นับจากเหตุการณ์ความไม่สงบในคริสตจักร ดูเหมือนวงจรชีวิตของหลายคนมีการขยับปรับเปลี่ยนทั้งโดยสมัครใจและไม่เต็มใจ
ตอนแรก ผมตั้งใจจะเขียนข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปคริสตจักร นั่งเขียนไปเขียนมาอยู่หลายวัน เขียนจนป่วย ก็มานั่งนึกว่า เอ...นี่เราทำไปทำไมเนี่ย ค้นจิตใจตัวเองอยู่สักครู่ สันดานลึกๆเพียงอยากได้รับการยอมรับจากคน อยากแสดงความสะใจว่า เห็นมั้ย บอกมาตั้งหลายปีแล้วไม่ฟัง สมน้ำหน้า ทีนี้จะฟังได้หรือยัง
ขนาดตัวเองยังรู้สึกสะอิดสะเอียนตัวเองเลย ก็เลยหยุดเขียนละ อะไรที่ไม่ได้ทำด้วยความรัก ต่อให้ดีแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์
รู้สึกเสียดายเวลาตั้งหลายวัน เอามานั่งอ่านหนังสือ คงจบไปสองเล่ม
นึกถึงคำพูดของเพื่อนๆหลายคน ที่ล้วนต่างยอมรับในความเฉียบแหลมและศักยภาพที่ผมมี แต่ทุกคนต่างไม่เข้าใจที่ชีวิตของผมดูเหมือนจะไปไม่ถึงไหนซักที มีคนนึงให้ความเห็นอย่างน่าฟังว่า เป็นเพราะผมจิตใจดีและเชื่อในส่วนดีของผู้อื่นมากเกินไป ผมจึงมักถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์ให้คนอื่น "ทั้งๆที่ผมรู้ตัว"
ผมเรียนรู้นับแต่วันนั้นว่า เราควรใช้แรงที่เรามี ลงมือทำในสิ่งที่เราจะได้เก็บเกี่ยวไว้ในยุ้งฉางของเราเอง หากยุ้งเราเต็ม ไม่ยากที่เราจะแจกจ่ายให้ผู้อื่น แต่หากยุ้งของคนอื่นเต็ม เราจะใช้สิทธิอะไรไปร้องขอให้เขาแจกจ่าย
แต่วันนี้ ดูเหมือนคนที่หลอกใช้แรงงานของผมจะไม่ใช่คนอื่นคนไกล นอกจากอวิชชาในตัว ความทนงตัวอย่างผิดๆหลอกกินแรงผมไปหลายวัน อย่างไรก็ขอบคุณพระเจ้านะครับ รู้สึกตัวคราวนี้ ไม่เพียงกลับใจเรื่องนี้ ยังได้กลับใจเรื่องอื่นด้วย
หากตายังไม่สว่างแล้วปล่อยให้ทิฐิครอบงำ เกิดว่าสามารถ "เอาชนะ" ใจสาวเจ้าขึ้นมาได้จริงๆ วันนั้นอาจยิ่งหาหนทางเดินได้ยากกว่าวันนี้
ก็ไม่รู้ว่าสำหรับ คนที่รู้และยอมรับว่าตัวเองหลงทาง จะเรียกคนหลงทางได้ไหม แต่อย่างน้อย วันนี้ก็จะเป็นวันแรก ที่กำลังเริ่มต้นเดินกลับสู่หนทางที่ถูกต้องอีกครั้ง...
find a way back into love...
Thy word is a lamp unto my feet, and a light unto my path. Psalm 119:105
No comments:
Post a Comment