Dec 6, 2008

ช่วงเวลาที่ยากลำบาก

เคยเล่นปั่นแปะโยนเหรียญทายหัวก้อยไหม ขณะที่เหรียญกำลังหมุนติ้ว โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะหล่นลงด้านใด เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราลุ้นที่สุด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด แต่ผลการออกของเหรียญก็จะมีผลสืบเนื่องตามมาในการกระทำไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

คนเรามักไม่ได้กลัวในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้ว แต่เรามักกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือถ้าพูดให้ถูก สิ่งที่เรากลัวมักเกิดจากจินตนาการของเราเอง เรากลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เช้านี้พ่อเข้าโรงพยาบาล แม่บอกว่าตั้งแต่เมื่อวาน พ่อมีไข้สูง กินอะไรไม่ได้เลย อาเจียนตลอด วันนี้ ป้าๆอาๆก็เลยพาพ่อไปหาหมอ จริงๆตั้งแต่เมื่อวันจันทร์โทรไปหาพ่อ พ่อก็เสียงไม่สู้ดีแล้วล่ะ จนถึงตอนนี้ หมอยังไม่รู้ว่าพ่อเป็นอะไร...

สิ่งที่เป็นห่วงในตอนนี้ ไม่เพียงแค่เรื่องอาการป่วยของพ่อ แต่เป็นห่วงเรื่องความรู้สึกของทั้งพ่อและแม่ด้วย

ในมุมมองของผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบครอบครัวอย่างซื่อสัตย์มาตลอด ภรรยาก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถดำเนินชีวิตด้วยตัวเองได้อย่างคนปกติ ลูกคนเดียวที่มีก็ดูหลักลอย ไม่รู้จะฝากผีฝากไข้ได้หรือเปล่า (จนถึงวันนี้ พ่อก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเรียนไม่จบ และยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก เมื่อผมลาออกจากงานที่ทำกับเชลล์ เพื่อมาช่วยงานที่บริษัทเพื่อน)

ในมุมมองของผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง คนที่ไวต่อความรู้สึกของคนอื่นอย่างมาก คนที่เคยสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่าใครๆ ถึงวันนี้แม้แม่จะพอช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแต่ก็ยังไม่คล่องดังใจ คงเป็นธรรมดาที่จะกังวลถึงอนาคต หากสามีไม่อยู่แล้ว จะอยู่อย่างไร จะอยู่กับใคร ลูกจะรักเราไหม ลูกจะทิ้งเราหรือเปล่า แล้วเมียของลูกจะรังเกียจเราไหม เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่ได้ยินอยู่เป็นระยะจากแม่

ส่วนตัวผมเอง มุมมองของลูกชายคนเดียวที่อยู่ไกลบ้าน คนที่เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตระหนักว่า พ่อของเขาอยู่กับความจริง พูดความจริงกับเขา มากกว่าหลายคนที่บอกใครต่อใครว่าตัวเองรักความจริงเสียอีก พ่อพูดถูกเกือบจะทุกเรื่อง แต่เราเองที่ปิดใจไม่ยอมฟัง "พ่อผมเจ๋ง" ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ผมไม่รู้ว่าพ่อป่วยหนักขนาดไหน ปกติพ่อก็ไม่ใช่คนที่จะมานั่งบอกใครว่าตัวเองไม่สบาย (พ่อเคยพลาดเอาขวานเฉาะขาตัวเอง พ่อเดินกลับบ้าน อาบน้ำแต่งตัว ขี่มอไซค์ไปหาหมอ กว่าพวกเราจะรู้ ก็เกือบอาทิตย์ นี่แหล่ะครับ พ่อผม)

ปี 2008 เป็นปีที่เศรษฐกิจอยู่ในความอึมครึม แต่ปีหน้าก็ชัดเจนแล้วว่า เศรษฐกิจของเราอยู่ในภาวะถดถอยแน่นอน หลายคนหลายบริษัทก็เตรียมตัวรับสถานการณ์กันถ้วนหน้า

พระคัมภีร์บอกเราว่า มีฤดูกาลและวาระสำหรับทุกสิ่งใต้ฟ้านี้ ผมเองก็เชื่ออย่างนั้น เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ยังไม่ถึงวาระนั้นน่ะสิ ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องประคับใจประคองความคิดและความรู้สึกให้ดี ให้เป็นปกติอย่างมากๆ

เมื่อชัดเจนว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เราก็ไม่เครียดมาก รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ หากรู้ชัดๆว่าพ่อเจ็บหนักขนาดไหน คงไม่ต้องให้จินตนาการทำงาน และคงง่ายขึ้นอีกเยอะ ถ้ารู้ว่า "เธอ" คิดอย่างไรกับผมกันแน่

No comments:

Post a Comment