เมื่อวานนี้ ที่นิวซอง พี่ Peter เล่าให้ฟังว่า มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพี่น้องของเราคนหนึ่ง ผมไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าพี่น้องของเราคนนี้ กล้าที่จะเดินมาเล่าให้พี่ Peter ฟังว่า เขาไปทำอะไรมา
ตอนที่ผมได้ยินเรื่องนี้ ผมอดใจหายไม่ได้ จำได้ว่า เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ผมยังรู้สึกดีใจอยู่เลย ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับเขามากขึ้น ตื่นเต้นที่จะได้สนิทกันมากขึ้น จริงๆผมอยากให้เขาอยู่ที่นี่กับพวกเรามากกว่า แต่มันก็คงไม่ง่ายนักในความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมได้แต่หวังว่า เขาจะได้รับการรื้อฟื้น และกลับมาที่นิวซองอีกครั้งหนึ่ง เร็วๆนี้
... เรื่องราวของใครบางคน และอีกหลายคน โผล่เข้ามาในความคิดของผม...
ผมรู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนชีวิตสมรส จริงๆแล้วเขากำลังเตรียมตัวจะเดินทางไปเป็นผู้นำที่โบสถ์ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ไม่กี่เดือนต่อมา ผู้นำโบสถ์ที่กรุงเทพก็ส่งเขาทั้ง 2 คนไปต่างจังหวัด ผู้ชายเดินทางไปเป็นผู้นำ ผู้หญิงไปอีกจังหวัดหนึ่ง เพราะเธอท้อง
ผู้ชายคนนี้ได้รับเกียรติในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า ส่วนผู้หญิงคนนั้นตกระกำลำบากในฐานะคนทำผิด
หลายปีผ่านไป ผู้ชายคนนั้นจัดงานแต่งงานใหญ่โต คณะผู้ปกครองและผู้นำหลายคนไปร่วมอวยพรแสดงความยินดี และประกอบพิธี "สมรสศักดิ์สิทธิ์" ให้ ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น ทั้งที่เจ้าสาวในงาน เป็นคนละคนกับผู้หญิงคนแรกที่ตั้งท้อง
14 ปีที่ผ่านมา ผมพูดเสมอว่า ผู้นำก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ทำผิดได้ ทำพลาดได้ สิ่งที่เราต้องทำ คือ ยอมรับว่าเราอ่อนแอ กลับใจใหม่ และพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ไม่ใช่การปกปิด รักษาหน้า ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำตัวราวดั่งกับเป็นเทพ บริสุทธิ์ ผิดไม่เป็น แตะต้องไม่ได้ โดยเฉพาะเหตุผลที่บอกว่า "จะบอกทำไม บอกแล้วไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องบอก ยิ่งบอกยิ่งทำให้งานพระเจ้าเคลื่อนช้าลง" (ผมคิดว่ามันเป็นเหตุผลที่ไร้สาระและเลวระยำตำบอนมาก) (เถียงมากๆเข้า ก็จะเจอประโยคเด็ด "ไม่ฉลาดเท่าผม ก็เชื่อฟังผมเถอะ" หรือ "เชื่อผมเถอะ ผมรับผิดชอบเอง" เฮ้อ... เก่งๆกันทั้งน้านนน...) แม้จะเชื่อว่าคนพูดมีความตั้งใจดีเพื่องานพระเจ้าจริงๆ (ซึ่งเชื่อได้ยากเต็มที) แต่มันเป็นการใช้เหตุผลที่ไม่ต่างจากการใช้เหตุผลของหญิงชั่วในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ สุภาษิต7:14-20 เลย
ผู้นำทำผิดปกปิดเพื่อพระเจ้า แต่สมาชิกต้องเปิดเผยทุกเรื่องต่อผู้นำ การกระทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากการบีบบังคับ และวางแอกลงบนคอผู้เชื่อ เป็นการไม่ให้เกียรติกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ และยังเป็นการใช้มาตรฐานซ้อนในชุมชนอีกด้วย อาจจะเพราะมันเป็นรากเหง้าของสังคมไทยก็ได้ (ก็เราอยู่ในสังคมไทยนี่นา... ช่วยไม่ได้ !!)
ผมเคยตั้งประเด็นสงสัยความผิดทางจริยธรรมคริสเตียนส่งให้ผู้นำโบสถ์หลายครั้ง มีครั้งหนึ่งที่ตั้งประเด็นสงสัยว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการฉ้อโกงพระเจ้าหรือไม่ กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตว่าผมมีท่าทีผิด คิดร้ายต่อคณะผู้ปกครอง และสุดท้ายเรื่องราวที่ผมสงสัยก็เงียบหายไปไม่มีการพูดถึงอีกเลย
มีคนหนึ่งบอกเพื่อนผมว่า นิวซองเป็นโบสถ์แปลกๆ ไม่พูดภาษาแปลกๆ (จริงๆเราพูดนะครับ) นมัสการแปลกๆ (ไม่เหมือนที่โบสถ์ของคนพูด) เทศนาก็ "แบบ" แปลกๆ มีแต่คนแปลกๆ ทั้งที่คนที่พูดก็ฟังเขามาอีกทีจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเหยียบเข้ามาที่นิวซอง เพียงแต่เขาน่าเชื่อถือ เป็นคนมีภาพพจน์ดีและได้รับการยอมรับจากคนในชุมชนที่เขาอยู่
เมื่อวานนี้ ผมไม่เพียงรู้สึกว่าคนที่นิวซองแมนมาก เท่ห์ จริงใจ และให้เกียรติพี่น้องร่วมชุมชน แต่ผมยังรู้สึกว่า ถ้าเป็นที่นี่ ผมกล้าที่จะเล่าเรื่องราวของชีวิตผมทุกเรื่องให้ฟัง บางเรื่องอาจมีบางคนไม่เห็นด้วยและยากที่จะยอมรับมัน แต่ผมรู้ว่า นิวซองยังมีความรัก ความกรุณาให้ผมเหมือนเดิม
ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมมีประสบการณ์เรียนรู้ในเรื่องความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้ามากขึ้นผ่านชุมชนที่นี่ ทำให้ผมตระหนักถ้อยคำหนึ่งในพระคัมภีร์มากขึ้น "ในความรักนั้นไม่มีความกลัว" (1ยน.4:18)
No comments:
Post a Comment