้ผมตระหนักถ้อยคำหนึ่งในพระคัมภีร์มากขึ้น "ในความรักนั้นไม่มีความกลัว" (1ยน.4:18)

Nov 20, 2009

ไปด้วยกัน

ปกติ สี่แยกแถวบ้านผม ตอนเช้าๆ จะปล่อยรถนานมาก รถเมล์ส่วนใหญ่ก็มักจะเลี้ยวซ้ายไปลอดใต้สะพาน แล้วเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกอีกที เพื่อกลับสู่เส้นทางเดิม

เช้านี้ รถเมล์คันที่ผมนั่ง ทำท่าเหมือนจะตรงไป ผมเดาว่าคนขับคงคิดเหมือนผม เพราะถ้ารถที่กำลังวิ่งอยู่หยุด เราจะได้ไฟเขียว แต่จู่ๆ รถก็ฉีกออกซ้าย จังหวะที่รถเลี้ยวซ้าย ไฟก็เขียวพอดี

คนเก็บตั๋ว พูดออกมาอย่างหัวเสีย "อะไรกันนี่ รออยู่ตั้งนาน พอเลี้ยวปุ้บ ไฟเขียวปั้บ" (ผมปรับคำพูดเล็กน้อยให้เหมาะกับการอ่านของเยาวชน) ความคิดของผมในเวลานั้น คือ เขาวิ่งรถในเส้นทางนี้ เขาน่าจะรู้ว่า ไฟกำลังจะเขียวแล้ว...

การตัดสินใจของคนขับรถ ทำให้ผมเสียเวลาไปมากกว่า 5 นาที... นั่น หมายถึง ผมพลาดเรือ 1 ลำ แปลว่า ผมจะไปทำงานช้าอีกเกือบ 15-25 นาที

แต่ เรื่องยังไม่จบ
วันนี้ ผมนั่งรถเมล์จากเทเวศน์ไปที่ทำงานแถวประตูน้ำ ด้วยเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้งที่รถแทบไม่ติดเลย เมื่อเทียบกับทุกๆวัน คนขับเขาขับรถแบบเซ็งโลกมากอ่ะ ขับไปเรื่อยๆ รถสายเดียวกันแซงไปแล้ว 3 คัน ผมลงที่ป้ายพร้อมกับ คันที่ 4 เข้ามาจอด...

วันนี้ ผมมาทำงานสาย 28 นาที


.... เป็นเรื่องจริงที่ว่า ในโลกของวันนี้ การทำงานใหญ่ให้ได้ผลงานระดับสุดยอดนั้น คือ การประกอบด้วยการทำงานย่อยๆอย่างยอดเยี่ยมของคนหลายๆคน เป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องเลือกว่าเราจะอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ลำพังเพียงเราคนเดียวแม้จะเก่งกาจสามารถเพียงใด ก็อาจดำเนินชีวิตได้ไม่ง่ายนัก หากปราศจากการพึ่งพาอาศัยกัน เพราะเราต่างกัน มันจะมีบางอย่างแน่ๆ ที่เราไม่ชำนาญ เรื่องที่สำคัญก็คือ ต้องพึ่งพาให้ถูกคนด้วย

ไม่ว่าจะเป็นคนร่วมชีวิต คนร่วมสังคม คนร่วมงาน คนร่วมเดินทาง และอีกหลายๆ การไปด้วยกัน แม้ในโลกที่แบนลงเรื่อยๆ เช่นทุกวันนี้ ดูเหมือนว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว แต่เรื่องความสัมพันธ์ ความผูกพัน ก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา

ผมคิดว่า หากเราเชิญชวน/ร่วมไปกับใคร บนพื้นฐาน ว่าเขา/เราทำอะไรได้ มันเสี่ยงต่อการคบกันบนพื้นฐานของผลประโยชน์ แต่ในบางความสัมพันธ์มันก็เริ่มต้นด้วยผลประโยชน์จริงๆ เช่น การทำงาน หรือ การทำธุรกิจ ซึ่งจะมีข้อตกลง ทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร แต่อาจจะไม่เหนียวแน่นและใช้เวลาเหมือนสัญญาใจ

"เพื่อนก็เพื่อน ธุรกิจก็ธุรกิจ" คำพูดที่ผู้ใหญ่สอนมาตั้งนาน แต่ผมเพิ่งจะซึ้งกับคำนี้ ก็ปีนี้นี่เอง

บางครั้ง เราก็ยังไม่รู้ว่าจะไปกับใคร ก็เดินกันไปเรื่อยๆ เพื่อเรียนรู้ว่า ใครบ้างที่เหมาะจะไปกับเรา/เราเหมาะจะไปกับใครบ้าง บ่อยครั้ง ขณะที่เรายังไม่รู้จักกันดี เราก็เชื่อสิ่งที่เขาบอก แล้วก็ตัดสินใจบนพื้นฐานสิ่งที่เขาพูด แต่บางครั้งก็บนพื้นฐาน ความเอื้ออารีย์ของเขา

แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรารู้จักเขาว่าเขาเป็นอย่างไร วันหนึ่งที่เราพบคนที่สนใจในสิ่งต่างๆคล้ายๆเรา เรากำลังจะตัดสินใจไปด้วยกันกับคนใหม่ กับกลุ่มใหม่... มันเป็นเรื่องที่ลำบากใจในการ ต้อง พูดกับคนที่เขาเข้าใจไปแล้วว่า เราจะไปกับเขาตลอดไป

ถ้ายืมศัพท์ของนักกฎหมายมาใช้ ก็ต้องเรียกว่า เป็น โมฆียะทางใจ... สัญญาใจที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานความเข้าใจผิดที่มีต่อกัน ถ้าไม่รีบบอกเลิกซะโดยเร็ว สัญญาใจฉบับนี้ก็จะมีผลบังคับใช้ตลอดไป

จะคบใคร จะไปกับใคร ก็เลือกกันดีๆ มองให้เห็น สันหลัง ของเขา จะได้เลือกไม่พลาด
ถ้าหากคิดว่า ตัวเองมี โมฆียะทางใจ ก็รีบบอกล้างสัญญานั้นซะ
ขณะเดียวกัน ก็อย่าลืมให้เกียรติคนอื่น เคารพในการเลือกและการตัดสินใจของเขา แต่อย่างไร ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นแล้วก็เป็นสิ่งดีที่มีคุณค่าควรแก่การรักษาไว้ และปฏิบัติต่อกันเช่นดังเดิม (แม้อาจมีระยะห่างระหว่างใจเพิ่มขึ้นบ้างตามระยะทางที่มากขึ้น)


แม้เมื่อเช้านี้ผมจะไม่เห็นสันหลังของคนขับรถคนนั้น แต่ก็จำหน้าเขาได้ละ... อย่าหวังเลย ว่าผมจะขึ้นรถคันที่เขาขับอีก
ลาที ลาขาด
ไปด้วยกัน...เหรอ? ไม่มีทาง...(จนกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ) ^^

Nov 11, 2009

เชรี่ยเอ้ย แม่งไม่ใช่ในหนังนะโว้ย !!

เช้านี้ ตื่นมาแล้วรู้สึกมันวิ้งๆ ไงก็ไม่รุ ดูบรรยากาศมันเงียบๆ วังเวงๆ พาลให้ไม่อยากไปทำงานซะงั้น แต่สุดท้ายก็ไปนะ ด้วยความรู้สึกเป็นหน้าที่และด้วยความรับผิดชอบ

ขึ้นรถ ลงเรือ นั่งมอไซค์ และรถเมล์อีกที

เรื่องมันเกิดตรงนี้แหล่ะ ระหว่างนั่งชืดๆอยู่ในรถเมล์ ก็เหลือบไปเห็น ผู้หญิงคนหนึ่งที่อีกฝั่งฟากถนนหนึ่ง จากชุดและกระเป๋าที่ใส่ เข้าใจว่าคงเป็นพนักงานบริษัททั่วๆไป สวยหรือเปล่าไม่รุ ไกลเกินมองไม่ชัด ดูเธอรีบๆเขย่ง คงจะรีบเดินทางไปทำงาน...

ไม่รู้จะเรียกว่าเขย่งดีไหม เพราะเธอเดินด้วย 1 ขา กับ 1 ไม้ค้ำ

มันเหมือนนั่งดูหนังมากครับ ท่านผู้ชม เหมือนเขาใช้ effect พิเศษ ลบขาข้างหนึ่งทิ้งไป

ยังครับ ยังไม่พอ ทิศทางที่เธอเดินไป เธอเดินไปทางสะพานลอย... หวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่คิด

พระเจ้าช่วย !!! เห็นอีกที เธอกำลังขึ้นสะพานลอยครับ เขย่งๆขึ้นสะพานลอย... Oh My God !!!

ผมหันมองซ้ายมองขวาอีกทีให้แน่ใจว่าไม่มีกล้องตั้งอยู่
เชรี่ยเอ้ย แม่งไม่ใช่หนังนะโว้ย !! นี่มันเรื่องจริง

ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวสวย มีขาข้างเดียว เธอกำลังสู้ชีวิต เธอกำลังไปทำงาน ...
กรูมีอวัยวะครบ แต่ถ้าทางจะพิการทางจิตใจมากกว่าเธอซะละมั้งเนี่ย

เธอต้องใช้ กำลังใจ มากขนาดไหนกัน ในแต่ละเช้าที่ลุกขึ้น ในแต่ละวันที่ดำเนินชีวิต เธอคงทำอะไรไม่สะดวกเหมือนอย่างเราๆ

การที่เธอพิการทางกาย ไม่ได้แปลว่าเธอจะพิการทางจิตใจ หรือพิการความสามารถทางด้านอื่นไปด้วย

ผมไม่รู้เหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งผมตื่นมาแล้วเหลือขาอยู่ข้างเดียว ผมจะรู้สึกอย่างไร
แต่สำหรับเหตุการณ์เช้านี้ ทำให้ผมตั้งใจกับตัวเอง 2 อย่าง

1. ผมจะเข้มแข็งในด้านจิตใจมากขึ้น ไม่ย่อท้อ หรือยอมแพ้ง่ายๆ กับความโหดร้ายของโลกนี้
2. ผมจะให้เกียรติ และปฏิบัติต่อผู้พิการอย่างคนปกติมากขึ้น ให้ความเข้าใจในความแตกต่าง และพยายามจะไม่เผลอดูถูกเขาจากความพิการทางร่างกายของเขา

นึกถึงเมื่อเช้าแล้ว ภาพ 1 ขา 1 ไม้ค้ำยันยังติดตาอยู่เลย... เนี่ยแหล่ะ แม่งชีวิตจริง

Nov 10, 2009

7 นิสัยของคนใช้ชีวิต...เติบโตจากภายใน

นิสัยสุดท้าย นิสัยที่ 7 คือ การเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็น "กระบวนการ" การขยายความสามารถในการผลิตส่วนบุคคล ผ่านการเรียนรู้ ความตั้งใจจริงของตัวเอง และการเปลี่ยนแปลง

มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในส่วนสุดท้ายนี้ ซึ่งผมเข้าใจมาก่อนหน้านี้เกือบ 10 ปีแล้ว จากการศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัว (น่าแปลกใจว่า ที่ผ่านมา เมื่อผมแบ่งปันแนวคิดเหล่านี้ คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนในโบสถ์มักมีอาการของความสงสัยว่าแนวคิดเหล่านี้เชื่อถือได้หรือไม่ ทำเหมือนได้ยินเป็นครั้งแรก ทั้งที่หลายคนก็อ้างตัวเองว่า อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วด้วย)

คนเราจะเติบโตขึ้นใน 4 ด้าน ได้แก่ ร่างกาย สติปัญญา จิตวิญญาณ และ สังคม/อารมณ์ (ผมเข้าใจแนวคิดนี้จาก พระธรรม ลูกา 2:52)
มนุษย์มีร่างกายเพื่อใช้ในการดำเนินบนโลกใบนี้ ไม่ว่ามันจะถูกใจเราหรือไม่ การออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์อย่างพอเพียง พักผ่อนอย่างเพียงพอ เป็นเรื่องพื้นฐานในการรักและดูแลตัวเอง
สติปัญญา เป็นเรื่องของการพัฒนาความคิด ความเข้าใจ ความสามารถในการจัดการและแก้ไขปัญหา การอ่านหนังสือดีมีประโยชน์ รักที่จะเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต รวมทั้งการเขียน ก็เป็นประโยชน์เช่นกัน
จิตวิญญาณ การค้นพบ "เรื่องสำคัญ" ของชีวิต สิ่งที่ทำแล้ว ชีวิตรู้สึกได้รับการเติมให้เต็ม ความเชื่อและค่านิยมของชีวิต การมีเวลาพักและสงบนิ่งส่วนตัวในแต่ละวัน จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับความแข็งแรงของจิตวิญญาณ
สังคมและอารมณ์ เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของมนุษย์ การมีสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นหลัก การดำเนินชีวิตด้วยเหตุและผลเพียงอย่างเดียว จึงอาจนำมาซึ่งความพินาศต่อทั้งการรู้จักตัวเองและผู้อื่นในที่สุด

ทั้ง 4 ด้านนี้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน เมื่อด้านใดด้านหนึ่งของเราเติบโตขึ้น ก็จะช่วยส่งผลให้ด้านอื่นๆแข็งแรงขึ้นด้วย

ทั้ง 7 นิสัยนี้ ทำไม่ยาก แต่จะกลายเป็นนิสัยของเราจริงๆ ต้องใช้เวลา

ในระหว่างอ่านหนังสือเล่มนี้ หลายครั้งที่ได้ลองฝึกใช้ลักษณะนิสัยเหล่านี้ในชีวิตจริง และเห็นผลที่เกิดขึ้นในทางดีอย่างน่าประหลาดใจ
ทำให้ผมรู้ว่า มันใช้ได้จริง ไม่ใช่ คิด ว่ามันใช้ได้จริง เหมือนหลายครั้งหลายเรื่องที่ผ่านมา

ชวนให้ผมนึกถึง คำพูดของ Albert Einstein

"You can never solve a problem on the level on which it was created."
และ "The only source of knowledge is experience."

สุดท้าย ขอนำส่วนหนึ่งในบทส่งท้ายของหนังสือมาลงให้อ่านกันครับ

Ezra Taft Benson said it this way,
“The Lord works from the inside-out. The world works from the outside in. The world would take the people out of the slums. Christ takes the slums out of people and then they take themselves out of the slums…The world would shape human behavior, but Christ can change human behavior.”

Nov 3, 2009

7 นิสัยของคนใช้ชีวิต...อยู่กับคนอื่นให้เป็น

3 นิสัยในการอยู่ร่วมกับคนอื่นนี้ เป็นลักษณะนิสัยที่จำเป็นต้องมี 3 นิสัยก่อนหน้านี้เป็นพื้นฐาน

3 นิสัยแรก ส่งผลให้เราแข็งแรง รักตัวเองเป็น ดูแลตัวเองได้ มีจุดยืนบนหลักการที่ถูกต้อง ดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นอิสระจากอิทธิพลของสิ่งอื่นหรือคนรอบข้าง เราจะเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากโลกนี้ได้รับการออกแบบเอาไว้ให้ทั้งหมดเชื่อมโยงกัน การมีอิทธิพลเหนือตัวเอง จึงเป็นการส่งผ่านอิทธิพลไปสู่ผู้อื่นด้วย ผมไม่ได้หมายถึงการมีอิทธิพลเหนือผู้อื่นในลักษณะการบงการ/ควบคุม ไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างความแตกต่างของแต่ละบุคคล ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ จำเป็นต้องอาศัย ความจริงใจ เป็นพื้นฐาน และยังต้องมีการ "สะสม" ความเชื่อใจ ความไว้วางใจที่มีต่อกัน

ไม่ว่าจะเป็นการใส่ใจสิ่งเล็กๆน้อยๆ การรักษาสัญญา การเข้าใจในความแตกต่างของคน การปฏิบัติอย่างให้เกียรติผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง การขอโทษคนอย่างจริงใจ ที่สำคัญ คือ การใช้ชีวิตด้วยความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข

พฤติกรรมเหล่านี้ จะเป็นเสมือน สะพาน เชื่อมระหว่างหัวใจของเรากับเขา แต่อย่างที่บอกว่า พฤติกรรมเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ความจริงใจ และ 3 นิสัยในส่วนแรก เพราะหากเราไม่ได้ทำจากสิ่งที่เราเป็นจริงๆ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งข้ามสะพานมาถึงเราแล้ว เขาก็จะเดินจากไปด้วยความรู้สึกว่า เขาถูกหลอก (และอาจเผาสะพานทิ้ง ไม่หวนคืนมาอีกด้วย)

การควบคุมตัวเองและการรักษาสัญญากับตัวเอง บนพื้นฐานของการมีจุดศูนย์กลางอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง จะสร้างความรู้สึกชื่นชมตัวเองให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นและมีอิทธิพลต่อกันและกัน

การอยู่ร่วมกับผู้อื่น จึงไม่ได้หมายถึงแค่การอยู่ด้วยกันเพียงเท่านั้น แต่เป็นความสัมพันธ์จากภายในที่สามารถรับรู้และมีผลที่จับต้องได้

นิสัยที่ 4 เป็นนิสัยของการชนะร่วมกัน

โดยปกติ การตกลงเรื่องใดๆในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จะมีอยู่ 6 รูปแบบ พวกเราส่วนใหญ่จะถูกหล่อหลอมให้เติบโตมาด้วย รูปแบบ ชนะ-แพ้ หรือ แพ้-ชนะ คนกลุ่มนี้มักมีความมั่นคงในจิตใจไม่สูงนัก เพราะความมั่นคงของเขามักเกี่ยวพันกับคนอื่น โดยปกติ ถ้าไม่เป็นพวก นิยม(บ้า)อำนาจ ก็จะเป็นพวก ประนีประนอมยอมไปทุกสิ่ง พวกที่ใช้อำนาจมากๆจนโดดเดี่ยวไม่เหลือใคร ก็มักเปลี่ยนไปเป็นคนที่ยอม เพื่อให้มีเพื่อน ตรงกันข้ามกับพวกที่ยอมมากๆ จนเจ็บปวด รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ถูกกระทำและเป็นเหยื่อ พวกนี้ก็จะไม่สนใจใคร คิดแต่จะเอาชนะคนอื่น เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า ชดเชยกับความรู้สึก "ขาด" ที่อยู่ลึกๆภายใน คนที่มีลักษณะ 2 รูปแบบนี้ จึงมักเป็นพวกขาดเสถียรภาพทางอารมณ์ และในระยะยาว รูปแบบความสัมพันธ์ก็มักจะจบลงที่แบบที่ 3 คือ แพ้-แพ้ ในที่สุด

รูปแบบที่ 4 ชนะ รูปแบบนี้สนใจแต่ตัวเองว่าต้องชนะ โดยไม่เกี่ยงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร ในขณะที่รูปแบบ ชนะ-ชนะ มีนิสัยที่ 5 คือ เข้าใจคนอื่นก่อน เป็นพื้นฐานสำคัญ เราจำเป็นต้องเข้าอกเข้าใจคนอื่นในระดับเดียวกันกับเขาก่อน จึงจะเริ่มต้นคุยกับเขาต่อได้อย่างรู้เรื่อง

เมื่อเรารู้สึกและสัมผัสว่า มีคนเข้าใจเรา เราก็คุยกับเขา ฟังเขา ได้ง่ายขึ้น ในทำนองเดียวกัน หากมีคนอื่นรู้สึกและสัมผัสเช่นนั้นจากเรา เขาก็จะเปิดใจคุยกับเราได้ง่ายขึ้น การที่เราบอกว่า ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจเรา จึงเป็นคำอ้าง เพราะจริงๆ เราไม่จำเป็นต้อง "รอ" ให้เขาเข้าใจเราก่อน เราสามารถช่วยให้เขาเข้าใจเราได้ ด้วยการทำสิ่งที่เราสามารถทำได้ นั่นคือ เริ่มต้นเข้าใจเขาก่อน

การฟังคนอื่นอย่างเข้าอกเข้าใจอีกฝ่าย อาจมีผลให้เราอ่อนไหวไปตามอารมณ์และความรู้สึกได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการมีทั้ง 3 นิสัยแรกก่อน จะช่วยให้เรามีความแข็งแรงในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตตามหลักการที่ถูกต้อง

ความสัมพันธ์แบบชนะ-ชนะ จึงเป็นมากกว่าแค่วิธีคิด แต่เป็นเรื่องของแนวทางการดำเนินชีวิต ที่ต้องใช้ทั้งความจริงใจ ความกล้าหาญ ความเข้าใจ ร่วมกันสร้างทางเลือกที่ 3 ซึ่งมักไม่ตรงกับที่แต่ละฝ่ายคิดไว้แต่แรก แต่เป็นทางที่สามารถตอบสนองความต้องการแท้จริงของทั้ง 2 ฝ่ายได้

ในท้ายที่สุด วิถีชนะ-ชนะ อาจจบลงด้วยรูปแบบของการไม่มีข้อตกลงใดๆ โดยที่ความสัมพันธ์ยังดีต่อกัน เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่าย ต่างยอมรับว่าไม่มีวิธีใดสามารถตอบสนองความปรารถนาของทั้งคู่ได้จริง

สำหรับนิสัยการประสานพลัง (synergy) ซึ่งเป็นนิสัยที่ 6 โดยส่วนตัวผมค่อนข้างเชื่อว่า แทบจะเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ หากเรามีนิสัยทั้ง 5 ข้างต้น

การประสานพลัง คือ การที่เราทำงานร่วมกันแล้วได้ผลลัพธ์มากกว่าผลรวมของผลลัพธ์ที่แต่ละคนแยกกันทำงาน เช่น ผมคนเดียวยกไม้ได้หนัก 5 กก. คุณคนเดียวยกได้ 5 กก. เรา 2 คน ยกด้วยกันได้ 25 กก. (25 > 15+5)

ทั้งหมดทั้งสิ้นของการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี เริ่มต้นจากการอยู่คนเดียวได้ดี ชวนให้ผมนึกถึง ประโยคหนึ่งในพระคัมภีร์ของคริสเตียน "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง"...เราจะรักคนอื่นได้อย่างไร หากยังรักตัวเองไม่เป็น...


หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ ผมพบกรอบความคิดของผมบางส่วนที่ถูกซ่อนไว้เกือบตลอด 15 ปีที่ผ่านมา กรอบความคิดที่เชื่อว่าเรารู้จักความจริงแท้ เราจึงเห็นโลกนี้ในสิ่งที่มันเป็นจริงๆ มันทำให้ผมไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของคนอื่น เพราะความคิดเหล่านั้นมันอยู่นอกกรอบหลักการความคิดที่ถูกต้อง มันสร้างท่าทีของความยโส และการเหยียดหยามผู้อื่น ที่สำคัญ มันทำให้ผมไม่สามารถเรียนรู้อะไรจริงๆได้เลย

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมตระหนักว่า เราเห็นโลกนี้จากสิ่งที่เราเป็นต่างหาก รวมกับครั้งนี้ ผมจึงตระหนักว่า เพราะคนเราแตกต่างกัน เราจึงมีมุมมองต่อเรื่องต่างๆไม่เหมือนกัน เราจึงเข้าใจเรื่องต่างๆได้ไม่เท่ากัน ซึ่งหากเรายอมรับความจริงข้อนี้ เราจะสามารถแลกเปลี่ยนและประสานมุมมองของกันและกันได้ นั่นจะช่วยให้เราเข้าใจความจริงได้ชัดเจนขึ้น (เมื่อก่อนผมอาจจะเรียกมันว่า ความจำกัด แต่ผมคิดว่า มันคือ ความแตกต่าง มากกว่านะ)

แม้จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ที่เมื่อก่อนเรามีเหตุผล(ที่ฟังดูดี)เสมอ เพื่อใช้ในการปกป้องตัวเอง เสียใจที่ทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น เสียใจที่เราเป็นอย่างนั้น แต่ก็อดตื่นเต้นและดีใจไม่ได้นะ ที่ 2-3 เดือนมานี้ ชีวิตเข้าที่เข้าทางมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นครับ...

KEEP GROWING !!!