Sep 16, 2009

think different !!

ถ้าให้ใครซักคนวาดภาพของ "บ้าน" ผมคิดว่าทุกคนต้องวาดส่วนหนึ่งของบ้านที่เรียกว่า "หลังคา" เป็นแน่ (บางคนจึงชอบพูดติดปากว่า มีบ้านไว้คุ้มกะลาหัว)

หลังคา จึงเป็นส่วนที่ช่วยปกป้องคนในบ้านไม่ให้ถูกรบกวนจากภาวะภายนอก เช่น ฝนตก แดดออก (ขี้) นกกระจอก หรือแม้แต่พวกชอบทำตัวแทนแดด (ชอบส่อง)

แต่มีใครเคยคิดไหมว่า ในทางตรงข้าม หลังคา ก็เป็นอุปสรรคปิดกั้นเราจากความงามของท้องฟ้า โดยเฉพาะในยามค่ำคืนเดือนมืดที่ดวงดาวทั้งฟ้าส่งแสงระยิบระยับตา (เว้นแต่บ้านเราจะทำหลังคากระจกใส เพื่อการศึกษาของเด็กๆ ควรมีใครซักคนลงทุนรื้อหลังคาบ้านตัวเองนะครับ ^^)

ชวนให้นึกถึง วัฒนธรรมและประเพณีของสังคม โดยเฉพาะในสังคมชุมชนคริสเตียน ซึ่งยึดถือพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นมาตรฐานในการดำเนินชีวิต โดยคริสเตียนมองว่า บทบัญญัติของพระเจ้านี้มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่ากฎหมายบ้านเมือง ซึ่งเป็นบัญญัติของมนุษย์เสียอีก (มั่นใจได้ว่า อะไรก็ตามที่คุณทำถูกต้องตรงไปตรงมาตามพระคัมภีร์ มันจะถูกกฎหมายอย่างแน่นอน แต่ในขณะที่หลายอย่างทำแล้วไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดพระคัมภีร์แบบเต็มๆ)

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีหลายคน หลายคณะนิกาย ที่พยายามให้นโยบาย หรือ วัฒนธรรมของตัว มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าหลักการในพระคัมภีร์ ซึ่งครั้งหนึ่งพระเยซูเองก็ได้ตำหนิบรรดานักการศาสนาในสมัยนั้น ที่ชอบตู่เอาบทบัญญัติของมนุษย์มาเป็นพระบัญญัติของพระเจ้า พระองค์เรียกคนพวกนี้ว่าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก

หลายครั้ง เมื่อเราเริ่มลงมือทำอะไรซักอย่าง โดยเฉพาะยิ่งเป็นสิ่งที่เราทำตามความจริงหรือความฝันในใจเรา แล้วเราเจอกับอุปสรรค เรายอมแพ้ง่ายเกินไปหรือเปล่า

หากว่าภรรยาที่คุณรักสุดหัวใจ เป็นโรคร้ายที่หมอบอกว่าหมดหนทางรักษา และเธอนอนไม่ได้สติมานานนับปี คุณจะหมดความหวังใจและทำใจยอมรับสภาพ หรือคุณยังมีความหวัง และพยายามหาหนทางเพื่อช่วยเธอให้กลับมามีชีวิตปกติอีกครั้ง

หากคุณได้ยินว่า มีชายคนหนึ่งสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยทุกชนิดให้เป็นปกติดีได้ คุณจะเพิกเฉยและคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรือคุณจะคิดว่ามันเป็นไปได้ และพาภรรยาของคุณไปหาเขา

ถ้าคุณพาภรรยาของคุณไปหาเขาแล้ว ปรากฎว่า วันนั้นเขานั่งอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งคุณเห็นผู้คนเบียดเสียดออกันแน่นขนัดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ใครๆต่างก็มาหาชายผู้นี้ และต่างพยายามจะเข้าไปให้ถึงตัวของเขา คนตาบอดบางคนคลำหาทางไม่เจอ ก็ตะโกนส่งเสียงเรียกชื่อชายคนนั้นดังๆ ด้วยหวังว่าชายคนนั้นจะได้ยินและเดินมารักษาดวงตาให้เขา แม่บางคนก็พยายามพาลูกของนางเข้าไปใกล้ เพื่อหวังว่าลูกของตนจะได้รับการอวยพร

แทบจะไม่มีใครใส่ใจใคร ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ชายคนนั้น คุณจะทำอย่างไร คุณจะกลับบ้านไหม คุณคิดว่า ไม่มีทาง "ฝ่า" ฝูงชนเข้าไป เพื่อพาภรรยาคุณไปรับการรักษาหรือเปล่า บางทีคุณอาจจะคิดว่า ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้ (กี่ครั้งแล้วที่คุณคิดอย่างนี้)

มีใครบางคนอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆข้างต้น พวกเขา "หาม" เพื่อนมา เพื่อช่วยให้เพื่อนกลับคืนสู่สภาพปกติของชีวิตมนุษย์ แต่ฝูงชนที่คราคร่ำดูจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง ในการขัดขวางไม่ให้พวกเขาให้เข้าไปถึงตัวชายผู้นั้นได้

คนพวกนี้ไม่ปล่อยให้ไฟแห่งความหวังของพวกเขาหวั่นไหวไป เพียงเพราะคนหรือสถานการณ์ไม่เป็นใจ

เขาไม่นั่งรอ "โชค" หรือ "โอกาส" ให้มาเยี่ยมเยียนก่อนจะไขว่คว้่าไว้ แต่พวกเขาเลือก "เสี่ยง" ที่จะสร้างมันขึ้นมาเอง

พวกเขาทั้ง 4 คน ลงมือรื้อทำลายสิ่งที่ปกป้องพวกเขา (และคนอื่นๆ) จากอันตราย เลือกสูญเสียพื้นที่ปลอดภัย ก้าวข้ามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดกั้นไม่ให้พวกเขาพาเพื่อนมาพบชายผู้นั้นได้ แล้วพวกเขาก็หย่อนเพื่อนลงมาทางหลังคา ด้วยความเชื่อและมุ่งมั่นว่าเพื่อนเขาจะหายดี

เรื่องราวที่บันทึกไว้ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้ นอกจากบอกว่า เพื่อนที่ถูกหามมาได้รับการรักษาให้หายดี แต่คุณลองจินตนาการเรื่องนี้ไปกับผมต่ออีกซักหน่อยไหม

... ตอนที่เขาหามมา เขาคงไม่ได้เตรียมการ / อุปกรณ์มาด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องหย่อนเพื่อนลงทางหลังคา เขาคงคิดกันหัวแทบแตกว่าทำอย่างไรจะเข้าไปให้ได้
... รื้อหลังคาบ้าน... บ้าไปแล้วแน่ๆ เอาจริงๆนะ เป็นคุณ คุณจะทำไหม
... รู้ทั้งรู้ ตำรวจต้องตั้งข้อหา ทำลายทรัพย์สินผู้อื่น ให้คุณแน่ๆ ถ้าไม่จ่ายค่าปรับก็ต้องติดคุก (คุณคิดว่า ราคา หลังคา มันถูกๆหรือ) และอื่นๆอีกมากมาย ตามแต่จะจินตนาการเพิ่มเติม

ผมเชื่อว่า ณ เวลานั้น สิ่งที่ขับเคลื่อนอยู่ในใจของคนทั้ง 4 นั้น มีเพียงสายตาและความคิดที่จดจ่ออยู่ว่า ทำอย่างไรจะนำชีวิตกลับคืนมาให้เพื่อนได้ และชายผู้นั้นเป็นคำตอบ ผมเชื่อว่า พวกเขายินดีจ่ายทุกราคาที่อาจเกิดขึ้น เพื่อแลกกับชีวิตของคน 1 คน

และด้วยความเชื่อเช่นนี้ พระเยซูไม่เพียงรักษาให้คนที่ถูกหามมาหายโรค แล้วบอกให้เขาลุกขึ้นแบกที่นอนเดินกลับบ้านไป แต่พระองค์ยังทรงบอกด้วยว่า "บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว"

จับจ้องที่เป้าหมาย, เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้, Think different แล้วมุ่งมั่นลงมือทำ

Trust in the Lord with all your heart. Never rely on what you think you know.
Remember the Lord in everything you do, and He will show you the right way.
Proverbs 3:5-6


Credits:

inspired by Pat's preaching @ Newsong on Sep.12, 2009 (Mark 2:1-12)

inspired by คุณบีและคุณดำ (คนไม่มีเวลา / ว่าน AF)

inspired by Einstein's word (Insanity: doing the same thing over and over again and expecting different results)

inspired by พ่อกับแม่ของผมเอง ^^

1 comment:

  1. think different
    http://www.youtube.com/watch?v=4oAB83Z1ydE

    คนไม่มีเวลา
    http://www.youtube.com/watch?v=vJYzpDiI5hA

    ReplyDelete