เมื่อวันก่อนได้อ่านชีวิตของนักมวยไทยคนหนึ่งแล้วให้นึกถึงชีวิตของตัวเองช่วงนี้
รู้สึกเหมือนเป็นการชกที่โดนไล่ถลุงจนลงไปนอนนับแปดตั้งแต่ยกแรก
แม้จะพยายามลุกขึ้นมาสู้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ยกที่สามก็โดนปลายคางให้ลงไปนอนนับอีกครั้ง
รู้สึกเหมือนอยากลุกแต่ก็ไม่อยากลุก
มองไปที่มุมของตัวเอง ภาพของพี่เลี้ยงและคนที่คุ้นตาไม่มีอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว...
นึกย้อนชีวิตของตัวเองเปรียบเทียบกับนักมวย
สมัยที่เรายังกระดูกอ่อนมีพี่เลี้ยงคอยสั่งสอน คอยแนะนำ
ไม่ว่าจะไม่ชอบหน้ากันขนาดไหน แต่ก่อนชกเขาก็สอนเรา ขณะชกเขาก็ตะโกนบอกเรา ชกเสร็จก็ยังให้เราซ้อมต่อ
บางครั้งเห็นไม่ไหวจริงๆ แกก็โยนผ้ายอมแพ้ให้ เทคนิคใหม่ๆแกก็สอนให้
มีปัญหาคับค้องใจอะไรก็ปรึกษาแกได้ คัมภีร์มวยที่ว่ายากๆ แกก็หาวิธีอธิบายให้เราเข้าใจได้อย่างง่ายๆ
นอกจากพี่เลี้ยง อีกคนหนึ่งก็ลูกสาวเจ้าของค่ายมวย
ทุกครั้งที่ขึ้นชก เธอก็ยืนตะโกนอยู่ตรงนั้น
หมดยกทีไรเธอก็คอยให้น้ำ คอยเช็ดหน้าเช็ดตาให้
บางทีหมดแรงกายจะลุกก็ได้เสียงเธอเป็นแรงใจให้ลุกได้อีกครั้ง ชนะก็กอดกันกลม แพ้ก็ปลอบใจกัน
จนวันที่เราเริ่มมีประสบการณ์ เริ่มมีทางมวยไม่ตรงกันกับพี่เลี้ยง เริ่มไม่อยากเป็นนักมวยสังกัดค่าย
เราอยากหาชั้นเชิงมวยของตัวเราเอง อยากลองต่อยมวยในแบบของเราเอง...
เสียงเชียร์จากคนดูยังคงดังกึกก้องอยู่รอบเวที
แต่ผมรู้ว่า ไม่ว่าผมจะชนะหรือแพ้
คนเหล่านี้ก็จะกลับบ้านไปพร้อมกับเพื่อนของเขา กลับไปอยู่กับครอบครัวของเขา
สุดท้าย ก็จะเหลือผมอยู่เพียงลำพัง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมอาจจะยังลุกขึ้นมาต่อยอีกสักครั้ง
อย่างน้อยแม้จะแพ้ ก็ยังมีเรื่องไว้เล่าให้ใครบางคนฟังว่าผมพยายามแล้วนะ
นึกแล้วบางทีก็อยากย้อนเวลากลับไปได้
ถ้าวันนั้นเราไม่ทะนงและลำพองในตัวเองมากไป
วันนี้เราอาจคงยังมีพี่เลี้ยงอยู่ที่มุมเวที แต่ที่แน่ๆ จะยังคงมีใครบางคนที่ยืนอยู่เพื่อผมตรงนั้น...
ระฆังยังไม่ดัง เวลายังไม่หมด กรรมการยังไม่นับสิบ ผมยังมีโอกาสชนะ
ถ้าผมไม่ลุกขึ้นมา หนทางของผมคงจบลงที่ความพ่ายแพ้แน่นอน
แต่ถ้าลุกขึ้นมา แม้จะยังไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาเพื่อใครหรือเพื่ออะไร
อย่างน้อยประตูสำหรับชัยชนะของผมก็ยังไม่ปิดตายเสียทีเดียว
ดูเหมือนว่า ณ ตอนที่เขียนเรื่องนี้อยู่ ผมจะลุกขึ้นมาได้สำเร็จและยืนอยู่ได้จนครบยก
ผมรู้ว่า ยกหน้า แรงที่เหลือเพียงน้อยนิดคงทนโดนต่อยหนักๆ ได้อีกไม่กี่ครั้ง
หนีไปคงไม่มีประโยชน์ คงมีแต่ต้องใส่ไม่ยั้ง แลกกันไปให้เห็นดำเห็นแดง
อย่างน้อย ชกครั้งนี้ ผมก็ได้เรียนรู้จะเป็นพี่เลี้ยงของตัวเองในขณะชก
ไม่มีคนให้ฟูมฟายด้วย ไม่มีคนคอยช่วย ไม่มีกำลังใจจากคนอื่น
ไม่มีคนปรึกษา ไม่มีคนอยู่เคียงข้าง
คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่า มันเป็นการต่อสู้เพียงลำพังเต็มรูปแบบครั้งแรกของผม
จะชนะหรือแพ้ ตอนนี้คงไม่สำคัญสำหรับผมเท่าไหร่
เพราะการชกบนเวทีนี้ สอนให้ผมได้รู้ว่า หนทางของนักสู้อยู่ที่หัวใจของตัวเอง
มันเป็นความรับผิดชอบของตัวเราเองล้วนๆ
แม้จะเหลือเพียงลำพัง แต่หากระฆังยังไม่ดังหมดยก ลมหายใจยังไม่หยุด
จะล้มอีกเจ็ดครั้ง ก็ให้ลุกขึ้นมาอีกเจ็ดครั้ง และหาหนทางที่จะชนะให้ได้
ไม่ต้องรอจนชกครบ 12 ยก หรือต้องคว่ำคู่ต่อสู้ให้ได้ก่อน ถึงจะเรียกว่า ชนะ
ชัยชนะที่แท้จริง เริ่มต้นที่หัวใจของคนที่ยืนอยู่บนสังเวียน
ขอบคุณที่เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง ผมจึงได้หัวใจของนักสู้มาแทน...
ปล. ไม่มีพี่เลี้ยงไม่เป็นไร แต่อย่างไรก็ตาม ขอมีลูกสาวเจ้าของค่ายมวยไว้สักคนก็ยังดี เห็นด้วยไหมครับ
555+ ถ้าเจ้าของค่ายมวยมีแต่ลูกชายล่ะ อาร์ตจะทำไง ... โอว ไม่กล้าคิด
ReplyDelete