May 14, 2009

รู้สึก...ผิด

มนุษย์เราถูกสร้างมาให้มีจิตสำนึก จิตสำนึกจะทำหน้าที่แสดงความไม่เห็นด้วย เมื่อเราทำ/พูดบางสิ่ง "ผิด" จากมาตรฐานอันดีที่รับการบรรจุไว้อยู่ภายใน (บางคน ขั้นเทพ ไม่เพียงสิ่งที่ทำ/พูด แต่รวมถึงสิ่งที่คิด/รู้สึกด้วย)

จิตสำนึกเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมมาก มันจะทำการปรับมาตรฐานในเรื่องต่างๆอย่างอัตโนมัติ เพื่อให้ความรู้สึกผิดนั้นลดน้อยถอยลง มนุษย์จะรู้สึกสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิดในจิตใจ บางคนเรียกกระบวนการนี้ว่า การปกป้องตัวเอง หรือ การรักษาหน้า

ใครๆก็รู้สึกผิดได้เมื่อทำผิด แต่มีคนอีกไม่น้อย ที่ถูกทำให้รู้สึกผิด จากสีหน้า ท่าทาง คำพูด หรือแม้แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายหนึ่ง
การทำให้คนอื่นรู้สึกผิด หลายครั้ง เพื่อประโยชน์อะไรบางอย่าง บ่อยครั้ง หลายคนชอบทำให้ตัวเองรู้สึกผิด เพื่อซื้อความสบายใจให้ตัวเองหลังจากทำผิด ขณะที่ บางคนมักทำให้คนอื่นรู้สึกผิด แต่ก็เพื่อซื้อความสบายใจให้ตัวเองเช่นกัน
บางคนเรียก การทำให้รู้สึกผิดเช่นนี้ว่า ปรักปรำ

บางคนทำผิดชัดเจนต่อสังคม โกงชาติโกงแผ่นดิน ใครต่อใครปรักปรำว่าทำผิด ยังเดินลอยหน้าลอยตา ไม่รู้สึกรู้สา
บางคน มีแต่ใจตนเท่านั้นที่รู้ว่าตนทำผิดแน่ ร่ำรวยเพราะโกงเขามา แต่เพียงคนที่เอาผิดและลงโทษเขาได้ สำแดงพระคุณต่อเขา เขากลับใจและยินดีชดใช้คืนให้

หากมองการทำผิด เหมือนการสร้างหนี้ ยิ่งทำผิดมาก ก็คงยิ่งมีความรู้สึกผิดมาก แค่นี้ก็ทุกข์ระทมขมขื่นพออยู่แล้ว
การเร่งรัดเอาดอกเบี้ยของหนี้สินจากคนจน คงไม่ได้ช่วยให้เขาหายจนเร็วขึ้น เช่นเดียวกัน การทำให้ผู้อื่นรู้สึกผิดเพื่อให้เขาสำนึกผิดและกลับใจใหม่ จึงแทบไม่เป็นประโยชน์กับตัวผู้กระทำผิดเลย เว้นเสียแต่เพราะเขาไม่ตระหนักถึงความผิดนั้น

แต่ถึงกระนั้น การช่วยให้ผู้กระทำผิดตระหนักถึงความผิด โดยช่วยสอนให้เขามีมาตรฐานจริยธรรมของจิตสำนึกสูงขึ้นด้วยใจถ่อมสุภาพ ผมคิดว่าน่าจะเป็นวิธีการที่ดีกว่าในการช่วยให้คนสำนึกผิดและกลับใจใหม่ มากกว่า การหว่านล้อมด้วยเหตุผล ลีลา สำนวน และกดดันบีบบังคับเค้นให้รู้สึกผิดด้วย อวจนภาษา (non-verbal language) ซึ่งผู้ใช้อาจไม่ตั้งใจ ไม่รู้ตัว หรือจะโดยเจตนาใด มนุษย์ตดเหม็นอย่างผม ก็คงไปปรักปรำเขาไม่ได้

การกระทำเช่นนี้ ไม่เพียงคนจะรู้สึกฟ้องผิด แต่หลายครั้ง ส่งผลทำให้คนขาดความสามารถในการไตร่ตรองความถูกผิดของตัว บางคนถึงกับสูญเสียจุดยืนความเชื่อ และจำยอมละเลยความรู้สึกของตัวเองในการดำเนินชีวิต

ผลปลายทางที่เกินคาดคิด คือ การที่เขากดตัวเองใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความกลัว หวานอมขมกลืนปล่อยชีวิตอยู่ในกรอบแคบๆ ไร้ซึ่งความฝันและความหวังในวัยเยาว์ ด้วยคิดเพียงว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญกับ การปรักปรำ ให้ต้องเหนื่อยกายปวดใจ

สิ่งสำคัญและอันตราย คือ ความเคยชินกับการปรักปรำ มักจะทำให้คนหลงลืมพระคุณและความเมตตา มักทำให้คนนั้นทำการปรักปรำผู้อื่นให้รู้สึกผิดได้โดยง่าย เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง

นึกถึงสมัยเป็นเด็ก เคยเห็นเขาเลี้ยงวัว เลี้ยงควายตัวใหญ่ๆ อยู่ในคอกเชือกเส้นเล็กๆ
เขาบอกว่า ตอนที่วัวควายพวกนี้ยังเล็กๆอยู่ ใช้สายไฟล้อมคอกเอาไว้ พอวัวมันเดินมาถึงสายไฟ ก็โดนไฟดูด มันก็เจ็บและจำ ทำให้มันจะไม่เดินมาเกินเส้นนี้อีก... อนิจจา ฤาจะยอมเป็นดั่งวัวดั่งควายจนตาย

ปล. ขออุทิศบทความนี้ ให้แก่ผู้ที่ล้มเลิกความฝันของตัวเอง เพียงเพราะ ถูกทำให้รู้สึกว่า ความฝันมุ่งหวังตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้น "ผิด"

2 comments:

  1. เราคงไปว่าใครไม่ได้ ถ้าเขาอยากจะเยียวยาและดูแลความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเองให้ดีขึ้น ด้วยการปฏิเสธความจริงและเชื่อในสิ่งที่ทำให้ตัวเองไม่รู้สึกผิด

    อาจจะดีหน่อย ถ้าเขายอมฟังคนที่สามารถชี้ให้เห็นความจริงอย่างเข้าใจได้ และกล้าที่จะเชื่อสิ่งนั้น แม้มันจะรู้สึกผิด

    แต่ยังไง อุปกรณ์ที่ดีที่สุดก็คงไม่พ้นคำอธิษฐานแหละ

    ReplyDelete
  2. There is therefore now no condemnation to those who are in Christ Jesus, who walk not according to the flesh but according to the Spirit.But the Law of the Spirit of life in Christ Jesus has made me free from the law of sin and death. (Romans 8:1-2)

    ถ้าเรารู้ว่าเรารอดโดยพระคุณ ก็น่าจะช่วยผู้ช่วยให้ผู้อื่นสำนึกผิด โดยชี้ให้เห็นถึงพระคุณ

    ถ้าการสำนึกผิด ทำให้เราเห็นความผิดของตัวเองใหญ่กว่าพระคุณ ชีวิตก็คงไม่ต่างอะไรกับการอยู่ในกรงขัง ที่ประตูเปิดออก

    สุดท้าย ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ได้ ที่ไม้กางเขน

    ReplyDelete