Feb 26, 2009

freedommm m m m m m m ..........

ทุกครั้งที่นึกถึงคำว่า freedom ภาพหนึ่งที่จะปรากฎชัดเสมอในจินตภาพ คือ ฉากหนึ่งช่วงท้ายของหนังเรื่อง Braveheart
สิ่งสุดท้ายที่แกตะโกนก่อนคอจะหลุด คือ freedom

เสรีภาพ ไม่ใช่การทำตามใจตัวเอง แต่เป็นการเลือกด้วยความเต็มใจในการทำสิ่งต่างๆ ซึ่งรวมถึงการเต็มใจอยู่ในกฎเกณฑ์ต่างๆด้วย
หากเปรียบเหมือนนก นกที่มีเสรีภาพ คือ นกที่สามารถบินไปได้ทุกที่
การเลี้ยงสัตว์แบบนี้ เลี้ยงไม่ง่าย... ยิ่งกับคน ยิ่งยากกว่า

แต่ถึงอย่างไร มนุษย์ก็ถูกสร้างมาแบบนั้น เรามีเสรีภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพในการแสวงหาความสุข (pursuit of happyness) ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครสามารถมาแย่งชิงเอาความหวังไปจากใจของเราได้ ( Shawshank Redemption) เอ... มีแต่ข้อคิดจากหนังนะเนี่ย


วันนี้เห็นหัว MSN ของน้องคนหนึ่ง ก็เลยเล่าเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง
ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของ วงดนตรีวงหนึ่ง ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม แต่ถือว่าประสบความสำเร็จในกระแสดนตรีช่วงที่เขาออกอัลบั้มมา เป็นเพลงที่ฟังสนุก มีสาระ ได้แง่คิด เขาเล่าว่า ตอนนั้นแกนั่งทำงานอยู่ พวกสถาปนิกหรือไรนี่แหล่ะ แต่แกชอบร้องเพลง แกอยากทำเพลง ทำอัลบั้มขาย กำลังนั่งเพลินๆ นกพิลาบบินจากไหนไม่รู้ บินมาเกาะที่หน้าต่างข้างๆแก แกเขียนเพลงหนึ่งขึ้นมา เนื้อหาประมาณว่าอย่าอยู่อย่างคนที่อยากทำ แต่ทำเลย แล้วแกก็เดินไปลาออกวันนั้น เดี๋ยวนั้นเลย

วันที่ให้สัมภาษณ์ แกบอกไม่เสียใจที่ได้ออกมา แม้มันลำบากแต่ก็ได้ทำเพลง ทำสิ่งที่ชอบ แกบอกคุ้ม

แต่วันนี้ ผมไม่แน่ใจว่า แกยังคิดเหมือนเดิมอยู่ไหม.... เมื่อเห็นยอดขายของอัลบั้ม หุหุ

แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมเชื่อแน่อย่างหนึ่งว่า การมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิตตามความจริง เป็นบรรทัดฐานขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงมี ทุกคนควรสามารถได้ใช้ชีวิตในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ "และรับผลในสิ่งที่ตัวเองเชื่อด้วย"เช่นกัน อย่างนี้ ถึงจะเรียกว่า เสรีภาพแท้

ขนาดเลี้ยงนก มันยังรู้ว่าที่ไหนปลอดภัย ที่ไหนมีอาหาร มันรู้ว่าที่ไหนที่มันควรอยู่ ควรสร้างรัง แล้วคนจะยิ่งไม่รู้มากกว่านั้นหรือครับ
หมดเวลาแล้วกับวิธีคิดแบบเก่า การปกครองแบบเก่า ไม่ว่าจะดูดี ดูนุ่มนวลขนาดไหน "การผลักดัน" (pushing) ไม่เหมาะกับโลกสมัยนี้อีกต่อไปแล้ว (แต่ถ้ากลุ่มไหนยังใช้ได้ พึงรู้ตัวเถิดว่า กลุ่มของท่านไม่พร้อมจะรองรับคนยุคนี้เสียแล้ว หรือกลุ่มของท่านอาจยังเป็นเด็กที่คิดไม่เป็น)

สำหรับคนที่ความคิดยังเป็นเด็ก การบังคับ การวางกรอบ การผลักดัน อาจจะเป็นวิธีหนึ่งที่เป็นทางเลือก เพราะเขายังไม่พร้อมจะรับผิดชอบกับเสรีภาพที่จะได้รับ แต่กับคนโตแล้ว ใช้วิธีการเชื้อเชิญ (pulling) เขาดีกว่า ให้เขาไปเถอะครับ เสรีภาพน่ะ

ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์โลก บ่อยครั้งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เกิดจากความต้องการอิสรภาพ แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่ใช้ๆกันในการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่นี่คือเรื่องจริงว่า คนต้องการเสรีภาพ

จงสอนคนให้รู้จักการมีเสรีภาพอย่างถูกต้อง ก่อนที่เขาจะเรียกร้องและยึดมันเอาไว้ด้วยกำลังของตัวเขาเอง...

freedom พูดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พูดไม่คิด คิดไม่เป็น ทำไม่ถูก ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาแต่ใจตัวเองหรอกครับ (ทั้งสองฝ่ายนั่นแหล่ะ) จริงไหม!!

Feb 22, 2009

บทเรียนจากหมอนวด

ฟังชื่อเรื่องแล้วอย่าเพิ่งตกใจครับ ผมหมายถึงหมอนวดไทยแผนโบราณครับ

สืบเนื่องมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ที่เจ็บหลัง ปวดตัว นู่นนี่นั่นโน่น หลังจากไปหาหมอมาหลายที่ วินิจฉัยกันต่างๆนาๆ จนผมงงว่าตกลงเป็นอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆตั้งใจมากว่าปีนี้จะรื้อฟื้นสุขภาพดีให้กลับมา

ด้วยความที่ไม่ถูกกับแพทย์แผนปัจจุบันเท่าไหร่นัก สมัยเด็กๆรอดตายมาหลายครั้งก็เพราะแพทย์แผนไทยพวกยาต้มยาพ่นยาหม้อนี่แหล่ะ ยาเม็ดกินแล้วเอาผมไม่ค่อยอยู่ ครั้งนี้ก็เลยเริ่มไป "นวด"

วันนี้ ไปนวดพา เพื่อนขิงไปด้วย เห็นแล้วนึกถึงสภาพตัวเองเมื่อเดือนตอนต้นปี ร้องโอดโอยจะเป็นจะตายอนาถต่อผู้พบเห็นเป็นที่สุด ช่วงนั้นไปนวด5สัปดาห์ติด แต่ก็ช่วยได้เยอะมาก

วันนี้ พี่แหวนหมอนวดสูงอายุผู้ชำชองพูดสะกิดใจอย่างมาก "ถ้าเส้นมันตึงมากๆ มันรัดหัวใจ รัดข้างใน เป็นแรกๆยังทนได้ ยังทนไหว แต่ร่างกายไม่ไหวเมื่อไหร่ เป็นหนักแล้ว คราวนี้จะหาสาเหตุไม่เจอ"

มานอนลองคิดใคร่ครวญ ผมว่าจริงนะ บางทีเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราเห็นว่ายังไม่สำคัญ ปล่อยไป ไม่จัดการ ไม่แก้ไข นานวันขึ้นก็แก้ไขยาก ทั้งเป็นความเคยชิน และเป็นเหตุผล(ปลอมๆ)ในจิตใจว่า เราเลิกไม่ได้

บางคนรู้ทั้งรู้ว่ากาแฟไม่ดี แต่ไม่เลิก เพียงเพราะเหตุผลว่า กินมาทั้งชีวิต (อย่ามาพูดนะว่า เลิกไม่ได้)
บางคนรู้ว่าออกกำลังกายดี แต่ไม่ทำ เพราะเหตุผลว่าไม่มีเวลา
บางคนนอนดึก ข้าวเช้าไม่กิน หนังสือไม่อ่าน อื่นๆอีกมากมาย ที่เรารู้แก่ใจว่าดีแต่ไม่ทำ รู้ว่าไม่ดีแต่ก็ยังทำ
ทั้งหมดทั้งสิ้น พูดกันง่ายๆ คือ เราไม่ตระหนักถึงความสำคัญของมันมากเท่าความเป็นจริง

หวังว่า หากวันหนึ่งเมื่อเราได้ตระหนักถึงความสำคัญตามจริง วันนั้นคงไม่ใช่วันที่เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว
อย่าคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย สิ่งสำคัญและยิ่งใหญ่ของโลกนี้ ล้วนเริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อยทั้งนั้นครับ

Feb 17, 2009

เวิ่นเว้อ วุ่นวาย

หลังจากที่สภาพจิตใจค่อยๆดีขึ้นบ้าง ตอนนี้ปัญหาเรื่องเดิมๆก็เริ่มเวียนมาอีกรอบนึง
คิดแล้วก็เซ็งตัวเองอยู่เหมือนกันนะ ต้องมาเจอสถานการณ์เดิมๆอีกละ ไม่ผ่านซักที แต่จะบอกว่าสถานการณ์เดิมๆก็คงไม่ถูกนัก เพราะมันซับซ้อนและยากขึ้นเรื่อยๆ

วงจรอุบาทว์นี้เริ่มตรงไหนนะ
ณ จุดที่เราแข็งแรง เราเห็นว่าเราทำได้ เรามีภาระใจ เรารับงาน ทำๆอยู่ พอต้องทำงานกับคนบางประเภท งานติดขัด งานไม่เสร็จ เกิดภาวะเซ็ง แผนงานต่างๆรวน งานค้าง เครียด ถูกหลอกให้คิดว่าตัวเองไร้ความสามารถ เหนื่อย ไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีเพื่อนหย่อนใจ ความเค้นค้างสะสม ร่างกายเริ่มรับผลจากจิตใจ ต้องใช้เวลานานขึ้นในการคลายจิตใจขณะที่ต้องการเวลามากขึ้นเพื่อทำงานค้างให้เสร็จ คุณภาพในการใช้เวลากับพระเจ้าเริ่มลดลง เริ่มไม่ลึกดื่มด่ำกับพระเจ้า เริ่มประนีประนอมกับกองทัพบาปและความคิดชั่วร้าย ผลของความบาปทำให้เสียการเจิม ความสามารถในการทำสิ่งต่างๆลดลง ขณะที่งานที่มีอยู่ต้องการความสามารถที่สูงขึ้นเพราะมีเวลาทำงานต่อชิ้นลดลง...

ถึงจุดนี้ เริ่มประเมินอะไรไม่ออก ทั้งเรื่องคนและเรื่องงาน ได้ยินเสียงพระเจ้าไม่ชัด วินิจฉัยอะไรไม่ได้ สังเกตุอะไรไม่เห็น กลายเป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ใกล้ตายเต็มที...

จริงๆ ณ จุดที่แข็งแรง ควรเป็นจุดที่ดีที่สุด ที่สามารถต่อยอดทะยานพุ่งขึ้นสูงได้อีก แต่ถ้าทำได้เอง เราคงไม่จำเป็นต้องมีพ่อมีแม่ ที่ผ่านมา ก็คงไม่แปลกหากชีวิตจะโตแบบแกร็นๆอย่างนี้ และก็ไม่โตพอเสียที... ตั้งใจว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะพูดอย่างนี้แล้ว จากนี้ไป ผมจะเลือกเส้นทางที่ผมจะเติบโตด้วยตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ และหยุดการคาดหวังจากคนอื่นอีกต่อไป ก็ไม่ได้บอกว่าดีที่สุด แต่ก็ดีรองลงมา เท่าที่จะคิดได้ มันอาจจะนานซักหน่อย แต่ก็ดีที่สุดในข้อจำกัดที่มี และคงดีกว่าไม่เริ่มทำอะไรเลย

จุดวิกฤตที่สอง คือ เกิดภาวะเบื่อเหนื่อยเซ็ง ซึ่งสาเหตุคงเปลี่ยนไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของคนอื่น ถ้ายังรักจะทำงานรับใช้พระเจ้าต่อไป ยังงัยก็ต้องเจอคนกลุ่มเดิมๆอยู่แล้ว แต่จะลดทอนผลของปัญหาได้ง่ายขึ้นจนถึงขจัดได้ หากได้รับกำลังใจทันท่วงที หากเป็นวงจรอุบาทว์รอบแรกๆ กำลังใจจากพระเจ้าคงยังพอมี แต่ยิ่งรอบมากขึ้น ดูเหมือนอัตราการถลำลึกจะเป็นอัตราเร่งมากขึ้นเช่นกัน

จุดแรก เป็นจุดวิกฤตความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ ไม่ดีขึ้นก็แย่ลง แต่จุดที่สองเป็นจุดวิกฤตอันตราย ถ้าเกิดขึ้น มีแนวโน้มตาย

ผมพูดเสมอว่า ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากมีผมอีกคนเป็นเพื่อน เราจะได้คอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน ความเข้าใจกันจะช่วยกันคิดช่วยกันทำได้เร็ว แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มีโอกาสที่ผมอาจจะเป็นตัวอันตรายเกินไปสำหรับโลกใบนี้

เท่าที่ผมจะคิดออก วิธีที่จะลัดวงจรนี้ คือ หาคนที่เขาจะช่วยทำให้ผมเติบโตขึ้น เป็นผู้ชายแท้มากขึ้น รักพระเจ้ามากขึ้น และผมมั่นใจว่า เขาพร้อมจะยืนเคียงข้างกับผมจนวันสุดท้าย... ผมก็ยังนึกถึง คนที่จะมาเป็น ภรรยาของผมอยู่ดี

ถึงตอนนี้ ผมคิดว่า นั่นอาจเป็นสิ่งที่ผมคิดจากความตั้งใจดีเพื่อพระเจ้า แต่พระเจ้าคงมีแผนการที่ดีกว่านี้ให้ผม ผมมั่นใจอย่างนั้นว่าพระองค์เจ๋งแน่นอน ผมกลับมามองตัวเองว่า ณ วันนี้ ผมมีอะไร
ผมตั้งใจว่า ในภาวะ วุ่นวายเวิ่นเว้อ ที่เราต้องยืนเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง มันอาจไม่ง่ายที่จะจัดการ สะสาง แก้ไข ทั้งหมดทั้งสิ้นให้เรียบร้อยในเร็ววัน แต่มันคงไม่เกินไปกว่าสรรพสิ่ง รวมทั้งกำลังที่พระเจ้าให้เราไว้อย่างแน่นอน

สำคัญที่ว่า ใจของเรา ต้องไม่วุ่นวาย เวิ่นเว้อ ไปด้วย เพราะหากเป็นอย่างนั้น ความพ่ายแพ้ในจิตใจ คงปิดบังสายตาเราไม่ให้เห็นโอกาสจากวิกฤติที่เกิดขึ้น และคงนำไปสู่การพ่ายแพ้ที่แท้จริงในที่สุด

แม้จะดูเวิ่นเว้อ ดูวุ่นวาย แต่... ต้องสู้ตายนะ ไอ้ลูกหมา (D.O.G.: Depend On God)

Feb 15, 2009

ปล่อย...

เมื่อวานเป็นเพื่อนขิงหอบต้นไม้ไปเที่ยวทะเล... ขากลับก็หอบปลามาเลี้ยง มีชื่อเสร็จสรรพ ดูแล้วก็น่ารักดี...

เคยเลี้ยงปลาเหมือนกันตอนเด็กๆ ผ่านช่วงเวลาแห่งการทำร้ายด้วยความหวังดีเหมือนหลายคนที่ให้อาหารเพราะนึกว่ามันยังหิว

เลี้ยงอยู่ซักพัก ก็เกิดบรรลุขึ้นมาได้ ตัวเรายังไม่อยากถูกพ่อแม่บังคับเลย แล้วมันจะมีความสุขเหรอ ที่ต้องมาว่ายวนไปเวียนมา อยู่ในตู้แคบๆ คิดได้ดังนั้น ก็เลยยกตู้ปลาเทลงสระบัว เดินไปเปิดกรงนก เล้าไก่ ปลดปล่อยทุกสิ่งมีชีวิตกลับคืนสู่ธรรมชาติ และหลังจากนั้นก็ไม่เคยเลี้ยงอะไรแบบนี้อีกเลย... กรงนกบ้านผม คือท้องฟ้า บางวันมันก็มา บางวันมันก็ไม่มา แต่ผมคิดว่ามันคงมีความสุขดี

ช่วงนี้ มีประเด็นเรื่อง กิจกรรมทางเลือกเยอะอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว จัดงานปาร์ตี้วาเลนไทน์กับเพื่อนๆ ก็มีบางคนบอกว่า ไม่ฝ่ายวิญญาณซะงั้น ไม่เห็นจะเป็นงานประกาศ น่าจะต้องเพิ่ม อะไรที่เป็นคริสเตียน ลงไปหน่อย แต่ผมกลับมองว่า งานนี้เป็นงานประกาศที่เหมาะสมกับบริบทปัจจุบันอย่างมาก เชื่อแน่ว่า คนที่มางานนี้จะถูกเชื้อเชิญให้มารู้จักพระเจ้าได้ในที่สุด แต่ก็เข้าใจนะ บางคนเขาอาจจะไม่เคยทำสวน ถึงคิดว่าปลูกมะม่วงวันนี้ จะได้กินผลพรุ่งนี้ทันที --'

มาวันนี้ ก็มีการคุยกันเรื่องกิจกรรมหลังโบสถ์ เพิ่งได้คุยกับน้องคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขาเลือกเข้าชมรม เพื่อเป็นการให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของโบสถ์ ฟังแล้วก็ตกใจ เพราะคุยกันมาแต่ทีแรกว่า หลังเลิกนี่เป็นกิจกรรมทางเลือก ทุกคนมีเสรีภาพในการเลือก แต่เห็นวิธีการกับผลตอบกลับแล้ว ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะต่างจากของเดิมตรงไหน แค่พูดใหม่ ทำ(เหมือน)ใหม่ คิดใหม่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่อย่างไรก็ก็เชื่อในส่วนดีไว้ก่อนและรอดูผลกันต่อไป ถึงอย่างนั้นในฐานะของฝ่ายพัฒนา หนักใจจริงๆครับ

ถ้าเป็นผมนะ ผมคงไม่ทำแบบสอบถาม แต่จะให้แต่ละคนเขียนมาบอกเลยว่าอยากไปไหน อยากทำอะไร แล้วเชิญตามอัธยาศัย คนร้อยคนให้ผมนั่งอ่านคนเดียวเลยยังได้ เราจะเห็นรูปแบบของคนอย่างชัดเจนด้วยหลักฐานที่เขาเขียนเอง ถ้าเขาเริ่มเยอะไปบางเรื่อง ก็เตือนหน่อย สุดท้ายจะมีการปรับตัวตามธรรมชาติเข้าสู่ความสมดุลย์ โดยผลลัพธ์สุดท้ายคงไม่ต่างจากที่เราคาดหวังนัก แต่ด้วยวิธีการแบบนี้ คนจะรู้สึกว่าตัวเองมีอิสระเลือกในทุกขั้นตอน

มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะฝัน มีสิทธิที่จะเติบโตตามความฝันบนวิถีของตัวเอง

บางคนหวังดีด้วยการพยายามขีดกรอบให้ ด้วยอ้างว่ารัก... จนอาจกลายเป็นบังคับ
บางคนหวังดีด้วยการไม่มีกรอบให้ ด้วยอ้างว่ารัก... จนอาจกลายเป็นเรื่อง ละเลย

ความรัก จึงไม่ใช่เรื่องของการพยายามทำให้เขาดำเนินในทางที่เราเห็นว่าดีต่อเขา แต่คือการแนะนำให้เขาได้เลือกอย่างมีเสรีภาพในทางที่เขาเห็นและเชื่อว่าดีที่สุด

วันนี้ คิดได้ ก็เลยขอปล่อย ให้คนที่เรารักเขาได้โบยบินสู่ท้องฟ้ากว้างก็แล้วกัน ถ้าวันนึง เขารู้ใจของตัวเองและเห็นว่าที่นี่คือบ้าน เขาคงบินกลับมา แต่ถ้าไม่กลับมา ก็ไม่เป็นไร เข้าใจได้ว่า เขาคงได้ค้นพบตัวเองแล้วว่า ที่ไหน เหมาะจะเป็นบ้านให้ใจของเขาได้พักหลับลง

why love makes everything perfect. because love open our eyes to see and accept in what others be. Moreover, love shows us the way to complete them.

happy valentine 2009.

ปล.ตอนที่คิดได้ กำลังนั่งแท็กซี่กลับบ้าน แล้ววิทยุก็เปิดเพลงนี้ เข้าซะ


สุดท้ายก็เพื่อนกัน - Beam

Feb 7, 2009

ฝุ่น...

ฝุ่น เป็นคำนามที่นับไม่ได้ คงเพราะมันนับไม่ได้ละมั้ง พระเจ้าถึงให้อับราฮัมนับทรายแทนที่จะนับฝุ่น (เกี่ยวมั้ย?)

แต่ถ้าพูดถึง ฝุ่น ความรู้สึกที่ส่งออกมา... มันรู้สึกถึงความไร้ค่า ยังงัยไม่รู้สิ

จำได้ว่าเรื่องสุดท้ายที่จะเขียนก่อนเรื่องนี้ คือ เรื่อง ฝุ่น แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เขียน วันนี้ นั่งรอรุ่นพี่อยู่ ได้ยินเพลงนี้อีกที มันหลอนจริงๆ... คำว่ารักมันกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว อะไรที่หวังก็พังไปตั้งนานแล้ว

อะไรที่มันกลายเป็นฝุ่นได้ ก็คงสะท้อนให้เห็นว่า มันคงตายมานานแล้ว ยืนตายอยู่กลางแดด กลางฝนมานาน นานจนกร่อนเป็นฝุ่นไปตามกาละของเวลา

สุดท้ายเราก็หนีตัวเราเองไม่พ้นอยู่ดี จะมีวิธีอื่นอีกไหม ที่จะรักษาหัวใจให้หายดีอีกครั้ง บางคนบอกว่าต้องให้ความรักของพระเจ้ามาเติมใจให้เต็ม แต่คนที่หัวใจรั่วๆ เติมความรักลงไปมากเท่าไหร่ก็คงไม่เต็ม นอกจากจะเอาใจดวงนั้นจุ่มลงไปให้มิดในความรัก

แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งขนาดไหน แต่ภายในห้วงลึกของหัวใจ ก็ยังคงร้องเรียกหาพระเจ้าอยู่เสมอ ...ความเข้มแข็งที่เคยเข้าใจ อ่อนแอลงทุกนาที อยู่ดีๆใจก็ร้องไห้อีกครั้ง

ขอโทษนะ พระเจ้า ผมพยายามแล้ว... แต่จะให้ทำยังงัย เมื่อในหัวใจยังจดจำ

ช่วยหยุดมันทีเถอะครับ ก่อนที่ไม่เพียง ความรัก และ หัวใจ จะกลายเป็นฝุ่นไป แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ มันจะกลายเป็นฝุ่นไปด้วย ได้โปรดเถอะครับ พระเจ้า ช่วยผมที