Jul 31, 2008

ระทึก

เมื่อวันก่อน อยู่ดีๆก็เพิ่งรู้ตัวว่าต้องไปบางนาในบัดเดี๋ยวนั้น ด้วยวิธีการนั่งซ้อนท้ายรถมอ'ไซค์ไป
เป็นการกระทำที่ผิดนโยบายสวัสดิภาพส่วนบุคคลเป็นที่สุด ผมเองตั้งใจอยู่แล้วว่า เส้นทางที่รถใหญ่วิ่งคล่อง ผมจะไม่วิ่งด้วยรถเล็กที่ต้องเอาเนื้อไปเสี่ยงกับเหล็กโดยไม่จำเป็น

รู้สึกอยู่ในใจเหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นไหม แต่ก็อธิษฐานขอการปกป้องจากพระเจ้า แล้วนั่งต่อไปด้วยความไว้ใจในพระเจ้า

และแล้วก็ถึงเวลาที่สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้น
รถของเราวิ่งอยู่ทางซ้าย แท็กซี่เลี้ยวมาจากทางซ้าย (วิ่งอยู่หน้าเรา)เปิดไฟออกขวา พร้อมหันหัวออก เราก็เตรียมเร่งจะแซงแมงกะไซค์อีกคันที่วิ่งอยู่ซ้ายเรา
แล้วมันก็เบรก (เบรกล้อตายเลยนะ)เพื่อจะรับผู้โดยสารที่กวักมือเรียกอยู่หยอยๆ

เห็นแล้วก็เตรียมใจในเสี้ยวบัดดล ตามองถุงใส่สัมภาระ กอดให้แน่น คิดอย่างเดียวอย่าให้มันกระจาย วินาทีต่อมาก็ราวด้อฟสปริงม้วนหน้าลงไปนอนกับพื้นเรียบร้อย

นึกภาพตามนะครับ รถเพิ่งจะออกมาจากสี่แยกไฟเขียว วิ่งมา 80 แล้วเบรกชนิดล้อตาย คว่ำแบบรถกลับหัวกลับท้าย ถนนถูกขูดเป็นทางยาว รถไถลจากจุดเกิดเหตุไปประมาณ 10 เมตร

จริงๆ ตอนก่อนเกิดเหตุ ยังนึกอยู่ในใจเล่นๆเลย มอไซค์ก็ดีเหมือนกันเนอะ ซื้อไว้ขี่ซักคันดีกว่า... เลิกเลยครับ กับความคิดนี้ นั่งรถไฟฟ้า เก็บตังค์เก็บชีวิตไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า

ลุกขึ้นมายืนขยับแข้งขยับขา ทุกส่วนไม่มีการติดขัด มีก็เพียงฝ่ามือที่ใช้ยันพื้น เป็นรอยถลอกเล็กน้อย (... แต่เจ็บมาก เลือดไหลโกรก)

คนขับแท็กซี่ เดินมาแบบเอาเรื่อง (จะเอาตังค์ มากกว่า) แล้วพระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์มาช่วยเรา ก็คือ คนขับมอไซค์คันทางซ้ายของเราเมื่อกี้นั่นเอง เขาเดินมาเป็นพยานให้ว่าเราไม่ผิด สุดท้าย แท้กซี่ก็ขับรถออกไป

ผมก็พูดกับน้องเท เจ้าของมอไซค์ ก็ไม่เป็นอะไรมาก ข้อเท้าเคล็ด ถุงเท้า รองเท้าขาด แต่คนปกติดี รู้สึกเหมือนล้มลงบนฟูกมากกว่าครับ นุ่มสบาย (...แต่หลังจากนั้น 2-3 วัน เริ่มปวดเมื่อยเนื้อตัวบ้างละ)

อย่างไรก็ตามดูจากสภาพรถ สถานที่เกิดเหตุ สภาพการเกิดเหตุแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ต้องบอกว่าแทบไม่เป็นอะไรเลย แม้ว่าใจจะระทึกอยู่บ้างพอควร

No comments:

Post a Comment