ปกติ สี่แยกแถวบ้านผม ตอนเช้าๆ จะปล่อยรถนานมาก รถเมล์ส่วนใหญ่ก็มักจะเลี้ยวซ้ายไปลอดใต้สะพาน แล้วเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกอีกที เพื่อกลับสู่เส้นทางเดิม
เช้านี้ รถเมล์คันที่ผมนั่ง ทำท่าเหมือนจะตรงไป ผมเดาว่าคนขับคงคิดเหมือนผม เพราะถ้ารถที่กำลังวิ่งอยู่หยุด เราจะได้ไฟเขียว แต่จู่ๆ รถก็ฉีกออกซ้าย จังหวะที่รถเลี้ยวซ้าย ไฟก็เขียวพอดี
คนเก็บตั๋ว พูดออกมาอย่างหัวเสีย "อะไรกันนี่ รออยู่ตั้งนาน พอเลี้ยวปุ้บ ไฟเขียวปั้บ" (ผมปรับคำพูดเล็กน้อยให้เหมาะกับการอ่านของเยาวชน) ความคิดของผมในเวลานั้น คือ เขาวิ่งรถในเส้นทางนี้ เขาน่าจะรู้ว่า ไฟกำลังจะเขียวแล้ว...
การตัดสินใจของคนขับรถ ทำให้ผมเสียเวลาไปมากกว่า 5 นาที... นั่น หมายถึง ผมพลาดเรือ 1 ลำ แปลว่า ผมจะไปทำงานช้าอีกเกือบ 15-25 นาที
แต่ เรื่องยังไม่จบ
วันนี้ ผมนั่งรถเมล์จากเทเวศน์ไปที่ทำงานแถวประตูน้ำ ด้วยเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ทั้งที่รถแทบไม่ติดเลย เมื่อเทียบกับทุกๆวัน คนขับเขาขับรถแบบเซ็งโลกมากอ่ะ ขับไปเรื่อยๆ รถสายเดียวกันแซงไปแล้ว 3 คัน ผมลงที่ป้ายพร้อมกับ คันที่ 4 เข้ามาจอด...
วันนี้ ผมมาทำงานสาย 28 นาที
.... เป็นเรื่องจริงที่ว่า ในโลกของวันนี้ การทำงานใหญ่ให้ได้ผลงานระดับสุดยอดนั้น คือ การประกอบด้วยการทำงานย่อยๆอย่างยอดเยี่ยมของคนหลายๆคน เป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องเลือกว่าเราจะอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ลำพังเพียงเราคนเดียวแม้จะเก่งกาจสามารถเพียงใด ก็อาจดำเนินชีวิตได้ไม่ง่ายนัก หากปราศจากการพึ่งพาอาศัยกัน เพราะเราต่างกัน มันจะมีบางอย่างแน่ๆ ที่เราไม่ชำนาญ เรื่องที่สำคัญก็คือ ต้องพึ่งพาให้ถูกคนด้วย
ไม่ว่าจะเป็นคนร่วมชีวิต คนร่วมสังคม คนร่วมงาน คนร่วมเดินทาง และอีกหลายๆ การไปด้วยกัน แม้ในโลกที่แบนลงเรื่อยๆ เช่นทุกวันนี้ ดูเหมือนว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว แต่เรื่องความสัมพันธ์ ความผูกพัน ก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
ผมคิดว่า หากเราเชิญชวน/ร่วมไปกับใคร บนพื้นฐาน ว่าเขา/เราทำอะไรได้ มันเสี่ยงต่อการคบกันบนพื้นฐานของผลประโยชน์ แต่ในบางความสัมพันธ์มันก็เริ่มต้นด้วยผลประโยชน์จริงๆ เช่น การทำงาน หรือ การทำธุรกิจ ซึ่งจะมีข้อตกลง ทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร แต่อาจจะไม่เหนียวแน่นและใช้เวลาเหมือนสัญญาใจ
"เพื่อนก็เพื่อน ธุรกิจก็ธุรกิจ" คำพูดที่ผู้ใหญ่สอนมาตั้งนาน แต่ผมเพิ่งจะซึ้งกับคำนี้ ก็ปีนี้นี่เอง
บางครั้ง เราก็ยังไม่รู้ว่าจะไปกับใคร ก็เดินกันไปเรื่อยๆ เพื่อเรียนรู้ว่า ใครบ้างที่เหมาะจะไปกับเรา/เราเหมาะจะไปกับใครบ้าง บ่อยครั้ง ขณะที่เรายังไม่รู้จักกันดี เราก็เชื่อสิ่งที่เขาบอก แล้วก็ตัดสินใจบนพื้นฐานสิ่งที่เขาพูด แต่บางครั้งก็บนพื้นฐาน ความเอื้ออารีย์ของเขา
แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรารู้จักเขาว่าเขาเป็นอย่างไร วันหนึ่งที่เราพบคนที่สนใจในสิ่งต่างๆคล้ายๆเรา เรากำลังจะตัดสินใจไปด้วยกันกับคนใหม่ กับกลุ่มใหม่... มันเป็นเรื่องที่ลำบากใจในการ ต้อง พูดกับคนที่เขาเข้าใจไปแล้วว่า เราจะไปกับเขาตลอดไป
ถ้ายืมศัพท์ของนักกฎหมายมาใช้ ก็ต้องเรียกว่า เป็น โมฆียะทางใจ... สัญญาใจที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานความเข้าใจผิดที่มีต่อกัน ถ้าไม่รีบบอกเลิกซะโดยเร็ว สัญญาใจฉบับนี้ก็จะมีผลบังคับใช้ตลอดไป
จะคบใคร จะไปกับใคร ก็เลือกกันดีๆ มองให้เห็น สันหลัง ของเขา จะได้เลือกไม่พลาด
ถ้าหากคิดว่า ตัวเองมี โมฆียะทางใจ ก็รีบบอกล้างสัญญานั้นซะ
ขณะเดียวกัน ก็อย่าลืมให้เกียรติคนอื่น เคารพในการเลือกและการตัดสินใจของเขา แต่อย่างไร ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นแล้วก็เป็นสิ่งดีที่มีคุณค่าควรแก่การรักษาไว้ และปฏิบัติต่อกันเช่นดังเดิม (แม้อาจมีระยะห่างระหว่างใจเพิ่มขึ้นบ้างตามระยะทางที่มากขึ้น)
แม้เมื่อเช้านี้ผมจะไม่เห็นสันหลังของคนขับรถคนนั้น แต่ก็จำหน้าเขาได้ละ... อย่าหวังเลย ว่าผมจะขึ้นรถคันที่เขาขับอีก
ลาที ลาขาด
ไปด้วยกัน...เหรอ? ไม่มีทาง...(จนกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ) ^^
No comments:
Post a Comment