รู้จักกันมาก็นานร่วม 13 ปี
ตั้งแต่วันแรกๆที่รู้จักกัน ก็เรียกเขาว่า เพื่อน
เรียนรู้จักกันมาเรื่อยๆ จนพอจะรู้จัก เสียง ของเขา
แปลกแต่จริง ช่วงนี้ ดูเหมือนเสียงที่คุ้นเคยจะเงียบไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราอยู่ในที่อึกทึกครึกโครม นานเกินเหตุ
หรือ เราเองที่ใจเปิดน้อยลงจนฟังไม่ได้ยิน...
เมื่อวันจันทร์ ได้รับมอบหมายงานมางานหนึ่ง สุดๆแล้วไม่รู้ทำอย่างไร
ก็เลยออกไปกินข้าว พักสงบๆเสียหน่อย ออฟฟิซมันวุ่นวายเหลือเกิน
แว้ปหนึ่งในหัวกับเสียงแผ่วเบาที่คุ้นเคย
ผมก็เลยขี่เจ้าหอมแดง (มอไซค์ของเพื่อนที่ออฟฟิซ) ไปแยกเม่งจ๋าย
อัศจรรย์ยิ่งนัก ทุกอย่างที่ต้องการ ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้อย่างพร้อมมูลครบถ้วนที่นั่นแล้ว ฮาเลลูยา
ไม่เพียงเท่านั้น
ปกติ ทุกวันพุธเวลาพลบค่ำ การเดินทางไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ มักใช้บริการรถไฟใต้ดินเป็นหลัก
แต่ครั้งนี้ เดินออกมาจากออฟฟิซ เสียงที่แว้ปเข้ามาในหัวคือ มอไซค์ หรือ แท็กซี่ ดี ดูจากสภาพดินฟ้าอากาศแล้วก็เลยไปแท็กซี่
ขอบคุณพระเจ้า
วันนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รถไฟใต้ดิน ใช้เวลาจอดอย่างน้อย ประมาณ 15 นาที ต่อสถานี...
ชีวิตช่วงนี้ แม้จะไม่ได้ ทำ ในสิ่งที่เราเป็น เต็มที่นัก
อาจจะไม่ได้ใช้ทุกอย่างที่มี อาจจะอึดอัดใจอยู่บ้าง
หลายครั้ง ก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า จะอยู่ให้คนเข้าใจเราผิดทำไม
กลับไปอยู่บ้านดูแลพ่อแม่ดีกว่าไหม
หรือเราควรพยายามที่จะอธิบายเหตุผลของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง เพื่อที่เขาจะเข้าใจอย่างถูกต้อง
หรือเราควรจะเปลี่ยนตัวเอง ให้ก้าวจังหวะชีวิตมันว่องไวรวดเร็วเหมือนคนอื่นๆรอบตัว
แต่ก็พอจะเข้าใจว่า เสียง นั้น กำลังบอกว่าอะไร
มันก็ช่วยไม่ได้ คนเรา ก็มักมองในสิ่งที่เราเห็น เชื่อในสิ่งที่เราคิดว่าจริง เป็นเรื่องปกติ
นึกขึ้นมาถึงเรื่องเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ที่โดนนายว่า ว่าเราพูดขัดแย้งในตัวเอง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงได้เถียงออกไปแล้ว ว่านายนั่นแหล่ะ ที่คิดช้ากว่าเรา 1 ก้าว
แต่เราเองก็ไวเกิน แทนที่จะบอกทางเลือกให้ก่อน ดัน เสนอความเห็นไปทันที
ยังดี มีคนคิดทันช่วยอธิบายให้ (หุหุ พี่เลี้ยงเราเอง) แต่ก็คงช้าไปแล้ว ทีมงานที่นั่งอยู่ ก็คงรับรู้ว่า ผมสับสนไปแล้ว
เมื่อวันก่อน ก็ได้นั่งคุยกับพี่คนนึงที่เคยดูแลชีวิตเรามาก่อน วันนี้เธอจะย้ายมาทำงานที่ออฟฟิซด้วย
พี่เขาก็พูดถึงว่า เด็กๆที่ใหม่ๆ ทำงานแบบนี้ อาจจะไม่รู้สึก แต่กับคนที่เคยทำงานมาก่อน เคยอยู่กับความป็นระบบที่แข็งแรงมากๆมาก่อน ก็อาจจะรู้สึกได้... แน่นอนว่า ผมรู้สึกอย่างมากกกก
อาจเป็นเพราะเราเป็นคนใจร้อน และเอาแต่ใจตัวเองล่ะมั้ง พระเจ้าถึงต้องฝึกให้เรา อดและทน อย่างมากๆ
จะว่าไป พระเจ้า ก็คงรู้จัก ความบ้า ของเราดีกว่าใคร
ถึงให้เราได้ยิน เสียง ของพระองค์จนคุ้นเคยมาตั้งแต่วันแรกๆที่รู้จักกัน เพื่อแม้การกระซิบเพียงแผ่วเบาในวันนี้ ก็จะเพียงพอที่จะทำให้เราสงบนิ่งได้ (ถ้าลอง บ้า ขึ้นมา ก็เห็นจะมีอยู่ไม่กี่คนล่ะมั้ง ที่เอาเราอยู่)
ขอบคุณนะครับ ที่ให้ผมได้เรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจ ด้วยพระสุรเสียงของพระองค์...
...เสียงพระเจ้าบอกอยู่ในใจฉัน ว่าจงเข้มแข็งและอดทน ยามใดที่ใจท้อ ยามใดที่อ่อนไหว พระองค์ยังคงอยู่ใกล้ๆเรา...
No comments:
Post a Comment