Jan 23, 2009

lost...

เมื่อวันก่อนนั่งดูหนังเรื่อง the legend of Bagger Vance เรื่องราวของนักกอล์ฟคนหนึ่งที่เคยรุ่งโรจน์มาก แต่เพราะการได้พบกับความโหดร้ายของสงคราม ความพ่ายแพ้ ความโศกเศร้าเหล่านั้นทำให้เขาอยากจะลืมความเป็นผู้ชนะ ความเป็นวีรบุรุษ ที่เขาเคยได้รับ ยิ่งกว่านั้น เขาเองก็อยากจะถูกลืมด้วยเช่นกัน

วันหนึ่งเขาต้องกลับเข้ามาแข่งขันกอล์ฟอีกครั้ง ที่สำคัญแข่งกับแชมป์ระดับประเทศ เขาเองไม่มั่นใจและอยากจะถอนตัว ที่สำคัญ เขาตีแบบเดิมกับที่เขาเคยตีไม่ได้อีกแล้ว

Bagger vance คือคนเดินทางที่ผ่านมา และช่วยเขาระลึกถึง ความ "เป็นนักกอล์ฟ" ของเขา ท้ายที่สุด เขาก็ได้ชัยชนะไป

หนังเรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ชอบมากๆตั้งแต่เข้าฉายในโรง ดูแล้วก็นั่งนึกถึงตัวเอง

คุณ สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล เคยบอกไว้ว่า หนทางของนักกลยุทธ์ที่เชี่ยวชาญ มักมีปัจจัยสนับสนุนหลักอยู่ 2 อย่าง 1.ประสบการณ์ 2.คนแนะนำ (mentor)

ช่วงนี้ โดยเฉพาะวันนี้ ผมรู้สึกเสียศูนย์จริงๆ i lost my swing ดูจะเป็นคำที่อธิบายอะไรๆได้ชัดเจนที่สุด มันให้อดรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะทั้งความเข้าใจปัญหา ทั้งปัญญาในการแก้ปัญหา ทั้งความสามารถในการแก้ปัญหา ทุกอย่างมีพร้อม ขาดแค่องค์ประกอบเดียว ดูเหมือนเล็กๆและไม่สำคัญ แต่มันก็ยิ่งใหญ่พอ ที่ทำให้ชีวิตผมลื่นไถลมาไกล จน "จำ" หนทางของตัวเองแทบไม่ได้

หากสามารถเขียนบทชีวิตของตัวเองได้เหมือนเขียนบทหนังสักเรื่อง ผมคงเขียนให้มีคนอย่าง Bagger Vance เดินเข้ามาในชีวิตของผม คนที่มีความสุขกับชีวิตจนรู้จักเต้นรำคนเดียวได้ คนที่ละเมียดละไมไปกับธรรมชาติรอบข้าง แต่เข้มแข็งกับจุดยืนของตัวเอง ผมรู้ดีกว่าใครถึงศักยภาพที่พระเจ้าให้มาในชีวิต หากจะถามว่าคนที่ทุกข์ใจที่สุดในโลกนี้ที่มันไม่เกิดอะไรขึ้นซะที หากไม่นับพระเจ้าก็คงเป็นผมนี่แหล่ะ

ผมยังพอจำความตื่นเต้นตามประสาเด็กได้ ในวันแรกๆที่เราเริ่ม "รู้" ว่าเราเป็นใครและมีอะไร ผมคงไม่โทษใครนอกจากตัวเอง ที่เราไม่เข้มแข็งพอ ไม่เข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดบนหลักที่เราอ่าน และได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ แต่กลับยอมไหลไปกับคำสอนและความคิดเห็นของมนุษย์ที่สมอ้างว่าตัวเองเข้าใจสัจธรรมและความจริงอย่างแท้จริง

ได้แต่หวังว่า บนโลกนี้ จะคงมีคนอย่าง Bagger Vance อยู่จริงๆ คนที่มีความสุขกับการได้เห็น ชีวิตของคนอื่นไปถึงจุดสูงสุดที่เขาพึงจะไปยืนอยู่ได้ พระเจ้าครับ ขอคนอย่าง Bagger Vance ให้กับผมซักคน เพื่อที่ผมจะเป็น คนอย่าง Baggar Vance ให้กับคนได้อีกมากมาย

Jan 22, 2009

ไม่มีประโยชน์

เมื่อวันก่อน มีน้องคนหนึ่งโทรมาให้ช่วยงานค่อนข้างด่วน ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ แต่เพราะด้วยความฉุกระหุก ปัจจุบันทันด่วนนี่แหล่ะ กว่าจะเสร็จก็เกือบตีสอง ที่สำคัญตอนเช้าต้องตื่นเอาไปให้ตั้งแต่ตีห้า สุดท้ายงานนั้นก็ไปไม่ถึงมือของน้องตามนัด ที่ข่มตาอดหลับอดนอน มีค่าเป็นศูนยภาพ

ผมได้ข้อคิดอย่างหนึ่ง

จริงอยู่ พระเจ้าบอกว่า มนุษย์ดูที่รูปกายภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจภายใน หลายครั้งเราจึงมักโน้มเอียงพิจารณาคนจากท่าทีแรงจูงใจเป็นหลักอยู่บ่อยๆ ซึ่งดีแล้ว แต่ แล้วไงต่อ...

เราอยู่ในโลกนี้ ที่ซึ่งเรื่องกายภาพยังมีความจำเป็นอยู่ (การบอกว่าทำเต็มที่เลยนะ ผมจะอธิษฐานเผื่อ แล้วผมก็เดินจากไป แทบไม่มีประโยชน์อะไร จะดีกว่าไหม ถ้าเราอยู่ตรงนั้นด้วยกับเขา) การตั้งใจดี ก็ดีอยู่ แต่ต้องมีผลิตภาพที่วัดจับต้องได้เป็นรูปธรรม

นั่นคือ เราจำเป็นต้องประเมินผลในทั้งสองแกน ทั้ง ผลงาน และท่าที แม้ท่าทีถูก แต่ไม่มีผลงานได้ตามเป้าประสงค์ ก็ต้องรับการตักเตือน ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า การได้ผลงานตามเป้าประสงค์แต่ด้วยท่าทีวิธีการแบบโลก

เราอยู่ในโลก แต่เราไม่ได้เป็นของโลก... ตราบใดที่ยังสัมพัทธ์กับโลกอยู่ คนในโลกเขาเห็นแต่ผล เขารู้จักเราจากผลที่เกิด จากผลที่เขาเห็น ไม่ใช่จากสิ่งที่เราเป็นอยู่ภายใน ซึ่งเขามองไม่เห็น ดังนั้น ตราบใดที่ยังอยู่ในโลกนี้ จงให้คนเขาเห็นผลผลิตจากชีวิตของเรา มิเช่นนั้นแล้ว ไม่มีประโยชน์เลยที่จะบอกว่าเราเป็นต้นไม้ดี และอันที่จริง ต้นไม้ดีย่อมออกผลดี จะออกผลเลวไม่ได้อยู่แล้ว ต้นไม้ที่แข็งแรงดีย่อมออกผล จะไม่ออกผลก็ไม่ได้ เว้นแต่ไม่ใช่ฤดูกาลของมั้น มิเช่นนั้น เปล่าประโยชน์ที่จะยืนต้นอยู่ ถูกสาปให้ตายเสียบัดนั้นคงสมควรแล้ว

Jan 21, 2009

fairness

ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ก่อน มีเรื่องให้เจ็บปวดนิดหน่อย... กล้ามเนื้อ(หัวใจ)อักเสบ เหอ เหอ เหอ จริงๆแล้วกล้ามเนื้อหลังอ่ะนะ จริงยิ่งกว่าก็คือเจ็บไม่หน่อยหรอก แต่เพราะเห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ก็เลยเตรียมใจไว้ได้พอสมควร
ได้ลองมานั่งคิดๆว่า เอ เรานี่มันแย่ขนาดไหนหนอ ถึงต้องเจ็บอีกแล้ว คิดไปคิดมา ก็บรรลุขึ้นมาได้ว่า ก็สมควรแล้ว ที่ต้องเจ็บอย่างนี้

เพราะเมื่อก่อนเราเองก็ทำให้คนเขาเจ็บไม่น้อย ที่สำคัญหลายคนเสียด้วย เพราะไอ้การกลัวที่จะมีความสัมพันธ์กับคนอื่นลึกซึ้ง กลัวไปว่าเขาจะรับไม่ได้กับความเลวของเรา มองว่าตัวเองมันแย่เสียนี่กระไร ความคิดพวกนี้บั่นทอนความสุขในการมีชีวิต และสร้างกำแพงขึ้นมาปกป้องตัวเองชั้นแล้วชั้นเล่า จนแม้แต่การบอกปัดความรักความปรารถนาดีของคนอื่นที่มีต่อเรา ซึ่งเกิดจากการล่อหลอกให้เขาหยิบยื่นให้ของเรานั่นเอง

พระเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ใคร พระองค์ยุติธรรม พระองค์ทรงนับบาปทั้งปวงของเราไว้ แล้วเมื่อถึงเวลาขันแห่งพระพิโรธนั้จะเทลงมาในเวลาที่สมควรแน่ ถึงตอนนั้นก็คงจะตัวใครตัวมันละครับ

...

ถึงจะรู้อย่างนี้ แต่บาปที่ทำไว้กาลก่อน ยังมีผลสืบเนื่องมาถึงวันนี้อยู่บ้าง จริงๆคงไม่ยากถ้าเราจะมั่นใจในความรักของพี่น้องอีกซักหน่อย แล้วก็สารภาพกับเขา ก็คงจะตัดตอนได้ แต่เพราะความกลัวนี่แหล่ะ จึงเกิดบาปซ้อนบาปไปเรื่อย ไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที เฮ่อ...จะต้องกลับใจกันไปเรื่อยๆ และก็คงไม่รอดพ้นพระอาชญาเสียกระมัง พระเจ้าขอทรงช่วยให้ความรักของพระองค์ในชีวิตผมถาโถมชนะความกลัวเสียทีเถิด

Jan 13, 2009

attitude & milestone

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่กอล์ฟพูดถึงเรื่องวงจรชีวิตที่สวนทางกัน วงจรหนึ่งเวียนขึ้นสู่ความเจริญ อีกวงจรหนึ่งวนลงสู่ความเสื่อมถอย แม้จุดเริ่มต้นของทั้งสองวงจรอาจจะเริ่มก้าวที่จุดเดียวกัน คือ การมีศักยภาพสูง แต่ปัจจัยกำหนดที่สร้างความแตกต่างให้กับผลลัพธ์ปลายทาง คือ ทัศนคติ (attitude) หรือที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า ท่าที นั่นแหล่ะ

ทัศนคติแง่บวก มีความเชื่อมั่นต่อตัวเอง เชื่อว่าเราทำได้ มองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติของนักเรียนรู้และนักปฏิบัติงาน ไม่กลัวความล้มเหลว จะช่วยสร้างความมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ เมื่อมีความมั่นใจก็ทำได้ดี แม้ผิดพลาดก็เรียนรู้ไว้เป็นประสบการณ์ ยิ่งมีความรู้ความชำนาญ ก็ยิ่งทำได้ดี ก็ยิ่งมั่นใจ ก็ยิ่งทำได้ดียิ่งขึ้น ก็จะกลายเป็นวงจรที่เวียนสูงขึ้นเรื่อยๆ

ตรงกันข้าม การขาดความเคารพนับถือตัวเอง ก็มีผลทำให้ไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ กลัวความล้มเหลว ขาดความมั่นคงในจิตใจ ทำอะไรมีความกลัวอยู่ในใจ โอกาสล้มเหลวก็มีมาก เมื่อทำพลาดก็ยิ่งย้อนกลับมาย้ำเตือนตัวเอง กลายเป็นแผลเป็นทางความรู้สึก แทนที่จะเป็นบาดแผลแห่งประสบการณ์ มากๆเข้าก็ยิ่งขาดความมั่นใจ ความมั่นคงสั่นคลอนไปเรื่อยๆ ยิ่งไม่กล้าทำอะไร ยิ่งทำอะไรล้มเหลวไปเรื่อยๆ กลายเป็นวงจรอุบาทว์ดึงให้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ

ทัศนคติ คือ ความคิด มุมมองของเรา ที่มีต่อเรื่องนั้นๆ

จริงๆแล้ว หากเราอยากรู้ว่า เรามีทัศนคติต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างไร โดยเฉพาะทัศนคติต่อตัวเอง ทำได้ง่ายๆ โดยการดูผลที่เกิดขึ้น เช่นดูผลที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตที่ผ่านไป
ในการเดินทางของชีวิตคนเรา หากมีการประเมินผลเป็นระยะๆอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเป็นเหมือนการปักหมุด ลงบนเส้นทางของชีวิต วันหนึ่งหากมองย้อนกลับไป หมุดเหล่านั้น ก็จะเป็นเหมือน ป้ายบอกระยะทาง ที่บอกเราได้ว่า นี่คือ ผลผลิต ที่เกิดขึ้น จากความคิดที่เรามีต่อตัวเอง

milestone จึงไม่เป็นเพียงเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวัดผลเป้าหมายย่อยๆตลอดเส้นทางชีวิตของเรา ไม่เพียงเป็นจุดชี้วัดระยะในแต่ละช่วงของความสำเร็จที่สามารถจับต้องได้เท่านั้น แต่ตรงกันข้าม milestone ยังเป็นเครื่องมือที่ดี ที่เราสามารถใช้ ย้อนรอย เพื่อตรวจสอบชีวิตของตัวเราเองได้ ช่วยให้เราสามารถรู้จักตัวเองได้อย่างดี โดยไม่สามารถยกอ้างเหตุผลใดเพื่อมาโต้แย้งได้เลย

Jan 11, 2009

to somebody...


อันนี้ตัวปรับปรุงแก้ไข


อันนี้ตัวเดิม

ไม่รู้ช่วงนี้เป็นอะไร เปิดวิทยุทีไร ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปคลื่นไหน ก็จะต้องได้ยินเพลงอยู่เพลงหนึ่งเสมอ จนแทบจะร้องได้ ประกอบกับวันนี้นั่งชำระสมุดบันทึกปีที่แล้ว ไปเจอหัวข้ออธิษฐานเผื่อคนคนหนึ่ง คิดว่าถึงวันนี้แล้ว คงไม่เสียหายที่จะลงเอาไว้เป็นความทรงจำ อีกครั้งหนึ่งที่คนคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วก็คงจะเดินจากไปเหมือนคนอื่นๆ

เผื่อบางที เธอ คนนี้ จะผ่านมาอ่าน และอาจจะได้รู้ว่า มีใครบางคนอธ.เผื่ออยู่

บางข้อผมก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร เหมือนเป็นบันทึกสั้นๆระหว่างอธ.
1. pray for ... encourage with love and in love
2. May God give her His wisdom to do her job
3. If ... is not my The help, pull her out. but if she is, bring we commit together more
4. proof our heart, each one, God create us for build each one up

ไม่รู้จะเรียกว่าปลงตกได้หรือเปล่า จนถึงนาทีนี้ ผมก็ยังเห็นว่า โดยน้ำพระทัยพระเจ้าแล้ว ผมควรแต่งงานกับคนที่มีลักษณะตามที่แนบมา แต่คนลักษณะอย่างนั้น หายาก และที่เห็นอยู่ เธอก็ไม่ชอบผม ก็เลยต้องนั่งทำใจกับพระเจ้าซะแล้ว

ถึงวันนี้ก็ทำใจได้เยอะขึ้นนะ พระเจ้ายังไม่บังคับเธอเลย แล้วเราเป็นใครจะไปฝืนใจเธอ เรื่องรักใคร่ชอบพอนี่ มันฝืนใจกันไม่ได้อยู่แล้ว เอาเถอะ อย่างน้อยก็ขอให้เธอได้ชอบพอกับคนที่ชอบพอเธอด้วยละกัน ให้ความสุขของเธอได้ทวีมากขึ้นผ่านความรักที่มีต่อกัน ขอให้เธอและคนนั้นของเธอพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ขอให้คนนั้นของเธอรับฟังและเข้าใจเธอเสมอ ขอให้เขารักเธอมากๆ เหมือนที่พระเจ้ารักเธอนะ

ถ้าเธอได้ผ่านมาอ่านเรื่องนี้ หวังว่าเธอคงรู้ว่าเราเขียนถึงเธอ
เราคงไม่มีอะไรจะให้เธอแล้ว เพราะเธอก็คงไม่สะดวกใจที่จะรับ ไม่ต้องรู้สึกผิดนะ มันเป็นเรื่องปกติ เราเข้าใจ นับจากนี้ไปเราก็จะพยายามดูแลตัวเอง แต่มีอะไรไม่สบายใจ เธอจะแวะมาคุยกับเราก็ได้นะ เรายินดีเสมอแหล่ะ ขอบคุณมากนะที่ทำให้เราได้พบเจอสิ่งดีๆในชีวิตตั้งมากมาย ขอบคุณที่ช่วยจุดประกายขับไล่ความมืดไปจากใจของเรา

เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ชีวิตนี้จะเจอคนอย่างเธออีกไหม แต่เราก็ไม่คิดจะเริ่มต้นกับใครใหม่อีกแล้วล่ะ จะว่าเราเข็ดก็ได้ สองครั้งก็เกินพอแล้วสำหรับชีวิตคนหนึ่งคน เราก็จะรักพระเจ้าให้เยอะๆล่ะนะ หวังว่าคงพอแทนกันได้บ้าง เหอ เหอ เหอ.... ถ้าวันไหนเธอรู้สึกชอบเราขึ้นมาบ้างก็บอกเรานะ เราจะไปขอเธอแต่งงาน ^^

เพลงนี้อ่ะ Somebody's Me ของ Enrique Iglesias

You, do you remember me?
Like I remember you?
Do you spend your life
Going back in your mind to that time?
Because I, I walk the streets alone
I hate being on my own
And everyone can see that I really fell
And I'm going through hell
Thinking about you with somebody else

Somebody wants you
Somebody needs you
Somebody dreams about you every single night
Somebody can't breath without you, it's lonely
Somebody hopes someday you will see
That Somebody's Me [2x]

How, How could we go wrong
It was so good and now it's gone
And I pray at night that our paths will soon cross
And what we had isn't lost
Cause you're always right here in my thoughts

Somebody wants you
Somebody needs you
Somebody dreams about you every single night
Somebody can't breath without you, it's lonely
Somebody hopes someday you will see
That Somebody's Me [2x]

You'll always be in my life
Even if I'm not in your life
Because you're in my memory
You, will you remember me
And before you set me free
Oh listen please

Somebody wants you
Somebody needs you
Somebody dreams about you every single night
Somebody can't breath without you, it's lonely
Somebody hopes someday you will see
That Somebody's Me

Jan 6, 2009

we're here, we should dance

ช่วงนี้ ปีใหม่แท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเป็นช่วงปีใหม่หรือเปล่า ถึงมีอาการนี้
หรือว่าจะเป็นเพราะสังวรว่า ปีนี้จะอายุเลยสามสิบแล้ว ยังไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียที ไม่รู้คนอื่นเขาเป็นกันหรือเปล่า

มันเลยยิ่งทำให้อยากทำเฉพาะสิ่งที่ต้องทำ หรือทำได้ดี อะไรที่ไม่จำเป็น ไม่ใช่ตัวเราก็ไม่อยากเสียเวลาทำ

เห็นคนที่วันๆเอาแต่นอน ก็หงุดหงิด ลัลล้าทำตัวว่าชีวิตข้านี่มีความสุขเสียเต็มประดา ก็หงุดหงิด เห็นคนที่จะทำมันไปซะทุกอย่างเพราะกลัวนู่นนี่นั่นโน่น ก็หงุดหงิด มองตัวเอง ชีวิตไม่โต ไม่มีคนดูแลก็หงุดหงิด เห็นคนไทยไร้วินัย นิสัยเสีย มารยาททราม ก็หงุดหงิด เออ... หาเรื่องหงุดหงิดไปได้ซะทุกเรื่อง หงุดหงิดด้วยใจขอบพระคุณพระเจ้านะ (นี่ยังไม่รวมเรื่องที่อดไปเชียงใหม่ หรือพ่อเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด แล้วที่บ้านช่วยกันปิดผม อย่างเซ็งอ่ะ)

บางทีมันก็อดคิด อดรู้สึกไม่ได้ว่า เป็นเพราะเราอยู่แวดล้อมแต่ด้วยคนพันธุ์บอนไซหรือเปล่า เราก็เลยเติบโตแทงทะลุขึ้นมาไม่ได้ หลายทีก็นึกไปถึงสมัยก่อนที่เสียงพระเจ้ามาถึงชีวิต เป็นคนละทิศกับทางที่ผู้นำพาเดินไป และสุดท้าย เวลาก็พิสูจน์ว่าเราได้ยินเสียงพระเจ้าไม่ผิด แต่คำถาม คือ พระเจ้าจะบอกเราเพื่ออะไร

หลายปีผ่านไป วันนี้ผมเรียนรู้และไปถึงจุดสำนึกอย่างแท้จริงว่า ทั้งหมดทั้งสิ้น คือตัวเราเองกับพระเจ้า เท่านั้น

ขิง บอกว่า ถูกเตรียมชีวิตมาขนาดนี้ ยังจะมาคาดหวังให้มนุษย์เลี้ยงดูอีกหรือ ก็จริงอยู่ แต่แค่นี้ ก็คุยกับคนอื่นไม่ค่อยจะเข้าใจกันอยู่แล้ว และผมก็ยังเชื่ออยู่ว่า ต้องมีใครสักคนหนึ่งที่เขาจะเข้าใจและเป็นเหล็กมาลับผมให้คมขึ้นได้

คิดไปคิดมา วันนี้เรามีอะไรบ้าง ถึงเข้าใจ วันนี้จะลองเป็นพี่เลี้ยงตัวเองดูซักหน่อย คงสนุกพิลึกดีไม่แพ้ตอนนั่งเล่นหมากฮอสคนเดียว

วันนี้ นั่งชำระจม. ใน In box เปิดไปเจอฉบับหนึ่ง ชอบจริงๆ ขออนุญาตนำมาเผยแผ่เป็น “สารกระตุ้น” ต่อมของท่านผู้อ่าน

ชีวิตนั้นสั้น จงแหกกฎ ขอโทษให้ไว จูบอย่างช้าๆ รักจริงจัง หัวเราะให้หลุดโลก และไม่ต้องนึกเสียใจกับสิ่งที่ทำให้คุณ ยิ้ม ได้


ชีวิตอาจจะไม่ใช่งานปาร์ตี้ที่เราฝันไว้ แต่ในขณะที่เราอยู่ที่นี่ จงดิ้นซะ... เอาให้สุดแรงเกิด เอาให้มันส์ ก่อนที่งานปาร์ตี้จะจบลง ถึงตอนนั้นหากยังมีแรงไหวอยู่ อยากเต้นรำแค่ไหน ก็คงไม่มีที่ให้ ดิ้น อีกแล้ว

Jan 1, 2009

แรกเรื่องเริ่ม

...แล้วปีใหม่ก็มาเยือนอีกครั้ง เป็นอย่างนี้มา 30 ปีแล้ว เหมือนจะเตือนใจตัวเองให้รู้ว่า ชีวิตต้องก้าวต่อไป ถึงเดือนมกราคมทีไร ก็ปีใหม่ทุกที ทว่าแต่ละมกราคม ไม่เคยเหมือนเดิม

ผู้คนเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาหมุนเวียนมาเจอ มีบ้างบางคนที่หน้าตาเหมือนเดิม แต่เธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
หัวใจก็ยังดวงเดิม ยังเจ็บเหมือนเดิม แต่ก็ดีขึ้นนะ จากวันนี้ไป จะดูแลหัวใจตัวเอง เผื่อจะมีคนที่เขาเห็นคุณค่า จะได้ให้ใจที่เต็มด้วยรักแก่เขา ไม่ใช่ใจวิ่นๆแหว่งๆ

พระเจ้ายังเหมือนเดิม ผมยังไปโบสถ์เหมือนเดิม แต่โบสถ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว (ดูเหมือน... ยังมีคนไม่ยอมเข้าใจ และพยายามจะคิดเหมือนเดิม และทำเหมือนเดิมอยู่นะ)

สิ่งที่ตั้งใจไว้เมื่อปีที่แล้ว ยังทำไม่สำเร็จเหมือนเดิม แต่ก็เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นนะ เหลืออีกไม่กี่ตัวก็จะเรียนจบซะที ที่สำคัญ ตอนนี้ก็
เข้าสู่ภาวะปกติ ของมนุษย์ขึ้นเยอะนะ

ยังเชื่อในความรักเหมือนเดิม แม้กับคนแรกของหัวใจที่กล้าพูดว่านั่นคือความรัก ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แม้จะไม่ใช่ความรักครั้งสุดท้ายอย่างที่ฝันไว้ แต่ก็หวังว่าหัวใจตัวเองจะยังมีแรงพอที่จะกล้าเปิดใจรักใครอีกซักครั้ง

กลางคืนกำลังล่วงไป รุ่งอรุณกำลังใกล้เข้ามา... จะดีสักแค่ไหนนะ ถ้าทุกเช้าที่ลืมตาขึ้นมาเหมือนเดิม ผมจะได้เห็นความรักของผมในดวงตาของใครอีกคน


“เรื่องราว” เป็นคำที่ผมชอบมาก หากจะให้หาคำมาอธิบายปีที่แล้ว หรือชีวิตในช่วงที่ผ่านมา ทั้งจากที่ได้พูดคุยเรื่องราวความรัก (ของคนอื่น) กับน้องคนหนึ่ง “เรื่องราวระหว่างกันของเขา มันเยอะไงพี่” ...ใช่สินะ เหมือนเมื่อสอง-สามปีก่อน มีคนถามผมว่า แปดปีเชียวนะ จะเลิกจริงๆเหรอ แล้วก็จากที่ไปดูหนังเรื่อง Australia อีก “คนที่หัวใจไม่มีความรัก เขาจะไม่มีชีวิต ไม่มีความฝัน ไม่มีเรื่องราว”

ที่บอกว่าชอบคำนี้ เพราะว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา ชีวิตผมมันไม่มีเรื่องราว มันแค่ดูเหมือนจะมี ด้วยผมพยายามจะทำให้มันมี แต่ผมก็รู้ตัว มันไม่ใช่ เรื่องราว มันเป็นเพียง ประสบการณ์ ที่ถูกเก็บเอาไว้บรรเทาความตายด้านของความรักในชีวิตผม เท่านั้น

เกือบตลอดทั้งปีที่บอกพระเจ้าว่า ผมอยากจะมีความรักจริงๆ อยากจะมีชีวิตจริงๆ อยากจะมีความฝัน อยากจะมีเรื่องราว... อีกครั้ง

ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงรื้อฟื้นความรักของพระองค์ขึ้นในหัวใจของผมอีกครั้ง ขอบคุณที่ทรงส่องประกาย “พลังแห่งแสง” ของพระองค์เข้ามาในใจที่รกร้างมืดทึบของผม ขอบคุณล่วงหน้า สำหรับชีวิต สำหรับความฝัน สำหรับ “เรื่องราว” ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ผม... กำลังจะดีขึ้นแน่ๆครับ ผมสัญญา

ป.ล. ตั้งใจแต่แรกว่าจะเขียนเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของปี แต่คืนสุดท้ายของปี ออกไปหาหมอมา คนเยอะแยะเต็มถนนไปหมด กลับบ้านมาไม่ทัน ก็ขอยกยอดมาเป็นเรื่องแรกของปีแทนละกันนะ