Nov 6, 2007

ครั้งหนึ่งในความทรงจำ... ดูหนังดูละคร ย้อนดูตัว

หลังจากที่ได้ส่งเมล “ดูหนังดูละคร ย้อนดูตัว” ไปให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายคน ปรากฎว่ามีกระแสตอบรับมาพอสมควร หลายคนก็งงๆว่าผมทำอะไร บางคนก็วิพากษ์เปิดประเด็นกลับมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ เพราะนั่นถือว่าผมได้บรรลุวัตถุประสงค์หนึ่งที่ตั้งใจไว้แล้ว คืออยากให้พวกเราคิดกันมากขึ้นน่ะครับ ผมก็เลยขอถือโอกาสอธิบาย และไขข้อข้องใจของหลายๆคนดังต่อไปนี้นะครับ

1. “ดูหนังดูละคร ย้อนดูตัว” เป็นกิจกรรมเริ่มต้นที่ผมลองทำดูน่ะครับ เรื่องนี้มีแนวคิดมาจากที่ว่า พระเจ้าของคริสเตียนเป็นพระเจ้าที่ชอบสอนเราผู้เป็นลูกที่รักของพระองค์เสมอ และพระองค์ก็สอนให้เรารักที่จะเรียนรู้อยู่เสมอด้วย ดังนั้น ในแต่ละวันของการดำเนินชีวิต เราควรเติบโตขึ้น มีข้อคิดในแต่ละวันผ่านการทำงาน ผ่านการเรียน ผ่านการพบปะผู้คน ผ่านการใช้ชีวิต ซึ่งผมเองก็เรียนรู้อยู่เสมอ จึงอยากจะแบ่งปัน และเชิญชวนให้พวกเราได้เรียนรู้ด้วย แต่ครั้นจะให้แบ่งปันข้อคิดประจำวันทุกวัน ก็รู้สึกว่ามันออกจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากไปสักนิดนึง อีกทั้งยังมีการพาดพิงบุคคลที่สามในหลายๆครั้งอีกด้วย (ใครอยากรู้ ต้องคอยไปถามภรรยาผมเอาเองนะครับ คนเดียวที่จะได้อ่านไดอะรี่ของผม ถ้ามีโอกาสได้แต่งงานกะเขาบ้างอ่ะนะ หุหุ )
ผมจึงมีความคิดว่า เริ่มด้วยข้อคิดจากหนังจากละครก็แล้วกัน เพราะผมเองก็เป็นคนที่ชอบดูชอบชมพวกนี้อยู่แล้ว และทุกครั้งก็ได้ข้อคิด ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้เสมอ ลักษณะก็จะคล้ายๆการวิจารณ์ภาพยนตร์ ในรายการโทรทัศน์น่ะล่ะครับ เพราะฉะนั้น คำพูดคำจาก็จะเป็นลักษณะที่สามารถแพร่ภาพทางสื่อมวลชนโดยทั่วไปได้น่ะครับ

2. มีบางคนบอกว่า อยากดูหนังเหมือนกัน แต่ไม่มีเพื่อนดู ผมอยากให้ข้อสังเกตดังนี้ครับ การชมภาพยนตร์ หรือละคร เป็นกิจกรรมที่ไม่เสริมสร้างผู้ที่ไปชมด้วยกันได้สนิทสนมหรือรู้จักกันมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย เราไปชมการแสดงครับ เราไม่ได้คิดจะไปทำอย่างอื่นแล้วเอาการดูหนังมาบังหน้า ในโรงหนังคุยกันก็ไม่ได้นะครับ การดูหนังด้วยกันจึงเป็นเพียงการเปิดโอกาสให้เรามีประเด็นที่จะพูดคุย แสดงความคิดเห็นในเรื่องเดียวกันหลังจากชมภาพยนตร์แล้ว ซึ่งอาจทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นได้ ดังนั้น อยากให้ถามตัวเองก่อนนิดนึงว่าทำไมถึงอยากมีเพื่อนไปดูหนัง แต่ถ้าเป็นประเด็นเรื่องความปลอดภัย ความได้อรรถรส ฯลฯ ก็ว่าไปอย่างนะครับ
ผมคิดว่า สมัยนี้อาจจะหาคนชอบไปดูหนังตามโรงด้วยความชื่นชอบยากขึ้นจริงๆ เพราะเราสามารถหาหนังมาดูที่บ้านได้ในราคาที่ถูกกว่า ผมเข้าใจครับ (แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังชอบดูหนังที่โรงนะครับ) ผมคิดว่าลองถามเพื่อนๆใกล้ๆตัวดู น่าจะมีสักคนที่ชอบดูหนังโรง และไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน (เข้าใจครับ เคยไม่มีเพื่อนดูหนัง เพราะเพื่อนมีตังค์น้อยกว่า) ถ้าพยายามแล้วยังหาไม่เจอ ก็สามารถนัดผมไปดูหนังได้ครับ แต่มีเงื่อนไข 2 ข้อครับ
1) กรุณานัดหมายล่วงหน้าเนิ่นๆ และบอกกล่าว/ขออนุญาตผู้ปกครองให้เรียบร้อย...อันนี้ เพื่อเป็นการปกป้องชื่อเสียงของตัวเพื่อนๆเอง (โดยเฉพาะสาวๆ) เกรงว่าจะมีคนเข้าใจผิดได้ในอนาคตน่ะครับ อีกทั้งเพื่อสวัสดิภาพของตัวผมเองด้วย (เคยเกือบถูกคุณพ่อของเพื่อนเอาปืนยิง เพราะเขาคิดว่าจะทำอะไรลูกสาวเขาน่ะครับ หุหุ) เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ช่วยกรุณาทำให้ถูกต้องตามวิธีการ ธรรมเนียมของสังคมด้วยครับ
2) กรุณาใส่เสื้อผ้าอย่างเหมาะสมด้วย ผู้ชายก็ช่วยแต่งตัวแมนๆหน่อย ผู้หญิงงดสายเดี่ยว เกาะอก ทุกกรณี เพราะในโรงหนังมันเย็นครับ เกรงว่าผมจะเป็นห่วงท่าน (กลัวว่าท่านจะหนาว) จนผมดูหนังไม่รู้เรื่อง 555
ที่ต้องมีเงื่อนไข เรื่องมากอย่างนี้ เพราะผมเคยมีเรื่องมีราวเป็นประเด็นมาแล้ว แม้ตั้งแต่นั้นมาผมพยายามจะตัดปัญหาด้วยการไปดูหนังคนเดียวเกือบทุกครั้ง ก็ยังไม่สามารถลบข้อครหาเหล่านั้นได้ คงเข้าใจนะครับ

3. สำหรับที่ถามความเห็นเข้ามา ขอแยกตอบโดยรวมเป็น 3 ประเด็นนะครับ
1) “การทำตามใจตัวเอง” กับ “การทำด้วยความรัก” นั้น เป็นคนละเรื่องกันครับ บางครั้งมันอาจจะเป็นสิ่งเดียวกันก็ได้ แต่ผมคิดว่า เรามีคำเรียกที่ง่ายกว่านั้น คือ “เห็นแก่ตัว” รักแท้ย่อมไม่มีข้อแม้ เราคงเคยได้ยินกันมาบ้างนะครับ ผมคิดว่าวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดเลย ก็คือดูว่า การกระทำครั้งนั้น เราทำเพื่อใคร เขา/เรา (ทำสิ่งที่ดี เพราะเราอยากทำ อันนี้ ถือเป็นการทำเพื่อตัวเองนะครับ) “ใคร” คือศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมด
2) เสรีภาพแท้ จะนำมาซึ่งการผูกพัน/การยอมเป็นของกันและกันในที่สุด แน่นอนว่าพระเจ้าให้เสรีภาพมนุษย์อย่างเต็มขนาด โดยเฉพาะผู้ที่รับการไถ่แล้วจากการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เรามีเสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยมที่จะทำ/ไม่ทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม พระเจ้ายังรักเราเหมือนเดิม ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจเสรีภาพของพระคริสต์ในชีวิตของเรา เราจะรู้ว่าแม้เราทำได้ทุกสิ่ง แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราทำนั้นเป็นประโยชน์ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เราเองจะยินดีเลือกทำเฉพาะบางสิ่ง ยินดีดำเนินชีวิตด้วยการรู้จักบังคับตนในพระวิญญาณของพระเจ้า
นอกจากนั้น ผมคิดว่าเพราะความมั่นใจว่าพระเจ้ารักเรา มั่นใจว่าเราเป็นของพระเจ้านี่แหละครับ จึงทำให้เรามีความมั่นคงในจิตใจ ก่อให้เกิดเป็นจิตใจที่กล้าหาญ กล้าคิด กล้าทำ กล้าเผชิญหน้าทั้งต่อพระพักตร์พระเจ้าและมนุษย์ จิตใจที่เต็มด้วยเสรีภาพ ซึ่งโลดแล่นอย่างมั่นคงอยู่ในความรักของพระคริสต์จึงไม่มีที่สำหรับให้ความกลัวอยู่ได้เลยครับ
3) เรื่อง “ความเหมาะสม” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนสูงมากๆ จริงอยู่ว่า โดยอุดมคติ เรื่องนี้ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่มีความเชื่อเดียวกัน หากว่าเราแต่ละคนต่างเรียนรู้จักที่จะดำเนินชีวิตใหม่ในพระเจ้า รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ ทัศนคติ ความคิด อุปนิสัยใหม่ ตามพระคำพระเจ้า แต่ในความเป็นจริง เราแต่ละคนต่างก็ยอมพระเจ้าไม่เหมือนกัน ยอมไม่เท่ากัน และแต่ละคนก็มีพื้นภูมิความหลังที่แตกต่างกัน ประสบการณ์ที่ต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แต่ละคน จะมีกระบวนการคิดหาคำตอบและเหตุผลต่างกัน มีโลกทัศน์ หรือวิธีการมองโลกที่ต่างกัน รวมทั้งมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่ต่างกันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าท้ายที่สุด แต่ละคนจะมี “ชุดของพฤติกรรม” ที่ไม่เหมือนกัน แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนกลั่นกรอง และลงความเห็นว่าดีที่สุดภายใต้กรอบความคิดของแต่ละคน
ฉะนั้นเอง ถ้าเราเป็นคนที่คิดมาก(เกินไป) และพยายามจะทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง เหมาะสมตามบรรทัดฐานของสังคมเสมอ เราจะเหนื่อย (ขอแนะนำให้ไปดูหนัง Instinct ประกอบ นำแสดงโดย Anthony Hopkins) ดังนั้น หากจะทำ/ไม่ทำสิ่งใด ก็ลองใช้ใจตรองดูว่าดีที่สุดแล้วหรือยัง ทั้งในมิติของเวลา ภาพรวมทั้งหมด และภาพย่อยรายบุคคล ซึ่งโดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าคริสเตียน (แท้ๆ) มีพื้นฐานจิตใจที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งใดที่คิดว่า ทำ (/ไม่ทำ) แล้วดี ทำด้วยความรัก จิตสำนึกไม่ฟ้องผิด ก็ทำไปเถอะ แต่ในขณะเดียวกัน เพื่อป้องกันความไม่เข้าใจกัน อันอาจเป็นการเปิดช่องให้เกิดความแตกแยกในความสัมพันธ์ได้ เราเองควรหัดเป็นคนที่สื่อสารความคิดของเราเสมอด้วย
ผมเชื่อว่า คริสเตียนเราได้รับการสอนให้เป็นคนมองโลกในด้านดีอย่างรอบคอบอยู่แล้ว (Realistic optimist) เพียงแค่บางครั้ง เพราะเราไม่รู้จักกัน เราไม่รู้ว่าพื้นฐานเขาเป็นอย่างไร เขาคิดอะไรอยู่ ไม่เข้าใจเขา เราจึงจำเป็นต้องใช้กรอบ/ วิธีคิดแบบที่เราคุ้นเคยในการคิดเรื่องของเขา ซึ่งเป็นไปได้ว่า กรอบที่เราใช้อยู่ อาจเป็นกรอบที่สอดคล้องตามพระคัมภีร์มาก/น้อยกว่าเขาก็ได้
นอกจากนั้นในอีกด้านหนึ่งของการใช้ “หัว”“ใจ” คิดอย่างเต็มที่ เราเองก็แสวงหาพระเจ้า เปิดใจยอมเชื่อฟังเสียงและการเคลื่อนไหวของพระเจ้าด้วย ในความเห็นส่วนตัว ตลอดเวลาที่รู้จักพระเจ้ามา (เพิ่งจะฉลองครบรอบ 9 ขวบ ไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เองครับ) ผมเชื่อว่าท้ายสุดแล้ว พระเจ้าให้เกียรติเรามากในการเป็นผู้ตัดสินใจเลือก เราเองต่างหากที่ควรเรียนรู้พระทัยพระเจ้า และยอมเลือกตามใจพระองค์ ใช่ครับ เราต้องเลือกเอง และเลือกให้ถูกใจพระเจ้า อย่างเหมาะสมต่อตัวเราเอง
ดังนั้น สำหรับคนที่เดินกับพระเจ้า รู้จักและสนิทกับพระเจ้าในระดับหนึ่ง ผมคิดว่า “การทรงนำ”ของพระเจ้าจะแตกต่างจากสมัยเมื่อเรายังเป็นเด็กๆ จากสิ่งที่มองเห็นด้วยตา มาเป็นสิ่งที่เชื่อด้วยใจ รับไว้ในพระสัญญา
ผมเข้าใจว่า เมื่อเราผ่านช่วงเวลาที่เน้นเรื่องการเรียนรู้จักพระเจ้าในพระลักษณะต่างๆ ช่วงเวลาต่อไปของชีวิตเรา คือการเรียนรู้ที่จะกระทำตามพระทัยพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา ก่อนที่จะก้าวไปสู่เส้นทางแห่งโกระโกธา ที่สุดท้ายแห่งการทรงเรียกในชีวิตของเราแต่ละคน
กว่าจะถึงวันนั้นได้ ก็เริ่มต้นด้วยใจเชื่อฟังก้าวเล็กๆอย่างสัตย์ซื่อในวันนี้
ถ้าวันนี้ ท่ามกลางพี่น้องของเรา ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบของคนรอบข้าง เสียงของพระเจ้ายังดังไม่ชัดในใจเรา แล้ววันนั้น วันที่คนทั้งตะโกนก่นด่า ถ่มน้ำลายรดหน้า ไม่มีใครกล้าพอที่จะออกมายืนเคียงข้าง วันนั้น เสียงของพระเจ้าจะยังคงดังก้องอยู่ในใจเราหรือเปล่า ดังพอที่จะให้เราได้ยินว่า “พระองค์รักเรา...มาก” ดังพอที่จะให้เรายังยืนหยัดอยู่ตรงนั้น ตรงที่กางเขน ตรงที่เราจะถวายเกียรติให้พระบิดาของเราได้มากที่สุด
ความเหมาะสม ไม่ได้พิจารณาจากความถูกต้องตามมาตรฐานของศีลธรรม ของสังคม หรือของมนุษย์ แต่พิจารณาจากน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาของเราทั้งหลาย
ถึงตรงนี้ ขอแนะนำให้ไปหา The passion of the Christ มาดู (DVD ของแท้ออกแล้วนะครับ)

ว่าจะเขียนตอบสั้นๆ พอให้เข้าใจเจตนาของผม แต่ก็ยาวจนได้ ขอบคุณพี่ๆน้องๆเพื่อนๆนะครับ ที่อดทนอ่านจนจบ หวังว่าคงคลาย(และสร้าง)ประเด็น(ใหม่)ในใจของหลายคนนะครับ ถือซะว่าเป็นจดหมายหนุนใจจากผมละกันนะครับ (จำได้หรือเปล่า ปีที่แล้ว “Story of the snail”) ใครคิดอย่างไร ตรงไหน ติชมประการใด ก็บอกกล่าวกันมาได้นะครับ ผมเองก็กำลังเติบโตขึ้นเหมือนกัน ยังต้องเรียนรู้อีกมาก พูดความจริงกับผมด้วยใจรักนะครับ เราจะได้เติบโตไปด้วยกัน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

9 กันยายน 2004

No comments:

Post a Comment