14 กุมภาพันธ์ 2005
วันแห่งความรักปีนี้ ใครไปไหน ทำอะไรกันบ้างครับ แบ่งปันเรื่องดีๆให้ฟังกันบ้างสิครับ
สำหรับผม แม้ว่าวาเลนไทน์ปีนี้ จะแอบเหงาเหมือนเดิมแต่ปีนี้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้ผมเห็นเรื่องเดิมๆในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยอยากเขียนมาเล่าสู่กันฟัง...
หลายปีมาแล้ว ตอนที่ผมเริ่มเป็นวัยรุ่น เริ่มคิดถึงเรื่องความรัก การแต่งงานและการมีครอบครัวคู่แรกที่ผมนึกถึงและอยากเรียนรู้ทัศนคติเรื่องนี้ ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน พ่อกับแม่ผมนั่นเอง ผมแอบถามแม่ตอนเราทำกับข้าวด้วยกันในครัว “ทำไม แม่ถึงแต่งงานกับพ่อ” “พ่อเอ็ง เค้าเป็นคนดี” แม่ตอบเรียบๆ แต่น้ำเสียงฟังดูภูมิใจและมีความสุข ผมเห็นแม่แอบยิ้มด้วย
“ทำไม พ่อถึงแต่งงานกับแม่” คำถามเดียวกัน แต่กับต่างคน ต่างวาระ “...แม่มึงเค้าเป็นคนดี เป็นคนขยันทำงาน” พ่อนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบเขินๆ
แม่เล่าให้ฟังทีหลังว่า ตอนนั้นพ่อมีคนที่ชอบ (แฟน) อยู่แล้ว ดีกรีความงามระดับนางงามจังหวัดเรื่องนี้จะเท็จจริงอย่างไร ผมก็ไม่รู้ แต่พ่ออ้ำๆอึ้งๆ แบ่งรับแบ่งสู้เรื่องนี้ เมื่อถูกถาม“แม่ไม่คิดว่า พ่อจะแต่งงานกับแม่ด้วยซ้ำ” แม่ว่าอย่างนั้นแม่เล่าให้ฟังว่า ตอนแต่งงานกัน สองคนผัวเมีย มีตังค์รวมกัน 150 บาท (พ.ศ. 2519) พ่อเรียนจบ ป.6 แม่เรียนจบ ป.4 มีแต่คนดูถูก ทั้งเรื่องฐานะ และการศึกษาแม่เล่าให้ฟังว่า บ่อยครั้งที่แม่นั่งกินข้าวในครัว ไม่กล้าไปนั่งกินที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกับญาติคนอื่นๆ เพราะพ่อยังไม่กลับบ้าน
มีอยู่ครั้งนึง ทั้งสำรับเหลือหอยแมลงภู่อยู่ 3 ตัว ให้กับคน 3 คน พ่อ-แม่-ลูก ...บางครั้ง ไข่ต้ม 1 ลูก คือกับข้าวของเรา 3 คน ผม-ครึ่งลูก พ่อ-ครึ่งลูก แม่-น้ำปลา
ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมไม่เคยจำได้ว่า พ่อกับแม่ หยุดทำงานตอนไหน
...บ่อยครั้งตอนเด็กๆที่ผมตื่นมาตอนกลางคืน ตี 2 ตี 3 ผมก็ไม่เจอใครแล้ว กว่าจะเอาชนะความมืด กล้าเดินออกมาดู จึงได้รู้ว่าพ่อกับแม่ตื่นมาต้มข้าวโพดไปขาย
...บ่อยๆครั้ง ที่ผมเดินขึ้นนอน เห็นแม่นั่งเย็บผ้าอยู่อย่างไร ตื่นนอนเดินลงมา แม่ก็ยังเย็บผ้าอยู่อย่างนั้นยิ่งช่วงที่แม่รับเป็นครูสอนตัดเย็บเสื้อของ กศน.(การศึกษานอกโรงเรียน) สิ่งที่ดูเหมือนจะบอกว่าแม่กลับมาบ้านแล้วนะ คือ ไข่กร้อบในจานข้าวของผม ไข่ดาวที่ทอดจนไข่ขาวสุก ฟู กรอบ ของโปรดที่แม่ทำไว้ให้เป็นพิเศษ
...ยังมีอีกมาก ที่ผมไม่รู้เรื่องพ่อกับแม่ เพราะผมจากบ้านมาเรียนหนังสือตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 13 ดี และก่อนหน้านั้น ก็ใช่ว่า เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันมากนัก
แม่เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อตกจากต้นมังคุด ต้องผ่าตัดหลัง นั่นเป็นจุดพลิกผันนึง ที่ทำให้พ่อทำงานน้อยลง และ แม่ ทำงานหนักขึ้น...หนักทั้งกาย หนักทั้งใจ
แม่ชอบพูดว่า ตอนแต่งงานกัน ไม่จำเป็นต้องรักกัน ขอให้เป็นคนดี เป็นคนขยันก็พอ “อยู่ๆกันไปก็รักกันเอง” แม่ว่าอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่า วันที่พ่อกับแม่แต่งงานกัน ท่านรักกันหรือป่าว ผมไม่เคยเห็นพ่อแสดงออกหวานแหววกับแม่ หรือไม่เคยได้ยินพ่อพูดว่ารักแม่ แต่หลายครั้งที่ผมได้ยินแม่พูดว่า พ่อไม่รู้หรอกว่าแม่รักพ่อมากเท่าใด ในขณะที่บ่อยครั้งที่ผมทำตัวไม่ดี พ่อมักบอกให้เราต้องช่วยกัน ถนอมน้ำใจของแม่บ้าง “เอ็งไม่รักแม่หรือ”สิ่งที่ผมตอบกับสิ่งที่ผมทำ ไม่ได้สอดคล้องไปด้วยกัน ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ผมปล่อยให้เวลาสำหรับครอบครัวหล่นหายไปได้อย่างไร ผมพยายามจะมองหา และไขว่คว้าครอบครัวที่ไม่มีตัวตน แต่กลับลืมนึกถึง มองไม่เห็น และไม่ได้ใส่ใจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
แม่บอกว่า ให้ผมเดินตามความฝันของผม พ่อกับแม่ไม่เคยมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ฝัน ไม่ต้องห่วงแม่ แม่มีพ่อคอยดูแล มีไอ้เสือ (หมาที่บ้าน) เป็นเพื่อนผมนึกถึงข้อความที่เพื่อนเคยส่งมาให้....“เวลามีความสุข คนแรกที่นึกถึงคือเพื่อน แต่เวลามีเรื่องทุกข์ใจ คนแรกที่นึกถึง คือ พ่อแม่”
เมื่อวานนี้ พ่อ คนที่ใครๆบอกว่ามีจิตใจหนักแน่นมั่นคง เอามือปาดน้ำตา ตอนนั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน เมื่อผมพูดถึงแม่ “แม่เอ็งลำบากมาตลอด ไม่เคยได้สบายกับเขาเลย หวังว่าจะสบายตอนแก่ๆ ก็มาเป็นแบบนี้อีก”วันนี้ แม่ที่เคยทำนู่น ทำนี่ เคยนั่งเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟัง นอนอยู่บนเตียง ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก แม่ผ่าตัดมาแล้วครั้งนึง เพราะมีเส้นเลือดอีกเส้นที่ยังโป่งพองอยู่ และต้องผ่าตัดอีกครั้งนึง เพื่อใส่ท่อระบายน้ำในสมอง
ทุกเสาร์-อาทิตย์ พ่อผม คนที่เมารถง่ายมาก และไม่ชอบเดินทางจากบ้านไกลๆบ่อยๆ นั่งรถเข้ากรุงเทพ มาหาแม่ทุกสัปดาห์ แม่เล่าให้ฟัง (เพื่อให้เราหายเครียด) ว่าที่เป็นอย่างนี้ เพราะดีใจมากไปหน่อย วันที่มีอาการ พ่อชวนไปเที่ยวงานกาชาดประจำจังหวัด ดีใจเกินไป เส้นเลือดเลยแตก
วันนี้ แม่ไม่ได้กินข้าวกลางวัน เพราะผมไม่ได้ไปป้อนข้าวแม่ และใครๆต่างคิดว่า แม่สำออย แม่ไม่มีแรงแม้แต่จะพูดว่าแม่รู้สึกอย่างไร แต่ผมรู้ คนอย่างเจ๊พร สำออยไม่เป็น
วันนี้ ตอนผมไปเดินหาซื้อขนมให้แม่ ข้างทางเต็มไปด้วยดอกกุหลาบและรูปหัวใจ ชายหนุ่มถือดอกไม้เดินสวนไป ผมเดาว่า เขาคงกำลังเอาไปให้หญิงสาวที่เขาชอบพออยู่
ผมไม่รู้จะเขียนตอนจบของเรื่องนี้อย่างไร แค่อยากจะเล่าถึง ชีวิตของคน 2 คน ที่ตั้งใจและพยายามจะประคับประคอง “ครอบครัว” ให้อยู่ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง คน 2 คนที่พัฒนาความรัก และความเข้าใจกัน ผ่านความทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน คน 2 คนที่ไม่ได้รักกันด้วยคำพูด แต่รักกันด้วยการกระทำ
และอยากจะเล่าถึง คนๆหนึ่ง ที่ลืมตัวไปว่า เขาไม่จำเป็นต้องวิ่งไปไขว่คว้าหารักแท้ที่ไหน เพราะรักนั้นอยู่กับเขาอยู่แล้ว
สุขสันต์วันแห่งความรักครับ
/14 ก.พ. 2005/
ฟูดเซ็นเตอร์ บิ้กซี ราชดำริ
ปล. แม่เข้าโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2005
ได้กลับมานั่งอ่าน เพิ่งสังเกตุเห็นว่า 6พ.ย.วันเกิดแม่เรานี่นา... อิอิ สุขสันต์วันเกิดครับแม่
ReplyDelete