Jan 20, 2010

ชีวิตคู่

คนเราอยู่ด้วยกัน จะคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ก็ไม่แปลก

คน 2 คน เติบโตมาจากคนละพื้นฐานครอบครัว ได้รับการเลี้ยงดูต่างกัน สังคมเพื่อนฝูงต่างกัน จะให้คิด ให้รู้สึกเหมือนกันทั้งหมด มันก็แปลก สำคัญตรงที่ว่า ให้มีความรักต่อกัน เพราะความรักจะทำให้ฝ่ายหนึ่งสมบูรณ์ครบถ้วนสำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง

คนรักกัน มันคุยกันรู้เรื่องอยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่เมื่อมีคนหนึ่ง ปรี้ดแตกขึ้นมา พอแตกปุ้บก็คุยกันไม่รู้เรื่องละ ยิ่งต่างฝ่ายต่างขึ้น ฉันขึ้น เธอขึ้น จากทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา คราวนี้จะกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาขึ้นมา

“ทำไมเขาเปลี่ยนไป”

“เขาไม่รักเราเหมือนเมื่อก่อนแล้วเหรอ”

“เรื่องแค่นี้ ทำไมไม่เข้าใจ”

“เขาต้องง้อเราก่อนสิ”

และอื่นๆ อีกมากมาย...

คนโบราณเคยบอกไว้ว่า ชีวิตคู่ ก็เหมือน ลิ้นกับฟัน มีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดาตามประสาคนเคียงคู่อยู่ใกล้ชิดกัน (คนที่มักกัดลิ้นตัวเองบ่อยๆ คงเข้าใจดี)

แต่ผมว่า มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะ เพราะลิ้นกับฟัน ถูกสร้างไว้ให้อยู่ด้วยกัน จะกัดกัน ขบกันบ้าง แต่ยังไงก็ยังอยู่คู่กัน ไม่เหมือนคน ที่มีชีวิต มีความคิด มีอิสระ

กัดกันแล้ว เจ็บกันแล้ว จะไปไหนมาไหนก็ได้ตามใจชอบ

สามารถเลือกได้ ว่าจะอยู่ด้วยกันต่อไป หรือ พอแล้วสำหรับ “ชีวิตคู่”

Jan 18, 2010

เมื่อต้องรับรู้เรื่องใหม่ๆ

“เมื่อฉันเห็นใบโพธิ์ ฉันเรียกมันว่า ใบโพธิ์” ออสการ์ ไวด์

เคยสงสัยไหมว่า คนเรารับรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างไร

เมื่อปี 1962 ณ มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด
นาย เฟสติงเจอร์ ลีออง ได้เสนอทฤษฎีหนึ่งชื่อว่า ทฤษฎีการไม่สอดคล้องกันของการรับรู้ (A theory of Cognitive Dissonance) เพื่อศึกษาว่า เราเชื่อสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร และความเชื่อนั้นมีผลกระทบต่อพฤติกรรมของเราอย่างไร

โดยสรุป ทฤษฎีนี้กล่าวว่า เราพยายามรักษาความรู้สึกว่า มีความสอดคล้องกันระหว่างสิ่งต่างๆที่เรารู้จัก เราจะต่อต้านข้อมูลใหม่ๆ ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความไม่สอดคล้องกับความเชื่อของเรา หรือ เราจะพยายามหาทางลดการไม่สอดคล้องนั้น

เขาทำการทดลองหลายครั้งหลายรูปแบบ มีครั้งหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเขาทำการสอบถามกลุ่มตัวอย่าง 585 คนว่า “คุณคิดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่กับโรคมะเร็งปอด เป็นสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว หรือ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์” ปรากฏผลว่า

กลุ่มคนไม่สูบบุหรี่ 29% เชื่อว่าพิสูจน์แล้ว อีก 55% คิดว่ายัง
ในขณะที่ กลุ่มคนที่สูบบุหรี่ 7% เชื่อว่าพิสูจน์แล้ว อีก 86% คิดว่ายังไม่ได้พิสูจน์

ปัญหาไม่ใช่เรื่องของคำถาม-คำตอบ แต่คือ ทำไมคนที่สูบบุหรี่กับคนไม่สูบบุหรี่ จึงมีความคิดต่างกันขนาดนั้น

เฟสติงเจอร์กล่าวว่า การที่คนสูบบุหรี่คิดอย่างนั้น เพราะเขากำลังพยายามลดระดับของการไม่สอดคล้องกันของการรับรู้ โดยการปฏิเสธความสัมพันธ์ดังกล่าวซึ่งเป็นสาเหตุของการไม่สอดคล้อง แม้จะมีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันมากมาย แต่การยอมรับหลักฐานเหล่านั้นทั้งที่ยังสูบบุหรี่อยู่ จะก่อให้เกิดการไม่สอดคล้องกัน ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวดและความสับสนทางความเชื่อให้เขา การปฏิเสธข้อมูลใหม่ซึ่งไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมเดิม จึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะลดความเจ็บปวดนั้น

ด้วยทฤษฎีนี้ เขาสามารถนำมาอธิบายพฤติกรรมของคนเราว่ามีแนวโน้มที่จะลดความไม่สอดคล้องกันของการรับรู้ ซึ่งเกิดจากการไม่ลงรอยกันในสังคมได้อย่างไร โดยยิ่งมีขนาดของการไม่สอดคล้องกว้างเพียงใด ความพยายามที่จะลดมันก็ยิ่งมากเท่านั้น

เขาระบุถึงกลไก 3 อย่าง ซึ่งคนเราใช้ในการพยายามลดความไม่สอดคล้องกันอันเกิดจากการเห็นไม่ตรงกัน

1. การเปลี่ยนความคิดของเราให้สอดคล้องใกล้เคียงกับความรู้ใหม่ (ว่าคนอื่นเขาเชื่ออย่างไร) กลไกนี้ มักพบได้บ่อยในกลุ่มอภิปรายเพื่อแสวงหาฉันทามติร่วมกัน
2. การพยายามกดดันผู้อื่นที่เห็นไม่สอดคล้องกับเราด้วยวิธีการต่างๆนานา เพื่อเปลี่ยนความคิดของเขาให้เหมือนที่ตัวเองคิด นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พบเห็นได้ไม่ยากนัก
3. การทำให้คนอื่นที่มีความคิดเห็นต่างออกไปกลายเป็นอะไรสักอย่างที่อยู่คนละระดับ คนละมาตรฐานกับเรา จนไม่สามารถใช้ความรู้หรือความเชื่อนั้นร่วมกับเราได้ เช่น การบอกว่า เขามีประสบการณ์เฉพาะตัว มีแรงจูงใจต่างกับเรา มีเป้าหมายต่างกับเรา รวมถึงการทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือแม้แต่การบอกว่า เขาตาบอดสี

นอกจากนั้น เฟสติงเจอร์ยังมีข้อสรุปเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อเดิมว่า สำหรับบางคน การไม่สอดคล้องกันของความรู้ใหม่กับความเชื่อเดิมเป็นสิ่งที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเหลือจะทน ในขณะที่บางคนกลับมีความสามารถที่จะยอมรับการไม่สอดคล้องกันได้สูงกว่า

เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่มีความอดกลั้นต่ำที่จะพัฒนาไปสู่ บุคลิกภาพแบบเผด็จการ และพร้อมจะใช้วิธีการที่ทำให้คนอื่นเสื่อมเสียได้อย่างง่ายๆ เพื่อลดความไม่สบายหรือความเจ็บปวด อันเกิดจากการไม่สอดคล้องกันของการรับรู้ของตน


นี่เป็นสรุปความจากส่วนหนึ่งที่น่าสนใจของหนังสือที่ชื่อว่า ฉีกหน้าวิทยาศาสตร์ (Alternative science) ซึ่งเดิมที ผู้แต่งให้ชื่อว่า วิทยาศาสตร์ลับแล (Science forbidden) จริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้พูดถึงการปฏิเสธการค้นพบความจริงๆใหม่ในโลกของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นงานที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าต้องใช้เหตุและผลมากที่สุดงานหนึ่ง โดยเฉพาะเป็นการปฏิเสธโดยสภาวิทยาศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญ เราไม่อาจรู้ได้ว่าโลกของเราล้าหลังกว่าที่ควรจะเป็นไปกี่ปี แต่อย่างน้อยที่รู้แน่ๆ ก็คือ พวกเขาปฏิเสธอยู่กว่า 5 ปี ที่จะยอมให้ “พิสูจน์” ว่า วัตถุที่หนักกว่าอากาศนั้นจะสามารถบินได้

ส่วนตัวผมเอง ผมคิดว่าทฤษฎีนี้สามารถนำมาใช้อธิบาย กระบวนการเปลี่ยนโลกทัศน์ หรือ การเปลี่ยนกรอบความคิด (Paradigm shift) ของคนเราได้ มันสามารถนำมาอธิบายได้ว่า ทำไมคน 2 คน ที่มีพื้นฐานความเชื่อไม่ต่างกัน เมื่อได้รับความรู้ หรือ เผชิญเหตุการณ์เดียวกัน ถึงมีพฤติกรรมตอบสนองแตกต่างกัน

ทำไม ขอบเขตของคนบางคนถึงไม่เคยขยายออกเลย ขณะที่คนบางคนกลับเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างมากมาย (คำว่า เรียนรู้ แตกต่างจากคำว่า รู้เกี่ยวกับ อย่างมาก อย่าเข้าใจไขว้เขว)

ทำไม บางกลุ่มคนจึงมีเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย เติบโต และขยายออก ขณะที่ บางกลุ่มไม่สามารถมีพื้นที่ให้กับความแตกต่าง เกิดเป็นลักษณะสังคมเชิงเดี่ยว หรือกลุ่มคนคล้ายที่หลายคนเรียก เพราะคนที่ไม่ยอมรับการกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization) ก็จะถูกกดดันให้ออกจากกลุ่มไปเองโดยปริยาย

ทำไม คนแต่ละคนในบางชุมชน จึงมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิต ขณะที่ บางชุมชนต้องจัดระเบียบ “สมาชิก” ของกลุ่ม ด้วย กฎเกณฑ์ นโยบาย และธรรมเนียมปฏิบัติ

นอกจากนี้ ทฤษฎีนี้ยังใช้อธิบายได้อีกว่า ทำไมในบางกลุ่มคนที่มักเน้นความสำคัญของผู้นำ (มากเกินจริง) จึงมักมีผู้นำที่มี บุคลิกภาพแบบเผด็จการ และที่สำคัญ ทำไม คนที่ย้ายออกไปจากกลุ่มคนเหล่านี้ จึงมักมีแต่คนชื่อเสียงไม่ดีเสียทุกครั้งไป

Jan 16, 2010

เพลงเก่าๆ

เดินผ่าน มองคนไม่รู้จัก วนเวียนและเป็นอยู่
ดูไปก็รู้สึก อย่างเคย เหมือนเคย
ลองมองผ่าน ความทรงจำที่มีอยู่ คงมีเพียงฉันคนหนึ่ง
คนเดียวที่รู้จัก อย่างเดิม เหมือนเดิม

วันเดือนปีเคยเป็นแค่เพียงสายลมผ่าน
(แต่)ใครคนนึงทำเวลาฉันให้รู้สึกมีความหมาย

คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน

ในวันหนึ่งแค่มองเธอนั้นเดินผ่าน เพียงคนไม่รู้จัก
ทำวันที่เป็นอยู่เปลี่ยนไป จากเดิม

วันเดือนปีเคยเป็นแค่เพียงสายลมผ่าน
(แต่)ใครคนนึงทำเวลาฉันให้รู้สึกมีความหมาย

คนๆหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างไป
คนที่ทำให้ยิ้มได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าเพียงไหน
เธอคนหนึ่ง ทำให้รักฉันเปลี่ยนไป
ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะคู่กัน
.
.
.

หากเราต้องจากกัน จากกันด้วยเหตุใด
เก็บความคิดที่คล้ายกัน กับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้นไว้

หากวันไหนที่เธอ เกิดเจอะเจอทุกข์ภัย
หากเธอนั้นเดือดร้อนใจ จะเป็นเรื่องใดที่ทำให้เธอท้อแท้

ขอเพียงแต่เขียนมา ขอเพียงส่งเสียงมา จะไปหา

จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ
ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ
จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล
หากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ

โปรดจงรู้ว่ามี อยู่ตรงนี้อีกคน
กับชีวิตที่วกวน จะมีผู้คนกี่คนที่เป็นมิตรแท้

ขอเพียงแต่เขียนมา ขอเพียงส่งเสียงมา จะไปหา

จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ
ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ
จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล
หากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ

จิตใจยังพร้อมจะยินดี กับรอยยิ้มที่เธอมี
อยากเห็นยิ้มที่ชื่นบาน อยากเห็นจากเธอ

อยากให้เธอได้มี สิ่งที่ดีเรื่อยไป
หากวันไหนเกิดทุกข์ภัย โปรดจงมั่นใจ

จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ
ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ
จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล
หากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ

จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ
ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ
จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล
หากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ
.
.
.

ลมพัดมาแค่เพียงเบาๆ ดาวทุกดวงก็ดูสวยดี ทุกอย่างดูดีกว่าทุกวัน
เพลงที่เคยหลงลืมมันไป กลับไปหามาฟังทั้งวัน
ปลอดปลดอารมณ์ ปล่อยให้มันลอยหายไป

ฟ้าเดิม ๆ แต่คืนนี้กลับดูสวยจัง ได้แต่นั่งอยู่ตรงนี้ กับใจที่มันอ้างว้างเหลือเกิน

อยู่ดีๆ ก็อยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เกิดเหงาอะไรขึ้นมา
อยู่ดีๆ ก็อยากร้องไห้ น้ำใสๆ ก็รินจากตา มันเหงา ไม่รู้ทำไม

มันเหมือนใจรอใครบางคน แต่ว่าเขาไม่มีตัวตน
ก็อยากมีคน นั่งมองดาวกับฉันบ้าง
.
.
.

ดึกแล้ว ข่มตานอนแต่หัวใจรุมเร้า
ออกมายืนหาดาวช่วยปลอบใจ
ดึกแล้ววุ่นใหญ่ใจร้อนรน

อยู่ไหน อยากจะรู้ตอนนี้เธอ อยู่ไหน
หลับสบายหรือไร ช่วยบอกกัน
เอ่ยถามพระจันทร์ บอกฉันที

* เขาคงนอนหลับอยู่ ไม่รู้ ไม่สนใจ
ฉันเดียวดาย ก็ใครคิดถึงเธอ
แค่เพียงเอ่ยความในใจ
บอกเธอให้รู้ไป เริ่มยังไง ไม่กล้าพอ

** อยากขอ ฝากดวงดาวทำให้ใจเธอรู้ ว่ามีใครเฝ้าดู ได้แต่คอย
ได้ไหม วานหน่อย ช่วยฉันที ช่วยบอกเธอ
.
.
.

ตัวฉันคนอย่างตัวฉันใครจะมาสนใจ
คนสวยคนที่ดีพร้อมเขาก็มองข้ามไป
เพราะฉันมันเป็นคนแบบปอนปอนทั่วไป
ไม่เห็นจะมีดีที่ใดปล่อยชีวิตไปวันวัน
ได้แต่ฝันจะมีใครอยู่ข้างเคียง

ยามเหงาได้แต่ทนเอาเราเกิดเป็นผู้ชาย
เจียมไว้ได้แต่เจียมหัวใจได้แต่คอยซักวัน
และแล้วมาเจอคนแบบปอนปอนเหมือนกัน
ตัวฉันจึงมีคนรู้ใจไปไหนก็ไปกันต่างก็รู้ในใจกัน
เรามั่นใจ..

เราจะฝ่าฟันเรารู้เรา
มีกันและกัน
เราจะแบ่งปันจะบวกใจ
ให้เป็นหนึ่งเดียว..

บางครั้งถ้าหากเจอฝนเราจะทนด้วยกัน
เราหนาวเราเปียกปอนเท่าใด
เดินต่อไปไม่หวั่น
เพราะรู้ว่าเราเป็น
แบบปอนปอนเหมือนกันมีร่มเพียงคันเดียวก็พอ
เท่านั้นก็พอใจหากลมฝนจะแรงไปเราไม่กลัว

และแล้วมาเจอคนแบบปอนปอนเหมือนกัน
ตัวฉันจึงมีคนรู้ใจไปไหนก็ไปกัน
ต่างก็รู้ในใจกันเรามั่นใจไปไหนก็ไปกัน
ต่างก็รู้ในใจกันอย่างนี้
.
.
.

กว่าจะรวมจิตใจ เก็บทรายสวยๆ มากอง ก่อปราสาทสักหลัง
ก่อกำแพงประตู ก่อสะพานสร้างเป็นทาง ทำให้เป็นดังฝัน
ก่อนที่ฉันจะได้เห็นทุกอย่าง อย่างที่ฝันที่ฉันทุ่มเท
น้ำทะเลก็สาดเข้ามา ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา
เหลือเพียงทรายที่ว่างเปล่า กับน้ำทะเลเท่านั้น
ไม่เหลืออะไรเลย จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน
ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม
ทีละเล็กละน้อย ที่คอยสะสมความดี มีให้เธอเท่านั้น
ก่อเป็นความเข้าใจ แต่งเติมความหมายด้วยกัน
คอยถึงวันที่หวัง ก่อนที่ฉันจะได้พบความสุข อย่างที่ฉันฝันไว้ทุกวัน
เธอก็พลันมาจากฉันไป ไม่เหลืออะไรเลย

(ไม่เหลืออะไรเลย) แหลกสลายลงไปกับตา
เหลือเพียงใจที่ว่างเปล่า กับฉันคนเดียวเท่านั้น

จะเอาแรงพลังจากไหนไว้เติมแต่งฝัน
จะเอาวันและคืนจากไหนให้พอทำใจ ไม่เหลืออะไรเลย
จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม
จะเอาแรงพลังจากไหน ไว้เติมแต่งฝัน
จะเอาวันและคืนจากไหน ให้พอทำใจ ไม่เหลืออะไรเลย
.
.
.

เธอเคยบอกว่าเธอไม่มีแม้ใครสักคนหนึ่ง
คงลืมว่าอย่างน้อยยังมีฉันไง
วันใดที่เธอมีเพื่อนรุมล้อมเธอหรือยังมีใคร
เธอก็จะไม่เห็นฉันเลยคนดี
แม้วันใดหัวใจเธอพ่าย จะมาแพ้ไปกับเธอ
และถ้ามีวันใด น้ำตาเธอเอ่อ จะร้องไห้เป็นเพื่อนกัน
* หากเธอสมหวัง...ในวันหนึ่ง
ให้รู้ว่าฉันยังแอบเห็นและชื่นชม
หากเธอท้อแท้...ฉันยังอยู่
หากแม้นไม่เห็นฉัน
จงโปรดรู้ไว้ว่าเธอใช่อยู่คนเดียว
.
.
.

ในบางช่วงของอารมณ์...

แล้วก็
คิดถึงเพลงใหม่ๆ เพลงหนึ่ง...


ฉันบินได้ และสามารถได้ยินความคิดใครๆ
และยังเคลื่อนไหวภายในพริบตา
หายตัวได้ และสามารถเยียวยาแผลได้เร็วไว
ข้ามเวลาไปไหน ดั่งใจต้องการ

แต่ใจฉันทรมาน ทุกวันยังนอนไม่หลับ
ไม่รู้ว่าอะไรที่ฉันขาด ที่ฉันยังต้องการอีกไหม
ปีกมีไว้ทำไม ถ้าไม่เคยมีใครให้โอบ
รู้ความในใจคงไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครให้เข้าใจ

หัวเราะได้ และสามารถจะมองฟ้าที่กว้างใหญ่
เจ็บปวดเมื่อไร ก็มีน้ำตา
ร้องเพลงได้ และสามารถจูงมือคนรักเรื่อยไป
เท่านี้ใช่ไหมที่คนต้องการ

แต่ใจฉันทรมาน ทุกวันยังนอนไม่หลับ
รู้ว่าอะไรที่ฉันขาด แต่ฉันคงไม่อาจมีไว้
ไม่ต้องหายตัวได้ ถ้าไม่เคยมีใครเฝ้าดู
ข้ามเวลาไปฉันก็คงจะรู้ ว่าฉันจะต้องอยู่อย่างไร

ปีกมีไว้ทำไม ถ้าไม่เคยมีใครให้โอบ
รู้ความในใจคงไม่ประโยชน์ ไม่มีใครให้เข้าใจ
ไม่มีใครให้เข้าใจ

ฉันบินได้
.
.
.

Jan 12, 2010

จากนี้ไปไม่เหมือนเดิม

ผมเคยชื่นชอบ "มัน" มาก
ผมยกให้ "มัน" อยู่ระดับพิเศษ เรียกได้ว่า ปฏิเสธสิ่งอื่นๆได้เพื่อ "มัน"
เพื่อ “มัน” แล้วไม่ว่าจะเยอะ จะหนัก จะยาก ลำบาก ไกลแค่ไหน ดึกเท่าไหร่ ต้องจ่ายเท่าไหร่ไม่มีเกี่ยง
ผมรู้ว่า แม้ผมจะไม่ได้สนิทกับ “มัน” ที่สุด แต่ถ้าพูดถึงผม ไม่มากก็น้อยหลายคนมักนึกถึง “มัน”

จนวันหนึ่ง ผมรู้สึกว่า “มัน” เยอะเกินไปแล้ว เกินกว่าผมจะรับได้
หลายสิ่งเกิดขึ้นกับชีวิต ทำให้ผมแย่ลง สุขภาพไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ ผมเริ่มปลีกตัวออกจาก “มัน”
แต่ก็ยังอดคิดถึง “มัน” ไม่ได้
“มัน” ช่างมีอิทธิพลกับชีวิตของผมเหลือเกิน

จนเมื่อเร็วๆนี้ ที่ผมได้พบความจริง ว่าแท้จริงแล้ว ความรู้สึกดีๆที่ผมได้จาก “มัน” นั้น เทียบไม่ได้กับ “อันตราย” มากมายที่ผมได้รับอย่างไม่ตระหนักถึง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
“มัน” ทำลายผม มากกว่าที่ผมคิดไว้

ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะตัดขาด “มัน” ชนิดไม่ต้องเจอกันเลยนะ
บางครั้ง บางโอกาส อาจได้เจอกันบ้าง
แต่ก็คงไม่เป็นเหมือนเดิม จากนี้ไป เราไม่มีทางสนิทกันเหมือนเดิมแน่

หากเรารู้ว่า อะไรไม่ดีแล้วยังทำ หรือรู้ว่าอะไรดีแล้วไม่ทำ พระคัมภีร์ของคริสเตียนบอกว่าเป็น “บาป”
ถ้ารู้ว่าใช้ชีวิตกับอะไรแล้วทำให้ชีวิตแย่ลง หรือรู้ว่าใช้ชีวิตอย่างไรแล้ว ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ไม่ทำ นั่นคือ เราทำบาปแหงๆ

กินอาหารบุฟเฟต์เยอะๆ เนื้อๆมันๆ โดยเฉพาะมื้อเย็น อันตรายต่อชีวิตมากกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ
ลด ละ เลิก ทุขโภชนาการทุกประการ หันมาใส่ใจสุขภาพ กินอาหารที่ดี มีประโยชน์อย่างถูกสุขโภชนากันดีกว่าครับ

(ปล. อุทิศให้ “มัน” พฤศจิกายน 2009)

Jan 8, 2010

สงครามของมนุษย์?

หากถามว่าสงคราม “บน” โลกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ผมคิดว่า คำอธิบายในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์น่าจะเป็นคำตอบที่ฟังดูเรียบง่ายและเป็นจริงมากที่สุด

"อะไรเป็นสาเหตุของสงคราม และอะไรเป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน มิใช่กิเลสตัณหาของท่านหรือที่ทำให้ท่านต่อสู้กัน ท่านทั้งหลายอยากได้ แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน..." ยากอบ 4:1-2

เป็นสงครามระหว่าง คนไม่มี(ที่จะเอา) กับ คนมี(ที่ไม่ให้)

นอกจากนี้แล้วผมคิดว่า สงคราม “ใน” โลกนี้ อาจจะยังมีอีก 1 สงคราม ระหว่าง 2 กลุ่ม ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน... สงครามระหว่างความดีงามกับความชั่วร้าย
.
.
.

เมื่อวานนี้ไปดูหนังเรื่อง Avatar มา อาจจะด้วยเพราะสิ่งที่กำลังสนใจอยู่ในขณะนี้ จึงได้อรรถรสในการชมที่แตกต่างไปอีกแบบ ซึ่งอาจจะเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้นหรืออาจจะเป็น เนื้อหาจริงๆ ที่ซ่อนไว้ก็ได้

ชาวพื้นเมือง มีลักษณะเป็นคนยักษ์ เป็นชาวเนวี (หรือที่พระคัมภีร์ไทยเรียกว่า ชาวเนฟิล นั่นแหล่ะครับ)
ชาวเนวีรู้จักภูมิปัญญาที่ทรงพลัง รู้จักการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างสิ่งมีชีวิต ขณะที่มนุษย์ต้องเสียเงินลงทุนวิจัยทางด้านเทคโนโลยีนับพันล้านเหรียญ
เนวีรู้จักการอยู่ร่วมกับธรรมชาติรอบตัว พวกเขามีภาษาของเขาเอง โดยมีพระแม่บริสุทธิ์ที่ชื่อว่า เอวา เป็นดั่งเทพเจ้า (พระแม่นี้ ตามความเป็นจริง ควรจะชื่อ “มาเรีย” แต่หนังเขาคงบิดเบือนนิดหน่อยเพื่อความสนุกครับ) ถ้าดูจากหนังแล้ว วิทยาการของเนวีถือว่าเหนือชั้นมาก แต่อาจจะอยู่ในรูปแบบของธรรมชาติซึ่งมนุษย์มองอย่างคุ้นเคยว่าเป็นสิ่งล้าสมัย เช่น รูปแบบของต้นไม้

มนุษย์ คือ ฝ่ายที่รุกราน สนใจแต่สิ่งที่ตัวเองอุปโลกน์ขึ้นมาว่ามีคุณค่ามีราคา จนใจบอดตาปิดมองไม่เห็นสิ่งที่มีคุณค่าแท้จริง
หนังสะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์ผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้นั้น ได้ทำลายดาวโลกไปแล้ว อีกทั้งมีจิตใจโหดร้าย คับแคบ โง่ ทะนงตน พยายามใช้กำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ ที่สำคัญ มนุษย์พวกนี้ได้ทำลาย “ความกรุณา” ไปหมดสิ้นแล้ว

ชาวเนฟิล เอ้ย ชาวเนวีหลายเผ่าพันธุ์ซึ่งมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน ได้รวมตัวกันภายใต้ผู้นำที่สามารถควบคุมพลังอำนาจอันทรงพลังเพื่อต่อสู้กับมนุษย์ แม้ว่ามนุษย์อาจจะมีขีดความสามารถท้าทายพรมแดนของพระผู้เป็นเจ้าได้แล้ว แต่สุดท้าย สงครามก็จบลงที่ชัยชนะของคนยักษ์ ด้วยความช่วยเหลือของพระแม่และมนุษย์บางคนที่แทรกซึมอยู่และเป็นพวกของชาวเนวี

หลังความปราชัยมนุษย์ถูกส่งตัวกลับสู่โลกที่เสื่อมโทรมทั้งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้อย่างดีตั้งแต่แรก ส่วนชาวเนวีก็อาศัยอยู่อย่างมีความสุขที่ดาวดวงใหม่ มนุษย์คนไหนที่ได้รับเลือกก็ทำการโอนถ่ายข้อมูลเข้าสู่กายใหม่ซะ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกับเนวีได้บนดาวของเขาซึ่งไม่เหมือนกับโลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้
.
.
.

หลังดูหนังเรื่องนี้จบผมนึกถึงหนังอีก 2-3 เรื่องที่เคยดู ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามของ 2 ฝ่ายเหมือนกัน

เรื่องแรก คือ Lord of the ring เรื่องราวการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์ที่เล็กน้อยและอ่อนแอ กับดวงตารู้แจ้งที่ทรงอำนาจ ด้วยมิตรภาพ การเสียสละ การร่วมมือกันของมนุษย์และการช่วยเหลือของกองทัพฝ่ายผู้ทรงคุณธรรม ในที่สุดพวกเราก็สามารถมีชัยชนะเหนือ จอมมารผู้ชั่วร้ายและกองทัพของมันได้

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ Matrix มนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ในโลกที่ถูกหลองลวงและไม่จริง โดยที่เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันไม่จริง เว้นแต่เราจะกล้าสงสัย กล้าค้นหา และเลือกที่จะตื่นขึ้นมา เรื่องนี้จะออกเป็นแนวๆ สงครามปลดแอกซักหน่อย ระหว่างฝ่ายที่ต้องการจัดระเบียบให้มนุษย์โลก กับมนุษย์ผู้ที่พระเจ้าสร้างเขามาให้มีเสรีภาพ มีเจตนา มีความกล้าหาญและความเชื่อในการดำรงชีวิต

เรื่องสุดท้าย คือ Transformer สงครามระหว่าง ผู้พิทักษ์ และ ผู้ทำลาย (จริงๆ ตามชื่อ น่าจะเรียกว่า ผู้หลอกลวงดีกว่านะ) ภาคแรกเป็นเรื่องของการแย่งชิงพลังอำนาจที่สามารถใช้สร้างโลกนี้ได้ ซึ่งฝ่ายผู้หลอกลวงต้องการพลังนี้ พวกมันได้ปะปนเข้ามาอยู่กับมนุษย์ในรูปแบบต่างๆโดยที่เราไม่รู้ตัวจนกว่าพวกมันจะแสดงตัวออกมา แต่สุดท้าย ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งยึดมั่นในคุณธรรมของมนุษย์ผู้ถือครองอำนาจนั้น ฝ่ายผู้หลอกลวงก็ถูกทำลายด้วยพลังที่ตัวเองต้องการ แล้วถูกนำไปทิ้งลงในทะเลลึก

ส่วนภาค 2 การแก้แค้นของผู้ล่วงหล่น ก็แสดงให้เห็นถึงว่าแต่เดิมทั้ง ผู้พิทักษ์และผู้ทำลายต่างก็เคยเป็นพวกเดียวกัน พวกผู้ล่วงหล่นได้สอนวิทยาการต่างๆให้แก่มนุษย์ มนุษย์ที่ได้เรียนความรู้เหล่านี้ จึงมีความสามารถเชี่ยวชาญหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องการก่อสร้าง ปีระมิดก็เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างของพวกนี้ (ยิ่งสิ่งก่อสร้างสูงมากเท่าไหร่ ก็ต้องใช้ความสามารถมากเท่านั้น ซึ่งมนุษย์พวกนี้อาจจะเป็นพวกเดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างหอสูงเทียมฟ้าถึงสวรรค์ได้) ตัวหัวโจกฝ่ายชั่วร้ายที่ถูกทิ้งลงทะเลเมื่อภาคที่แล้วก็กลับขึ้นมาสู้ใหม่ได้อีกครั้ง ส่วนผู้เดียวที่สามารถทำลายผู้ล่วงหล่นซึ่งเป็นต้นตอของความชั่วร้ายทั้งมวลได้ ก็ถูกฆ่าตาย แต่ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาของมนุษย์ ผู้นั้นก็ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา และแน่นอน ธรรมมะย่อมชนะอธรรมในที่สุด 555

จะว่าไป ดูเหมือนสงครามเหล่านี้ เป็นสงครามที่มีมนุษย์อยู่ตรงกลาง เป็นผู้ได้รับผลกระทบและต้องเลือกเข้าข้างใดข้างหนึ่ง บ่อยครั้งที่ความไม่รู้ของเรา (แต่เราคิดว่าเรารู้) หรืออาจจะเป็นเหตุผลของเราก็ได้ ที่หลอกลวงตัวเราเองให้มองไม่เห็นความจริงแท้ว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรู เห็นมีรูปร่างต่างจากเราก็อัดไว้ก่อน เห็นหน้าตาคุ้นๆก็เชื่อไว้ก่อน เห็นว่าธุระไม่ใช่ก็ไม่อยากยุ่ง เห็นว่าตัวเองได้ประโยชน์ก็จะเอาด้วย ผมหวังว่าเราจะไม่ถูกหลอกด้วย “ความฉลาด” ของเราเอง

เพราะวันหนึ่ง การต่อสู้ของ 2 เผ่าพันธุ์ที่แสนยาวนานนี้จะจบลงแน่ ฝ่ายหนึ่งจะชนะอย่างหมดจด และอีกฝ่ายหนึ่งจะพ่ายแพ้อย่างถาวรนิรันดร

นี่อาจจะเป็นเพียงนิทานที่ผมจินตนาการขึ้นมาเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นเรื่องเล่า และจากเรื่องเล่าก็อาจกลายเป็นเพียงนิทานปรัมปราเท่านั้น

ว่าแต่ว่า หนังเรื่องแรกซึ่งเข้าฉายล่าสุด บอกเป็นนัยว่ามนุษย์จะแพ้ให้แก่คนยักษ์ แต่อีก 3 เรื่อง ซึ่งฉายนานแล้ว บอกว่า มนุษย์จะชนะได้
อืม... หรือว่าในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด ก็กำลังมีสงครามอยู่เหมือนกันนะ

Jan 4, 2010

ยัด "สั่น" แน่น พูน ล้น

เวลามีคนมา ยัดเยียด อะไรสักอย่างให้เรา
เราคงรู้สึกไม่ชอบใจ ไม่สบายใจ อึดอัด ไม่อยากจะรับไว้
ส่วนใหญ่ก็เพราะเราไม่อยากได้
จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เรา "คิด" และ "มอง" ว่ามันไม่เหมาะกับเรา เราไม่ควรจะได้รับสิ่งนั้น

เวลามีคนมา เขย่า เรา
เราก็มักจะรู้สึก ไม่ชอบใจ ไม่สบายใจ เจ็บ
รู้สึกถูกละเมิด ถูกรบกวน ความมั่นคงในจิตใจถูกสั่นคลอน
ไม่มากก็น้อย เรารู้สึก กลัว (จนตัว "สั่น")

แล้วเรารู้สึก แน่น เวลาไหนบ้าง
ใช่เวลาที่เราได้อะไรสักอย่างมากกว่าความสามารถของเราที่จะรับไว้ได้หรือเปล่า
หรือไม่ก็เป็นเวลาที่ตัวเราเองมีขนาดใหญ่กว่า ภาชนะ / สิ่งรอบตัวภายนอก ซึ่งไม่สามารถรองรับเราได้
แต่ที่แน่ๆ เราจะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ ไม่สบายตัว
เกิดภาวะไม่เข้ากันได้อย่างดี (ภาษาเศรษฐศาสตร์ เรียกว่า เสียดุลยภาพ)

ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากกรณีไหน ก็จะมีการปรับตัวเกิดขึ้น
ถ้าเราไม่ขยายตัวเราเองออก
เราก็ต้องลดขนาด (ตัว, ใจ, ฝัน, ความคิด) ของเราลง

หรือต้องไปเปลี่ยนสิ่งรอบตัวภายนอกให้เข้ากับเรา
หลายคนชอบแบบนี้ ชอบคิดเอาเอง (โดยไม่รู้ตัว) ว่า โลกหมุนรอบตัวฉันเอง
ชอบเปลี่ยนคนอื่นให้เข้ากับตัวเอง เนื่องจากเข้าใจว่าตัวเองสูงส่งกว่า
บางคนเป็นหนักถึงขั้นหลอกลวงคนอื่น ด้วยความฝันลมๆแล้งๆ ด้วยความหวังดีที่โอบอุ้มคนอื่นให้รู้สึกมั่นคง
เป็นการยัดเยียด ความกลัว อย่างเนียนๆให้กับผู้อื่น ซึ่งมักถูกห่อหุ้มไว้ในรูปแบบของ ความรัก การยินยอม การเชื่อฟัง และความปรารถนาดี
.
.
.

ผมรู้จักกับ ยัดสั่นแน่นพูนล้น ครั้งแรกจากพระคริสต์ธรรมคัมภีร์
เป็น 1 ใน คำสัญญาที่พระเยซูบอกว่า เราจะได้รับการอวยพรอย่างนี้ด้วย เมื่อเราให้ผู้อื่นด้วยท่าทีอย่างนี้

เมื่อก่อนผมเคย (อยู่ในชุมชนที่) เชื่อว่า การอวยพร หมายถึง เรื่องดีๆที่เราได้รับ ทำให้ผมมักจะนึกถึงคำสัญญานี้ในมุมมองของเรื่องดีๆเท่านั้น แต่หลังจากเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเองอยู่พักใหญ่ ลองกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ผมเลือกเดินบนเส้นทางของพระเจ้าที่ผมรู้จัก

ผ่านไป 5 เดือน นับตั้งแต่ที่ย้ายออกมาจากรากฐานความเชื่อเดิม
เมื่อมองย้อนกลับไป ผมได้เรียนรู้เรื่องเดิมๆ ในมุมมองใหม่ๆที่กว้างขวางขึ้น

ผมเห็น สิ่งดี จาก สิ่งร้าย ที่พระเจ้า "ยัด" ใส่ให้
ผมเห็น ความแข็งแรง ได้รับการสร้างขึ้น หลังจากพระเจ้า "เขย่า" ผม จนสั่น
ผมเห็นการขยายออกของชีวิตตัวเอง หลังจากที่ผมรู้สึก "แน่น" หลังจากผมเลือกแก้ไขปัจจัยที่ผมสามารถควบคุมได้ คือ เปลี่ยนแปลงตัวเอง

ผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
ผมมีโอกาสทำในสิ่งที่สนใจ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่สนใจ (อย่างปราศจาก แรงกดดัน (จากสังคม))
ความฝันได้รับการเติมเต็ม และเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น เห็นการสนับสนุนจากพระเจ้ามากขึ้น
ความคิดเป็นเหตุเป็นผล สมจริงสมจังมากขึ้น
ยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองได้ง่ายและเร็วขึ้น
ผมรู้สึกว่า ผมเป็นมนุษย์มากขึ้นนะ

เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า
ทำไม เมื่อก่อน เราถึงมีปัญหากับ "การเจริญเติบโต" นัก
มันแทบจะเป็นวาระแห่งชาติของชุมชนที่ผมเคยอยู่เลยทีเดียว
ทั้งที่เราให้ความสำคัญขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าจะ "ไกลเท่าเดิม"

คำตอบง่ายๆ ก็คือ เราหลีกเลี่ยง / ไม่ยอมรับ ความเจ็บปวด
ไม่ยอมถูก ยัดๆๆ เขย่าๆๆ สั่นๆๆ ตบ บีบ ทุบ อัด กระทืบ ให้ แน่นๆ

เราอาจเจ็บปวดโดยไม่เติบโตได้ แต่ชีวิตเราจะเติบโตขึ้น โดยไม่เจ็บปวดไม่ได้

ผมรู้สึกว่าตอนนี้ ชีวิตของผมกำลังได้รับการเติมจากพระเจ้า
สุขภาพอนามัยเริ่มดีขึ้น
ผมทำงานมีเงินเก็บ มีเงินให้พ่อกับแม่ (เป็นครั้งแรกในชีวิต)
พูดคุยกับพ่อแม่พี่และญาติได้อย่างสนิทสนมกัน กล้าแสดงจุดยืนความเชื่อของตัวเองด้วยความเคารพ
อ่านหนังสือจบเล่มและนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย
เข้าใจหลักเหตุผลในตำราเรียน
เข้าอกเข้าใจความรู้สึกและความคิดของคนอื่น โดยไม่ต้องคิดเอาเองก่อนว่าเขาจะคิด/รู้สึกอย่างไร
เอื้ออาทรคนอื่นมากขึ้น คิดเห็นแก่คนอื่นมากขึ้น
ไม่เพียงรู้จักว่ารักคืออะไร แต่ผมรักคนอื่นได้จริงๆ
ที่สำคัญ ผมรู้สึกว่า
ผมสนิทกับพระเจ้า และกลับมาเป็นกันเองกับพระเจ้า
เหมือนเมื่อรู้จักกันใหม่ๆอีกครั้ง

มีคนเคยสอนว่า
เราต้องการอะไร ต้องจ่ายราคา ต้องรู้จัก ให้และเอา (give & take)
แต่ผมเชื่อว่าพระเจ้าสอนมนุษย์ให้รู้จัก ให้แล้วได้รับ (give, then be given)
ถึงแม้ว่าบ่อยครั้ง สิ่งที่ได้รับนั้น จะไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่า ความสุข

ในขณะที่ผมกำลังเรียนรู้การให้ชีวิตของตัวเองจากคนที่ให้ชีวิตของตัวเองแก่ผู้อื่นมาแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับชีวิตจากเขาด้วยนั้น ผมเองก็ได้รับด้วย

ยิ่งเราได้รับมาก ยิ่งสำนึกว่าเราได้รับมาเปล่าๆ โดยปกติ เราก็น่าจะยิ่งให้ได้ง่ายๆนะ (ว่าไหม?)
และยิ่งเราให้พระเจ้า เราก็ยิ่งได้รับจากพระองค์ (จริงๆ น๊า)

ยังเหลือคำกริยาอีก 2 คำ ที่ผมจะได้รับการอวยพรจากพระเจ้าตามพระสัญญาของพระองค์

เชื่อกันต่อไป เพราะวันนี้ สิ่งที่ได้รับมาแล้วนั้น ยังมองไม่เห็น

แต่ที่แน่ๆ... อะแฮ่ม "พูน" "ล้น" แน่นอนครับ