เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่กอล์ฟพูดถึงเรื่องวงจรชีวิตที่สวนทางกัน วงจรหนึ่งเวียนขึ้นสู่ความเจริญ อีกวงจรหนึ่งวนลงสู่ความเสื่อมถอย แม้จุดเริ่มต้นของทั้งสองวงจรอาจจะเริ่มก้าวที่จุดเดียวกัน คือ การมีศักยภาพสูง แต่ปัจจัยกำหนดที่สร้างความแตกต่างให้กับผลลัพธ์ปลายทาง คือ ทัศนคติ (attitude) หรือที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า ท่าที นั่นแหล่ะ
ทัศนคติแง่บวก มีความเชื่อมั่นต่อตัวเอง เชื่อว่าเราทำได้ มองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติของนักเรียนรู้และนักปฏิบัติงาน ไม่กลัวความล้มเหลว จะช่วยสร้างความมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ เมื่อมีความมั่นใจก็ทำได้ดี แม้ผิดพลาดก็เรียนรู้ไว้เป็นประสบการณ์ ยิ่งมีความรู้ความชำนาญ ก็ยิ่งทำได้ดี ก็ยิ่งมั่นใจ ก็ยิ่งทำได้ดียิ่งขึ้น ก็จะกลายเป็นวงจรที่เวียนสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตรงกันข้าม การขาดความเคารพนับถือตัวเอง ก็มีผลทำให้ไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ กลัวความล้มเหลว ขาดความมั่นคงในจิตใจ ทำอะไรมีความกลัวอยู่ในใจ โอกาสล้มเหลวก็มีมาก เมื่อทำพลาดก็ยิ่งย้อนกลับมาย้ำเตือนตัวเอง กลายเป็นแผลเป็นทางความรู้สึก แทนที่จะเป็นบาดแผลแห่งประสบการณ์ มากๆเข้าก็ยิ่งขาดความมั่นใจ ความมั่นคงสั่นคลอนไปเรื่อยๆ ยิ่งไม่กล้าทำอะไร ยิ่งทำอะไรล้มเหลวไปเรื่อยๆ กลายเป็นวงจรอุบาทว์ดึงให้ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ
ทัศนคติ คือ ความคิด มุมมองของเรา ที่มีต่อเรื่องนั้นๆ
จริงๆแล้ว หากเราอยากรู้ว่า เรามีทัศนคติต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างไร โดยเฉพาะทัศนคติต่อตัวเอง ทำได้ง่ายๆ โดยการดูผลที่เกิดขึ้น เช่นดูผลที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตที่ผ่านไป
ในการเดินทางของชีวิตคนเรา หากมีการประเมินผลเป็นระยะๆอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเป็นเหมือนการปักหมุด ลงบนเส้นทางของชีวิต วันหนึ่งหากมองย้อนกลับไป หมุดเหล่านั้น ก็จะเป็นเหมือน ป้ายบอกระยะทาง ที่บอกเราได้ว่า นี่คือ ผลผลิต ที่เกิดขึ้น จากความคิดที่เรามีต่อตัวเอง
milestone จึงไม่เป็นเพียงเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวัดผลเป้าหมายย่อยๆตลอดเส้นทางชีวิตของเรา ไม่เพียงเป็นจุดชี้วัดระยะในแต่ละช่วงของความสำเร็จที่สามารถจับต้องได้เท่านั้น แต่ตรงกันข้าม milestone ยังเป็นเครื่องมือที่ดี ที่เราสามารถใช้ ย้อนรอย เพื่อตรวจสอบชีวิตของตัวเราเองได้ ช่วยให้เราสามารถรู้จักตัวเองได้อย่างดี โดยไม่สามารถยกอ้างเหตุผลใดเพื่อมาโต้แย้งได้เลย
No comments:
Post a Comment