เมื่อวานนี้ เกิดความเสียใจอย่างรุนแรง ทำงานให้ลูกค้าไม่เสร็จ แม้มันจะมีเหตุผล แต่มันก็จริงว่ามันเป็นปัญหาของผม ผมต้องแก้ให้ได้ ไม่ใช่โยนมัน ให้กลายไปเป็นภาระปัญหาของคนอื่นด้วย
เสียใจ เสียใจจนแทบจะร้องไห้
ไม่รู้กลายเป็นคนอ่อนไหว อ่อนโยนอย่างนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้ว่าตอนเด็กๆ รู้สึกเหมือนเรามีสองคนในร่างเดียว มีฝั่งดีกับฝั่งชั่ว มีเมตตาก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันก็อำมหิตไม่ใช่น้อย
เดี๋ยวนี้ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ซึ้งใจจนน้ำตาไหลบ่อยๆ แต่ก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยนะ ทั้งอ่อนโยนทั้งแข็งแกร่ง
ตอนกลับบ้านแวะห้องสมุดมารวย ก็เห็นหนุ่มสาวทะเลาะกัน ผู้ชายมีคนใหม่อีกตามเคย ทำไมนะ เขาจำวันแรกๆที่เขารักกันไม่ได้หรืออย่างไร จริงๆอยู่ เวลาเปลี่ยน อะไรๆก็คงจะเปลี่ยน แต่ความรักที่มีให้กัน มันน่าจะเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ ผู้หญิงคนนั้นคงเสียใจ แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะ เขาคงเสียใจเหมือนกัน แต่คงจะคนละเหตุและผล
เห็นคนเดินสวนกลับมาจากศูนย์ประชุมสิริกิตติ์ คงไปงานไทยเที่ยวไทยมา ได้ยินบางคนพูดบ่นว่าตัวเองมาช้า เลยจองทัวร์ดีๆไม่ได้ เสียใจที่ต้องไปที่อื่น ไม่ได้ไปที่ที่ตัวเองอยากไปแต่แรก
ตกดึกเมื่อคืน ก็นั่งคุยกับน้องคนนึง... ขอบคุณนะที่นั่งคุยกัน ภาวะตอนนั้น ผมไม่ค่อยอยากอยู่คนเดียว กลัวใจตัวเองไม่น้อย ตอนแรกโทรไป ก็ไม่รู้จะคุยอะไรจริงๆ มันไม่สำคัญหรอกว่าเราคุยอะไรกัน แต่มันสำคัญที่เราได้คุยกัน
sometime when we down, we don't need to listen nor speak somes to. we just need to be hold in love.
ผมแอบหวังเล็กๆในใจว่า หนุ่มสาว คู่นั้น ฝ่ายหญิงคงได้พบกับคนที่จะรักเขาจริงๆ ผู้ชายก็จะรักคนใหม่ของเขาและไม่เปลี่ยนใจอีก ให้เขาต่างสุขสมหวังในชีวิตคู่ หวังว่าป้าคนนั้นที่ต้องจำใจไปเที่ยวอีกที่หนึ่ง เขาจะพบกับความสวยงามของที่แห่งใหม่ ที่เขาไม่เคยพบสัมผัสเจอมาก่อน หวังว่าภายหลังความเสียใจที่เกิดขึ้น พวกเขาจะได้รับการเล้าโลมใจโดยเร็ว หวังว่าความยินดีจะเกิดขึ้นกับพวกเขา เหมือนที่เกิดกับผมในค่ำคืนที่ผ่านมา
บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม... มธ.5:4
No comments:
Post a Comment