เมื่อวานตื่นมาอาบน้ำแต่เช้า ก็เลยมีเวลาคิดทบทวนไตร่ตรองเรื่องราว เหตุการณ์ และผู้คนรอบๆตัวในช่วงนี้ ก็นึกถึงพี่คนหนึ่งกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้จะเรียกได้ว่าเป็นผลผลิตทางความคิดของพี่คนนี้หรือป่าว คิดไปอาบน้ำสระผมไป สบายๆชิวๆ... (นึกขึ้นมาได้ ว่าเคยจะเขียนเรื่องความจริงนี่นา เอาเลยละกัน)
จริงๆ ความจริงก็คือความจริงแหล่ะนะ แบ่งระดับไม่ได้หรอก แต่ถ้ามองเรื่องความจริงด้วยวิธีคิดของยุค post moderen (ความจริงสัมบูรณ์ไม่มี) ความจริงจะสามารถถูกแบ่งระดับได้ทันที (แต่น่าคิดนะ ถ้าไม่มีอะไรที่จริงเสมอ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า "ความจริงสัมบูรณ์ไม่มี" เป็นจริงเสมอ..ไม่งงนะ) ผมคิดว่า จริงๆแล้ว ถ้ามองกันให้ดี ชื่อเรื่อง น่าจะใช้คำว่า "การเข้าถึงความจริง 3 ระดับ" (ว่าแล้วก็เปลี่ยนซะเลยละกัน)
ความจริง 3 ระดับเป็นอย่างไร (คุ้นๆเหมือน อ.เคยสอนนะ แต่จำไม่ได้ว่าเหมือนกันหรือป่าว) (หลายคนคงเคยฟังคำเทศน์เรื่อง ความเชื่อ 3 ระดับ มาแล้ว ลองฟังเรื่อง ความจริง 3 ระดับ บ้างนะครับ)เชิญทัศนากันได้ครับ
ความจริงระดับที่ 1 ความจริงจากสิ่งที่ตามองเห็น
ความจริงระดับที่ 2 ความจริงจากประสบการณ์ แบ่งได้ย่อยๆอีก 3 ช่วง
ความจริงระดับที่ 3 ความจริงนิรันดร์
ความจริงจากสิ่งที่ตามองเห็น..อะไรที่เห็น สิ่งนั้นจริง ความจริงระดับนี้ เป็นปัจจุบันเสมอ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้เท่านั้นถึงจะยอมรับว่าจริง เรื่องไหนจริง เรื่องนั้นต้องสามารถมองเห็นได้ แนวโน้มคนที่อยู่กับความจริงระดับนี้ มักเชื่อและยอมรับสิ่งที่ตามองเห็นว่าจริง "ก็มันเห็นๆอยู่ คุณจะไม่ยอมรับว่าจริงได้อย่างไร" คนที่มีความจริงระดับนี้ แนวโน้มเป็นคนที่จริงจังสูงมากจนบ่อยครั้งก็แง่ลบเสียเหลือเกิน
ความจริงจากประสบการณ์.. ถ้าระดับตามองเห็นเปรียบเหมือน present tense ระดับนี้ ก็คือ present perfect tense คือ ขอให้เคยพิสูจน์ได้ซักครั้ง ก็มีแนวโน้มยอมรับว่าจริง ยิ่งพิสูจน์ได้ซ้ำมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเชื่อ ยิ่งยอมรับว่าจริง เป็นแนวคิดที่เคยได้รับความนิยมมากในยุค modern ยุคเฟื่องฟูของพวกวิทยาศาสตร์นิยม เรื่องใดจริง เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ใครๆก็สามารถมีประสบการณ์ส่วนตัวได้โดยตรงได้ "เรื่องใดที่ยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งเชื่อว่าจริง"
ซึ่งต่อมาความจริงระดับนี้ได้มีพัฒนาการจากอิทธิพลของพวก ปรัชญานิยม ไม่เพียงต้องทดลองซ้ำได้ สามารถเห็นจับต้องได้เท่านั้น แต่ต้องพิสูจน์โดยกระบวนการทางเหตุผลได้ด้วย อะไรที่เกินเหตุผลที่มนุษย์จะอธิบายได้ พวกนี้ไม่ยอมรับว่าเป็นจริง "ไม่จริงหรอก ไม่มีเหตุผล"
จนถึงปัจจุบัน ก็มีการพัฒนาไปอีกขั้น คือต้อง รู้สึก ว่าจริงด้วย ถ้าไม่รู้สึกว่าจริง ก็จะไม่ยอมรับว่านั่นเป็นความจริง ซึ่งพัฒนาการขั้นนี้ เป็นเส้นที่บางมาก เพราะสำหรับคนที่เขาอยู่กับ เรื่องจริงมาอย่างเข้มข้นยาวนานต่อเนื่อง เขาก็สามารถประเมินได้จากความรู้สึกเหมือนกันว่าอะไรจริงหรือไม่จริง แต่เขาไม่ได้ยึดติดกับความรู้สึก แต่ทั้งนี้ก็มีข้อดีมากๆหนึ่งก็คือ ทำให้ มนุษย์อย่างเราๆสามารถสื่อสารความจริงต่อกันโดยใช้ความจริงใจได้ง่ายขึ้น อาจจะพูดไม่เก่ง ไม่รู้จะอธิบายเหตุผลอย่างไร ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่รู้ว่าจริง "ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าจริง สัมผัสได้ว่าเขาจริงใจ" ซึ่งคงต้องระมัดระวังให้ดี เพราะคนที่อยู่กับความจริงแบบนี้นานๆ โดยไม่มีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น อาจจะสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา จนเป็นบ้าไปได้ในที่สุด หรืออย่างน้อยๆก็คุยกะใครไม่รู้เรื่องอ่ะ
ระดับสุดท้าย ความจริงนิรันดร์ / ความจริงสัมบูรณ์ / ความจริงสากล เป็นความจริงที่จริงเสมอ กับทุกคน กับทุกสังคม กับทุกยุคสมัย เป็นความจริงที่มนุษย์อย่างเราๆท่านๆ ประเมินไม่ถูกหรอกว่า เราเข้าใกล้มันได้มากเพียงไหนแล้ว เท่าที่ผมคิดได้ตอนนี้ ความจริงเช่นนี้ อยู่เหนือขอบเขตความสามารถในการพิสูจน์ของมนุษย์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ตรรกะหลักเหตุผล ประสาทสัมผัส หรือแม้แต่ความรู้สึก ผมคิดว่าหนทางเดียวที่จะพิสูจน์ความจริงประเภทนี้ได้ คือ การเชื่อและยอมรับไว้ว่าจริง ดังนั้นแล้ว เราจะสามารถมีประสบการณ์ สามารถเห็น ได้ยิน รู้สึก สัมผัส เข้าใจ รวมทั้งรับรู้ ความจริงเรื่องนั้นๆได้ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้ามันไม่จริง เชื่อให้ตายอย่างไรก็จะไม่เห็นผล
พระเจ้าบอกว่าพระองค์เป็นความจริงนิรันดร์ พระคัมภีร์อ้างตัวเองว่าถูกพิสูจน์แล้วว่าจริงเสมอ ผมคิดว่าวิธีการพิสูจน์พระเจ้าและพระคัมภีร์ของคริสเตียนเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นเลย เพียงแต่เชื่อและยอมรับไว้ตามนั้นว่าจริง แล้วคอยดูผล ถ้าพระเจ้าเป็นเรื่องจริง พระคัมภีร์เป็นเรื่องจริง เราก็จะห็นผล แต่ถ้าไม่จริง ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็รู้ได้เลยว่าพวกคริสเตียนเป็นพวกงมงาย และน่าสมเพสที่สุด (ระยะเวลาในการคอยดูผลนี่ ประมาณ 3 เดือน กำลังดี..จริงๆนะ จะบอกให้)
ผมเองก็ยังมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้และยอมรับความจริงอยู่ทุกวัน ยังคงต้องพินิจพิเคราะห์อยู่เสมอว่าสิ่งใดจริง หรือไม่จริง อย่างไร คนเราเกิดมาทั้งที 1ชีวิตที่มีอยู่บนโลกใบนี้ คงไม่มีใครที่อยากจะอยู่กับสิ่งที่เชื่อมาตลอดชีวิตว่าจริง เพื่อมารู้ในวันสุดท้ายว่า แท้จริงแล้วสิ่งนั้นเป็นเพียงคำโกหกหลอกลวงเท่านั้นเอง
ขอให้ชีวิตของเราทั้งหลายอยู่ในความจริงเสมอนะ... FREEDOM. . . . . . . .
No comments:
Post a Comment