Jul 27, 2009

be real

เมื่อวานมีประชุม...
เป็นการประชุมที่...อยากใช้คำว่าตลกดี แม้บรรยากาศการประชุมจะจริงจังมาก
ฝ่ายหนึ่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่ (กำลังจะ) เกิดขึ้น ใส่ใจเป็นห่วงกับเรื่องท่าทีและแรงจูงใจในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ในเอกสาร เพราะเชื่อว่า (เกือบ) ทั้งหมดของ "สาระ" อยู่ในนั้น อย่างน้อยมันก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่เป็นที่มาของการตัดสินใจเลือกว่าจะทำอย่างไรต่อไป ฝ่ายนี้ไม่ได้คิดว่าจะ ทำอย่างไร / ไม่ทำอย่างไร เป็นเรื่องสำคัญมากเท่ากับสนใจว่าอีกฝ่ายเห็นตรงกันไหม เห็นต่างอย่างไร คิดอย่างไรกับสิ่งต่างๆ ที่ผสมกันจนกลายร่างมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้เช่นเอกสารฉบับนั้น

ตลกเพราะว่า แท้ที่จริง ทุกคนอยู่ฝ่ายเดียวกัน เชื่อในธรรมนูญเดียวกัน ปรารถนาดีต่อชุมชนเหมือนกัน เพียงแต่คงจะมีอะไรบางอย่างแตกต่างกัน จึงดูเหมือนอยู่คนละฝ่าย และกลายเป็นการพูดคนละเรื่องเดียวกัน

ให้นึกย้อนไป 10 กว่าปีที่ผ่านมา ที่ถูกสอนให้ใช้ "หัว" คิดมากๆ ให้เยอะๆ กว่าใช้ "ใจ" รู้สึก พยายามใช้หัวฝืนใจ แต่ดูเหมือนมันไม่ใช่ชีวิตผมเลย ไม่เป็นตัวเองเอาเสียเลย เริ่มเป็นคนแปลกหน้ากับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้ชีวิตด้วยความไม่มั่นใจ มีเหตุผลหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองไปได้เรื่อยๆ ใช้ชีวิตจริงๆไม่เป็นขึ้นเรื่อยๆ หวาดกลัวกับความคิด ความเข้าใจ ความอยากและความรู้สึกของตัวเอง ต้องพยายามเป็นคนดีตามมาตรฐานของชุมชนอย่างที่คนรอบข้างคาดหวัง หดหู่จนแทบบ้า หมดแรงจะทำสิ่งดีๆเพื่อคนอื่น (แค่ตัวเองยังแทบไม่มีแรงจะใช้ชีวิต)

จนหลายปีก่อนที่เริ่มคิดได้ว่า หากยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ชีวิตก็คงไม่พ้นเป็นเหมือนเดิมๆ ไม่ช้าก็เร็ว คงต้องรับผลเดิมๆ ใช้ชีวิตทรมานคนเดียวอย่างนั้นอีกแน่ จึงเริ่มเดินออกมานอกกรอบที่ถูกสอนมา เรียนรู้และหาหนทางของตัวเอง โดยใช้ หัว และ ใจ ตามเสียงของพระเจ้าที่ตัวผมเองรู้จัก

แน่นอนว่าชีวิตมันก็ขึ้นบ้างลงบ้าง ลำบากบ้าง สบายบ้าง (ซึ่งจริงๆแล้ว ผมก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์นะ) แต่ที่สำคัญคือมันเป็นชีวิตจริงๆที่เราได้ใช้ เรียนรู้ รู้สึก และสัมผัสได้ ผ่านความเชื่อของตัวเราเอง
-----------------------------------------

เมื่อคืนมีน้องคนนึงโทรมาหา...
เขาเองบอกว่า ตอนนี้ก็เพิ่งจะเรียนจบ ยังไม่ได้ออกปากว่าจะอยู่ที่ไหนเป็นหลักแหล่ง แต่มีพี่ที่สนิทกันชวนให้มาอยู่ที่เดียวกันกับผม ตัวเขาเองก็อยากจะไปดูให้ทั่วๆก่อน เขาบอกว่า จริงๆอยากจะอยู่ในสังกัดเดิม เพราะเขารู้สึกรักผูกพันกับที่นี่ ไม่มีเหตุผลอื่น ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกรักและผูกพัน...
ช่วงแรกก็กลับไปที่หน่วยงานเดิม แต่คิดว่าบรรยากาศไม่ไหวจริงๆ ก็เลยจะลองหาที่อื่นดู
เขาเชื่อว่าที่นี่ดีที่สุดแล้ว ถึงจะมีการแยกย้ายกัน แต่ก็ยังอยากจะอยู่ภายในหน่วยงานที่แยกออกมาจากสังกัดเดิม...
เท่านี้เพียงพอไหมนะ ที่เขาจะเลือกใช้ชีวิตของเขาเองที่ไหนซักที่นึง

ผมคิดว่าพอ
-----------------------------------------

เมื่อวานวันก่อนมีคนพูดให้ฟัง...
เขาถามว่า อะไรเป็นอุปสรรคปิดกั้นไม่ให้เราเป็นตัวของตัวเองจริงๆในการดำเนินชีวิตประจำวัน
เขาบอกว่า เราสามารถเป็นตัวเองได้ และพัฒนาเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ โดยยอมอณุญาตให้พระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเราจากภายใน ทั้งการเป็นตัวเองและการ (กำลัง) เป็นเหมือนพระคริสต์ไม่ขัดแย้งกัน

ผมตอบตัวเองว่า สำหรับผมแล้ว ความกลัว และ การทำตามความคาดหวังของคนรอบข้าง ทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวเองได้ง่ายที่สุด

ผมคิดต่อได้ว่า หากเราไม่เริ่มต้น ยอมรับ ว่าจริงๆแล้วเราเป็นอย่างไร อ่อนแออย่างไร ไม่สมบูรณ์อย่างไร หรือแม้แต่เราไม่รู้ว่าเราป่วยเป็นอะไร เราจะยอมให้พระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนเราได้อย่างไร หากเราไม่ยอมรับว่าเราเจ็บป่วย เราจะต้องการหมอหรือ

ผมเชื่อว่า หนทางสู่การดำเนินชีวิตในความจริง เริ่มต้นด้วย "การยอมรับ" ในความไม่สมบูรณ์ของเรา ในความอ่อนแอ ในความกลัว ในความไม่รู้... และ "การร้องขอ" ความช่วยเหลือ ซึ่งระหว่างการรอรับการช่วยเหลือ เราจะต้องใช้ หัวและใจ ของเราอย่างทุ่มเทและอย่างสมดุล
-----------------------------------------

ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า... ตั้งแต่เด็กมา ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาเป็นว่าเริ่มจำความได้ สิ่งที่ถูกสอนมาตลอด คือ เวลาจะทำอะไรบางอย่างเนี่ย คนอื่นเขาคิดอย่างไร เขามองอย่างไร ซึ่งมันสร้างนิสัยให้ผมเป็นคนที่สนใจความคาดหวังของคนอื่นโดนไม่รู้ตัว เพียงแต่มันนานมากไป จนเอียงข้าง กระบวนการที่ซับซ้อนของ สมองและจิตใจ พัฒนาให้ผมเป็นคนที่ต้องการ การยอมรับจากคนอื่น แสวงหาความมั่นใจจากเสียงส่วนใหญ่ เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อว่าดีที่สุดกับตัวเองก่อน และอื่นๆอีกมากมายที่ผิดจากวิถีปกติของมนุษย์ทั่วๆไป

จากเด็กร่าเริง มองโลกแง่ดี มีความฝัน กลายเป็น คนหดหู่ ซึมเศร้า หมดไฟ ไม่กล้าฝัน แง่ลบ ขี้แพ้... ความไม่จริงฆ่าคนๆหนึ่งให้ตายอย่างช้าๆได้อย่างเลือดเย็น

การใช้เหตุและผล เป็นสิ่งดี แต่หากปราศจากความรู้สึก เราคงเป็นคนที่มีหลักความคิดดี แต่อาจจะไม่ได้มีชีวิตดีก็ได้
การใช้เหตุและผลล้วนๆ อาจทำให้เราสามารถเอาชนะคนอื่นได้เสมอๆ บังคับให้คนต้องจำนนด้วยเหตุผล แต่จริงๆชีวิตคนมีมากกว่าเรื่องเหตุและผล
แม้คงจะมีหลายคนให้ความนิยมชมชอบและพอใจอยู่เสมอๆ แต่คนอีกไม่น้อยที่คงไม่ชอบใจนัก และอาจมีบ้างที่ถึงขั้นเกลียดชัง โดยเฉพาะหากเหตุผลนั้นมันไม่ได้เกิดจากความเข้าใจในชีวิตจริงๆ แต่เป็นเพียงความเข้าใจในความคิด

อย่างน้อย ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่ชอบตัวเองมาตลอด เพราะตัวเองกลายเป็นคนที่ชอบเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลเสียเอง
ขอบคุณพระเจ้าที่ยังทรงเมตตา...

มองย้อนกลับไป 30 ปีที่ผ่านมา วันนี้ถึงได้เข้าใจวิถีของความจริง การดำเนินชีวิตในความจริง... วิถีของคนจริง

ยอห์น 7:18 ผู้ใดที่พูดตามใจชอบของตนเอง ผู้นั้นย่อมแสวงเกียรติสำหรับตนเอง แต่ผู้ที่แสวงเกียรติให้พระองค์ผู้ทรงใช้ตนมา ผู้นั้นแหละเป็นคนจริงไม่มีอธรรมเลย

2 comments:

  1. ได้แต่ฝาก ความคิด ของฉันเอาไว้ เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
    เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
    เคยมีคนหนึ่งยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอ ตลอดมา

    ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้ อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
    ฉันจะฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
    มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า ....

    "พระเยซู รักคุณ"

    ReplyDelete
  2. เริ่มต้นจาก "ใจ" กระบวนการจะไปไหนก็แล้วแต่
    แต่ขอให้จบจาก "ใจ" ด้วยเช่นกัน

    โตขึ้นทู้กกกกกกวันนะค้าา

    ReplyDelete