May 5, 2010

Replay

ตอนนี้นั่งอยู่ห้องสมุดมารวยฯ
สถานที่เดิมๆ บรรยากาศที่คุ้นเคย ทำนองเพลง รักไม่ช่วยอะไร บรรเลงลอยแว่วมาตามลม

ย้ายกลับมาอยู่แถวคลองเตยได้เดือนนึงละ เร็วจริงๆ

กี่ปีแล้วนะที่ย้ายจากที่นี่ไป เป็นการเดินทางของชีวิตช่วงหนึ่ง ที่เหมือนกับหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้นมาบนที่นอนเดิม
มีทั้งฝันดีกระฉูดสุดยอด และฝันร้ายชนิดผวาตื่นมาเพื่อพบว่าตัวเองยังคงกำลังฝันอยู่
หลายความคิด หลายความรู้สึก ประเดประดังกันเข้ามา ยังกับพวกมันได้กลับบ้านเก่า

บางที... บางทีนะ ชีวิตมันก็อาจจะไม่ได้สำคัญเท่ากับที่เรานึกคิดไว้ก็ได้มั้ง

ทุกอย่างมันก็เป็นเหตุเป็นผลของมันเอง และบางครั้ง เรื่องดีๆก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยเป็นเหตุเป็นผลมาจากเรื่องอื่น
คนที่เพ้อเจ้อ มีความฝันแต่ไม่ลงมือทำ ปล่อยชีวิตล่องลอยหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ความต้องการของตัวเอง
คนอย่างงี้ มันจะมีชีวิตสูงขึ้น ดีขึ้นทางเดียวได้อย่างไร หรือมันอาจจะจริงสำหรับคนอื่นก็ได้ แต่คงไม่จริงสำหรับผมตอนนี้ซะแล้ว

สุดท้าย มันก็ต้องกลับมาที่อะไรที่สามารถจับต้องได้ ไม่ใช่เพ้อฝัน ลมๆแล้งๆไปวันๆ

ไม่ได้โทษใคร นอกจากโทษตัวเอง ที่อ่อนด้อยเอง หลงเพ้อพบคิดและตีความเข้าข้างตัวเอง ต้องการความสนใจและการยอมรับจากคนอื่นรอบข้างเอง กลัวจะถูกปฏิเสธเอง เป็นห่วงคนอื่นไปเอง ทั้งหมดมันก็เป็นผลจากตัวเราเอง มันไม่ได้เกี่ยวว่าจะเชื่อพระเยซูหรือนับถือพระพุทธเจ้า ที่ชีวิตเรามันย่ำวนเวียนเป็นเด็กไม่รู้จักโต ก็เพราะเราไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจคนอื่น ไม่เข้าใจโลกนี้ ก็แค่นั้น รู้สึกว่าการใช้ชีวิตมันยาก อยู่กับคนอื่นมันยาก อยู่ในโลกนี้มันยาก... มันก็เป็นเรื่องธรรมดาป่ะ
มันไม่เกี่ยวกับใครหรืออะไรเลย ทั้งหมดมันเป็นเรื่องของตัว (มึง) เอง ไอ้ควายเอ้ย
...

เมื่อวานไปซื้อยาให้แม่เป็นคนไข้รายสุดท้าย มีคนไข้ไม่เยอะนัก ก็เลยนั่งคุยกับหมอสักพัก
หมอเล่าถึงพวกกลุ่มเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ราชประสงค์ หมอจะมาทำงานก็ถูกรื้อค้นกระเป๋า
มีการกล่าวปราศรัยและร้องรำทำเพลงเสียงดังเป็นที่สนุกสนานของพวกเขา แต่เป็นที่รบกวนคนไข้อย่างที่สุด
วันดีคืนดี พวกมันก็โซโล่กลองชุดตอนตี 4 ไม่ใช่แค่เสียง แต่แรงขับกลองทำให้ผนังสั่น ห้องพักคนไข้สะเทือน
บางคนเอาน้ำสาดลงไป (สาดไม่โดนนะ แต่มันเห็น) พวกมันก็เดินขึ้นมาถึงห้องพัก จะมาเอาเรื่องให้ได้

หมอยังเล่าอีกว่า ที่ต่างจังหวัดเด็กนักเรียนตีกัน แล้วมาโรงพยาบาล เพื่อนหมออยากให้นอนดูอาการ แต่ครูไม่อยากเฝ้า ให้เด็กกลับหอ รุ่งเช้าเด็กตาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น โดนกระทืบซ้ำ หรือเลือดคั่งในสมอง ไม่มีใครรู้ แต่ชาวบ้านพากันมาล้อมโรงพยาบาล บอกว่าหมอต้องรับผิดชอบ หมอก็อยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าหมอผิด แต่หมอเป็น แพะ ที่หาตัวง่ายที่สุด

ยังไม่รวมเรื่องการของบประมาณซื้อเครื่องมือแพทย์ รัฐบาลบอกไม่มีงบฯ แต่เอามาจ่าย 30 บาทรักษาทุกโรคให้คนไข้ใส่เครื่องเพชรขับเบนซ์ S class มารับยา ผ่านไป 4-5 ปี บอกมีงบแล้ว อนุมัติซื้อเครื่องได้ ซึ่งตกรุ่นไปแล้ว ตัวใหม่มันออกมาแล้ว ก็ต้องทนใช้กันไป เวลารักษาก็ทำได้ไม่เต็มที่ พอมีปัญหาขึ้นมา ก็ฟ้องหมอ ถ้าจะฟ้องหมอ น่าจะฟ้อง ผอ.โรงพยาบาล รมต.สาธารณสุข และนายกรัฐมนตรีด้วย (เฮ้อ...) หมอถอนใจหลังจากเล่ามายาว

หมอบอกอีกว่า เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครเรียนหมอกันแล้ว หรืออาจจะเรียนแต่ก็ออกไปทำงานอย่างอื่นกันเยอะ โดยเฉพาะหมอทางสมอง กับหมอสูตินารี เพราะเกิดอะไรขึ้นมา ซวยตลอด ญาติไม่เคยดูเลยว่า คนไข้ทำตามที่หมอแนะนำไหม อาการคนไข้ร่อแร่ขนาดไหน โดยเฉพาะคนไข้ทางสมอง ผ่ายังไงก็ไม่มีทางหาย มีแต่ทรงกับตาย ต่อให้ตั้งใจทำอย่างดีที่สุด สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของฟ้าลิขิต แค่นี้หมอก็รู้สึกแย่พอแล้วที่ช่วยคนไข้ไม่ได้ แต่นี่ยังมีญาติคนไข้อีก เขาไม่คิดอะไรอื่นเลย นอกจาก “เป็นเพราะหมอ” หมอผิด

คุณแม่คุณน่ะดีแล้ว เส้นเลือดในสมองแตก เนื่องจากเส้นเลือดโป่งพองน่ะ 10คน ตาย6 ที่เหลือพิการตลอดชีวิต ขอบคุณสวรรค์เถอะ ทำบุญเยอะๆนะ หมอทิ้งท้าย (แต่ถ้าไปถามแม่ แม่จะบอกว่า ทำไมถึงไม่ดีขึ้นสักทีนะ...)

มันก็จริงนะ ใครๆ ก็คิดเห็นมองโลกจากมุมมองตัวเองกันทั้งนั้น ใครๆก็ใช้ตัวเองเป็นมาตรฐาน ทุกคนต่างก็มีความต้องการของตัวเองกันทั้งนั้น คนเราต่างเอาประโยชน์และความพอใจของเราเป็นที่ตั้งกันทั้งนั้น.. ใครๆ ก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น

จริงๆหลังจากคุยกับหมอแล้ว ผมอยากจะถามหมอว่า แล้วทำไมหมอยังคงทำงานอยู่ตรงนี้ แต่คิดดูแล้ว ผมก็บอกหมอไปว่า “สู้ๆนะครับหมอ” หมอยิ้มให้ผมอย่างอารมณ์ดี...

เสียดาย ชีวิตไม่ใช่เกมส์ที่จะย้อนไปเล่นใหม่ได้ มีแต่ต้องเล่นต่อไปจนกว่าเวลาจะหมด แค่ต้องเปลี่ยนวิธีเล่น ก็แค่นั้น

No comments:

Post a Comment