วันนี้ แม่กับพ่อมาหาหมอที่โรงพยาบาลตำรวจ
ครั้งที่แล้ว หมอให้แม่ตรวจเลือด กับมวลกระดูกมาจากตราด
ปรากฎว่า แม่ไม่ได้ตรวจมวลกระดูกมา
ทำยังไงล่ะทีนี้...
ตอนแรกผมทำใจรับสภาพ แล้วคิดว่ากลับตราดแล้ว ค่อยให้แม่ไปตรวจ
ผมมาซื้อยาครั้งหน้า ค่อยเอามาให้หมอดูละกัน
แต่
อีกใจนึง ไหนๆก็มาแล้ว ก็อยากให้หมอดูให้เสร็จๆไป
ระหว่างที่แม่นั่งรอหมออยู่ ส่วนพ่อนั่งรอพยาบาลเรียกตรวจเบื้องต้น
ผมเดินไปถามพยาบาลว่า เขาตรวจมวลกระดูกกันที่ไหน
ผมเดินข้ามตึกไปถามเรื่องการวัดมวลกระดูก
"เราตรวจเฉพาะตอนบ่ายค่ะ"
"ขอโทษนะครับ พอจะช่วยอะไรได้บ้างไหมครับ คือแม่ผม..." ผมก็เล่าให้พยาบาลที่แผนกนั้นฟังอย่างคร่าวๆ
"น้อง ช่วยทำเคสให้คุณแม่หมอได้ไหม (แม่หมอ หมอไหน?)" พยาบาลเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วไปตามสายโทรศัพท์
"ขอเบอร์ติดต่อหมอด้วยนะคะ คุณหมออยู่แผนกไหนคะเนี่ย" สรุปว่า เธอคิดว่าผมเป็นหมอครับ
ผมช่วยแม่เปลี่ยนกางเกงมาใส่ผ้าถุง (นึกภาพผู้หญิงขี้กลัว ที่ขาข้างนึงเป็นอัมพฤกษ์ ใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ที่แถบกาวใช้ไม่ได้ คุณเอ้ย มันทุลักทุเลเกินจะกล่าว) พยาบาลเรียกอยู่นานกว่าจะเปลี่ยนกันเสร็จ
ในที่สุด แม่ก็ได้ตรวจมวลกระดูก แต่ต้องรอผลซักครู่ใหญ่ และที่สำคัญ "ผมปวดขี้"
ผมตัดสินใจพาแม่มาถึงหน้าห้องตรวจ พ่อยังนั่งจุ้มปุ้กอยู่ พยาบาลยังไม่ได้เรียกพ่อ
มันนานเกินไปแล้ว
ผมเดินไปถามพยาบาล
"รบกวนรอเรียกก่อนนะคะ (พยาบาลเหลือบตาไปเห็นใบนัดของพ่อผมในตะกร้า) อ่ะ 7โมง15... รอสักครู่นะคะ จะตามให้ค่ะ"
ปรากฎว่า แฟ้มประวัติของพ่อถูกส่งไปอีกแผนกหนึ่ง
ผมเดินกลับไปเอาผลตรวจของแม่... ผลตรวจยังไม่เสร็จ
แต่ผมกำลังจะเสร็จ ถ้าไม่รีบวิ่งเข้าห้องน้ำให้ทัน
ผมเดินออกจากห้องน้ำด้วยความสุข พร้อมๆกับยิ้มหวานของพยาบาล ที่ถือผลการตรวจของแม่อยู่ในมือ
เดินข้ามตึกกลับไปถึงห้องตรวจแรก แฟ้มพ่อเพิ่งจะมาพอดี พร้อมๆกับที่คุณหมอเดินเข้าห้องตรวจ
ระหว่างที่รอคุณหมอ นั่นคือโอกาสให้ผมได้พูดคุยกับพ่อในหลายๆเรื่อง
จนถึงคิวตรวจของแม่
ผมนึกในใจว่าอยากให้ตรวจพ่อไปต่อจากแม่เลย แต่จากกองแฟ้มกองใหญ่นั่น จะเอาแฟ้มพ่อออกมาอย่างไร
จะให้หมอหยิบก็เกรงว่า เวลาที่หมอใช้ จะเป็นค่าเสียโอกาสที่สูงเกินไป ครั้นผมจะรื้อหาเองก็ดูแปลกๆ
ผมต้องการตัวช่วย...
"ขอโทษนะคะ" พยาบาลเอาแฟ้มของคนไข้มาเพิ่มความสุขให้คุณหมอ
มุขเดิมครับ ด้วยคำอธิบายสั้น 2-3 ประโยค ตัวช่วยที่ถูกส่งมาให้ผม ก็หยิบแฟ้มของพ่อมาวางไว้ให้อย่างง่ายดาย
ตอนที่หมอตรวจแม่ สีหน้าหมอยิ้มแย้มมีความสุขมาก
แต่ทันทีที่คุณหมอดูฟิล์มและซักถามอาการของพ่อแล้ว สีหน้าหมอเปลี่ยนไปชัดเจนมาก
หมอให้พ่อไปทำการ x-ray เพิ่มเติม และทำ MRI รวมทั้งไปทำปลอกคอใส่ "ทันที"
งานเข้าละครับ เพราะตอนแรก ตามแผน คือ พ่อกับแม่ จะกลับประมาณเที่ยง เพื่อให้ถึงบ้านไม่ดึกเกินไป ที่สำคัญ วันนี้คุณลุงที่ขับรถมาส่ง จะมีประชุมตอน 1 ทุ่ม
ผมไปทำการนัดครั้งต่อไป ส่งใบสั่งยา ตามปกติ
พ่อกับแม่ไปไหนหว่า... ไม่เป็นไร ก็เลยเดินไปตึกที่เมื่อเช้าเพิ่งจะพาแม่ไป
เจอกับป้ายพักเที่ยงตั้งหราเด่นอยู่ พร้อมกับคำพยักเพยิดของคนที่ยืนอยู่ก่อน "เขาพักเที่ยงน้อง ต้องรอบ่ายโมง"
ไม่มีซะล่ะ "ขอโทษนะครับ..." ทำให้ผมรู้ว่า ผมต้องใช้เอกสารใบหนึ่งที่ติดอยู่กับใบสั่งยา ในการติดต่อกับอีก 3 ตึกที่เหลือ
ทำไงล่ะทีนี้
หลังจากพาพ่อกับแม่ไปกินข้าว ผมไปติดต่อห้องยา เพื่อขอเอกสารใบนั้น
หลังจากคุยกันเข้าใจ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้เอกสารผม
แต่
ลัดคิวจ่ายยาให้ผมประมาณ 20 คิวทันที แจ๋วครับ
พาพ่อไปตึก x-ray ที่แรก ยังไม่ทันจะบ่ายโมงดี มีคนนั่งรอคิวอยู่ประมาณ 10 คน
"เอาใบใส่ตะกร้า แล้วนั่งรอเลยค่ะ" เจ้าหน้าที่บอก
ผมลองอธิบายสถานการณ์ให้เธอฟัง เธอหยิบป้ายพักเที่ยงลง แล้วบอกว่า "ให้คุณพ่อนั่งรอหน้าห้องเบอร์ 3 เลยค่ะ"
หลังจากนั้น ผมก็ไปติดต่ออีกสองที่ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง พอดีว่าหมอว่าง ไม่มีคิวนัด ผมก็เลยจองได้เรียบร้อย
ทุกอย่างผ่านไปได้เรียบร้อยดี แต่กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไป 4 โมงครึ่ง
เป็นอีกหนึ่งวันที่เหนื่อยมากๆ จริงๆ
ดูเหมือนเรื่องบังเอิญหลายๆเรื่องเกิดขึ้นนอกเหนือการคาดการณ์ของเรา
แต่มันก็ทำให้ชีวิตของเราเคลื่อนไปข้างหน้ามากขึ้น ทำให้เรากล้าหาญมากขึ้น คิดมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รอบคอบมากขึ้น เชื่อในความกรุณาของเพื่อนมนุษย์มากขึ้น มีศรัทธามากขึ้น มีความรักมากขึ้น... ภาษาอังกฤษ เรียกสิ่งที่ช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าว่า "Problem"
ซึ่งต่างจาก "Obstruction" ที่คอยหยุดยั้งชีวิตของเราไม่ให้ก้าวต่อไปข้างหน้า ซึ่งส่วนมาก มักทำให้เราสบายกาย สบายใจ เห็นความจริงของโลกบิดเบือนไป และผูกมัดเราไว้ในเขตแดนสุขารมณ์ (Comfort Zone)
ถึงแม้ "ห้องส้วม" จะเป็นสถานที่ที่ช่วยให้เราปลดปล่อยความทุกข์ เดินออกมาทีไร หน้าตาสบายใจทุกที
แต่
คงไม่มีใครหรอกมั้ง ที่จะขังตัวเองอยู่ใน "สุขา" ตลอดเวลา
No comments:
Post a Comment