Sep 27, 2009

โลกมายา

ในบทละครเรื่อง As you like it ของ วิลเลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare) แต่งเอาไว้ว่า
All the world's a stage,
And all the man and women merely players;
They have their exits and their entrances;
And one man in his time plays many parts,

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปลบทละครของวิลเลียม เช็คสเปียร์ ไว้เป็นภาคภาษาไทยชื่อ ตามใจท่าน ลครเริงรมย์ ความว่า
“ทั้งโลกเปรียบเหมือนโรงละครใหญ่
ชายหญิงไซร้เปรียบตัวละครนั่น
ต่างมียามเข้าออกอยู่เหมือนกัน
คนหนึ่งนั้นย่อมเล่นตัวนานา”

เมื่อสัก 10 ปีที่ผ่านมา ก็มีหนังเรื่อง true man shows ที่ถ่ายทำชีวิตจริงของคนๆหนึ่งตั้งแต่เด็กยันโต ไม่รู้ว่า เป็นที่มาของรายการแบบ reality shows ยอดฮิต ในปัจจุบันหรือเปล่า

เกริ่นมาตั้งนาน แค่กำลังคิดว่า มายาคติ นี่สงผลร้ายต่อชีวิตคนเราเยอะนะ โดยเฉพาะกับเรื่อง การรู้จักตนเอง
แล้ว การรู้จักตัวเอง อย่างผิดๆนี่แหล่ะ ที่นำมาซึ่งความฉิบหายทั้งต่อตัวเอง คนรอบข้าง จนถึงขั้นเสียบ้านเสียเมือง ก็เคยมีตัวอย่างให้เห็นกันมาแล้ว (และอาจจะมีให้เห็นอีก ในไม่ช้า)

เมื่อวันก่อนนั่งดูหนังเรื่อง Bolt แล้วก็คิดถึงชีวิตของตัวเอง คิดถึงเพื่อนๆ บางคน พวกเราหลายคนเติบโตมาในโลกเสมือนจริง มันจริงแต่มันก็ไม่จริง มันจริงเพราะโลกนี้มันจริงอยู่แล้ว แต่มันไม่จริง เพราะเราเองต่างหาก ที่ไม่ยอมรับความจริงบางเรื่อง ของตัวเราเอง

หนักๆเข้า หลายคน รวมถึงตัวผมเองด้วยในสมัยก่อน ก็สร้างขอบเขตโลกของตัวเองขึ้นมา ในโลกจริงใบนี้ แน่นอนว่าในโลกของเรานี้ เหตุผลของตัวเราคือสัจธรรม มันถูกต้องเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น หากเราทำให้มีคนศรัทธาในสัจธรรมของเราได้ โลกใบเล็กของเราก็จะมีคนมาร่วมใช้ชีวิตอยู่ด้วยมากขึ้น

แต่เมื่อวันหนึ่งที่เราก้าวออกมาจากโลกใบเล็กของเรา ความจริงที่เรายึดถือมาตลอดจะถูกทดสอบทันที สิ่งที่เราเคยทำได้ อยู่ๆก็ทำไม่ได้ ราวกับว่าความพินาศจะมาเยือนเราเร็วเกินไป ความมั่นอกมั่นใจของเราไม่ได้นำพาสิ่งใดมาให้เลย นอกจากการประเมินเกินความจริงและความหายนะซึ่งไม่เพียงต่อตัวเอง แต่กับคนรอบข้างด้วย ที่คิดว่าเราเป็นตัวจริงอย่างที่เราบอกใครต่อใครด้วยความจริงใจ (เพราะเราเข้าใจตัวเองอย่างนั้นจริงๆ)

เป็นเรื่องปกติที่เราจะยืนกรานในสิ่งที่เชื่อ ซึ่งหากไม่มาถึงจุดวิกฤตของชีวิต และไม่มีเพื่อนหรือคนคอยชี้แนะ คงไม่ง่ายที่เราจะมาถึงจุดแห่งการยอมรับความจริงว่าเป็นอย่างไร

ความจริงก็คือ เราเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติ เราทำผิดพลาดหลายเรื่อง อีกเยอะที่ยังไม่รู้ อีกมากที่ยังไม่เข้าใจ อีกไม่รู้เท่าไหร่ที่ทำไม่เป็น เรื่องดีๆก็มีมาก แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะถูกไปทั้งหมด

ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วผมดีใจ ผมขอบคุณพระเจ้ามากที่วันนี้ พระเจ้านำผมมาถึงจุดที่ ผมเลือดออกเป็น มาถึงจุดที่ผมรู้ว่าผมหิว ที่สำคัญ ผมมีคนคอยสอนผมว่า การใช้ชีวิตปกติของมนุษย์ นั้นเป็นอย่างไร... มนุษย์เราจะมีชีวิตที่ปกติไม่ได้เลย หากเราไม่รู้จักกับพระเยซู

...มิตรภาพจะตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงใจได้อย่างไร หากความจริงใจนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความไม่จริง

ความกล้าหาญ หรือการเป็น Hero ไม่ได้เกิดจากการคิดว่าเราเป็นอย่างไร ไม่ได้เกิดจากการมองว่าตัวเราเองสำคัญ แต่เกิดจากการยอมรับว่าเราเป็นอย่างไร ในสถานการณ์นั้นๆ เราทำอะไรได้ และเราเลือกจะทำอย่างไร เพื่อคนอื่น

สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ความเชื่อของแต่ละคนต่อมุมมองเรื่องความจริงเป็นเรื่องอัตวิสัย ที่เราต้องเคารพและให้เกียรติ ความจริงที่เขาเผชิญ หลายครั้งหลายเรื่อง มันเจ็บปวดเสียจนต้องสร้างเกราะขึ้นมาห่อหุ้มปกป้องตัวเอง

แต่กับคนที่รู้จักพระเจ้า คนที่ยืดอกบอกใครต่อใครว่ารู้จักพระเจ้า บ่อยครั้งกลับหลบซ่อนอยู่ในเปลือกหนาๆ ที่เขียนป้ายติดไว้ให้ตัวเองและคนอื่นอ่านทุกค่ำเช้าว่า "ตัดสินใจ" "ตามความจริง" "เพื่อพระเจ้า" (ผมไม่ได้บอกว่า ทุกคนจะเป็นอย่างนี้นะครับ) ถ้าไปอ่านพระคัมภีร์ ก็จะเห็นว่า พระเยซูก็ตำหนิคนที่ทำอย่างนี้

ผมเชื่อว่า การยอมรับข้อจำกัดของผมในวันนี้ จะส่งผลให้ผมสามารถ ทำ หรือ ใช้ ความสามารถที่ผมมีได้อย่างดีในโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่แค่พอถูไถไปที หรือเพ้อฝันเก่งอยู่แต่ในโลกมายาเหมือนที่ผ่านๆมา...

ที่สำคัญ แม้เราจะมีปัญหาชีวิตเหมือนๆกัน ลำบากบ้างอะไรบ้าง แต่เป็น a man ในโลกของความจริง มีความสุขกว่าเป็น Super man ในโลกมายาเยอะครับ

it's my real super bark "Bow-wow!"

http://www.youtube.com/watch?v=8xDgw5ROfeM

1 comment: