หลังจากตื่นนอน คุณทำอะไรเป็นสิ่งแรก
เวลาบีบหลอดยาสีฟัน คุณบีบตรงส่วนไหน หัว กลาง หรือท้าย
คุณใส่เสื้อ หรือ กางเกง (กระโปรง) ก่อนกัน
เวลาไปซื้อของที่ตลาดนัด คุณต่อราคากับคนขายหรือเปล่า
คิดอะไรไม่ออก เหงา เศร้า ซึม ต้องการความช่วยเหลือ คุณนึกถึงคือใครเป็นคนแรกๆ
จะชวนเพื่อนไปเที่ยวซักคน คุณนึกถึงใคร
คุณมีพฤติกรรมอะไรบ้างที่คนรอบข้างฟังแล้วบอกได้ว่า นั่นมัน ... (ใส่ชื่อตัวคุณเองนะ) นี่หว่า
และอื่นๆ อีกมากมาย...
สาระของคำถามข้างต้นนั้น ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณทำอะไร
แต่อยู่ที่คุณได้คิดหรือเปล่าว่า คุณทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพราะอะไร
คุณได้คิดหรือเปล่า หรือ คุณแค่ทำไปตามความคุ้นเคย...
เมื่อไม่กี่วันก่อนผมทะเลาะกับน้องคนหนึ่ง
เนื่องจาก เราต่างคุ้นเคยกับการทำบางอย่างไม่เหมือนกัน
ผมตอบคำถามไม่ได้ว่า ผมทำอย่างนั้นเพราะอะไร
เท่าที่นึกออก ก็อาจจะเพราะ เราเรียนมาว่า เงินรับต้องเร็วที่สุด เงินจ่ายต้องช้าที่สุด
ขณะที่น้องเขาต้องการให้เสร็จๆไปทันทีไม่ต้องมายุ่งยากภายหลัง
แต่เอาเข้าจริงๆ เหตุผลที่ผมนึกออก มันก็ไม่ใช่เหตุผลอยู่ดี
วันนั้น ผมเครียดมาก
กลับมาบ้านเทศกาลสงกรานต์คราวนี้ เป็นการกลับบ้านที่ผมไม่ค่อยอยากกลับซักเท่าไหร่
มีเรื่องเครียดๆ สะสมอยู่หลายเรื่อง มีงานค้างอยู่ในหัวหลายงาน มีเรื่องกังวลใจอีกหลายสิ่ง
เป็นภาวะที่ผมไม่คุ้นเคยเลยกับการต้องอยู่กับคนอื่น
โดยเฉพาะพ่อแม่ ญาติพี่น้องซึ่งเป็นผู้คนที่เรารู้ว่าเราควรรักเขา และควรดูแลเอาใจใส่เขาให้มากๆ
ใจจริงผมอยากจะอยู่กทม. นั่งทำงาน นั่งจัดแจงสิ่งต่างๆให้ลงตัวมากขึ้นมากกว่า
แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ อยากกลับบ้านไปเยี่ยมท่านบ้าง แม้ว่าพอจะเดาได้ว่า จะเกิดสภาพอย่างไร
พ่อชี้ให้ดูต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนเพียงลำพัง
เนื่องจากกำลังมีการขยายถนน ต้นไม้เล็กๆ ชนิดอื่นๆ จึงถูกขุดถอนไปจนหมด
“ไม่รู้มันจะอยู่ได้นานอีกเท่าไหร่ เหลืออยู่ต้นเดียวโด่เด่อย่างนี้ อยู่ลำบาก” พ่อบอก
พ่อกำลังคิดว่าจะโค่นมันลงเพื่อเอามาทำวงกบประตูดี หรือจะขายทั้งต้นดี
ป้าถามว่า ตั้งแต่กลับมา เดินไปหาญาติคนอื่นบ้างหรือยัง... พ่อแซวต่อว่า สงสัยผมคงจะไปหาตอนที่จะกลับกทม.
... ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ มีความคิดและชอบทำอะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก (สมัยนี้ ก็ต้องเรียกว่า เป็นพวกไม่แคร์สื่อมาตั้งแต่เด็ก)
บ่อยครั้งเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้าง แต่บ่อยครั้งก็เพราะไม่สนใจคนอื่น
สนใจเพียงความต้องการของตัวเอง
ตอนเด็กๆ ผมเล่นคนเดียวเป็นประจำ อ่านหนังสือ วิ่ง ว่ายน้ำ เตะฟุตบอล เล่นปิงปอง เล่นหมากฮอส เล่นตุ๊กตา ดูดาว อื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน จะดึกเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แทบทุกครั้งก็ไปคนเดียว
แต่ในใจของผมก็อยากมีเพื่อนซักคนไปด้วยกัน
ผมคิดว่ามันคงดี เวลาที่เราสนุกและได้หัวเราะได้ยิ้มด้วยกัน
เวลาหลงทางก็ยังมีคนอยู่ด้วยให้อุ่นใจ เวลาโซ่จักรยานหลุดก็ยังมีคนช่วยใส่ เวลาว่ายน้ำแล้วเป็นตะคริวก็ยังมีคนคอยช่วยลากเข้าตลิ่ง ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
คงมีทะเลาะบ้าง เถียงกันบ้าง คิดไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เพียงลำพัง
บางครั้งผมก็อิจฉาพี่ชายของผมนะ (ลูกของลุง) เขาเป็นฝาแฝดกันไปไหนก็ไปด้วยกัน
จนได้รู้จักกับพระเยซู ผมรู้สึกว่าพระองค์เป็นเพื่อนที่ไปกับผมทุกที่จริงๆ
ชีวิตผมก็เหมือนกับคนทั่วๆไป ในแง่ที่เรามีเพื่อน มีคนรู้จัก ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย โบสถ์ (วัด)
เราชอบเพศตรงข้าม บางเวลาเราสมหวัง บางเวลาเราผิดหวัง
สำหรับตัวผม หลายปีก่อน ผมเคยคิดว่า อยู่คนเดียวก็ได้
จนเมื่อปีที่แล้ว ที่ผมเลือกจะคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง และตั้งใจจะแต่งงานอยู่กินด้วยกันจนแก่เฒ่า
ผมและเธอต้องปรับตัวจากสิ่งที่แต่ละคนคุ้นเคย จากการใช้ชีวิตเพียงลำพังมาเป็นการใช้ชีวิตร่วมกัน
ต้องปรับหาคลื่นให้เข้ากันทั้งเรื่องความคิด และวิถีการดำเนินชีวิต
ผมเชื่อว่า การที่ทั้งสองคนต้องก้าวออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง
คงทำให้ทั้งคู่อยู่ในภาวะ ไม่สบายตัวไม่สบายใจ บ้าง ไม่มากก็น้อย
จนเมื่อสามเดือนก่อน ความรู้สึก ของแต่ละฝ่าย ก็เดินทางมาถึง แนวต้าน และหยุดลง ณ ตรงนั้น...
กลับบ้านคราวนี้
ช่วยให้ผมยอมรับความจริงของตัวเองอย่างหนึ่งว่า ผมคุ้นเคยกับการอยู่ตัวคนเดียว
แม้ผมจะไม่ชอบและไม่อยากอยู่คนเดียวก็ตาม
ผมมองตัวเองว่าเกิดมาเป็นดั่งไม้ยืนต้น ที่วันหนึ่งคงเป็นร่มเงาให้ไม้เลื้อยและสัตว์อื่นได้พักพิงบ้าง
แต่ถึงวันนี้ ความจริงที่ว่า ไม้ใหญ่ไม่อาจยืนต้นได้เพียงลำพัง
ยิ่งตอกย้ำให้ผมไม่มั่นใจมากขึ้นว่า ผมจะเติบโตจนเป็นอย่างนั้นได้หรือเปล่า
เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา
ผมได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนมากขึ้น
การลึกลงในความสัมพันธ์กับบางคน ก็ช่วยให้ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ดีขึ้นไปด้วย
เป็นการเรียนรู้ที่ตลอด 30 ปี บนโลกนี้ ผมแทบจะไม่รู้จักเลย
ขณะที่ 3 เดือนที่ผ่านมา
กลับเป็นชีวิตที่ลักหลั่นยอกย้อนย่อนแย่นระหว่าง ชีวิตเดิมที่คุ้นเคยมาตลอดในการอยู่คนเดียว
กับชีวิตใหม่ที่คุ้นเคยกับการอยู่กับผู้คน
บ่อยครั้งที่ทำให้ผมหวนคิดถึงและโหยหาคนที่เปิดโลกใหม่ให้กับผม
แต่ก็ต้องย้ำบอกกับตัวเองไว้เสมอว่า วันเวลาเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้ว
ยังไม่รู้เหมือนกันว่า วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
เพียงแต่ไม่อยากให้ตัวเองใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ
ตามความ คุ้นเคย กับวิถีชีวิตเดิมๆ ในอดีตของตัวเองก็แค่นั้น
No comments:
Post a Comment