เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนสนิทที่สุดสมัยมัธยมคนนึง
เขารู้ว่า แม่ผมไม่สบาย ก็เลยฝากอาหารเสริมไปเยี่ยมแม่...
(มองในแง่ดี คงไม่ค่อยมีใครรู้ว่า แม่ผมไม่สบาย หรือจะบอกว่า ผมรู้จักคนในโบสถ์ไม่เยอะดีนะ ช่างเหอะ พระคัมภีร์ก็เขียนอยู่แล้วชัดเจนว่า ความรักของคนจะเยือกเย็นลง)
ไม่ได้เจอกัน 10 ปี แม้มิตรภาพ ความสนิทใจ เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่บางสิ่งเปลี่ยนไป...
ผมพบอย่างหนึ่งว่า ระดับความจริง ความสมเหตุสมผลในชีวิตของผม มันต่างจากเพื่อนผมเยอะมากๆ... ผมน้อยกว่าเขาเยอะ
เรานั่งคุยกันหลายอย่าง หลายเรื่องที่เขากลับเป็นฝ่ายเเนะนำผม และผมเองก็ยอมรับฟังแต่โดยดี (เข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมคนที่โบสถ์หลายคนบอกว่าผมไม่ค่อยฟังใคร)
ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าฟังและตอบคำอธิษฐานของผม ให้ผมได้เจอเรื่องจริง ชีวิตจริงของคน (นึกแล้วก็ขำ มีบางคนบอกว่า พระเจ้าไม่ช่วยเหลือผม เขาก็คงช่วยไม่ได้.. ไม่เป็นไร ไม่ต้องช่วยก็ได้) ไม่ใช่แค่เพื่อนคนนี้ แต่หลากหลายผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาให้ผมได้เรียนรู้ในช่วงสั้นๆช่วงนี้
ท้ายสุดก่อนแยกย้ายกันไปทำภารกิจของแต่ละคน เราคุยกันเรื่องชีวิตครอบครัว เพื่อนผมก็เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขาประสบอยู่ และสรุปด้วยประโยคที่ว่า "แต่งงานก็ดี จะได้เป็นกำลังใจให้กัน ช่วยกันทำมาหากิน"
ตบท้ายด้วยเมื่อวาน ที่ไปเจอพี่อีกคนนึง "ชีวิตแต่งงานก็ดี เวลาทุกข์ ทุกข์ครึ่งนึง เวลาสุข สุขสองเท่า"
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเพื่อนเก่าเหล่านี้ ที่ไม่เพียงนำความสมจริงของชีวิตมากระแทกชีวิตของผม แต่ให้ผมได้เห็นข้อดีข้อที่ 4 ของการมีชีวิตคู่ คือ การเป็นกำลังใจให้กันและกันในการดำเนินชีวิต ทั้งในเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบาก และเวลาแห่งความสุขใจ... นั่นสินะ อยู่กับพระเจ้าคนเดียว ยังดีขนาดนี้ แล้วถ้าอยู่กับอีกคนนึงด้วย จะยิ่งดีกว่านี้ขนาดไหน ^^
No comments:
Post a Comment