วันนี้ไปนวดมาหลังจากที่พังผืดมันกลับมายึดตามเส้นอีกครั้ง
ตัดสินใจจริงจังแล้วว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะประกาศสงครามเพื่อเอาชีวิตที่มีสุขภาพดีของเราคืนมา
นอน กิน ออกกำลังกาย หัวเราะ ทำงาน อ่านหนังสือ ช่วยเหลือคนอื่น อย่างน้อย เจ็ดอย่างนี้ จะต้องทำอย่างสมดุลย์ในทุกวัน
ระหว่างทางกลับบ้าน เห็นเด็กคนนึงวิ่งสนุกสนานตรงทางลงรถไฟฟ้าใต้ดิน
หลังจากลงบันไดเลื่อนมา ก็สังเกตุว่าเด็กคนนั้นมีพี่สาวมาด้วย และน้องเล็กๆ และคุณแม่(ยังสวย)อีกหนึ่งคน
คุณแม่หันมาคุยกับลูก... อะไรไม่รู้ ฟังไม่ออก เดาว่าภาษาญี่ปุ่น จากกิริยาอาการของเหล่าเด็กๆ
ภาพที่ผมชอบมาก คือ เมื่อพวกเขาเดินไปด้วยกัน แม่จูงลูก แล้วลูกๆก็ค่อยเอามือมาจับ เดินแกว่งแขนไปด้วยกัน
ความรู้สึกที่สื่อสารออกมาตรงนั้น สำหรับผม นั่นคือ คำว่า ครอบครัว
เป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความยินดี มั่นคง และอุ่นใจ
ผมและพวกเขาแยกเดินกันไปคนละทาง แต่ความคิดของผมยังคงประทับใจกับความรู้สึกเมื่อกี้นี้ สำหรับผมนี่เป็นข้อดีข้อที่ 6 ของการแต่งงาน คือ ความเป็นครอบครัว คนไม่ได้แต่งงาน จะรู้ถึงความรู้สึกของความเป็นครอบครัวหรือ บางคนอาจเถียงว่า เขาแต่งงานแล้วแต่ยังไม่รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเลย นั่นมันเขา ไม่ใช่ผม คนเราคิดแทนกันไม่ได้นะครับ
สำหรับคนที่ตามอ่านความคิดของผมมาเรื่อยๆ อาจสะกิดใจว่า แล้วข้อดีข้อที่ 5 หายไปไหน
ไม่ได้หายไปไหน เมื่อคืนวาน กลับจากการกินสุกี้กับเพื่อนๆ ก็ได้นั่งคุยกับน้องคนนึง แล้วก็ได้พบกับข้อดีข้อที่5 ของการแต่งงาน แต่ต้องขออภัย ที่อาจจะยังไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกแท้จริงด้วยคำพูดตรงๆได้ บอกได้เพียงว่า การที่เราสามารถมีคนหนึ่งคนบนโลกใบนี้ที่เราสามารถบอกเขาได้ทุกเรื่อง ฟังเขาได้ทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่เราไม่สามารถพูดคุยเล่าสู่กันฟังกับเขาได้ ผมคิดว่าชีวิตเราน่าจะมีความสุขนะ ถ้าวันนึง ผมได้แต่งงานแล้ว ผมอาจจะมาเล่าให้ฟังว่า ข้อดีข้อที่ 5 คืออะไร
อย่างไรก็ตาม วันนี้ ครอบครัวชาวญี่ปุ่น ก็ได้สอนให้ผมได้เรียนรู้จักอีกหนึ่งข้อดีของชีวิตการแต่งงาน คือ ความเป็นครอบครัว หวังว่าพระเจ้าคงสอนผมให้เรียนรู้ข้อดีอีกสักข้อเป็นข้อสุดท้ายต่อไปนะครับ เอเมน
No comments:
Post a Comment