เมื่อสัปดาห์ก่อนมีเหตุให้ต้องเข้าไปเดินใน มหาลัยเล็กๆแถวสามย่าน หลังจากที่ไม่ได้เหยียบเข้าไปนับปี
แม้หลายๆอย่างจะเปลี่ยนไป มีตึกใหม่ๆผุดขึ้นมาหลายที่ แต่ดูเหมือนสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะไม่สามารถเปลี่ยนภูมิทัศน์ในมโนภาพที่ยังอัดแน่นไปด้วยความทรงจำได้... มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยเรื่องราว...
กลับมาบ้านวันนั้น ผมอยากจะเขียนเรื่อง จุฬา...ลงกลอน ผมอยากจะลงกลอนความทรงจำของผมทุกอย่างที่เกี่ยวกับจุฬาไว้ในกล่องซักใบ ไม่อยากจะเห็น เพราะมันเจ็บนัก แต่ก็ไม่อยากจะลืม เพราะอาจจะเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวของชีวิตที่สุขใจได้ขนาดนั้น
เป็นความใฝ่ฝันแบบวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่อยากจะเข้ามาเรียนวิศวะที่จุฬา จีบสาวอักษร อนิจจา ว่าที่เฟรชชี่สาวอักษร จุฬา คนแรกที่ผมรู้จัก ทำให้ผมเรียนรู้ว่า การเดินจากสะพานพุทธไปถึงสี่พระยามันเหนื่อยมาก และไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นจากความเจ็บปวดใจ ผมจำได้ โต๊ะตัวนั้น... โต๊ะที่ของชิ้นเดียวกันเปลี่ยนสภาพจากของขวัญเป็นขยะ เพียงชั่วเปลี่ยนมือ
ช่วงเวลาดีๆที่ได้ไปเข้าค่ายติวของรุ่นพี่วิศวะ จำได้ว่า ค่ายนั้น ทำให้ผมเริ่มคิดว่า ผมอาจไม่เหมาะกับที่นี่ เพราะผมไม่นิยม โซตัส เอาเสียเลย
ตึกจุล ครั้งแรกที่เรียนรู้จักการสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อ เป็นครั้งแรกที่ไปเข้าแคร์กับคนที่ไม่รู้จัก แต่ผมก็สนิทไปกับเขาได้เพราะเราเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน
บัญชี คณะที่ผมมีประสบการณ์อัศจรรย์เกินธรรมชาติกับพระเจ้าครั้งแรกในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และที่นี่ยังมีหลายที่หลายมุม ที่ทิ้งรอยแห่งความทรงจำเอาไว้ให้ ผมรู้จักการให้ความรักนำทาง เมื่อเราต้องตามหาคนคนหนึ่งท่ามกลางความมืดของคอนเสิร์ตรับเพื่อนใหม่ ก็จากเด็กคณะนี้ ผมรู้จักความรู้สึกของ เอรอส ก็จากที่นี่ และอีกมากมาย ดูเหมือนว่าสิ่งสุดท้าย ที่ผมได้เรียนรู้จากเด็กคณะนี้ คือ สิ่งที่เรียกว่า ความไว้เนื้อเชื่อใจ
หากความรัก เป็นเรื่องของฉัน และถ้าเรารักกัน เป็นเรื่องของฉันกับเธอ ถึงกระนั้นก็คงยังไม่พอให้เราไปถึงจุดแห่งการแต่งงานอยู่กินด้วยกัน หากเราไม่เชื่อใจกัน
ยังมีอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรักของผม ซึ่งมีฉากของเรื่องหรือมีความเกี่ยวพันกับจุฬา จนผมรู้สึกขยาดกับเด็กจุฬาไปเลย (ผมเพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่า เพื่อนสมัยประถมที่ผมแอบชอบเขา ก็จบโทสถาปัตย์ที่จุฬานี่)
ผมยอมรับว่า ความเจ็บปวดครั้งนั้นมันรุนแรงมาก ผมกลายเป็นคนที่ด้านชา หัวใจหิน ไปเลยทีเดียว ก็ลองคิดดูว่า คนอ่อนไหวอย่างผมจะทนได้ซักขนาดไหนกัน แต่ผมเองก็พยายามประคับประคองรักษาเศษเสี้ยวในดวงใจพังๆของผม พยายามรักษาพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้ในสภาพดีเสมอ รอเวลา หวังใจว่า วันหนึ่งมันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการฟื้นฟูดวงใจทั้งดวง
ผมไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไหร่ อย่างไร หรือจะโดยใคร แต่ผมก็จะหวังใจเสมอว่า คงจะมีวันนั้นซักวัน วันที่มีคนที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ผมเป็นจริงๆ วันนี้...เมื่อเช้า ผมบอกพระเจ้าไปอย่างนี้
วันนี้ ตอนบ่าย พี่ชายที่น่ารักคนหนึ่งได้มาแบ่งปันชีวิตของท่าน แบ่งปันสิ่งที่ท่านเรียกว่า ชีวิตรักในพระเจ้าของท่าน ผมไม่รู้หรอกว่าเกือบสองร้อยคนที่นั่งฟังวันนี้จะได้อะไรไปบ้าง แต่สำหรับผม เรื่องราวของพี่ในวันนี้ เป็นอาหารทิพย์ชั้นดีให้แก่หัวใจของผม ขอบคุณพระเจ้ามากมากครับ
ขอบคุณพระเจ้าที่ฟังผมเสมอ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงได้ยินเสียงร่ำร้องไห้จากก้นบึ้งของหัวใจผม ขอบคุณพระเจ้าที่มิได้ทรงละทิ้งผมไป ขอบคุณพระเจ้าที่มิได้ทรงถือโทษในความผิดบาปจากความอ่อนแอของผม ...นึกขึ้นมาได้ พระเจ้าเคยสัญญาว่า นับจากนี้ไป ผมจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป never alone again... นานแล้วอ่ะนะ
ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงโปรดประทานความรอดนิรันดร์แก่ผม ให้ผมได้มีชีวิตใหม่ ขอบคุณครับ ที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมหวังว่าครั้งนี้ เมื่อผมเลือกความชอบธรรมของพระองค์แล้ว ผมจะไม่เจ็บกายปวดใจ แต่พระเจ้าจะดูแลเหมือนที่พระองค์สัญญาไว้
พระเจ้าครับ ขอให้ผมได้เริ่มต้นเขียนเรื่องราวความรักของพระองค์ในชีวิตของผมอีกครั้งนะครับ และหากทรงเห็นชอบ ขอทรงโปรดให้ "เรา" ได้เริ่มต้นเขียนด้วยกันนะครับ
No comments:
Post a Comment