Apr 3, 2008

...หัวใจว้าวุ่น....

...หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของ ออกมายืนหน้าบ้าน เตรียมตัวเดินทางออกจากบ้านเมืองที่อาศัย เพื่อไปยังดินแดนที่พระเจ้าบอกให้เรารู้นั้น ความรู้สึกว้าวุ่นใจด้วยอาลัยอาวรณ์ในถิ่นที่อยู่ก็รบกวนความคิดเป็นระยะๆ ให้ล้มเลิกการเดินทางนี้เสีย...

เช้าวันอาทิตย์ ไปแสวงหาหน้าพระเจ้าแต่เช้า... พระเจ้า พูดผ่านการเผยพระวจนะมาถึงอีกครั้ง คงไม่ต้องคิดมากอีกแล้ว.. ผมหันไประเบิดบ้านตัวเองทิ้ง แล้วมุ่งหน้าออกเดินทางทันที

ตอนกลางวัน จะเดินกลับบ้านไปเอาของ เจอนิยมที่ร้านก๋วยเตี๋ยว... บอกแล้วว่าโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องบังเอิญ (แม้ผมจะยังไม่เข้าใจว่า ทำไมช่วงที่ผ่านมาถึงเขียนบทความใหม่ไม่ได้ แต่เข้ามาอ่าน เข้ามาเม้นท์บล้อกได้... ไม่เกี่ยวนี่นา) เราคุยเรื่องงานกัน.. คิดว่าเรียบร้อยนะ

นมัสการพระเจ้า ตอนบ่าย อีกครั้ง พร้อมของแถมจากคำเทศน์ ..."ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังใหม่"

ตกเย็น อ.กอล์ฟ ก็โทรมาหา ได้คุยกันซักที ไม่มีปัญหา
------------------------------------------------------------------------------------
แล้วจะบอกหัวหน้าที่ทำงานอย่างไรดี คำถามที่ยังคงทำให้ใจว้าวุ่นอยู่ เพราะตอนเข้ามาทำงาน รับปากไว้ว่าจะทำ 3 ปี คิดอยู่นาน อธิษฐานอย่างเยอะ จนได้โอกาสคุยกับฝ่ายบุคคล เขาก็เสียดาย และเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เรากำลัง ขาขึ้น หากอยู่ต่อ ก็จะรุ่งโรจน์แน่นอน ทั้ง เงิน และ ทั้ง กล่อง แต่เขาก็เข้าใจง่ายๆ อีกทั้งยังให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ในการทำงานกับคนอื่นมาด้วย

คนถัดไปคือ กรรมการบริษัท เจ้านายโดยตรง จริงๆช่วงนี้ท่านงานยุ่งมาก แต่พระเจ้าก็เปิดโอกาสให้มีงานที่ต้องการคำแนะนำ ก็เลยถือโอกาสลา พี่เขาก็เข้าใจง่ายๆ (อย่างไม่น่าเชื่อ) และก็ให้คำแนะนำในการทำงานเรื่องการทำทันทีมาด้วย

ผมมานั่งคิดดู พระจ้านี่เจ๋งนะ
1. เมื่อ2เดือนก่อน พระเจ้าพูดผ่านเพื่อนมาว่า ผมจะย้ายงานเร็วๆนี้ 2-3 เดือน ซึ่งตอนแรก ผมก็ยังยืนกรานในใจว่า 3 ปี แต่ก็มาคิดได้ว่า พระเจ้าเป็นผู้นำมาทำงานที่นี่อย่างชัดเจน ก็ขอพระเจ้าเป็นผู้นำออกไป แต่ขอ ถ้าเป็นไปได้ อยากไปในขณะที่ชนะใจหัวหน้างานแล้ว ไปแบบที่เขารู้สึกเสียดายเรา (ช่วงนั้น โดนเตือน ทุกวัน ทำงานช้า ภาษาอังกฤษอ่อน ฯลฯ)อยากให้เขารู้ว่าเราสู้ รู้ว่าเราเป็นคริสเตียน และประทับใจในชีวิตคนที่รู้จักพระเจ้า

2. นับตั้งแต่เริ่มฟังเรื่องราวของ Gsus7 เริ่มมีภาระใจ ก็บอกพระเจ้าไว้ว่า ถ้าจะให้ไปทำ ขอให้นิยม/ผู้นำ เขามาคุยเอง ผมจะไม่เสนอ หรือคนอื่นเสนอ ผมไม่เอา

3. เราพอจะรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อเราอายุครบ 30 จะเกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้นในชีวิต ที่จะพลิกชีวิตของเราไปเลย แต่เราไม่รู้ว่าคืออะไร

ทุกอย่าง เป็นอย่างที่ขอไว้อย่างไม่น่าเชื่อ ใครจะคิดว่า การไปช่วยซ่อมคอมพ์วันนั้น นิยมจะอยู่บ้าน จะว่างพอให้เรามีเวลาคุยกัน และเขาชวนผมทำงานกับเขา นิยมคงไม่รู้หรอกว่า ช่วงเดือน มีนาคม เป็นช่วงที่ผมทำงานเข้าตานายสุดๆ นายชมเป็นเรื่องปกติคนในออฟฟิซรู้สึกดี ชื่นชอบความมีน้ำใจ ตอนที่เขาบอกว่า เริ่มงานหลังค่าย(พ.ค.) เขาคงไม่รู้หรอกว่า ผมอายุครบ 30 เดือน เม.ย.นี้

ที่สำคัญ นิยม คงไม่รู้หรอกว่า ทำงานที่ crawford 6 เดือนนี้ สิ่งที่ผมเจอมา เป็นการเตรียมชีวิตผมไว้ให้พร้อมเพื่อคุณ และบริษัท
คิดๆดูแล้วหัวใจอาจจะไม่ว้าวุ่น แต่ตื่นเต้นอ่ะ สุดๆเลยครับ
------------------------------------------------------------------------------------

ช่วงนี้มีหนังไทยเรื่องนึง อยากดูเหลือหลาย ชวนคนนู้น คนนี้ก็แล้ว จนสุดท้ายก็ตัดสินใจไปดูเอง วันที่ไปดูก็ติดธุระจนไปเกือบไม่ทัน คริสต์มาสหลายปีก่อน อบอวลไปด้วยความรักใน "Love Actually" แต่กับฤดูร้อนปีนี้ ความรักหลากหลายแง่มุม อบอวลอยู่ใน "ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น" หลายคนเกรียวกราวถึงนักแสดงสาวชาวญี่ปุ่น แต่ผมว้าวุ่นใจตั้งแต่ก่อนเข้าโรงแล้ว จากความสงสัยว่า หากเรามีแฟนจริงๆ เราจะรู้สึกอย่างไร เป็นครั้งแรกที่ผมยอมรับความจริงว่า ชีวิตนี้ผมไม่เคยมีคนรัก (แฟน) มีแต่แอบชอบเขา รักเขาข้างเดียว คิดไปเองว่าเขาชอบ แล้วก็แห้วทุกที มันสงสัยและอยากรู้จริงๆนะ ว่าเวลาคนเรารักกันและกัน ความรู้สึกเป็นอย่างไร

คิดๆอยู่คนเดียว หัวใจยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ เมื่อ น้อง นานา ปรากฎตัวขึ้นมาในหนัง ชอบรอยยิ้มของน้องคนนี้ซะจริงเชียว ชวนให้นึกถึงใครบางคนในชีวิตจริง แต่ก็ช่วยทำให้หยุดคิด แล้วกลับมาสำราญกลับภาพยนต์ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี

มีฉากหนึ่ง ผู้ชายที่อกหักจากเพื่อนสาวที่ตัวเองแอบชอบเขา ใช้เวลาทั้งคืนทำบอร์ดวันเกิดที่มหาลัยให้สาวเจ้า ในขณะที่เจ้าหล่อนและเพื่อนๆกำลังเฮฮากันในงานปาร์ตี้ โดยเฉพาะ ฉากที่เขานั่งยิ้มน้อยๆอยู่คนเดียวเงียบบนรถเมล์... ผมว่าผมเข้าใจ ความรู้สึกของเขานะ รวมทั้งที่รีบวิ่งกลับมาถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วบอร์ดก็ว่างเปล่า เหมือนไม่เคยมีใครมาทำอะไรให้เกิดขึ้น

"... อาจจะเหนื่อยบางครั้ง อาจจะเจ็บบางที แต่ก็ยิ้มได้เรื่อยมา อาจจะต้องผิดหวังก็ไม่เป็นไร

อย่างน้อยฉันได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ ทุกนาทีที่ฉันมีเธอ รักคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายมากมายจริงๆ

อย่างน้อยฉันเคยได้รักเธอ รักด้วยการไม่หวังอะไร

ความพยายามที่ทำเพื่อเธอ จะขอทำต่อไป แค่มีรอยยิ้มของเธอส่งมา ก็ชื่นใจ

หากในวันพรุ่งนี้ เธอจะตอบตกลง คงจะคุ้มค่ามากมาย แม้จะต้องผิดหวังก็ไม่เสียใจ..."

ให้รู้สึกว้าวุ่นใจอยู่บ้างเหมือนกันนะ ทั้งกับความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจของเรา และกับเรื่องงาน แต่เราเองก็เตรียมใจไว้แล้วแหล่ะ คงอย่างที่ ใครคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "วิธีทำให้ชีวิตนี้ง่ายขึ้น คือ การตัดสินใจเลือก แล้วไม่มองย้อนหลังกลับไปอีก"

ชีวิต เป็นเรื่องของการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทางเท่านั้น ...ออกเดินทาง สู่ ดินแดนแห่งพันธสัญญา

2 comments:

  1. This comment has been removed by the author.

    ReplyDelete
  2. โอววว...อ่านแล้วประทับใจมากๆ

    พระเจ้าไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเราเลยจริงๆ

    สู้ต่อไป ทาเคชิ!!!

    ReplyDelete